ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    <<หนี้แค้นในหัวใจ>>

    ลำดับตอนที่ #4 : ไดอารี่ความทรงจำของศักดิ์ชัย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 112
      0
      23 มี.ค. 48

    ตอนที่ 4 ไดอารี่ความทรงจำของศักดิ์ชัย





    ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาสู่ห้องทำงานใหญ่โตดูมีระดับ เขาหย่อนตัวลงบนเก้าอี้พร้อมกับถอนหายใจด้วยใบหน้าที่ขุ่นมัวภายหลังจากการประชุมบริษัทเมื่อสักครู่ เขากดสายเรียกให้แม่บ้านนำกาแฟร้อนเข้ามาให้ สักพัก แม่บ้านก็เคาะประตูเพื่อขออนุญาต

        

    “เข้ามาได้” เขาตอบกลับ แม่บ้านจึงเปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง เด็กหญิงเดินเข้ามาหาท่านผู้บริหารอย่างไม่เกรงกลัว

        

    “คุณลุงเป็นเจ้าของที่นี่เหรอคะ”

        

    “ฮะๆ ใช่แล้วล่ะหนู“ ศักดิ์ชัยตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

        

    “กาแฟค่ะท่าน” แม่บ้านวัยประมาณห้าสิบวางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าศักดิ์ชัย เด็กหญิงตัวน้อยเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับแขกที่อยู่ตรงหน้ากับเก้าอี้ผู้บริหาร เธอเห็นกรอบรูปใบเล็กตั้งอยู่ข้างๆ แฟ้มเอกสารจึงถือวิสาสะหยิบขึ้นมาดู

        

    “นี่ใครคะ สวยจัง” เด็กหญิงเอ่ยปากชมภาพในกรอบรูป ทำให้โดนแม่บ้านผู้เป็นป้าดุเอา

        

    “ตายจริง! ไปเล่นของท่านประธานอย่างนั้นได้ยังไง เสียมารยาท ขอโทษท่านประธานเร็วเข้า”

        

    “ไม่เป็นไรหรอก แกยังเด็ก ฉันไม่ถือหรอก ดีเสียอีกที่มีเด็กๆ เข้ามา กำลังเบื่ออยู่พอดี อย่าไปว่าแม่หนูแกเลย” ศักดิ์ชัยเอ่ยปากอย่างผู้ใหญ่ใจดี แล้วจึงหันไปตอบคำถามเด็กหญิงที่นั่งตาแป๋วรอฟังคำตอบอยู่

        

    “เธอเป็นภรรยาลุงเอง”

        

    “จริงเหรอคะ แต่ทำไมเธอไม่เห็นแก่เลยล่ะคะ เหมือนคนที่ไม่มีวันแก่ในนิทานเปี๊ยบเลย แปลกจัง” เด็กหญิงพูดพร้อมกับมองหน้าคุณลุงของเธออย่างพิจารณา

        

    “ไม่แปลกหรอก เธอเสียไปตั้ง 17 ปีแล้วล่ะ”

        

    “ว้า! เสียดายจัง หนูอยากเจอจังเลย เธอส๊วยสวย” เด็กหญิงทำหน้าผิดหวังเมื่อได้ฟังคำตอบจากศักดิ์ชัย ภายหลังจากที่ได้ฟังคำตอบเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงจึงยอมลุกออกจากห้องแต่โดยดีพร้อมกับป้าของเธอ

        

    “ใช่...เสียดายจริงๆ ตั้ง 17 ปีแล้ว เธอตายไป 17 ปีแล้วเหรอ” ศักดิ์ชัยรำพึงกับตนเอง เขาหยิบรูปธราธารที่เด็กหญิงตัวน้อยเพิ่งหยิบไปดูเมื่อสักครู่ขึ้นมา “ธราตายเร็วเกินไป เธอเป็นคนดีทำไมถึงอายุสั้นนักนะ ถ้าเราไม่รู้จักธรา เธออาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ คงจะมีความสุขกว่านี้แน่ๆ เพียงเพราะเราเจอกันเท่านั้น...” เขาพูด แล้วไดอารี่แห่งความทรงจำอันยาวนานก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง  



