ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (FIC BLOCK B & WINNER) PINK TO GRAY {COYOON} #REWRITE

    ลำดับตอนที่ #12 : 10 เกาหลีใต้มีร้านขายเสื้อผ้าแค่ร้านเดียว

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 59



    ดูรายละเอียดการสั่งซื้อฟิคได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ > https://goo.gl/I5IzBy



    PINKGRAY

     เกาหลีใต้มีร้านขายเสื้อผ้าแค่ร้านเดียว

     

     

     

     

     

                    ยิ่งใกล้วันงาน Noise Market นักร้องนำและมือกีต้าร์อย่างเขายิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ยิ่งเห็นสถานที่จัดงานและเวทีกลางแจ้งขนาดใหญ่ คัง ซึงยุนยิ่งมือไม้สั่นไปหมด อีกแค่ 3 วันก็จะถึงวันงานเข้าให้แล้วและแน่นอนว่าวงอื่นๆคงฟิตซ้อมจนเป๊ะทุกโน้ตในห้องซ้อม

                    ถ้าลองตัดภาพมาที่ The Grayish ดูจะเห็นภาพของสมาชิกในวงทั้ง 4 คนนั่งเลียไอติมแท่งรสฟรุ๊ตตี้ห้อยขาลงไประหว่างราวระเบียงชั้นสองของทางเชื่อมมองภาพเด็กนักเรียนที่ชั้นล่างกำลังช่วยกันทำงานอย่างสบายใจเฉิบ

                    “นี่พี่ไม่คิดจะซ้อมจริงหรอ” อันนี้ถามจากใจจริง.. ในฐานะที่พี่แกเป็นหัวหน้าวงแต่ดันมาชวนนั่งกินไอติมห้อยขาให้ลมพัดหน้าม้าปลิวเล่นแบบนี้

                    “ซ้อมบ่อยๆเดี๋ยวเวลาเล่นจริงมันไม่สดเว้ย” เห็นอีกคนตอบกลับทั้งๆที่ไอติมเต็มปากแล้วรู้สึกชาปากแทนยังไงก็ไม่รู้

                    แต่ไอ่คำตอบเมื่อกี้น่ะน้องขอเพลียแปรป นี่มันข้ออ้างของคนขี้เกียจชัดๆ

                    “เด็กอาร์ตนี่ก็เก่งเนอะ ไปเอากีต้าร์มาจากไหนเยอะแยะวะน่ะ” จุนฮเวที่นั่งถัดจากซึงฮุนพูดไปก็แกะไอติมห่อที่สองไป มองตามไอ่ Sculpture ที่อีกฝ่ายพูดถึงก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าไอ่กีต้าร์เกือบ 100 ตัวนั่นคิดดีแล้วหรอที่เอาไปทำเป็นงาน

                    ยุนก็คิดนะ..ว่าเอามาแบ่งให้กูสะสมดีกว่ามั้ย5555555555555555555

                    มันเป็น Sculpture ที่ใช้ลวดหรือเหล็กอะไรประมาณนั้นขึ้นเป็นโครงสร้างคล้ายแจกันก้นเล็กแล้วใส่กีต้าร์จำนวนที่ว่าลงไปเห็นแล้วนึกถึงพิพิธภัณฑ์ที่ต่างประเทศยังไงอย่างงั้น

                    “เขาก็ทำขึ้นเอามั้ง ไม่ได้ซื้อมาจริงๆหรอก” โซฮยอนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มทที่นั่งข้างเขาออกความเห็นบ้าง

                   

                    จากนั้นทุกคนก็เงียบกันไปทิ้งไว้แค่ช่องว่างของบทสนทนาให้ได้เหม่อลอยกันไปตามประสา ซึงยุนที่อยู่ไม่สุขเป็นอันต้องกัดไม้ไอติมเล่นมองไปยังสนามฟุตบอลที่เริ่มเต็มไปด้วยซุ้มขายของหรือนิทรรศการต่างๆล้อมรอบเวทีคอนเสิร์ต มองเห็นเพื่อนในห้องบางส่วนที่ลงไปจับจองพื้นที่ขายของเปิดท้ายแล้วนึกอยากทำอะไรแบบนั้บ้าง แต่ของงี้มันก็ได้อย่างเสียอย่างไง

