บทที่ 1 : เจ็ดวันเจ็ดคืน
ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เด็กชายจะเรียกตนเองว่าครรชิต!
ในวันที่สิบสี่ของเดือนสามอีกเจ็ดวันก็จะเป็นวันเกิดของเด็กชาย บิชอบ จูเนียร์ ดิ แอสลาส วันนี้เป็นวันท้องฟ้าแจ่มใสเหมาะแก่การนอนกลางวันเสียจริง เด็กชายนอนอยู่โต๊ะไม้หน้าบ้านมองไปยังไร่ที่เห็นบิดาของตนเดินเข้าทุ่งข้าวสาลีแล้วไปโผล่ที่อีกฝั่งแล้วก็โบกสะบัดมือไปมาก็เกิดละอองสีทองฟุ้งไปทั่วบริเวณที่บิดาตนเดินผ่าน
สิ่งที่เห็นจนชิ้นตาของเด็กชายคือการใส่ปุ๋ยให้แก่ต้นข้าวสีเหลืองอ่อนที่กำลังเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองทองพร้อมกับร่วงข้าวที่โน้มตัวลงแสดงให้เห็นถึงความอวบอิ่มของร่วงข้าวที่กำลังจะได้เวลาเก็บเกี่ยว
ปีนี้บิดาของตนปลูกข้าวช้าไปสัปดาห์หนึ่งเลยทีเดียวเพราะต้องเตรียมตัวพาตนเองไปยังเมืองหลวงเพื่อทำการทดสอบประเพณีอเคเซียที่จะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า
ประเพณีอเคเซียจะขึ้นทุกๆวันที่หนึ่งเดือนสี่ของทุกปีซึ่งเป็นเวลาที่การเก็บเกี่ยวสิ้นสุดลงพอดี
หลังจากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเวลาผ่านไปสักพักเด็กชายก็รู้สึกง่วงนอนอย่างรุนแรงก่อนจะหลับไปทั้งอย่างนั้น
ในความฝันของเด็กตัวน้อยปรากฎหมู่ดาวท่ามกลางความมืดมิดที่รายล้อมรวบตัวของเด็กน้อย ในดวงดาวที่ใกล้ที่สุดสองดวงได้เข้ามาใกล้กับเด็กน้อย
สิ่งที่อยู่ด้านในดวงแสงขนาดใหญ่คือตำหนักที่สร้างขึ้นจากเสาเก้าต้นแต่ละต้นสลักรูปของสัตว์ที่แปลกตาเด็กชายยิ่งนัก หลังคาของตำหนักเหมือนมีหมู่ดาวเป็นของตัวเองและพื้นของตำหนักนั้นเป็นสีขาวราวกลับไข่มุกที่มีลวดลายหมุนวนเข้าสู่ศูนย์ ที่กลางตำหนักมีบัลลังก์สีทองที่นั่งด้วยชายชราที่ทั้งตัวเป็นสีทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือสีผมและผิว ชายชรายิ้มให้เด็กชายเล็กน้อย
ที่ข้างตำหนักนั้นมีชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบถึงสามสิบปีลอยอยู่ในท่านั่งไขว้ห้างกลางอากาศโดยรอบๆตัวของชายหนุ่มมีตัวอักษรวิ่งวนไปมาอย่างสับสนวุ่นวายจนยากแก่การอ่านทัน ลักษณ์ภายนอกของชายหนุ่มแต่งตัวด้วยชุดประหลาดสีดำที่พอดีตัวด้านในของเสื้อนั้นเป็นเสื้อสีขาวแขนยาว เสื้อด้านนอกเป็นเสื้อกั๊กสีดำ สวมกางเกงขายาวสีดำพร้อมรองเท้าหนัง
ชายหนุ่มหันมามองเด็กชายที่จ้องตนก่อนจะยิ้มให้แล้วเปลี่ยนท่าทางเป็นยืนแล้วจึงเดินเข้ามาหาเด็กชายพร้อมกับชายชราที่หายตัวไปจากตำหนักแล้วมาโผล่ข้างชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่
"สวัสดีเด็กน้อย" ชายชราผมขาวพูดโดยไม่ได้มีเสียงออกมาแต่เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวของเด็กชาย
เด็กชายตัวสั่นสะท้านขึ้นก่อนจะกระโดดถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับกลายเป็นว่าที่ด้านของตนเป็นเก้าอี้นวมตัวใหญ่สีดำทำให้เด็กชายล้มลงไปนั่งพอดี
ชายชราและชายหนุ่มยิ้มให้กันก่อนที่ชายหนุ่มจะดีดนิ้วโดยไม่มีเสียงก็ปรากฎเก้าอี้ไม้และเก้าอี้นวมอย่างละตัวขึ้นที่ด้วยหลังของทั้งคู่ ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้นวมก่อนจะเอ่ยปากกับชายชราด้วยเสียงทุ่มลึก "ท่านเล่าให้เจ้าหนูนี้ฟังแล้วกัน ข้าขอนั่งฟังและเสริมเป็นระยะๆดีกว่า"
"เอางั้นก็ได้เจ้าครรชิต" ชายชราเอ่ยออกมาก่อนจะจ้องไปยังเด็กชายที่กำลังตัวสั่นอยู่ด้านหน้า