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    10 มิถุนายน พ.ศ.2517

        

    วันนี้เป็นวันเปิดภาคฯ ปีที่ 3 ของผม ไม่น่าเชื่อว่าผมจะเรียนในมหาวิทยาลัยมาถึง 3 ปีแล้ว อีกแค่ปีเดียว ผมก็จบมหาวิทยาลัยอย่างสมบูรณ์ เพื่อนผมหลายคนวางแผนที่จะไปเรียนต่อ บางคนก็เข้าทำงานเลย แต่ผมดูเหมือนพวกโลเลหรือไม่มีความคิดเป็นของตัวเองก็ไม่รู้ ผมยังไม่ได้เริ่มคิดอะไรเลยเกี่ยวกับอนาคต

        

    งานรับน้องใหม่ประจำปีนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เหมือนๆ กับทุกปี แต่ปีนี้พิเศษตรงที่คณะข้างเคียงของเรามีสาวสวยเข้ามา ทำให้คณะนั้นดูครึกครื้นเป็นพิเศษ เพื่อนผมมันก็พากันไปดู รวมถึงผมด้วย ผมไม่รู้ว่าที่เขาร่ำลือกันว่าสวยนั้นคือน้องคนไหน แต่ถ้าถามจากความรู้สึกผม มีอยู่คนหนึ่งหละที่ผมคิดอย่างนั้น รอยยิ้มเธอมันช่างสดใส ตาของเธอสวยยิ่งกว่าเพชรซะอีก ผมไม่รู้จะบรรยายลักษณะเธอยังไงอีก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอชื่ออะไร แต่ถึงรู้จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเธอไม่รู้จักผม




    14 มิถุนายน พ.ศ.2518



    วันเปิดภาคฯ ปีสุดท้ายของผมมาถึงแล้ว ถ้าปีนี้ผ่านไป ผมก็จะเรียนจบอย่างสมบูรณ์ รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นบัณฑิต ไม่ได้ใช้ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยอีกแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่ได้วางแผนชีวิตอนาคตให้เรียบร้อยมากนัก แต่ก็เริ่มคิดแผนการเอาไว้แล้ว

        

    วันนี้ผมได้เจอเธอคนนั้นอีกครั้ง ความงามของรอยยิ้มและนัยน์ตาของเธอยังคงเหมือนเดิม ผมได้ข่าวมาว่ามีคนจีบเธอหลายคนทีเดียว แต่ดูเหมือนเธอยังไม่ตกลงปลงใจกับใคร ตอนนี้ผมรู้จักชื่อของเธอแล้ว ...ธราธาร... เพื่อนผมเคยแนะนำให้ผมลองไปจีบเธอดูเหมือนกัน แต่ผมคิดว่าแม้แต่หนุ่มหล่อ พ่อรวย เธอยังไม่เอา แล้วนับประสาอะไรกับคนอย่างผม บางคนบอกว่าเธอหยิ่ง แต่ผมคิดว่าไม่ บางคนบอกว่าเธอเล่นตัว ผมก็ว่าไม่ใช่อีกนั่นแหละ แววตาของเธอบอกผมว่าเธอไม่ได้เป็นแบบนั้น




          

    22 มิถุนายน พ.ศ.2518

        

    ผมพบเธออีกครั้งที่ร้านหนังสือ ผมมาหาหนังสือเพื่อเตรียมทำรายงานส่งอาจารย์ เธอก็เหมือนกัน วันนี้เธอมาคนเดียวต่างจากทุกครั้งที่ผมเห็นเธอมักจะมีเพื่อนตามมาด้วยเสมอ อย่างน้อยก็สักคน ผมไม่กล้าเข้าไปทักเธอหรอก เธอคงไม่รู้จักผม และอาจจะเกลียดขี้หน้าผมไปเลยก็ได้ แต่ดูเหมือนชะตาจะเข้าข้างผม เธอคงจำผมได้ว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย เธอยิ้มให้ผม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