                    “มึงรู้ป่ะปีที่แล้วอ่ะแม่มมันส์มาก อย่างกะคอนเสิร์ตของศิลปินจริงๆอ่ะ” สปอยอีกละ ผมนี่ตื่นเต้นไม่หายเลยครับ

                    “พวกมึงอ่ะอย่าคิดมากเพราะว่ามีชื่อวงพ่วงท้ายอยู่เลย” มาโหมดจริงจังแต่นั่งเหม่อกัดไม่ไอติมแบบนี้น้องๆก็ไปไม่ถูกนะฮร่ะพี่ฮุน

                    “เป็นตัวของพวกมึงก็พอแล้ว กูเชื่อว่ากูมองคนไม่ผิด.. นี่ใคร? มือกลองที่เก่งที่สุดในประเทศนะครับ”

     

                    โอเคจ้า

     

                    ได้ยินจากปากหัวหน้าวงที่อยู่ The Grayish มาแล้วถึง 2 รุ่นพูดแบบนี้เขาก็เริ่มหายกังวลไปบ้าง.. เขาจะมัวแต่มาวิตกกับคำพูดของแฟนคลับวงนี้รุ่นก่อนๆไม่ได้แล้ว รุ่นของเขาเองก็ต้องประกาศให้รู้ไว้ว่ารุ่นนี้ก็ไม่แพ้รุ่นเก่าๆเหมือนกัน เย้ะ!

     

     

                    กว่าจะได้ฤกษ์ซ้อมกันก็หลังจากกินข้าวเที่ยง ซึงยุนไม่อยากจะโม้เท่าไหร่ว่าซ้อมแต่ละครั้งมันสนุกทุกๆครั้งถึงแม้ว่าจะซ้อมแต่เพลงเดิมๆก็ตามที

                    2 ชั่วโมงเต็มๆที่ทุ้มเวลาไปกับการซ้อมในห้องซ้อมประจำก่อนจะตกลงกันว่าให้แยกย้ายไปช่วยงานในสาขา เขากับโซฮยอนเลยได้ลงมาดูซุ้มนิทรรศการหลักของดุริยางคศิลป์ที่เสร็จเกือบทั้งหมดแล้ว เห็นนัม แทฮยอนปีนบันไดช่วยรุ่นพี่ติดป้ายเลยไม่อยากกวนอะไร

                    “ทำไรดีว่ะ” บอกเลยว่าเข้ามานี่โคตรงง เขาวุ่นกันทำนู้นทำนี่แต่พวกเขาที่พึ่งเข้ามาใหม่ดันไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี เหลือบไปเห็นหัวหน้าห้องกำลังยืนถือใบสั่งนู้นสั่งนี่เลยตัดสินใจเดินเข้าไปหา     

                    “มีไรให้ช่วยบ้างป่ะๆ”

                    “มาทำไมป่านนี้ครับเพ่” คิม ฮันบินคิ้วกระตุกมองตาขวางด้วยท่าทีหยอกล้อแต่เขาไม่ค่อยรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นเท่าไหร่.. ก็ดูเหมือนไอ่นี่จะทำอะไรก็ดูจริงจังไปซะทุกอย่าง

                    “โหย ก็พึ่งซ้อมดนตรีเสร็จอ้า”โซฮยอนออกรับแทน

                    “เออๆ ไปเอาน้ำมาให้เพื่อนหน่อยดิ” โหย มาถึงก็ได้เป็นเบ๊แต่ก็โอเคอ่ะยังดีกว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย ชวนโซฮยอนไปโรงอาหารที่มีอาหารว่างและน้ำดื่มที่โรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้ในวันทำงานในวันหยุด

                    และการที่ต้องเดินไปโรงอาหารมันทำให้น้องยุนสามารถอู้ไปดูนั่นโน่นนี่ได้โดยง่าย เริ่มมีคนมาจับจองพื้นที่ไว้ค่าขายเต็มไปหมด เหลือบไปเห็นเด็กศิลป์กำลังช่วยกันแบกงานมาวางไว้ บ้างก็ยืนวิเคราะห์ไอ่กองกีต้าร์อันเสียดฟ้านั่นอยู่

