คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 3. ห้องแล็ปพระอาทิตย์
ห้องแล็ปพระอาทิตย์
ผมรู้สึกตัวขึ้นเมื่อเชียวมาสะกิดเบาๆที่ไหล่
อ้า...ยังรู้สึกเหมือนนอนได้ไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่เลย บรรยากาศอันแสนอบอุ่นภายในนี้สบายดีจัง เสียงอึกทึก จอแจจากภายนอกดังแทรกเข้ามาทันทีที่ประตูยานค่อยๆเปิดออก
ผมขยี้ตา งัวเงีย ก่อนที่จะเพ่งมองไปยังบรรยากาศอันสับสนวุ่นวายเบื้องนอก ซึ่งปรากฏผู้คนเดินขวักไขว่อยู่มากมาย
"ขอบคุณมากเฟร์ คุณกลับไปประจำที่กองยานเถอะ"
เชียวกล่าวกับเฟร์ในขณะที่ช่วยพยุงผมลงมาจากยาน ทุกสิ่งรอบกลายล้วนดูแปลกตาและน่าพิศวง สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏอยู่มากมายเท่าที่สังเกตุดูแล้วที่สูงที่สุดนั้นไม่น่าจะเกินขนาดของตึก 4 ชั้นเท่านั้นเอง
เฟร์พ่อนักเต้นแห่งเทอโรควบยานโปร่งใสลำนั้นจากไปอย่างชำนิชำนาญ ไม่นานก็ลับหายไปกับมุมของสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้า
"ส่งกระแสติดต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมศูนย์ 112 นะ ทำเรื่องขอใช้แล็ป ล็อคไว้ให้ผมห้องหนึ่งนะยูว จำรหัสผมได้ไหม"
ยูวพยักหน้ารับทราบพร้อมปฏิบัติตามอย่างกระฉับกระเฉง
"ผมว่าเราน่าจะพักกันสักหน่อย เออ..คงหิวกันแย่แล้วล่ะซิ"
เชียวยังรักษาท่าทีอันเป็นกันเอง แต่ท้องไส้ผมนั่นซิที่เริ่มแปรปรวนส่งเสียง โครก คราก ดังลั่น ใช่ผมรู้สึกหิวน่าดูเลยในตอนนี้
เขาพาผมเดินฝ่าผู้คนขวักไขว่มากมาย มุ่งสู่อาคารหลังหนึ่ง ระหว่างทางซึ่งผ่านอาคารหลังที่ดูใหญ่โตกว่าสิ่งก่อสร้างโดยรอบ ผมจึงได้ค้นพบความพิศวงงงงวย เข้าอีกอย่าง
นั่นคือ ผมสามารถอ่านภาษาของที่นี่ได้ด้วย ข้อความขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านหน้าของอาคารหลังนี้
ศูนย์ปฏิบัติการกองพิทักษ์3
ประจำอาณาจักร กอนซ์
แห่งจักรวรรดิ์ เมสโซก้า
ผมเริ่มทำความเข้าใจกับประโยคเหล่านั้น เท่าที่ได้ฟังเชียวอธิบายมาก่อนหน้านั้น จักรวรรดิ์ คงเปรียบได้กับประเทศ และอาณาจักรก็คงใกล้เคียงกับ จังหวัดหรือรัฐ
ดั่งที่นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้โลกเราอาจเป็นเพียงแค่ด้านหนึงในลูกบากศ์แห่งกาลเวลาความรู้ความเข้าใจที่ได้จากโลกนั้นอาจไม่มีผลเมื่อเราก้าวเข้ามาสู่อีกด้านหนึ่งอีกโลกหนึ่งที่อาจซ่อนเร้นห่างไกลอยู่ในจักรวาลอันลึกลับ
เบื้องหน้าคืออาคารที่ดูไม่ใหญ่โตมากนักหากเทียบกับ อาคารศูนย์ปฏิบัติการณ์เมื่อครู่ ผมจับจ้องที่ข้อความหน้าอาคารและสะกดมันขึ้นในใจ
แผนก 324
ฝ่ายจัดการสหกรณ์ และรับรองพันธมิตร
เมื่อเข้ามาในอาคารหลังนี้แล้วท้องไส้ผมก็อาละวาดคำราม อีกยกใหญ่ เพราะภายในนี้ล้วนคละคลุ้ง อบอวลไปด้วยกลิ่นอันหอมหวาน ของอาหารอันโอชะหลากหลายชนิด
เชียวเดินนำผมไปที่โต๊ะใกล้ๆ
"นั่งรอผมตรงนี้แปปนึงนะ อย่า!ไปไหนนะครับ"
ผมปฏิบัติตามที่เขาบอกโดยว่าง่าย ทั้งๆที่ในใจก็อยากจะเอ่ยถามเขาในหลายๆเรื่อง แต่ยังไงซะเขาก็คงฟังผมไม่รู้เรื่องอยู่ดี
ในระหว่างที่นั่งรอผมพลางมองสำรวจภายในนี้โดยรอบ ผู้คนมากมายต่างนั่งสนทนากันอยู่ดูแล้วคงเป็นอีกวันหนึ่งทซึ่งแสนธรรมดาของพวกเขา หลายคนจ้องมองมาอย่างสนใจ ในสายตาของพวกเขาแล้วผมอาจเป็นเพียงคนบ้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง
แล้วไม่นานเชียวก็กลับมาพร้อมถ้วยที่มีฝาปิดสนิทอยู่ เขายื่นให้ผมถ้วยหนึ่งก่อนที่จะนั่งลงข้างๆเปิดผาและจัดการกับอาหารอันโอชะที่อยู่ในนั้นอย่างเคยชิน ผมก้มมองถ้วยในมืออย่างจนปัญญาและพลางหันไปมองเชียวที่กำลังเอร็ดอร่อยอยู่โดยที่ไม่ได้สนใจผมเลย เขาอาจคิดว่าผมจะจัดการเปิดเจ้าถ้วยในมือได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับมนุษย์ที่นี่ กลิ่นอาหารในถ้วยของเชียวลอยมายั่วน้ำลายจนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึก ใหญ่ มันคงดังมากจนเรียกความสนใจจากเชียวได้ เขาหันมองผมและก้มมองเจ้าถ้วยเจ้าปัญหาในมือซึ่งผมก็จับจ้องมันอยู่อย่างจนปัญญาเช่นกัน
"อ้าว! นี่คุณไม่หิวหรอกเหรอ?"
ผมส่ายหน้าทันที ให้ตายเถอะหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว ฮือ ฮือ
เขาหรี่ตามองอย่างฉงน
"นี่อย่าบอกนะ ว่าคุณเปิดเจ้านั่นไม่เป็น?"
ผมพยักหน้ารับโดยไม่ลังเล เพราะหิวจนตาลายไปหมดแล้ว
"มันทำให้ผมยิ่งสงสัยในตัวคุณมากขึ้น เพราะขนาดเด็กเล็กๆยังสามารถเปิดมันออกได้อย่างง่ายดายเลย คุณมาจากที่ไหนกันแน่?"
คำพูดของเชียวทำให้ผมต้องชะงัก ลูกคลื่นแห่งคำถามเริ่มถาโถมมาอีกครา จนทุกสิ่งรอบกายเริ่มเลือนลางลง
ใช่ ที่นี่ไม่ใช่โลกของเรา
เรากำลังทำอะไรอยู่
เราอยู่ที่ไหนกัน
หรือนี่อาจเป็นเพียงความฝันเหรอ
เสียง อื้ออึง หลายอย่างดังก้องกังวาลขึ้นภายในจิตใจ เสียงคำรามของยานหุ้มเกราะที่เกือบจะชนผมดังแทรกขึ้นมา ตามด้วยเสียงของผู้คนมากมายที่ดังประสานเข้ามา บีบคั้น วุ่นวาย เสียงของบางคนเด่นชัดขึ้น
"ไอ้ปัญญาอ่อน! ไอ้หน้าดูน!"