        

    ทางกลับบ้าน ผมเจอโจรวิ่งราวคนหนึ่งตัดหน้าไปพอดี แล้วก็มีตำรวจวิ่งตามมา คนแถวนั้นพูดว่าเป็นโจรวิ่งราวกระเป๋า ไม่รู้ว่าด้วยความบ้าดีเดือดหรือเลือดร้อนในตัว ผมตัดสินใจโยนของที่ซื้อมาแล้ววิ่งไล่คนร้ายทันที ไม่นานผมก็วิ่งแซงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และใกล้เจ้าตัวร้ายทุกที สุดท้าย ผมก็กลายเป็นตำรวจจำเป็นจนได้




        

    23 มิถุนายน พ.ศ.2518

        

    ตอนเช้าผมมามหาวิทยาลัยด้วยความมึนเล็กน้อย สงสัยเพราะการวิ่งไล่คนร้ายเมื่อวานเป็นแน่ พอผมมาถึงโต๊ะกลุ่ม เพื่อผมมันก็แซวผมซะยกใหญ่ ผมไม่เข้าใจเท่าไรว่าไอ้พวกนี้มันกำลังเล่นตลกอะไรกับผม แต่สักพัก ปริศนาก็ถูกเฉลย เป็นเพราะเธอคนนั้นมาถามหาผมกับพวกนั้นนั่นเอง ถึงได้ดูเขม่นผมกันนัก

        

    อีกไม่กี่นาทีต่อมา เธอก็มายืนตรงหน้าผม เธอยืนห่อถุงพลาสติกให้ ผมรับมาด้วยความงง แต่รู้สึกคุ้นๆ ว่าห่อถุงพลาสติกเหล่านี้มันเหมือนกับที่ผมซื้อแล้วโยนทิ้งไปตอนจับโจรเมื่อวานนี้ พอเปิดออกดู มันก็เป็นของที่ผมซื้อมา ทั้งหนังสือรายงาน และของใช้อื่นๆ เธอพูดว่าขอบคุณผม แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่นั่นแหละ จนเธอบอกว่าเจ้าของกระเป๋าที่ถูกวิ่งราวเมื่อวานนั้นคือเธอ ผมถึงเข้าใจ เธอขอบคุณผมอีกหลายรอบก่อนจะขอตัวเดินไป

        

    พอเพื่อนผมมันรู้เรื่องราว มันก็ด่าผมกันยกใหญ่ว่าผมน่ะโง่ โอกาสมาถึงมือแล้วยังไม่รู้จักคว้าเอาไว้ มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เธอมายืนตรงหน้าผม แต่ผมยังเฉยราวกับพระอิฐพระปูน ไม่รู้จักไขว่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ แต่เมื่อโอกาสมันลอยไปแล้ว ผมก็คงคว้ามันไม่ทัน ผมควรจะปล่อยให้มันผ่านเลยไปอย่างนี้หรือ




    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    ไดอารี่ถูกปิดลง เพราะเจ้าของความทรงจำต้องการที่จะระลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักด้วยจิตใจของตนเองมากกว่า ศักดิ์ชัยหลับตาลงพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านเลยมาในอดีตนั้น เขายังจำได้ดีว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุดช่วงเวลาหนึ่ง

        

    ...ความโง่เง่าของผมทำให้ผมเสียโอกาสที่จะทำความรู้จักกับเธอ แต่ดูเหมือนว่าโชคดียังอยู่ข้างผม ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันนั้น ผมกับธราอาจเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักกันธรรมดาๆ ก็ได้...

