นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลา - นิยาย นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลา : Dek-D.com - Writer
×

    นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลา

    เมื่อซอโบอาไกด์สาวสวยเกาหลีกับเพื่อนกะเทยไทยต้องพาทีมงานทีวีตัวแสบจากเมืองไทย และโปรดิวเซอร์รูปหล่อ ไปถ่ายรายการทั่วเกาหลี โดยไม่รู้ว่ามีแผนการร้ายซ่อนอยู่ แถมโปรดิวเซอร์สุดหล่อยังคิดว่าเธอเป็นกะเทย

    ผู้เข้าชมรวม

    734

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    31

    ผู้เข้าชมรวม


    734

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    จำนวนตอน : 16 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  9 ส.ค. 56 / 17:53 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                                         1นางสาวกิมจิ

                   

     กรุงเทพฯ  เมษายน 17.55 น.  

                    ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาล  ชายชราในวัยเจ็ดสิบกว่าปีคนหนึ่งกำลังนอนรอนาทีสุดท้ายของชีวิตด้วยแววตาเงียบเหงาว้าเหว่อย่างสุดประมาณ  แม้จะมีสมบัตินับหมื่นล้าน มีผู้คนให้ความเคารพนับถือในคุณงามความดีที่สร้างไว้มากมาย  แต่หลายสิบปีมาแล้วที่แววตาเช่นนี้ของท่านประธานฯสมชายเจ้าของกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่บัวกรุ๊ปไม่เคยลบเลือนแปรเปลี่ยนไปเลย

                    ที่ระเบียงด้านนอกห้องมีบรรดาญาติๆและผู้บริหารคนสนิทสิบกว่าคนกำลังยืนรอเข้าเยี่ยมและหวังจะทราบอาการป่วยของท่านประธานฯอยู่ด้วยสีหน้าวิตกกังวล  คุณนายเจี๊ยบหลานสาววัยสี่สิบกว่าแต่ยังสวยพริ้งของท่านสมชายกำลังสอบถามอาการป่วยลุงของเธอกับคุณหมอรงค์รองผอ.โรงพยาบาลและเป็นแพทย์เจ้าของไข้

                    “พี่รงค์คะ อาการคุณลุงไม่ดีขึ้นเลยเหรอคะ”

                    “เจี๊ยบ.. พวกเราในโรงพยาบาลทุกคนพยายามกันเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคุณลุงท่านจะ..หมดกำลังใจไปแล้ว บางที..”คุณหมอรงค์พูดเสียงอึกอัก แววตาครุ่นคิด

                    “ไอ้หมอ..! พวกเราที่นี่ก็คนกันเองทั้งนั้น  แกช่วยบอกหน่อยได้มั๊ยว่าพวกเราพอจะมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจกันอีกซักกี่วัน”เป็นเสียงคำถามแบบขวานผ่าซากมาจากคุณนิพนธ์ญาติห่างๆที่เป็นผู้บริหารคนหนึ่งในกลุ่มบริษัทบัวกรุ๊ป

                    “พี่นิพนธ์! ทำไมพี่พูดแบบนั้นล่ะคะ”คุณนายเจี๊ยบหันมามองหน้า ไม่พอใจ

                    “พี่ขอโทษถ้าเจี๊ยบจะโกรธ แต่ถ้าคุณลุงเกิดเป็นอะไรไปโดยไม่ได้เตรียมการเรื่องหุ้นเรื่องมรดกเรื่องพินัยกรรมไว้ก่อนละก็ คิดดูซิบริษัทในเครือตั้งยี่สิบกว่าบริษัท มูลค่าหุ้นตั้งเป็นหมื่นเป็นแสนล้านมันจะวุ่นวายขนาดไหน”

                    ทุกคนพากันนิ่งเงียบเป็นเชิงเห็นพ้องเมื่อคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวที่อาจถูกกระทบ  บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของแววตาอันว้าเหว่ว่างเปล่าของท่านประธานฯสมชายด้วยก็เป็นได้