ประโยคนั้นยิ่งทำให้ต้องสำทับว่าผมกร่ำกรายเหยียบย่างมาสู่พิภพนี้ได้เช่นไร มันรู้สึกมึนงงมากจนโลกเบื้องหน้าค่อยๆดับวูบลง....
ดับวูบลง.........
เสียงเหล่านั้นยังคงดังก้องอยู่ จนต้องเอามือขึ้นมากุมขมับไว้
และรู้สึกตื่นตัวขึ้น เมื่อรู้สึกถึงสัมพัสที่ต้นคอ
"ดูคุณอ่อนแรงมากแล้ว กินอาหารก่อนละกัน"
เชียวเอามือออกจากต้นคอของผม และยื่นถ้วยที่เปิดเรียบร้อยแล้วมาให้ กลิ่นของมันช่างยั่วยวนจนทำให้ผมก้มหน้าก้มตาจัดการกับมันโดยที่ไม่สนใจกับสิ่งรอบตัวไปชั่วขณะ
เชียวเฝ้ามองผมอย่างครุ่นคิด ซึ่งภายในจิตใจของเขานั้นดูมิได้สงบนิ่งเฉกเช่นภายนอกเลย
เมื่ออิ่มแล้ว จึงทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวและมีพละกำลังขึ้น มันเป็นมื้อที่เยี่ยมมากแม้จะมีรสชาติค่อนข้างจืดไปหน่อย แต่มันก็ทำให้มีชีวิตรอดไปได้อีกวันนึง เชียวยื่นแก้วน้ำสีฟ้าใสมาให้ผมรับมาและซดมันพรวดเดียวจนหมด
อืม...มันเย็นสดชื่นดีจริงๆ
หลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวเริ่มชัดเจนขึ้น ผมแอบหยิกแขนตัวเองเพื่อทดสอบว่าไม่ได้ฝันไปจริงๆ น้ำตาที่ซึมออกมาช่วยยืนยันได้ว่านี่คือความจริง
ป่านนี้ที่โลกจะเป็นยังไงบ้างนะที่ทำงานคงคิดว่าผมโดดงานและอาจจะไล่ผมออกแล้วก็ได้ จะทำยังไงดีล่ะทีนี้ ยังมีภาระอีกมากมายที่รออยู่
ไม่ได้แล้ว
ผมต้องรีบหาทางกลับไปโดยเร็ว
เหมือนมีแสงบางอย่างแทงทะลุเข้ามาในความคิดมันช่วยให้ผมมีสติขึ้น อย่าเพิ่งไปกังวลให้เกิดความสับสนวุ่นวายไปเปล่าๆเลย เพราะก็ไม่แน่ว่าผมจะได้กลับไปที่โลกอีกหรือไม่
แต่ ตอนนี้ผมดำรงค์อยู่ที่นี่ ที่นี่คือปัจจุบัน
ที่ผมต้องพบพาน.....
"ไปกันเถอะ คุณ....เอ่อ?"
เสียงของเชียวแทรกเข้ามาทำลายภวังค์ความคิดของผมให้ทลายลง เขาหยุดขบคิดชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวต่อ
"ใช่สิ..ผมยังไม่รู้จักชื่อของคุณเลย งั้นเอาเป็นว่าผมขอเรียกคุณว่า จั๊ก ละกันนะเพราะถ้าจำไม่ผิดคุณเคยบอกอย่างนั้นใช่ไหม คุณจั๊ก"
มันไม่ใช่ ผมเคยบอกเขาว่า จักร....จักรภพ ต่างหากเล่า
แต่ เฮ้อ เอาเถอะ ถึงยังไงก็พูดกันไม่รู้เรื่องอยู่แล้วนี่ ด้วยเหตุนั้นผมจึงต้องจำใจพยักหน้ายอมรับชื่อใหม่ของตนไปโดยปริยาย
"งั้นไปกันเถอะคุณจั๊ก เรามีเรื่องที่จะต้องทำกันอีกมากเลย"
เชียวลุกเดินนำผมออกจากแผนก 324 และมุ่งสู่อาคารหลังใหญ่ที่เดินผ่านมาเมื่อครู่ ซึ่งภายในโถงใหญ่ใจกลางก็มีข้อความติดอยู่เช่นเดียวกับด้านหน้าตึกจะแตกต่างที่ขนาดซึ่งดูเล็กกว่ามาก เท่านั้น
และก็อดไม่ได้ที่จะสะกดมันอีกครั้งขึ้นในใจ
ศูนย์ปฏิบัติการกองพิทักษ์3
ประจำอาณาจักร กอนซ์
แห่งจักรวรรดิ์ เมสโซก้า
อะไรจะฟังดูโก้หรูขนาดนั้น เหมือนกับคุ้นหูมาจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ต่างๆเลย
เชียวเดินนำไปที่ เคาน์เตอร์หนึ่ง ภายในโถงของอาคารนี้ดูกว้างใหญ่มากสามารถรองรับผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่อย่างวุ่นวายสับสนหลายร้อยหลายพันคนได้อย่างสบายเลยที่เดียว
เขาทักทายเจ้าหน้าที่ในเคาน์เตอร์ทันทีเมื่อเดินแทรกเบียดเสียดฝูงชนมาถึง
"ดูเครียดจัง นะ ลุกซ์ วันนี้"
เชียวกล่าวขึ้นอย่างสนิทสนม
หญิงเจ้าเนื้อที่ดูค่อนข้างมีอายุ เหงนมองเชียวอย่างเสียมิได้ก่อนที่จะยิ้มให้อย่างเนือยๆ และหันมามองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว แวบ หนึ่ง
"ก็วันนี้มีการประชุมทางวิชาการในหลายๆสาขานะซิ ผู้คนมากมายซึ่งเดินทางมาจากทุกๆจักรวรรดิ์เพื่อมาเข้าร่วมประชุม ก็เลยดูพลุกพล่านวุ่นวายอย่างที่เห็นนี่แหละ ถ้าจัดประชุมอย่างนี้บ่อยๆฉันคงบ้าตายแน่เลย.."
เธอระบายขึ้นกับเชียวอย่างหัวเสีย แล้วชะโงกไปกระซิบถามเชียวเบาๆ
"แล้วนั่นคนไข้ของคุณละซิเชียว แหม่คุณนี้ก็มีเรื่องให้เหนื่อยไม่แพ้ฉันเลยนะ ไอ้ผู้คนสมัยนี้ก็ขยันบ้ากันซะเหลือเกิน......"
เชียวคงกลัวผมได้ยิน จึงรีบถามแทรกขึ้น เพื่อเปลี่ยนเรื่องทันที
"เอ่อ...ลุกซ์ คือผมทำเรื่องขอใช้แล็บไว้ รบกวนช่วยเช็คให้ผมทีซิ "
เธอก้มหน้าก้มตาเช็คให้เชียวครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยขึ้นบอก
"ทางศูนย์รับทราบแล้ว เชิญได้เลยแพทย์เชียว"
เชียวพยักเพยิดมาทางผมก่อนที่จะถามขึ้น
"แล้วเขาไม่ต้องลงทะเบียนก่อนเหรอ"
ลุกซ์ขมวดคิ้วยิ้มเฝื่อนๆ
"คุณก็เป็นเจ้าหน้าที่ที่นี่เหมือนกันคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกและอีกอย่าง........"