        

    “เฮ้ย! ไอ้ศักดิ์ ไปด้วยกันเปล่าวะ” เพื่อนของศักดิ์ชัยเอ่ยปากชวนเขาไปบ้านเพื่อฉลองวันเกิดของเขา

        

    “โทษที ไม่ว่างจริงๆ ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะเพื่อน”

        

    “เออๆ ตัวไม่มา แต่พรุ่งนี้ต้องมีของมานะเว้ย ไม่งั้นแกโดนรุมแน่” เพื่อนของเขาข่มขู่แบบหยอกล้อตามนิสัยก่อนจะเดินจากไป ระหว่างทางเดินกลับนั้นเอง ศักดิ์ชัยนึกขึ้นได้ว่าลืมหนังสือทำรายงานไว้ที่ห้องเรียนในคณะ เขาจึงต้องเดินกลับไปเอาที่ตึกเรียน และนั่นเองที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้น

        

    “ถึงซักที...ดีที่ไม่ได้เลือกเรียนวิชาเอกที่คณะนี้” ชายหนุ่มพูดกับตนเองระหว่างทางเดินไปที่ห้องเรียนของเขา

        

    ในเวลานี้เป็นช่วงเลิกเรียนนานแล้ว ทำให้ไม่ค่อยมีนักศึกษาอยู่บนตึกเรียนเท่าใดนัก เมื่อเดินมาถึงห้องที่เรียนไปเมื่อตอนบ่าย ศักดิ์ชัยจึงเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องค่อนข้างมืด เขาเดินเข้าไปหยิบหนังสือเรียนบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขากำลังจะเดินออกจากห้อง เขาก็สังเกตว่ามีเงาคนอยู่ แสดงว่านอกจากเขาแล้ว ยังมีอีกคนที่อยู่ในห้อง เขาจึงตัดสินใจเปิดไฟห้องเพื่อสำรวจ

        

    “อุ๊ย!...” เสียงหวานอุทานด้วยความตกใจระคนแปลกใจที่อยู่ดีๆ ไฟห้องก็เปิดขึ้นมา หญิงสาวลุกขึ้นยืนและมองไปข้างหน้าห้อง เธอจำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับคนที่ช่วยเอากระเป๋ามาคืนให้กับเธอคนนั้นนั่นเอง

        

    “ทำอะไรอยู่เหรอครับ” ศักดิ์ชัยถามเธออย่างสุภาพ

        

    “หาปากกาค่ะ มันหายไป”

        

    “มันหน้าตาเป็นยังไงเหรอ”

        

    “มันเป็นปากกาหมึกซึม แท่งสีเงินเข้ม ที่ตัวแท่งมีคำว่าธรณ์เขียนเอาไว้ค่ะ” หญิงสาวอธิบายลักษณะปากกาให้ฟังแล้วก้มตัวลงหาต่อไป ท่าทางของเธอบ่งบอกให้รู้ว่าปากกาหมึกซึมแท่งนั้นมีความสำคัญมากเลยทีเดียว แล้วธรณ์ที่อยู่ที่ตัวแท่งเป็นชื่อของใคร...

        

    ศักดิ์ชัยเห็นท่าทางของหญิงสาวจึงตัดสินใจช่วยหาจนเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่พบ

        

    “นี่ก็เย็นมากแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่ดีกว่าไหมครับ ผมว่าเดี๋ยวนักการคงจะล็อคห้องแล้วล่ะ”

        

    หลังจากนั้น คนทั้งสองจึงเดินออกจากตึกเรียนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างทาง ศักดิ์ชัยจึงเอ่ยปากถามในเรื่องที่เขาสงสัย

        

    “ปากกาแท่งนั้นคงสำคัญมาก...”