     

                    “เห้ยพี่จีโฮ!” ได้ยินเสียงเรียกชื่อนี้แล้วมันรู้สึกหงิด

                    เสียงที่ไล่ตามหลังมาทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าออกไปจากตรงนั้นให้ไวที่สุดแต่คงไม่ไวเท่าไอ่คนที่วิ่งตามมา แรงแตะที่ไหล่ทำให้ซึงยุต้องหันกลับไปมอง

                    เห็นคนไม่คุ้นหน้าหนึ่งคนกำลังมองด้วยความอึ้ง

                    “พี่จีโฮครับ”

                    “....” กี่ครั้งละบอกน้องยุนที

                    “ผมเอานี่มาให้” ก้มมองขวดน้ำกับแผงยาในมือสลับกับมองหน้าอีกฝ่ายงงๆ คราวนี้ผู้ชายหรอ? วดฟ? นี่กะจะเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยเลยใช่มั้ยอู จีโฮ..

                    ป๊าบ!

                    “มึงเบิกตาเล็กๆของมึงดูดีๆคิม จีวอน นี่มันน้องหม..เอ้ย ซึงยุน ปี 1” ในที่สุดก็มีอัศวินตัวดำมาช่วย ซง มินโฮที่เดินเข้ามาในบทตอนไหนไม่รู้ยื่นมือมาตีหัวของคนที่เข้าใจผิดคนนั้น คนตรงหน้ามองหน้าเขาด้วยท่าทีตกใจชนิดที่ว่าพึ่งรู้ว่าจีโฮมีแฝดแต่จริงๆแล้วไม่ใช่

                    “ใครจะไปรู้วะ ดูมันดิ..แต่งตัวเหมือนพี่จีโฮด้วย”

                    “นั่นน่ะสิ”

    อะไร? แต่งตัวเหมือนคืออะไร?

                    “พึ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าเกาหลีใต้มีร้านเสื้อผ้าร้านเดียว”

                    พูดเรื่องอะไรกัน???????

                    ซึงยุนก้มมองชุดตัวเองเป็นการใหญ่ ทำไมวะ แค่เสื้อลายสก็อตสีดำนี่มันผิดตรงไหน ซื้อมานะ ใช้ตังค์ซื้อมานะไม่ได้ขโมยใครมาตะไมต้องมองด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์แบบนั้นอ่ะซง มินตุ๊ด T  v T

                    “น้องหมวยจะไปไหนอ่าล์” เกลียด อ่าล์ของพี่มากบอกตรงๆ

                    ตากแดดคุยกันกลางสนามไปนิดหน่อยมินโฮก็ตามมาสมทบว่าจะเดินไปโรงอาหารด้วยพร้อมเหตุผลที่ว่า พอดีเลย พี่จีโฮอยู่ที่นั่นแล้วังดึงขวดน้ำกับแผงยาจากมือจีวอนมา

                    สรุปคือ.....จีโฮอยู่โรงอาหาร แล้วเขาก็กำลังจะไปโรงอาหาร แน่นอนว่ามันเป็นสับเซตของการที่ต้องไปเจอหน้าผู้ชายคนนั้นด้วย

                    “เอ่อพี่..ผมต้องรีบเอาของไปให้เพื่อนอ่ะดิ ไว้เจอกันนะ!” เผ่นก่อนได้เปรียบครับเวลานี้

                    แต่ถึงจะรีบชิ่งมาก่อนแต่ปลายทางมันก็เท่ากันอยู่ดี ซึงยุนยกลังและถุงขนมใส่รถเข็นโดยที่สายตาดันไปโฟกัสกับคนที่ใส่เสื้อแบบเดียวกับเขาที่นอนฟุบหน้าอยุ่บนโต๊ะไกลๆนู้น คราวนี้ถึงได้เข้าใจล่ะกับไอ่ประโยค เกาหลีมีร้านเสื้อแค่ร้านเดียวของซง มินโฮ

                    บอกทีว่าอู จีโฮมันซื้อตามเขาใช่มั้ย?