                    “ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์  ผมว่า อาจจะไม่เกิน..สี่ห้าวัน...”คุณหมอรงค์เอ่ยขึ้น เสียงไม่สบายใจนัก

    มีเสียงอุทานเบาๆจากบางคนก่อนความเงียบจะเข้าเคลือบคลุม สีหน้าของแต่ละคนต่างดูเหมือนกำลังครุ่นคิดกังวลถึงผลจากการตายของท่านประธานฯสมชายที่จะเกิดขึ้นกับเฉพาะตน บางคนที่คิดว่าจะได้ผลประโยชน์มากก็เผลอผุดยิ้มออกมาอย่างลืมตัวบนใบหน้าที่ยังคงมีหน้ากากแห่งความเศร้าสวมทับอยู่

    ตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีชายหนุ่มหน้าตาทะเล้นยียวนคนหนึ่งเดินถือซองเอกสารแหวกเข้ามากลางกลุ่มอย่างไม่เกรงใจเหล่าไฮโซฯอาวุโสทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย แถมยังปากปีจอมาแต่ไกล

                    “ขอทางหน่อยครับ คุณลุงคุณป้า..มานัดชุมนุมซ้อมรำมวยไทเก๊กกันแถวนี้รึไงครับ ไม่รู้เหรอครับว่าที่นี่มันโรงพยาบาล..”

                หลายคนมีสีหน้าไม่พอใจ แต่ก่อนจะขยับปากด่าแบบไทเก๊กรวมพลังหยินหยางชายหนุ่มคนนั้นก็เดินมาถึงที่หน้าประตูแล้ว

                    “คุณหมอรงค์ใช่มั้ยครับ ผมนักสืบเอกชน ตั๊ก สืบอุตลุด! เจ้านาย..สั่งให้ผมมาพบเรื่องด่วนเลยครับ”

                    “อ๋อ ครับ ท่านสั่งผมไว้เหมือนกัน”หมอรงค์พูดพร้อมกับรีบเปิดประตูห้องพานักสืบตั๊กเข้าไปทันที คนอื่นๆขยับจะตามเข้าไปบ้าง แต่นักสืบตั๊กชะโงกหน้าทะเล้นออกมาแล้วพูดขึ้นก่อนจะปิดประตูว่า

                    “ขอโทษ! เป็นความลับครับ ใครแอบฟังขอให้เป็นริดสีดวงทวาร...ถ้าเป็นอยู่แล้วก็ขอให้อักเสบ”

                    หลายคนแอบสะดุ้ง เผลอคลำก้นตัวเอง..

     

                    หมอรงค์พานักสืบตั๊กมานั่งที่ข้างๆเตียงของท่านสมชายที่ร่างกายระโยงระยางไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตสารพัดเท่าที่เงินจะหาซื้อได้

                    “ค่อยๆพูดนะครับคุณตั๊ก อย่าทำให้ท่านเหนื่อยหรือตกใจเป็นอันขาด”หมอรงค์พูดย้ำก่อนจะถอยไปนั่งตรงโซฟาที่มุมห้อง คอยสังเกตอาการ

                    “สวัสดีครับเจ้านาย ผมตั๊กครับ ที่ท่านสั่งให้ไปสืบเรื่อง....”

                    นักสืบตั๊กหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากในซอง แล้วใช้สองมือจับภาพไว้ตั้งขึ้นชูให้ท่านสมชายเห็น ภาพนั้นเป็นภาพถ่ายเอกสารจากต้นฉบับภาพสเก็ตดินสอ เป็นรูปของชายหนุ่มหน้าตาค่อนข้างดีคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบที่ดูคล้ายชุดทหารในยุคหลายสิบปีก่อน

                    “เมื่อสามวันก่อน มีผู้หญิงเกาหลีคนหนึ่งเอาภาพนี้มาสอบถามคนแถวๆบ้านเดิมของท่านที่อยุธยา บอกว่าต้องการหาญาติที่ชื่อ...สมพร..เป็นอะไรกับเจ้านายรึเปล่าครับ”

                    ท่านสมชายค่อยๆหันหน้ามามอง และในทันทีที่เห็นภาพวาดนั้น ดวงตาของท่านพลันเบิกโพลง แววตาพลุ่งพล่าน เต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง

                    “ตอนนี้เธอกลับเกาหลีไปแล้ว แต่ผมสืบจากที่อยู่ที่เธอทิ้งไว้แล้ว เธอชื่อโบอาครับ ซอโบอา!