เธอพยักเพยิดไปทางด้านหลังของเราทั้งสองคน เชียวกับผมจึงหันหลังไปมองพร้อมกัน
ปรากฏภาพผู้คนกำลังยืนเข้าคิวยาวเหยียดเพื่อขอใช้บริการเคาน์เตอร์และแทบทุกคนมองมาที่เราอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เชียวคงรู้สึกเช่นเดียวกับผม
"หึ หึ งั้นผมขอตัวก่อนนะลุกซ์ ขอบคุณมาก"
เชียวรีบพาผมเดินเบี่ยงออกจากเคาน์เตอร์ ภายในโถงใจกลางที่กว้างใหญ่นี้ดูเป็นห้องเดียวของอาคารสูงประมาณตึก 4ชั้นหลังนี้ทำให้ผมนั้นอดแปลกใจไม่ได้ว่าผู้คนมากมายก่ายกองเหล่านี้จะไปประกอบกิจกรรมต่างๆที่ไหนกัน เชียวพาเดินเบียดผู้คนจนมาถึงห้องเล็กๆห้องหนึ่งซึ่งดูคล้ายลิฟท์
แล้ว มันจะขึ้นไปที่ชั้นไหนกันล่ะ
เชียวยื่นบัตรประจำตัวให้เจ้าหน้าที่ในนี้ตรวจสอบ เขาเหลือบมองผมเพื่อเป็นเชิงถาม
"อ๋อ..เขาเป็นคนไข้ทางจิตของผม ซึ่งอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือโดยรีบเร่ง ตรงตามกฏยกเว้นในการตรวจสอบประวัติ"
เชียวชี้แจงขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ดูเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเข้าใจ แต่ก็มองมาที่ผมด้วยสายตาดุดันราวกับจะขู่เตือนว่าหากผมสร้างปัญหาขึ้น ร่างกายที่สูงใหญ่บึกบึนของเขานั้นก็พร้อมที่จะกระโจนมาขย่ำผมได้ทุกเมื่อ ผมได้แต่หลบตาเขาและแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
เอือก...!
เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้ทำการตรวจสอบทุกคนเรียบร้อยแล้วเขาจึงหันไปจัดการกับแผงควบคุมอย่างชำนาญ สักครู่เขาก็หันกลับมาแนะนำกับทุกคน ซึ่งมันดูเหมือนการท่องเสียมากกว่า
"จากชั้นนี้ลงไปยานยึดติดนี้จะหยุดรับส่งในชั้นแรกคือ ที่ชั้น 112 เพราะฉะนั้นยานจะดิ่งตัวลงด้วยความเร็วที่ต่อเนื่อง จึงขอให้ทุกท่านโปรดจับยึดราวข้างๆจนกว่าจะถึงที่หมายด้วยเพื่อความปลอดภัย....พร้อม!..... "
เชียวถอยหลังไปจับที่ราวทันที และสะกิดให้ทำตาม ผมหันไปจับราวอยู่อย่างเก้ๆกังๆ แต่ยังไม่ทันที่จะเข้าที่เข้าทางยานนี้ก็ทะยานดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกหวิวๆแน่นหน้าอก และหูอื่อ อยู่ตลอดทาง ชั่วอึดใจมันก็หยุดลง
"ชั้นที่ 112 ศูนย์ปฏิบัติการทางจิต เชิญครับ..."
ด้วยเหตุที่ขาเกิดอาการชาจนก้าวไม่ออก เชียวจึงรีบฉุกกระชากลากผมออกมาอย่างยากลำบาก
จนต้องยืนหอบแฮกๆทันทีที่ก้าวพ้นประตูยานออกมาได้ และในชั่วเสี้ยววินาทีประตูนั้นก็ปิดลงอย่างฉับพลัน ก่อนที่ยานยึดติดอันแสนน่าตราตรึงในหัวจิตหัวใจของผมจะดิ่งทะยานลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วต่อไป
ซูม...................!
ผมยืนตั้งสติอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเหลือบมองดูอาการของเชียวบ้างซึ่งก็ปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาคงเคยชินกับมันแล้วก็เขาทำงานอยู่ที่นี่ นี่น่า เอาเถอะถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ผมจะลองพาเขาไปขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาที่โลก ดูบ้าง จะยืนนิ่งอย่างนี้ได้หรือเปล่า
เชียวรอให้ผมตั้งสติสักพัก ก่อนที่จะเดินพาไปที่เคาน์เตอร์เล็กๆซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ยูวนั่งรอในเคาน์เตอร์ดังกล่าวนั้นแล้วเธอรายงานเชียวทันที พร้อม เหล่มองอาการของผมเพื่อหยั่งเชิง
"ฉันได้ขอใช้แลปไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ แพทย์เชียว แต่มีปัญหาอยู่ที่ว่า.......เอ่อ....."
ยูวเริ่มลังเลก่อนที่จะกล่าวต่อ
"มันเหลือว่างอยู่ห้องเดียว.........ค่ะ"
เชียวหรี่ตาสงสัย
"ห้องไหนกันล่ะ?"
ยูวค่อยๆเงยหน้าขึ้นประโยคที่จะออกมาจากปากของเธอดูช่างแสนลำบากยากเย็นยิ่งนัก
"ห้อง........พระอาทิตย์ค่ะ"
เมื่อเชียวได้ยินชื่อนั้นก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกและกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"แต่ห้องนั้นมัน.....เอ่อ..... แล้วไม่มีห้องอื่นอีกเลยเหรอ"
"ไม่มีเลยค่ะ เพราะวันนี้มีคณะต่างๆจากหลายจักรวรรดิ์มาเข้าร่วมประชุมทางวิชาการ ห้องแล็ปจึงถูกจองจนเต็มหมดแล้วค่ะ"
ยูวกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูวิตกกังวลเช่นกัน
"ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้เราค่อยขอใช้ใหม่ก็ได้"
เขาคงคิดว่านี่คือการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว
ยูวก้มหน้าเช็คข้อมูลบางอย่างที่เคาน์เตอร์ ก่อนที่จะเงยขึ้นด้วยสีหน้าซึ่งยังไม่คลายกังวล
"เอ่อ.... คือว่า ทุกๆห้องแล็ป ในทุกๆ ศูนย์ มีคิวจองการใช้เต็มไปจนตลอดทั้งเดือนเลยค่ะ"
สีหน้าของเชียวดูเหมือนไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
"จริงเหรอนี่!......อะไรกัน นี่จะประชุมอะไรกันหนักหนาแล้วเจ้าหน้าที่ประจำจะทำงานกันได้อย่างไรล่ะ"
เชียวบ่นพึมพำขึ้นอย่างไม่พอใจ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหัวเสียได้ถึงเพียงนี้กับแค่เรื่องห้องแล็ป จนยูวต้องพยายามชี้แจงเพื่อหวังให้เขาผ่อนคลายลง
"ทางคณะปกครองสูงสุดแห่ง จักรวรรดิ์ ได้ให้การรับรองและอนุมัติอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ เห็นทีเราคงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะค่ะ เชียว...."