                    คิดดูเอาเองว่าคนที่หน้าตาเหมือนกัน ใส่เสื้อเหมือนกัน ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องทักว่าเป็นแฝดกันแน่นอน.. แต่ไม่ ต้องไม่ใช่สิในเมื่อไอ่ห้อยคนพี่มันเป็นถึงคนที่ติด Top 3 คนที่เขาไม่อยากเจอหน้าด้วยซ้ำ!

                    “รีบไปเหอะโซฮยอน” ทันทีที่ว่าขนข้าวของเสร็จก็เร่งเพื่อนสนิทจนอีกฝ่ายตีหน้ามึนเดินตามเขาที่เข็นรถไปก่อนไม่ทัน แต่ไอ่เส้นทางที่จะเดินกลับมันดันมีผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่นี่ล่ะคือปัญหาและซึงยุนภาวนาไว้ว่าอย่าให้ซง มินตุ๊ดมันหันมาทักตอนนี้

                    แต่ดูเหมือนน้องยุนจะมีบุญน้อยกว่าบาป..

                    “เห้ยน้องหมวย มาๆ พี่ช่วย” มองหน้าคนตัวดำ(?)ที่พุ่งถลาเข้ามาหาด้วยความหงุดหงิด แอบสบถเงียบๆคนเดียวก่อนจะส่งตาขวางๆไปให้มินโฮ

                    “ไม่เป็นไรผมทำเองได้” จับราวรถเข็นแน่นตั้งท่าจะเข็นไปต่อแต่ไม่วายตัวป่วนอย่างมินโฮยื้อว่าจะช่วยอยู่ได้

                    “มาให้พี่ไปส่ง”

                    เออออออ แล้วแต่พี่เลย

                    สะบัดมือออกจากที่จับมองซง มินโฮยิ้มแฉ่งให้เหมือนกับว่าจีบสาวติดยังไงอย่างงั้น “พี่จีโฮอย่าลืมกินยานะฮร้า” ไม่พอยังหันไปโบกมือลากำชับคนที่นอนดูสถานการณ์ยื้อยุดราวรถเข็นนั่น

                    ซึงยุนแอบเหลือบมองอู จีโฮด้วยหางตาและดันไปเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้น่าหงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อคนตรงนั้นกำลังโบกมือทักทายเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ข้างๆตรงนี้

                    ฮึ่ย ขัดใจ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

                    แย่งถุงขนมมาจากมือโซฮยอนพร้อมกับส่งสายตาอันแสนอาฆาตไปหาห้อยคนพี่ก่อนจะสะบัดตูดเดินออกไป

     

     

                    เวลาล่วงเลยไปจนถึง 2 ทุ่มคัง ซึงยุนรวมถึงผองเพื่อนถูกว่ายวานจากกลุ่มชายโฉดสาขาทัศนศิลป์ให้ออกไปซื้อชานมไข่มุกร้านกาแฟหน้าโรงเรียน.. ตอนแรกก็ว่าแค่มาช่วยขึ้นป้ายนู้นนั่นนี่ไปๆมาๆดันถูกใช้เป็นเบ๊ไปโดยปริยายเฉย เลยชวนซง มินโฮบุคคลที่น่าจะได้รับบทพระร๊องพระรองมาช่วยถือของที่สั่งอีกที

                    “พี่จะกลับหอกี่ทุ่มอ่ะ”

                    “อึ้ย! ทำไมหรอน้องหมวย หรือจะให้พี่ไปส่งที่หอ”

                    ตุ๊ดนี่มีนิสัยขี้มโนจริมๆ

                    เปิดประตูเข้าร้านไม่หวังคำตอบแสนไร้สาระจากผู้ชายข้างๆ ก่อนจะเป็นคนใช้คนที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ให้ไปเอาของที่สั่งไว้ น้องยุนมีอำนาจแค่ไหนใครๆก็รู้

                    เดินออกจากร้านกันโดยมือทั้งสองมีถุงใส่แก้วชานมและกาแฟกันเต็มถุง บรรยากาศในโรงเรียนตอนกลางคืนดูสงบและสวยไปอีกแบบ ไฟจากตึกเรียนยังเปิดอยู่เป็นบางห้องถ้าไม่รวมกับสตูดิโอของเด็กอาร์ตที่เปิดทิ้งไว้ตลอดทั้งวันทั้งคืน