        

    “ค่ะ มันเป็นของดูต่างหน้าคุณพ่อที่เสียไปแล้ว ถึงจะไม่ค่อยได้ใช้ แต่มันก็มีความหมายมาก ความจริงจะซื้อใหม่ก็ได้ แต่มันก็ไม่เหมือนกัน” ธราธารพูดพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันที่เธอทำปากกาแท่งนั้นหาย เมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงพวกชายหนุ่มที่เข้ามาจีบเธอ พวกเขาก็รีบพากันไปหาซื้อปากกาแท่งใหม่มาให้เธอ แต่ไม่ว่ามันจะดูเหมือนแค่ไหน มันก็ยังเป็นคนละแท่งในความรู้สึกของเธออยู่ดี

        

    “จริงสินะ มันมีคุณค่าทางจิตใจ อย่าห่วงเลย ผมว่ามันไม่ได้หายไปไหนหรอก คงอยู่แถวๆ นั้นนั่นแหละ วันนี้กลับบ้านก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยหาใหม่ก็ได้” เขาพูดปลอบใจเธอแล้วเมื่อมาถึงทางแยก เขาและเธอก็เดินไปคนละทาง

        

    “ขอบคุณมากนะคะ” เธอกล่าวขอบคุณก่อนที่คนทั้งสองจะเดินแยกกันออกไป



    เย็นวันนั้น

        

    “ยศ น้องชายเรายังไม่กลับอีกเหรอ” รัตนากล่าวถามยศสวิน ลูกชายคนโต

        

    “สวัสดีครับ แม่” พอพูดถึงเท่านั้น ศักดิ์ชัยก็กลับมาถึงบ้านพอดิบพอดี

        

    “แม่เพิ่งถามหาแกพอดีเลย อายุยืนนี่” ยศสวินกล่าวล้อน้องชาย แต่ศักดิ์ชัยก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะเป็นนิสัยประจำของพี่ชายอยู่แล้ว

        

    “มีอะไรครับแม่” ชายหนุ่มเดินไปหาผู้เป็นมารดา

        

    “ไม่มีอะไรหรอก ทำไมวันนี้กลับดึกล่ะ แค่วานไปซื้อของที่ตลาดไม่ใช่เหรอ” รัตนาพูด ทำให้ศักดิ์ชัยนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมทำอะไรบางอย่าง

        

    “เฮ้ย ท่าทางแบบนั้น คงไม่ใช่ว่าแกลืมนะเว้ย แล้วขนมฉันละวะ” พี่ชายคนโตโอดครวญทันที

        

    “โทษครับแม่ โทษทีเฮีย ผมลืมไป”

        

    “ช่างเถอะๆ ว่าแต่ลืมไปซื้อของแล้วไปทำอะไรอยู่ตั้งนานล่ะ”

        

    “ขนมฉ้าน” เสียงพี่ชายคร่ำครวญจากด้านหลังด้วยเสียงจะเป็นจะตายเสียให้ได้

        

    “ไม่มีอะไรครับแม่ ไว้พรุ่งนี้ผมจะไปซื้อมาให้นะครับ ของเฮียด้วย พรุ่งนี้ไม่ลืมแน่” ชายหนุ่มพูดก่อนจะขอตัวเดินจากไปด้วยรอยยิ้มราวกับพึงพอใจในบางสิ่งบางอย่าง

        

    “ถ้าพรุ่งนี้แกลืมอีก ฉันเอาแกตายแน่ ห้ามลืมขนมฉันนะเว้ย...มันบ้าหรือเปล่าวะ ยิ้มอยู่ได้\" แม้จะโดนยศสวินว่า แต่ผู้เป็นน้องชายก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเดินยิ้มพร้อมกับมองสิ่งของในมือ... ปากกาหมึกซึมที่มีสลักชื่อว่า ธรณ์


        

    ศักดิ์ชัยในวัยปัจจุบันลืมตาขึ้นหลังจากนึกถึงเรื่องราวในอดีตเป็นนาน เขายิ้มอย่างมีความสุขพร้อมกับหยิบปากกาที่เสียบอยู่ที่กระเป๋าเสื้อทำงานขึ้นมา...ปากกาหมึกซึม แท่งสีเงินเข้ม ที่ตัวแท่งมีคำว่าธรณ์เขียนเอาไว้ ของดูต่างหน้าของธราธาร ซึ่งบัดนี้กลายเป็นของดูต่างหน้าของตัวเขาแทน...