                    โดยไม่คาดคิด ท่านสมชายถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากปากเพื่อที่จะได้มีโอกาสพูด..

                    “พาเธอมาพบชั้น ก่อนชั้นจะตาย ต้องพามาให้ได้!

                    เสียงสัญญาณเตือนจากเครื่องช่วยชีวิตดังขึ้น หมอรงค์ผลุดลุกขึ้นจากโซฟาอย่างร้อนรน พยายามจะใส่หน้ากากออกซิเจนให้ท่านสมชายอีกครั้ง แต่ท่านไม่ยอม  ประตูห้องถูกเปิดออก บรรดาญาติๆของท่านสมชายที่รออยู่นอกห้องต่างกรูกันเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ

                    “ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถครับท่าน”นักสืบตั๊กระล่ำระลักรับคำสั่ง

                    “พาเธอมา...แล้วชั้นจะให้นาย...ร้อยล้าน!

                    เป็นคำพูดสุดท้ายของท่านสมชายก่อนที่บรรดาหมอกับพยาบาลจะจับท่านใส่หน้ากากออกซิเจนและทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน  ขณะที่ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำให้ทุกคนหันไปมองนักสืบตั๊กเป็นตาเดียวกัน เหมือนกับอยากจะถามว่า ใครกันที่มีค่าถึงร้อยล้านเพียงแค่พามาพบท่านสมชายเท่านั้น  แต่ดูเหมือนคนที่ถูกจ้องมองอยู่เองก็กำลังงุนงงสงสัยสุดขีดเช่นเดียวกัน

                    “ผมจะพาเธอมาพบท่านให้ได้ครับ เจ้านาย!

                    นักสืบตั๊กพูดขึ้นหลังจากหายงุนงงในอีกหลายนาทีต่อมา ภายหลังจากที่เสียงในสมองที่มีแต่คำว่าร้อยล้านๆๆดังก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกำลังฟังเพลงแร็พกวนประสาทค่อยๆแผ่วเบาลง เป็นเวลาที่แพทย์และพยาบาลได้ช่วยแก้ไขให้ท่านสมชายพ้นจากอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้สำเร็จแล้วเช่นกัน

                    แต่เมื่อนักสืบตั๊กมองหาไปรอบตัว เขาก็พบว่าภาพวาดและซองเอกสารที่มีข้อมูลของซอโบอาหญิงสาวที่เขาจะต้องตามหาเพื่อเงินร้อยล้านได้อันตรธานหายไปเสียแล้วอย่างลึกลับไร้ร่องรอย...

                   

    สองวันต่อมา..     กรุงโซล เกาหลีใต้  6.00 น.

                    แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องลอดช่องม่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้องนอน กระทบกับผิวขาวผ่องของหญิงสาวที่นอนหลับคุดคู้เพราะความหนาวเย็นของยามเช้าอยู่บนเตียง วงหน้าหวาน สวยใสชวนมองเหมือนดาราเกาหลี แต่เมื่อเพ่งพินิจดูให้ชัดขึ้น จะแลเห็นได้ว่าเธอสวยคมเข้มบาดตากว่าสาวสวยเกาหลีทั่วๆไป

                    เสียงนาฬิกาปลุกจากตุ๊กตารูปไก่ที่ข้างเตียงดังขึ้นเป็นคำทักทายภาษาเกาหลี

                    “อันนิยองฮาเซโย ๆ ๆ (สวัสดีๆๆ)“

                    หญิงสาวพลิกตัวงัวเงียเอื้อมมือไปปิดทั้งที่ยังหลับตา แต่ก็สะดุดเข้ากับร่างๆหนึ่งที่นอนขวางอยู่ทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นดู เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างๆนั้นก็หันมามองเธอเช่นกัน 

                    ..แต่สิ่งที่หญิงสาวเห็นในแสงสลัวยามเช้านั้นคือร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ ขณะที่รอบของตาเป็นรอยเขียวคล้ำบวมแต่นัยน์ตาแดงกล่ำน่ากลัวราวกับซากศพ!