ดูจะเป็นผลเพราะเชียวดูผ่อนคลายลง เขาคงเริ่มจะเข้าใจอะไรดีขึ้นแล้ว แต่จากสีหน้าแล้วภายในจิตใจของเขาคงยังครุ่นคิดอยู่อย่างไม่วาง
"แล้วคุณทานอะไรบ้างหรือยังยูว นี่ก็บ่ายมากแล้ว จะกลับไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจผมนะ"
เขาเอ่ยถามยูวขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะให้ดูปกติเช่นเดิม
"อ๋อ.....เรียบร้อยแล้วค่ะและยังไหวค่ะ"
ยูวตอบขึ้น ทั้งสองยืนตัดสินใจกันอยู่นาน ก่อนที่เชียวจะกล่าวขึ้นอย่างมุ่งมั่น
"เอาล่ะ..... เริ่มงานกันเลยดีกว่า"
" ค่ะ"
ยูวพยักหน้าตอบรับอย่างกระตือลือร้น
เริ่มงานกันเลย อย่างงั้นเหรอ ฟังดูยังไงๆ ชอบกล ก็เพราะตัว ผมนี่ไงที่เป็นงานของพวกเขา
ระหว่างช่องทางเดินที่มุ่งสู่ ห้องแล็ปพระอาทิตย์ มีเพียงแสงสลั่วจากดวงไฟเล็กๆบนเพดานส่องสว่างอยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งยังบรรยากาศที่เงียบ วังเวง จึงทำให้รู้สึกน่าขนลุกขนพองพอสมควร
ตลอดแนวช่องทางเดิน บางระยะก็มีเสียงครางของเครื่องมือต่างๆดังเล็ดลอดออกมาจากห้องแล็ปที่เรียงรายอยู่สองฝั่ง และมีเสียงหนึ่งที่ดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ซึ่งฝังดูคล้ายเสียงกรีดร้องโหยหวนจากความเจ็บปวดทรมาน มันทำให้ให้เราทั้งสามคนต้องหยุดชะงัก หันมองหน้ากันและกันครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป ไม่นานเขาทั้งสองก็มาหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องแล็ปห้องหนึ่ง
ห้องแล็ป พระอาทิตย์
ศูนย์ปฏิบัติการ 112
ช่องทางเดินที่เลยต่อไปเบื้องหน้านั้นมืดสนิท เพราะหลอดไฟดวงสุดท้ายที่ส่องแสงสลั่วๆอยู่ก็มาสิ้นสุดอยู่ตรงหน้าห้องแล็ปนี้เท่านั้น
ผมเพ่งมองลึกเข้าไปในความมืดมิดเบื้องหน้า กลิ่นไอของบางอย่างคละคลุ้งอยู่ในนั้น คล้ายกับมันสะท้อนความหวาดกลัวออกมาจากจิตใจของผม
เบื้องหน้านั้น ภายในความมืดมิดนั้นเหมือนมีบางอย่างกำลังเชิญชวนให้อยากเดินเข้าไปค้นหา แต่ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นก็ได้ระงับความรู้สึกนั้นเอาไว้เสียก่อน
หน้าห้องแล็ป พระอาทิตย์ นี้ มีจอเล็กๆที่ยื่นออกมาพร้อมแผงวงจรสภาพเก่าคร่ำครึ เมื่อเปรียบเทียบกับห้องแล็ปอื่นๆที่ได้ผ่านตามาก่อนหน้านี้แล้ว
เชียวเอื้อมมือออกไปสัมผัสกับแผงวงจรเบื้องหน้า จอสว่างวาบขึ้นในทันทีและข้อมูลต่างๆก็พรั่งพรูออกมา เขานำบัตรประจำตัวทาบลงไป
"โปรดทำการยืนยันโดยการแจ้งชื่อ รหัสตระกูลและรหัสเจ้าหน้าที่"
เสียงสังเคราะห์ดังทำลายความเงียบขึ้นมา เชียวทำตามที่มันแนะนำ และไม่นานประตูเบื้องหน้าก็ค่อยๆเลื่อนเปิดขึ้น
ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเข้าไป ไฟสีส้มสลั่วก็ค่อยๆสว่างขึ้น ซึ่งทำให้เห็นว่ายังคงมีประตูปิดกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง ก่อนที่เจ้าเสียงนั้นจะดังเพื่อชี้แจงขึ้นมาอีกครั้ง
"โปรดให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำแนะนำโดยเคร่งครัด เพราะทรัพย์สินทุกอย่างเป็นสมบัติส่วนรวมของจักรวรรดิ์"
หลังจากนั้นข้อความมากมายก็ปรากฏขึ้นบนจอขนาดใหญ่เบื้องหน้า มันเยอะมากจนผมขี้เกียจที่จะอ่านมัน ดูเขาทั้งสองก็ไม่ได้สนใจที่จะอ่านมันทุกตัวอักษรเช่นกัน อาจเพราะพวกเขาคงจะรู้ความหมายต่างๆนั้นดีอยู่แล้ว
เมื่อแสดงข้อมูลต่างๆออกมาจนครบถ้วนแล้ว เสียงสังเคราะห์ก็กล่าวย้ำขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย
"ขอให้สิ่งที่ท่านได้ปฏิบัติลงไปในครั้งนี้จงได้ยังประโยชน์และความเจิญก้าวหน้าแก่จักรวรรดิ์สืบต่อไปเถิด"
เมื่อสิ้นเสียงดังกล่าวแล้ว เขาทั้งสองก็ก้มแสดงความเคารพต่อจักรวรรดิ์ ด้วยความเคยชิน คงคล้ายกับตอนที่ผมยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงชาตินั้นแหละ
ประตูบานใหญ่ชั้นในเลื่อนเปิดขึ้นในขณะเดียวกันที่ประตูชั้นนอกเลื่อนปิดลง กลิ่นเหม็นอับจากภายในค่อยๆแทรกออกมา ราวกับว่ามันได้ถูกปิดตายมาแล้วนานนับปี
ดูสีหน้าเขาทั้งสองค่อนข้างหวั่นๆ
อะไรนะที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นได้ถึงเพียงนี้ มันต้องเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำเป็นแน่เพราะดูเหมือนเชียวจะพยายามจะเปลี่ยนห้องแล็ปทันทีเมื่อรู้ว่าจะต้องมาเผชิญกับห้องแล็ปห้องนี้......
ห้องแล็ป พระอาทิตย์
ไฟภายในห้องติดพรึ่บขึ้นจนสว่างจ้า ทำให้ผมรู้สึกแสบตาขึ้นมาก่อนที่ดวงตาจะค่อยปรับเข้ากับแสงจ้าภายในนี้ได้ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆดูระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ ราวกับว่าถูกปล่อยทิ้งไว้ไร้ซึ่งการดูแล
คราบสีดำแห้งกรังติดอยู่ตามพื้น ไม่รู้ซิผมว่ามันดูคล้ายกับคราบเลือดมาก อาจมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ก่อนที่จะถูกปิดไปจวบจนตอนนี้.....