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเพิ่งคิดจะมาหาฉันตอนนี้ ฉันไม่ต้องการ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันก็อยู่ของฉันได้โดยไม่ต้องอาศัยพวกเขา…” หญิงสาวพูดด้วยความโกรธแค้น แต่เมื่อรู้สึกตัว เธอจึงปรับอารมณ์กลับสู่ปกติ เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มสงสัยในตัวเธอไปมากกว่านี้

        

    “เอ่อ...ฉันหมายถึงว่าถ้าเธอเป็นฉัน เธออาจจะคิดแบบนี้ก็ได้”

        

    “ผมพอจะเข้าใจที่คุณพูดครับ แต่ว่าเรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากจะขอคุณตอนนี้ คือ ขอให้คุณไปพบคุณลุงกับคุณย่า ผมขอรับรองว่า ถ้าคุณไม่ใช่เธอ เราจะไม่ยุ่งหรือติดต่อกับคุณอีก แต่ถ้าคุณเป็นเธอ คุณก็จะเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเสถียรวงศ์ที่มีสิทธิ์ในทุกสิ่งทุกอย่าง”



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    “คุณมาเที่ยวกับเพื่อนเหรอคะ” ศริมนถามชายหนุ่มข้างเคียงเสียงใส



    “ครับ เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะครับ”

        

    “เหรอคะ...คุณเคยมาประเทศไทยไหมคะ”

        

    “ไม่เคยหรอกครับ แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนผมเขาจะเคยมาที่นี่ เธอพูดภาษาไทยได้ดีทีเดียวแหละครับ ถึงเธอจะบอกว่าเคยมาตอนที่ยังเด็กมากก็เถอะ” มาซายะอธิบายถึงเพื่อนสาวของเขา

        

    “จริงเหรอคะ ขอโทษนะคะ คือฉันกับพี่ชายกำลังตามหาลูกสาวของเพื่อนพ่อน่ะคะ เธอหายไปนานแล้ว ฉันเคยเจอคนที่คิดว่าน่าจะใช่เธอ ฉันเจอเธอที่ญี่ปุ่น เธอพูดภาษาไทยได้ชัดมากๆ เพื่อนคุณอาจจะเป็นคนที่ฉันตามหาก็ได้ ขอโทษนะคะที่ต้องถามแบบนี้ เธอชื่ออะไรเหรอคะ” ศริมนถามอย่างยินดี

        

    “เอ่อ....” มาซายะนิ่งไปไม่รู้ว่าควรบอกศริมนดีหรือไม่ เพราะอย่างไร เขาและเธอก็ไม่ได้รู้จักกันดีเท่าไรนัก

        

    “ฉันรับรองค่ะ ฉันมาดี ขอร้องล่ะคะ คุณพ่อกับคุณย่าของเธออยากเจอเธอมากเลย ช่วยหน่อยเถอะค่ะ” ศริมนขอร้องด้วยสีหน้าวิงวอน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาไม่น่าจะใช่พวกคนหลอกลวง คงจะต้องการความช่วยเหลือจริงๆ มากกว่า

        

    “งั้นก็ได้ครับ เธอชื่อ คิโนชิตะ ยูเมมิ”



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    ความสับสนและว้าวุ่นใจบังเกิดขึ้นภายในจิตใจของหญิงสาวอย่างท่วมท้น โอกาสมาถึงมือแล้ว ความต้องการที่เธอรอคอยมา 17 ปี หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงต้องร้อนรุ่มและกังวลใจถึงเพียงนี้ มันคือโอกาสของเธอไม่ใช่เหรอ เธอควรจะคว้ามันไว้หรือปล่อยมันไปกันแน่



    “ฉันขอปฏิเสธค่ะ”



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×