                    “อุ๊บ...โดรากาซีดา(ศพคนตาย)!

                    หญิงสาวอุทานอย่างตกใจพร้อมกับสัญชาตญาณป้องกันตัว  เธอยกเท้าขึ้นถีบร่างนั้นอย่างแรงด้วยท่าเทกวนโดจนร่างนั้นกระเด็นตกจากเตียงลงมาเสียงดัง ตุ๊บ..แอ๊ก! พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น

                    “โอ๊ย! อีนังบัว! อีเกาหลีบ้า นี่แกถีบชั้นทำไมยะ”

    เสียงนั้นพูดขึ้นเสียงสูงเป็นภาษาไทยด้วยความโกรธทำให้หญิงสาวที่อยู่บนเตียงนึกขึ้นได้  ค่อยๆชะโงกหน้าลงมาดูที่พื้นข้างเตียง

                    “นังแต๊บ...แกเองเหรอ”เสียงอ่อยๆแกมนึกผิด

                    “ก็ชั้นนะสิ ถ้าไม่ใช่ชั้นแล้วแกนึกว่าเป็นใครยะ นังบัว”

                    ชายหนุ่มหุ่นผอมบางที่ถูกเรียกว่านังแต๊บลุกขึ้นยืนกรีดนิ้วชี้หน้า ส่วนมืออีกข้างยังคลำสะโพกที่ตกลงมากระแทกกับพื้นห้องจนเคล็ด

                    “ก็...เดี๋ยวก่อน...ชั้นชื่อโบอา  ภาษาเกาหลีแปลว่าเพชร.. ดังนั้นชื่อไทยของชั้นคือเพชรา! ไม่ใช่ดอกบัว บอกกี่ครั้งแล้ว หัดจำซะบ้าง”หญิงสาวเห็นท่าไม่ดี เลยพาลหักมุมเลี้ยวเปลี่ยนเรื่อง

                    “ย่ะ แม่เพ็ดดีกรีเอ๊ย แม่เพชรา..(ทำเสียงตอแหลมาก)  แล้วชั้นก็บอกหล่อนกี่ครั้งแล้วเหมือนกันว่าชั้นชื่อว่าแต๊กหรือว่าน้องต๊อกแต๊ก ไม่ใช่แต๊บที่หมายถึงการเหน็บหรือหนีบอวัยวะบางอย่างไว้ไม่ให้ปรากฏสู่สายตา  ดังนั้นถ้าแกอยากให้ชั้นเรียกชื่อแกให้ถูกแกก็ต้องเรียกชื่อชั้นให้ถูกก่อนด้วย เข้าใจมั๊ยยะ”

                    “เข้าใจย่ะ แต่ไม่ทำ เดี๋ยวจะหาว่ากลัว”โบอาแกล้งทำเสียงตอแหลพอกัน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าดุ

                    “ว่าแต่แกน่ะ....เข้ามานอนในห้องชั้นได้ยังไง แล้วทำไมต้องโบ๊ะหน้ายังกับศพแบบนี้ด้วย...กัมจากียา! (ตกใจหมดเลย!)”