เสียงที่พูดคุยกันของทั้งสองดังขึ้นในหัวของเด็กชายทั้งหมด เด็กชายได้แต่หันซ้ายหันขวาไปยังทั้งคู่เท่านั้น
"เด็กน้อยเจ้าทำใจดีๆละ เริ่มแรกก็เริ่มจากเจ้านะตายไปแล้ว!" ชายชราพูดด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ
เด็กชายที่ได้ยินดังนั้นถึงกับสะดุ้งแล้วจะลุกขึ้นยืนแต่กลับขยับตัวไม่ได้
"ใจเย็นๆก่อนไอ้หนู" ชายหนุ่มดีดนิ้วก็ปรากฎจอภาพขึ้นตั่งหน้าทั้งสามคน
ที่จอภาพนั้นแสดงบริเวณไร่ของเด็กชายและตัวเด็กชายที่นอนอยู่บนโต๊ะไม้โดยที่หน้าอกของร่างนั้นไม่มีการขยับขึ้นลงซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมีชีวิตอีกต่อไป
"มะ ไม่จริง!" เด็กชายตะโกนสุดเสียงแต่กลับไม่มีเสียงดังออกมาจากปากเลยแม้แต่น้อย
"เด็กน้อยเจ้าจงยอมรับความจริงเถอะ มันเป็นลิขิตชะตาของเจ้า"
"ทำไม ทำไม ทำไม!" เด็กชายร่ำร้องสะอึกสะอื้นด้วยเสียงดังแต่กลับไม่มีน้ำตาและเสียงว่งออกมาภายนอกมีแต่ดังขึ้นในหัวของชายชราและชายหนุ่ม
ชายหนุ่มและชายชรารู้สึกเห็นใจแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
"อืม...คงต้องบอกว่าเจ้าและมารดาของเจ้าช่างน่าเศร้าที่เป็นโรคเดียวกัน โรคมานาย้อนทวน"
เด็กชายที่ได้ยินดังนั้นยิ่งส่งเสียงร้องไห้หนักกว่าเก่าเพราะโรคมานาย้อนทวนเป็นอาการที่จิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตไม่สามารถกักเก็บมานาในร่างกายไว้ได้ทำให้ร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นสูญเสียเรียวแรงและกำลังทุกลมหายใจที่เข้าออก ยิ่งตอนแรกเกิดมีมานาในจิตวิญญาณน้อยเท่าใดก็ยิ่งอายุสั้นเท่านั้น
"เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงร่างกายเจ้ายังไม่หมดประโยชน์" ชายหนุ่มยิ้มด้วยรอยยิ้มเศร้าๆแก่เด็กชาย
"ข้าจะใช้ร่างกายของเจ้าเอง"
"หมายความอย่างไร" เด้กชายหันไปถามชายหนุ่ม แต่ชายหนุ่มกลับส่งสายตาไปยังชายชราแทน
"เห้อ! ข้าอธิบายเอง เริ่มจากข้าคือหนึ่งในเซียนอมตะในจักรวาลแห่งนี้ และชายหนุ่มที่อยู่ข้างข้าคือวิญญาณที่ทรงพลังที่ยังไม่สิ้นอายุขัย...." ชายชราอธิบายรายละเอียดของเรื่องราวอย่างยาวนานหลายชั่วโมงถ้านับตามเวลาจากที่ชายหนุ่มจากมา
"สรุปสั้นๆ ข้าตายเพราะเจ้าเฒ่านี้จึงทำให้ข้าต้องหาที่สถิตใหม่เพราะวิญญาณข้าปฏิเสธโลกเดิมไปแล้ว และเจ้ามาจากโลกที่เข้ากับวิญญาณข้าได้ดี เช่นเดียวกันเจ้าก็ตายโดยไม่สิ้นอายุขัยเช่นกันและเจ้าก็ต้องไปโลกที่ข้าจากมาเพื่อถ่วงดุลกัน" ชายหนุ่มสรุปเรื่องราวสั้นๆจากคำอธิบายยาวเยียดของเซียนอมตะผู้นั้น
"เรื่องจริงหรือ แล้วมันเป็นไปได้ยังไง" เด็กชายที่สับสนพึมพำออกมาอย่างเหม่อลอยหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากปากชายชรา
"พวกเจ้าสองคนมีเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนที่จะคุยกัน เอาละอีกเจ็ดวันข้าจะกลับมา" ชายชราหายไปยังตำหนักของตนก่อนที่จะหายไปจากสายตาเด็กชาย
"เอาเรามาเริ่มจากการแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน ข้า ครรชิต เทวาศักดิ์....
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ผู้ใหญ่สมองเด็ก5555+++
แล้วทำงานอะไรอยู่ยังไง...ซวย
ผู้ใหญ่ไปในร่างเด็กยังไม่เท่าไร แต่เด็กไปอยู่ในร่างผู้ใหญ่ ในโลกที่ไม่คุ้นจะปรับตัวได้หรอ นอกจากจะให้ความรู้ไปด้วย