"ไม่มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาดูแลบ้างเลยเหรอเนี้ย..................ยูวเปิดเครื่องสังเคราะห์อากาศทีซิ"
เชียวกล่าวทำลายความเงียบขึ้น ด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อยจากความหวาดหวั่นทียังคุกรุ่นอยู่ในจิตใจ
ยูวค่อยๆเยื้องย่างไปที่มุมห้องทางขวา คล้ายกับระแวดระวังอะไรบางอย่างที่อาจซ่อนตัวอยู่ในเงามืดพร้อมที่จะกระโจนเข้ามาขย่ำเธอได้ทุกเมื่อ เธอเปิดสวิทช์สีแดงบนผนัง ในทันทีก็เกิดเสียงครางหึ่งขึ้นเบาๆจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศภายในห้องนี้ไปโดยปริยาย
มันทำให้ผมเริ่มสูดหายใจได้เต็มปอดขึ้นจากบรรยากาศที่สะอาดสดชื่นกว่าเดิม
จากนั้นเชียวก็พาผมเดินไปที่เตียงสีเงินวาวซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง มีคราบสีดำเหมือนที่พื้นติดอยู่บนเตียง สองสาม แห่ง ผมเพ่งพิจารณามันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล้ายืนยันขึ้นกับตนเองว่ามันต้องเป็นคราบเลือดอย่างแน่นอน
"นั่งลงบนเตียงก่อน ครับคุณ "จั๊ก" "
เชียวบอกก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆแล้วผมก็ค่อยๆนั่งลงตามที่เขาบอก
เชียวกล่าว ขึ้น และยูวก็เดินมาสมทบอยู่ข้างเชียว ทั้งสองต่างจับจ้องผม อย่างสนใจใคร่รู้ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นงานที่สำคัญมากของพวกเขา
“คงต้องทำการสแกนร่างกายของเขาก่อนที่จะทำการประมวลเปรียบเทียบ กับตัวอย่างข้อมูลอื่นๆ ”
เขา ง่วนอยู่กันการปรับ อุปกรณ์ ต่างๆ ก่อนที่ จะเพิ่งคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ ยูว...ช่วยเตรียมเครื่องแปลภาษา ให้พร้อมเลยนะ เพราะผมอยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนของเราให้มากกว่านี้”
เชียวเริ่ม ลำดับขั้นตอน การดำเนินงานต่างๆขึ้น
“ค่ะ แพทย์เชียว แต่ เอ? คุณคิดว่าเขาน่าจะมาจากที่ไหนเหรอ”
“ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่หรอก แต่จากลักษณะทางกายภาพแล้วเขาดูคล้าย คนจักรวรรดิ์ อันดายก้านะ”
“ถ้างั้นก็จักรวรรดิ์เดียวกับคุณซิค่ะ”
เธอเสริมขึ้น
“ใช่ เขาดูเหมือนคนอาณาจักร ยูดห์ เพราะองค์ประกอบและการเรียงตัวของชั้นกล้ามเนื้อที่หนาแน่นเป็นลักษณะเฉพาะของคนที่นั่น”
แต่ก็ ดูเหมือน เขาจะพยายาม สลัด ความคิดดังกล่าวนั่นออกไป
“แต่คงไม่น่าจะใช่ อย่างที่ผมคาดหรอกเพิ่งคิดได้ว่าเคยถามเขาไปเหมือนกัน และดูเหมือนเขาจะปฏิเสธนะ ผมคงเดาผิด”
เชียว ก้มหน้าคิดไม่ตก
“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ เขาอาจจะไม่เข้าใจที่คุณ ถามไปก็ได้”
ยูวกล่าว ให้ความหวัง
“แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นจริงๆ ผมก็จนปัญญาจริงๆที่จะบอกได้ว่าเขามาจากไหนกันแน่”
ทั้งสอง ประสานสายตากัน อย่างแน่วแน่
“หรือว่าเขาจะมาจากดาวดวงอื่น ค่ะ”
ยูวเน้นเสียง ทำตาโต ก่อนที่จะเผย ยิ้มบางๆออกมา
“ฮิ ฮิ ล้อเล่น หน่ะ ค่ะ”
ประโยคนั้น ทำให้เชียวอึ่งไปชั่วครู่ ดวงตาที่จ้องนิ่งยูวอยู่นั้น ค่อยๆลอยเลื่อนออกไปอย่างครุ่นคิด บางสิ่งกำลัง ครุกรุ่น อยู่ภายในจิตใจ สายตาคู่นั้น เหลือบมองผมแวบหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยกับยูว ด้วยเสียงแผ่วเบา
“มัน ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ”
ประโยคนั้น ทำให้ยูวนิ่งไปเช่นกัน ดูเธอครุ่นคิดและตื่นเต้น ทั้งสองจับจ้องมาที่ผมอีกครา แววตาทั้งสองคู่นั้น ดูเหมือนกำลัง ทึ่งบางอย่างในตัวผมอยู่ นั่นคืออะไรความลึกลับในตัวตนของผมเหรอ หรือบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น.........
“เครื่องสแกนหลักโหลดข้อมูลพร้อมหรือยัง ยูว”
ยูวที่กำลัง ก้มๆเงยๆ จัดการง่วนกับเครื่องดังกล่าวนั้นอยู่พยายามเร่งมือขึ้น พลางรายงานกับเชียว
“ดูเหมือนว่า........ มันไม่รับคำสั่งอะไรเลยค่ะ อาจจะเป็นเพราะ แหล่งพลังงานไม่เพียงพอ เดี๋ยวลองเช็คดูสักครู่นะค่ะ ”
เขาจึงลุกขึ้นไปช่วยเธอดูเจ้าเครื่องเจ้าปัญหาอีกแรง
“ไม่นี่ สถานะพลังงานยังสมบูรณ์เต็มเปี่ยมอยู่เลย”
ยูวเบี่ยงตัวออกมาเพื่อให้เชียวเข้าไปจัดการกับเจ้าเครื่องนั้นไปอย่างถนัด เขาปล้ำกับมันอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเครื่องเจ้ากรรมนั้น จะเป็นปกติได้เลย จนต้องยอมแพ้มันในที่สุด
เชียวหยุดพูด และกวาดตามองไปรอบๆห้อง
“........เก่าพอๆกับห้องนี้แหละ”
เขาเปรยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ดูท่าทีไม่ได้หัวเสียกับเครื่องสแกนหลักสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เขาได้กล่าวขึ้นเมื่อครู่นี้ซิฟังดูแล้วเหมือนมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ ไม่หรอก ผมอาจคิดมากไปเอง เชียวคงพูดออกมาตามอารมณ์เท่านั้น
เชียวผละออกมาจากเครื่องนั้นอย่างสงบ
“ไม่เป็นไร ! มันคงไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก” เขากล่าวพร้อมชูเครื่องสแกนขนาดย่อมในมือขึ้นต่อหน้ายูว
“ใช้เครื่องสแกนย่อยนี่แทน ก็น่าจะได้”
ยูวมองเครื่องสแกนนั่น “แต่การเปรียบเทียบข้อมูล อาจไม่แน่นอนนะคะ เพราะมันมีตัวอย่างที่จะช่วยวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลบรรจุอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับเครื่องสแกนหลักแล้ว”
เชียวมองมาที่ผมอย่างปราดเปรื่อง คล้ายพบคำตอบบางอย่างแล้ว
“คงไม่จำเป็นหรอก... สำหรับข้อมูลมากมายเหล่านั้น เพราะคงไม่มีสิ่งที่จะมาเปรียบเทียบกับร่างกายของเขาได้ ซึ่งเราทั้งสองก็ได้เห็นไปแล้วในตอนแรก”
ดูยูวยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เชียวพยายามสื่อออกมาเท่าไหร่ เธอจึงนิ่งคิดอยู่สักครู่ ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับเชียวๆเบาเมื่อเริ่มเข้าใจมัน
“ใช่ค่ะ ! แพทย์เชียวข้อมูลนั้นที่แสดงออกมาถึงลักษณะทางกายภาพของเขา มันช่างดูน่าแปลกจริงๆ”
เชียวละจากยูวและเดินกลับมา ในขณะที่เธอยังยืนครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง
“ยูวงั้นผมว่า รีบจัดการกับเครื่องแปลภาษาก่อนดีกว่า”
เขาหันไปบอกจนทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์แห่งความคิดของตนเอง และรีบกระตือรือร้นเข้าไปจัดการกับเครื่องแปลภาษา ที่ดูเล็กกว่าเครื่องสแกนหลักมากและยังสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวกคล่องตัว
เชียวตั้งค่าบางอย่างกับเครื่องสแกนย่อยในมือ ก่อนที่จะชูมันขึ้นวนไปมารอบๆตัวผม
“คงจะคุ้นกับมันบ้างแล้วนะครับ คุณ จั๊ก เครื่องสแกนนี้สามารถเก็บรายละเอียดข้อมูลทางชีวภาพทุกอย่างในตัวคุณ และทำการแยกแยะเพื่อประมวลผล โดยใช้เวลาไม่นาน”
เขาค่อยๆสาธยายถึงประสิทธิภาพของมันให้ฟังอย่างเป็นกันเอง ในขณะที่สายตาเฝ้าจับจ้องเจ้าเครื่องนั้นอยู่ตลอดเวลา
“คุณคงแปลกใจว่าทำไมผมถึงได้ใส่ใจกับคุณมาก ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ปฏิบัติต่อคนไข้ทุกคนอย่างนี้เช่นกัน เพราะมันคือหน้าที่ที่ผมจะต้องทำมันให้ดีที่สุด”
เชียวดึงเครื่องสแกนในมือกลับไปเพื่อตรวจสอบข้อมูล และยังคงพร่ำบรรยายอยู่โดยที่ไม่ละสายตาจากมัน “คุณนี่แปลกกว่าคนไข้หลายๆคนที่เคยเจอมา” เขาเอ่ยขึ้นผสานกับเสียงอันไม่ประติดประต่อ ของเครื่องสแกนในมือซึ่งกำลังประมวลผลอยู่
“ผู้ป่วยทางจิตบางราย ต้องใช้บุรุษพยาบาลมาช่วยรุมจับตั้งหลายคนกว่าจะสงบลงได้เล่นเอาข้าวของเครื่องไม้เครื่องมือพังเป็นแทบเลย”
แหม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็เจ้าพวกนั้นคนบ้านี่ครับ แต่ผมนี่ไม่ได้บ้าสักนิด เฮ้อ ! คิดแล้วก็นะผมมาเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้ได้ยังไงกัน กะว่าจะเลิกคิดให้ปวดกบาลแล้ว แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ โอ้อะไรกันนี่....???
แม้แต่ในขณะนี้ที่ผมกำลังสับสนอย่างมากมาย แต่! เชียวก็ยังคงพล่ามของเขาต่อไป
“.........แต่คุณนี่ ไม่ขัดขืนทั้งยังให้ความร่วมมืออย่างดี ผมยังสงสัยไม่หายจริงๆว่าคุณไปเดินทะเล่อทะล่า อีท่าไหน ถึงเกือบเจอยานทหารลำนั้นชนตายเอา หรือมีปัญหาชีวิตอะไรจึงทำให้คุณกระทำไปอย่างไม่ยั้งคิดเช่นนั้น อืมยังไงรอไว้ให้เราคุยกันรู้เรื่องก่อนละกัน ผมก็คงจะได้ถามคุณและรู้จักหลายสิ่งหลายอย่างในตัวคุณมากยิ่งขึ้น.....” เขาตรองบางสิ่ง “และไม่แน่!.....”
เชียวหยุดพูดเพราะเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจกับความคิดของตน และส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดนั้นออกไปจากจิตใจ เขาจึงไม่ได้เอ่ยมันต่อ ทิ้งเพียงคำถามให้ตราตรึงอยู่ภายในจิตใจผม
ยูวเข็นเครื่องแปลภาษาเข้ามา พร้อมชี้แจงให้เชียวทราบ
“ฉันว่าสภาพของมัน ก็คงไม่ต่างจากเครื่องสแกนหลักซักเท่าไหร่เลยคะ แตกต่างเพียงที่มันยอมทำงานขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดรวนขึ้นมาเมื่อไหร่เท่านั้นเอง แล้วถ้าหากมันเกิดเสียขึ้นมาอีกจริงๆเราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ แพทย์เชียว”
เขาจับจ้องเจ้าเครื่องนั้นด้วยความกังวล ยูวก็เช่นกัน มือของเธอจับแน่นที่มันคล้ายกำลังภาวนาขอความเห็นใจอยู่อย่างมีความหวัง
“ผมก็หวังเพียง ให้เรามีโชคขึ้นมาบ้าง” เชียว ภาวนา ขึ้น
ยูวหันมองเขาด้วยแววตาร่าเริง ก่อนที่จะเอ่ยแซวขึ้น
“แต่คุณไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคลางเลยนี่ค่ะแพทย์เชียว”
“ไม่หรอกยูว นั่นเพราะโชคไม่เคยเข้าข้างผมเลยต่างหาก แต่สำหรับในช่วงเวลานี้สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะมีนั้น ผมอาจจะมีเหมือนทุกคนก็ได้ หากแต่เพียงไม่เคยยอมรับมันเองมากกว่า และตอนนี้มันเพียงความหวังเดียวแต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นแค่ความหวังลมๆแล้งๆไปอีกหรือเปล่า”
เชียวกล่าวขึ้นอย่างน้อยใจ และเปลวไฟในแววตาก็เริ่มลุกโชนขึ้นด้วยความหวัง แต่หยาดน้ำตาที่คลอเลื่อมอยู่นั้นก็ได้ดับมันให้มอดลงไปเสียก่อน แฉกเช่นความหวังอันรุ่งโรจน์ที่กำลังจะดับมอดไปจากเขาในอีกไม่ช้า
มันทำให้ผมรู้สึกเห็นใจเขามาก ยูวก็คงเช่นกัน ยิ่งรู้อยู่แก่ใจด้วยแล้วว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้ จึงทำให้ความรู้สึกนั้นยิ่งเพิ่มทวีคูณ จนอยากที่จะหายวับไปจากตรงนี้ซะเลย จะได้ไม่ต้องมาเห็นความผิดหวังของเขาตอนที่ได้รู้ว่าโชคชะตานั้นก็ยังไม่เข้าข้างอยู่ดี
เชียวกำลังสนใจอยู่กับเครื่องสแกนเขาวาดนิ้วไปที่จอของมันคล้ายกำลังคำนวนบางอย่างอยู่ ก่อนที่จะกล่าวขึ้น
“หลายอย่างในร่างกายเขาดูคล้ายไม่ปกติ แต่คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก มันเป็นเหมือนการปรับตัวของร่างกายทีต้องอยู่ในสภาวะสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่นี่มากกว่า ทั้งผิวหนังที่มีรูขุมขนที่ถี่และใหญ่กว่าปกติ เซลล์ผิวหนังของเขาก็ดูเหมือนได้รับรังสีจากดาวฤกษ์อย่างต่อเนื่อง แตกต่างจากพวกเราที่ได้สัมผัสเพียงแสงสังเคราะห์จากภายในโดมนี้ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ดำรงค์ชีวิตอยู่ใน สิ่งแวดล้อมจำลองนี่ เขาอาจมาจากข้างบนโน่น ! แต่มันไม่น่าเป็นไปได้ในเมื่อข้างบนนั้นไม่มีแผ่นดิน !”