                    “ทำไมผมไม่เคยเห็นตึกสตูปิดเลยอ่ะ” เอาจริงๆ ยังไม่เคยเห็นเลยจริงๆ บางทีลุกขึ้นมีฉี่กลางดึกแล้วมองมาก็ยังเห็นว่ามีตึกนึงที่ไฟยังสว่างโล่อย่างตึกสตูนี่ล่ะ

                    “ก็มันมีคนมาทำงานตลอดอ่ะ บางคนก็กินนอนอยู่นี่เลย”

                    พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนที่พวกเขาจะเดินมาถึงตึกที่ว่า ซึงยุนก็ว่าถุงลงกับโต๊ะที่น่าจะว่างที่สุดเพราะเกือบทุกโต๊ะดันถูกวางด้วยกระป๋องสี ถังน้ำล้างพู่กัน เลื่อยอะไรเทือกนั้นเต็มไปหมด มองหาคนที่สนิทที่สุดในบรรดากลุ่มนี้อย่างคิม จินอูที่ยังขะมักเขม้นทำอะไรซักอย่างอยู่คนเดียว

                    “พี่จะกลับหอยัง?”

                    “เออ แปปนะ พี่ฝากของแปป” ดูเหมือนจินอูจะวุ่นและยุ่งมากในตอนนี้ เห็นคนตัวเล็กกว่ารีบรุดเดินไปหาซงมินโฮพร้อมกับของอะไรบางอย่างซึ่งซึงยุนไม่ใช่คนขี้อยากรู้เท่าไหร่หรอก จริงๆ

                    เลยก้มหน้าเล่นเศษไม้อัดที่กองรวมๆไว้ด้วยความว่างงาน

                    จู่ๆก็ได้ยินเสียงไอค่อกแค่กของใครบางคนใกล้ๆจนต้องหันไปหา.. มันไม่ใช่ใคร มันคือคนที่พวกคุณรอคอยแต่ตรงกันข้ามกับน้องยุนไง

                    เขามองหน้าอู จีโฮที่มีแมสก์ปิดปากเอาไว้และแน่นอนว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังหลับอยู่เขาคงไม่มีทางที่จะกล้าจ้องหน้าแบบนี้แน่ๆ คนอะไรไม่สบายแล้วยังมาทำงานงกๆอยู่ตรงนี้

                    พอเห็นอีกฝ่ายก็ดันเหลือบไปมองเสื้อผ้าที่เหมือนเสื้อของเขาซะเหลือเกินและมันทำให้วันทั้งวันของวันนี้ที่ซึงยุนถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายงาน sculpture มากอย่างมากที่สุดในรอบปี เป็นการถูกเข้าใจผิดที่น่าหงุดหงิดซะเหลือเกิน

                    “มองอะไรหนู” ซึงยุนสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆคนที่นอนหลับตาอยู่เกิดนึกอยากลืมตาขึ้นมา คนที่นั่งจ้องอยู่นานกลับทำอะไรไม่ถูกรีบหลบสายตาหันไปมองฟ้าดินอย่างช่วยไม่ได้

                    “แปลกดีว่ะ

                    “พูดอะไรวะพี่?” คนอะไร นึกอยากพูดก็พูด นึกอยากเปลี่ยน topic ก็เปลี่ยน โลเลซะจริ้ง~

                    “มึงไม่ชอบหน้ากูแต่ดันทำอะไรคล้ายๆกัน”

                    พอได้ยินประโยคนั้นน้องยุนถึงกับจุก ก่อนจะก้มมองดูเสื้อตัวเองอย่างที่อีกฝ่ายว่าแหละว่าทั้งๆที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าอู จีโฮซักเท่าไหร่ แต่ดันมีหน้าตาคล้ายกัน แล้วล่าสุดยังใส่เสื้อเหมือนกัน..

                    อะไรมันจะโคตรเหมือนฟ้าลิขิตขนาดนี้

     

                    ไม่.. เปลี่ยนจากคำว่าลิขิตเป็นกลั่นแกล้งดีกว่าไม่งั้นเดี๋ยวดูเหมือนคู่รักกันเกิ้น!