เขาสบตายูวเพราะต้องการความคิดเห็นจากเธอ
“อาจเป็นพวกชนนอกจักรวรรดิ์ ไม่ก็เผ่าเร่ร่อนต่างๆก็ได้นะคะ” ยูวออกความคิดเห็น
เชียวหันมามองสำรวจผมอย่างละเอียด
“ไม่น่าจะใช่นะ เพราะทรงผมและเล็บมือที่ได้รับการตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบของเขานั่น ดูมีอารยธรรมซึ่งแตกต่างกับพวกชนเผ่าเร่ร่อนอย่างเห็นได้ชัด”
เขาเริ่มจับต้นชนปลาย “โอ้ ! ยูวไม่น่าเชื่อ” แพทย์หนุ่มโพล่งออกมาเมื่อคิดบางอย่างออก ดูสีหน้าตื่นเต้น ยูวขยับเข้าไปหาเขาด้วยความตกใจเมื่อเห็นเขาแสดงท่าทีเช่นนั้น
“อะไรค่ะ ? มีอะไรเหรอแพทย์เชียว ? ”
“.........สภาพร่างกายของเขา ทั้งองค์ประกอบทางเลือด ความหน่าแน่นของกล้ามเนื้อ ทุกๆอย่าง มัน..คล้าย กับ... เออ.... บุคคลผู้นั้นมาก ผมยังจำได้ดี”
เขาเริ่มทบทวนความทรงจำ โดยการใช้นิ้วมือวาดอะไรบางอย่างขึ้นกลางอากาศซึ่งเลือนลางอยู่ในความคิดให้กระจ่างชัดขึ้น
“นอสเซย์ !! ” ยูวเอ่ยขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก
“เมื่อ 5 ปี ก่อน ฉันพอจะนึกออกแล้วคะตอนนั้นฉันเพิ่งจะมาประจำการอยู่ที่ใหม่ๆเลย”
เชียวพยักหน้ารับและกล่าวเสริมขึ้นทันที
“อืม.... พ่อมดนอสเซย์ ใช่! เขาทั้งสองมีองค์ประกอบทางร่างกายที่เหมือนกันมาก” เชียวชะงัก
“......ไม่ได้การแล้วยูว ! ถ้าหากเรื่องนี้รู้ถึงคณะปกครองเขาต้องเดือดร้อนแน่”
เขาวางเครื่องสแกนในมือลงข้างเตียง และเอามือลูบใบหน้าขึ้นด้วยความกังวลเดินแยกออกไปอย่างครุ่นคิด เมื่อเห็นเชียวมีท่าทีเช่นนั้นยูวจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างตระหนก
เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ผมจึงเริ่มคิดทบทวนถึงคำพูดต่างๆของพวกเขา นอสเซย์ ! พ่อมดนอสเซย์เขาเป็นใครกัน ทำไมถึงมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกับผม ทั้งๆที่ผมหลุดมาจากโลกมนุษย์อันอยู่แสนห่างไกลและมีสิ่งแวดล้อมซึ่งแตกต่างจากที่นี่มาก จะเหมือนกันขนาดนั้นได้อย่างไร
หรือว่า !! บุคคลผู้นั้นจะพลัดหลงมาที่นี่เช่นเดียวกับผม และเพราะเหตุใดทำไมต้องเดือดร้อนเพราะเพียงแค่มีอะไรๆเหมือนกับเขาด้วย แม้ผู้ถูกขนานนามว่าพ่อมดผู้นั้นจะแสนร้ายกาจโหดเหี้ยมสักเพียงใด แต่ผมกับเขานั้นยังไงก็เป็นคนละคนกันนี่”
เชียวเดินรี่กลับมาและรีบกำชับยูว
“เราต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อน ! เพราะเขาอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ พ่อมดนอสเซย์ นั้นเลยก็ได้”
ยูวพยักหน้ารับ ด้วยท่าทีที่ค่อนข้างกังวลอยู่
“แล้วต่อจากนี้ เราจะทำยังไงกันดีละคะ ?”
เขานิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไรขึ้นทันที หันมาหาผม แล้วจ้องลึกเข้ามาในดวงตาเหมือนกำลังพยายามจะทะลุผ่านมันเข้ามาในจิตใจของผม ผมจ้องประสานตอบกลับไปอย่างไม่ปิดบังเพื่อสื่อถึงความบริสุทธิ์ภายในจิตใจของตน
“ผมว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแน่ๆแต่ทุกอย่างก็ยังดูคลุมเครืออยู่เหลือเกินในตอนนี้.... ถึงยังไงเราก็ต้องดำเนินภารกิจต่อไป”
เขาทั้งสองจึงหันกลับมาที่ผม เพื่อดำเนินภารกิจของพวกเขาต่อไป ผมนี่ซิที่ยิ่งรู้สึกงงมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เฮ้อ! อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด
ช่วงเวลาเช่นนี้ทำให้อดคิดถึงย่าไม่ได้ เสียงท่วงทำนองอันอบอุ่นเริ่มกึกก้องอยู่ภายในจิตใจ คือบทเพลงแห่งสัจธรรมซึ่งสะท้อนผลกรรม แล้วเสียงปลอบประโลมของย่าก็แว่วแทรกเข้ามามันเบาแต่ตราตรึงดั่งกับว่าท่านนั่งอยู่ข้างๆตรงนี้
“ย่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องเดียวดาย จะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ....”
ใช่สิ ! แทนที่จะต้องมานั่งกังวลและกลัดกลุ้มอยู่เช่นนี้ เราน่าจะเปลี่ยนจากวิกฤตให้เป็นโอกาสแทน โอกาสที่จะได้พบกับประสบการณ์แปลกใหม่น่าเหลือเชื่อ โอกาสที่จะได้ลองคิดอะไรให้แตกต่างจากเดิมแตกต่างจากสังคมที่โลกมนุษย์ สังคมซึ่งเป็นดั่งโซ่ตรวนที่คอยล่ามความคิดอันอิสระงดงามของเราไว้ ยัดเยียดให้เราต้องคิดไปตามกระบวนการของมัน ดั่งกระแสน้ำซึ่งยากที่จะต้านทานไหว
เมื่อได้ปลงตกกับชะตากรรม จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างแล้วในตอนนี้ ดุจผีเสื้อที่เพิ่งดันปีกสวยสดออกมาจากคราบของดักแด้อันหม่นหม่อง และพร้อมที่จะโบยบินฝ่าผจญไปในทุกแห่งหนแม้มันจะไม่เคยพบทุ่งพฤกษาและลำธารเชียวกรากในหนทางเบื้องหน้ามาก่อนแต่มันก็พร้อมที่จะโบยบินไปตามความคิดอันอิสระของตนเองอย่างไม่ลังเล
เชียวจ้องมาที่ผมด้วยแววตาซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความหวังที่ฝากไว้กับเจ้าเครื่องไร้จิตใจนั่น ผมไม่อยากที่จะกล่าวอะไรออกมาเลย หรือจะนิ่งเงียบอยู่อย่างนี้ต่อไปดี
เมื่อเหลือบมองที่ยูว ซึ่งเธอชะโงกเข้ามาข้างหน้าด้วยอาการลุ้นตัวเกร็งอย่างเต็มที่ แววตาเธอก็เปี่ยมไปด้วยความหวังเช่นกัน ถ้าผมกล่าวอะไรออกไปทุกอย่างคงพังทลายลงในพริบตา ความหวังที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างงดงามของพวกเขา ก็จะดับวูบลงทันที ผมจึงได้แต่นิ่งอยู่อย่างหนักใจ
เหมือนเชียวมองออกถึงความรู้สึกของผม จึงเอ่ยขึ้น
ผมฟังที่เชียวกล่าวนั้นอย่างตั้งใจ ใช่! เรื่องแค่นี้คงเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาเท่านั้น แม้ตอนนี้มันจะดูเด่นชัดและส่งผลต่อความรู้สึกของเขาเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานมันก็คงจะถูกเรื่องราวต่างๆที่กำลังจะผ่านเข้ามาในอนาคต ทับถม จนค่อยๆจางหายไป เช่นตัวเราเองเมื่อวันที่ ดาว ต้องพลัดพรากจากไปนั้น ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ และหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต มันแสนสับสนหนทางเบื้องหน้านั้นว่างเปล่าจนไม่อยากที่จะก้าวเดินต่อไป แต่! ในช่วงเวลานี้ซึ่งอาจจะเพิ่งผ่านพ้นมา 2 วัน ความรู้สึกผมนั้นมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เรื่องราวอันแสนปวดร้าวนั้นได้ถูกทับถม บดบังจากเรื่องราวในปัจจุบันซึ่งผมกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่ยังไงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อเธอก็ยังคงอยู่ภายใต้จิตใจดวงนี้ ผมยังรักและคิดถึงเธออยู่เสมอ
เพราะฉะนั้นในตอนนี้ ! ผมจึงต้องรีบทำให้ความผิดหวังครั้งนี้นั้นรีบๆผ่านพ้นไปซึ่งหวังว่าอีกไม่นานมันคงจะค่อยๆจางหายไปจากห้วงความรู้สึกของพวกเขาในที่สุด และจึงเริ่มกล่าวขึ้น
“เอาหล่ะ ! ผมมาจากดาวดวงหนึ่ง ชื่อว่า โลก มันสวยงามมาก และไม่อยากจากมาจากที่นั่นเลย ผมคิดถึงบ้านมาก และอยากจะกลับไป คุณทั้งสองเป็นใครนั้นผมอาจจะไม่รู้จัก แต่ที่ผมสัมผัสได้นั้นก็คือมิตรภาพที่ดีๆจากพวกคุณ และผมรู้สึกดีกับมิตรภาพที่แสดงออกมาจริงๆ ยังไงแม้ความหวังมันช่างแสนหริบหรี่ ก็ขอให้พระเจ้า หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่เหนือจิตวิญญานในโลกของพวกคุณนี้ จงดลบันดาลเพื่อมอบโชคให้แก่คุณด้วยเถิด เชียว ผมเข้าใจและสุดเห็นใจคุณจริงๆ”
ผมระบายออกมาอย่างพรั่งพรูแม้รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงมันก็คงไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา แต่ก็พยายามที่จะกล่าวมันออกมา เพราะอย่างน้อยเขาก็อาจจะซึมซับและเข้าใจถึงความรู้สึกของผมที่แสดงออกมาได้บ้าง
เครื่องแปลภาษาเริ่มประมวลผลจากคำพูดต่างๆของผม มันส่งเสียง ครางขึ้นจนเสียงนั้นเริ่มถี่ขึ้นพร้อมกับอาการสั่นสะเทือนอย่างน่าตกใจ จนเขาทั้งสองต้องช่วยกันออกแรงดันประคองมันไว้ไม่ให้เจ้าเครื่องนั้นส่าย จนในที่สุดสัญญานไฟต่างๆบนแผงควบคุมของมันก็ดับพรึ่บลง เสียงเงียบลงและหยุดสั่น ควันสีดำส่งกลิ่นฉุนจมูก ลอย ออกมาจากภายในกลไกเครื่องเป็นการย้ำเตือน ใช่! มันพังลงในที่สุด และโชคที่เชียวหวังไว้ก็ยังไม่เกิดขึ้น เข้าก้มลงอย่างสิ้นหวัง แขนทั้งสองดูคล้ายหมดเรี่ยวแรงจนห้อยตกลงมาข้างลำตัว ยูวรีบหันหน้าหนีทันที เมื่อเห็นเชียวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่ตัวเธอเองก็ไม่ได้แตกต่างจากเขาเท่าไหร่นั้นคงเกิดจากความเห็นใจต่อเชียว
ผมค่อยๆวางอุปกรณ์ต่อพ่วงจากเครื่องแปลภาษาลง ลุกขึ้นจากเตียงและยืนขึ้นต่อหน้าพวกเขา คงถึงเวลาที่ผมจะต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว คงจะนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้ไม่ได้ แววตาอันไร้เดียงสานั้นเริ่มเปลี่ยนไปเป็นแววตาอันมุ่งมั่นและจริงจัง เอื้อมมือไปจับที่ไหล่ของเชียวเบาๆเขาเงยขึ้นมองอย่างแปลกใจ ยูวก็หันมามองด้วยสีหน้าฉงน เช่นกัน ผมประสานสายตากับเขาด้วยแววตาเป็นมิตรและผูกพัน ท่าทางมุ่งมาด ค่อยๆชูมือชี้ขึ้นไปเบื้องบน
“ผมมาจาก โลก (พยายามพูดเป็นภาษาของพวกเขา)”
เหมือนเป็นดั่งมนต์สะกดประโยคสั้นๆที่ผมพยายามกล่าวออกมานั้นทำให้ความโศกเศร้าของเขาจางหายไปในชั่วพริบตา แววตาของเขาเริ่มส่องประกายแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เชียวยิ้มกว้างและจับมือผมอย่างดีใจ คงไม่ต้องพูดถึงยูวนะว่าตอนนี้เธอจะร่าเริงมากขนาดไหน เขาหันไปหายูว
“คุณ ได้ยินไหมยูว ! เขาพยายามพูดภาษาเราถึงมันเป็นเพียงประโยคสั้นๆแต่ก็มีความหมายสำหรับผมมาก”
ยูวยิ้มแก้มปริ เป็นรอยยิ้มที่ผุดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และดูท่าทีมันจะไม่ยอมเลือนหายไปจากใบหน้าอันงดงามของเธอเลย มันเป็นสิ่งตอบแทนที่สุดคุ้มค่ามากสำหรับผมที่ได้พยายามจับความหมายของคำพูดต่างๆของพวกเขา เพราะอย่างน้อยผมก็สามารถฟังมันได้นี่ เหลือแค่เพียงจดจำว่าคำพูดเหล่านั้นมีความหมายว่าอะไรบ้างเท่านั้น แต่ก็คงจะกล่าวอะไรไม่ได้ไปมากกว่าประโยคสั้นๆนั้นแล้วหล่ะ
“ เขา บอกว่ามาจาก โลก ! ผมไม่เคยได้ยินชื่อนั้นเลย”
เชียวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางตื่นเต้น ดูเขาคงพร้อมที่จะลุกขึ้นมาเพื่อสานต่อมันอีกครั้งแล้ว
“แล้วเขาชี้ไปข้างบนนู่นค่ะ ก็แปลว่า โลก ที่เขา ว่านั้นไม่ได้อยู่ที่นี่แน่ๆ”
ยูวแสดงความคิดเห็น รอยยิ้มอันงดงามยังคงสถิตย์อยู่ที่ใบหน้าสดใสนั้นเช่นเดิม
สายหมอกแห่งความปลาบปลื้ม ปิติ ยินดี ยังคงคละคลุ้งอยู่ ผมพยักหน้ารับต่อคำพูดของเชียว จึงยิ่งทำให้เขามั่นใจขึ้นมาก
ทันใดนั้นเอง !
ประตูห้องก็เปิดขึ้นโดยฉับพลันอย่างไม่คาดคิด ทำให้เราทั้งสามผงะถอยหลังเพราะไม่ทันตั้งตัว
ความคิดเห็น