     

                    “ช่วงนี้ไปไหนมาไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”

                    ถามจริง แล้วทำไมกูต้องไปเห็นพี่หน้าทุกๆวันด้วยยยยย

                    ยอมรับว่าหลายสัปดาห์มานี้เขายุ่งกับการซ้อมดนตรีและช่วยงานเพื่อนในห้องเอามากๆทำให้ไม่มีเวลาเล่นไร้สาระ หรือ บังเอิญเจอคนตรงหน้าซะเท่าไหร่ แถมดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดูยุ่งมากกว่าเขาซะอีก

                    “พอไม่เจอหน้ามึงแล้วกูไม่สบายเลยเห็นมั้ย”

                    “มันเกี่ยวกันตรงไหน” อะไร…. ตกแกทเชื่อมโยงรึเปล่า เคยทำข้อสอบคิดวิเคราะห์บ้างมั้ย ไม่ยักกะรู้ว่าไอ่การไม่ได้เจอหน้าคนๆนึงมันจะสามารถทำให้ป่วยได้

                    “ก็กูอยากเห็นหน้ามึงบ่อยๆ”

                    “...”

     

     

                    จุ้งเลย

     

     

                    ขอ BGM เป็นเพลง อยากเห็นหน้าคุณมาประกอบที... อะไร? จะบอกอะไร? จะสื่ออะไรกันแน่? ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่อู จีโฮหรือคนฟังไม่ใช่คัง ซึงยุน ถ้านี่เป็นหนังเรื่องนึงและถ้าเขาเป็นคนดูเขาคงคิดว่ามันเป็นประโยคจีบเสี่ยวๆของพระเอกด้วยซ้ำ

    แล้วไอ่ประโยคบ้านั่นมันก็ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้นไม่แพ้ไอ่ประโยคคล้ายๆกันที่อีกฝ่ายเคยพูดก่อนหน้านี้เลย

    “ป--..ป่วยจนเพี้ยนหรอพี่”

     

    ถ้านี่เป็นประโยคจีบเสี่ยวๆของพระเอกเขาอยากจะบัญญัติคำศัพท์อาการที่เป็นอยู่ตอนนี้ซะเหลื่อเกินว่า โคตรเขิน

     

    อยากเห็นหน้าผมหรอพี่? ก็ลองส่องกระจกดูดิ ฟหกหฟเด่หก่ดฟหก่ดหกฟาดสวากหสดากเส่

     

                    โอ้ย รู้สึกเกร็งปากเอามากๆ.. กลั้นยิ้มing

                    ซึงยุนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนหัวใจอ่อนไหวไปกับคำพูดบ้าๆบอๆของอีกฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไม! คนๆนึงที่เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป คนที่ทำให้ยิ้มได้และเป็นคนที่ทำให้หงุดหงิดได้ในเวลาเดียวกัน

                   

                   

                    ประโยคธรรมดาจากผู้ชายธรรมดาที่พูดด้วยใบหน้าป่วยๆดันทำให้หัวใจคนฟังเต้นไปผิดจังหวะและคิดเอาเองว่าไอ่ประโยค  ก็กูอยากเห็นหน้ามึงบ่อยๆ มันก็เป็นสับเซตหนึ่งของคำว่า คิดถึงเหมือนกัน..ใช่มั้ย?

                    โคตรอยากกรีดร้องออกมาดังๆ

     

     

                    ลืมหมดแล้วว่าเคยหงุดหงิดเรื่องอะไรไว้

     

     

     

     

     

                   

     


    #ฟิคพี่โค่น้องยูน
    ช่วงนี้ขี้เกียจ.. (ได้ข่าวพาทที่แล้วบอกอยากลงมาก)
    555555555555555555555555555555
    รักคนอ่านมากๆโลย
    เดี๋ยวถึงวันงานละมันต้องวุ่นวายมากแน่ๆ5555
    ขอบคุณที่อ่านข้าบ

    อยากแต่งมิโนxซิโค่ยาวๆแมนๆมากเลยแกร
    อิ_______________อิ
    ฟิคโนโค่<ฝากร้านคนับ._.


    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×