                    “จะบ้าเหรอ ที่ใช้พอกหน้าเนี่ยเป็นครีมรกแกะจากออสเตรเลียเชียวนะยะ พี่เบิร์ดยังใช้เลย”แต๊กจีบปากจีบคอเถียง

                    “ครีมรกแกะ แต่คนพอก.. รกโลก”

                    “นังคนอกตัญญู เรื่องเมื่อคืน...แกจำไม่ได้รึไงว่าที่ชั้นต้องตาเขียวหน้าช้ำจนต้องโบ๊ะหน้ารักษาโฉมแบบเนี๊ย ก็เพราะแกนี่แหละตัวต้นเหตุ”

                    โบอาทำหน้าปวดหัวแบบคนเมาค้าง เอามือเคาะหัวตัวเองเบาๆ ยิ้มเขินๆ ผู้ชายดูแล้วคงรู้สึกว่าน่ารักแต่กะเทยอย่างแต๊กเห็นแล้วยิ่งหมั่นไส้มากขึ้น

                    “อือ..ออเจ็ดปาเม ซูลึล นอมู มานี มาซิยอซอโย(เมื่อคืน สงสัยคงจะดื่มเหล้ามากไปหน่อย)”

                    เพราะปรับโหมดสมองไม่ทัน โบอาเลยเผลอรำพึงออกมาเป็นภาษาเกาหลี

                    “เริ่มจำได้แล้วเหรอยะว่าเมื่อคืนนี้พวกเราสี่คน มีชั้น แก นังแพรรี่แล้วก็นังเบลล์ไปนั่งกินโซจู(เหล้าเกาหลี) ในโปจังมาชาแถวๆบังแบดงด้วยกัน...”

                    โปจังมาชาหมายถึงร้านรถเข็นหรือเพิงร้านชั่วคราวที่ใช้ผ้ายางหรือผ้าพลาสติกกั้นแล้วมุงหลังคาเป็นเต็นท์หลังเล็กๆเรียงรายอยู่ตามถนน มีคอเหล้ามานั่งดื่มสังสรรค์หลังเลิกงานกัน อย่างที่เห็นกันบ่อยๆในละครทีวีเกาหลี  ส่วนย่านบังแบดงนั้นอยู่เลยสะพานข้ามแม่น้ำฮานไปทางคังนัม มีร้านเหล้าร้านเล็กร้านน้อยเรียงรายอยู่มากมาย

                    โบอาพยามยามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ภาพค่อยๆแฟลชแบ็คย้อนกลับเข้ามาประกอบคำบรรยายของแต๊ก

                    “...ระหว่างที่เรานั่งกินเหล้ากันอยู่ พวกแก๊งกะเทยตอแหลบริษัทอินจองทัวร์ที่ชอบใส่ร้ายชอบแย่งลูกค้าบริษัทเราเข้ามานั่งที่โต๊ะข้างๆสี่คน ...แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มแซวกัน เพิ่มดีกรีเป็นด่าแล้วก็ขว้างของใส่กัน  สุดท้ายแกนั่นแหละที่เดินเข้าไปต่อยนังเอ๊กกี้ปากปลาร้าจนหน้าคว่ำสลบคาจานหอยโฮงฮับ...สะใจนะ แต่ก็น่าเสียดายหอยจานนั้นจริงๆ”

                    ในหัวของโบอาเริ่มปรากฏภาพสโลโมชั่นของสองแก๊งที่เป็นกะเทยไทยสองฝ่ายเจ็ดคน กับสาวเกาหลีตัวจุดชนวนอีกหนึ่งไล่ตบตีหยิกข่วนกันวี้ดว้ายท่ามกลางสายตาเกาหลีเมามุงที่ยืนเชียร์กันอย่างสนุกสนาน โบอาเอามือกุมหน้าผากตัวเองเมื่อคิดว่าทำแบบนั้นไปได้ยังไง

                    “แล้วใครชนะ...”โบอาถาม เพราะภาพจำในสมองเริ่ม error เพราะฤทธิ์เมาค้างจากเหล้าโซจู

                    “แหม ก็ต้องเป็นพวกเรานะสิ กะเทยกระดูกอ่อนอย่างพวกแก๊งอินจองน่ะ เจอกะเทยทหารพรานอย่างยายแพรรี่คนเดียวก็จบแล้ว  แต่ชั้นนี่สิยะ คนงามอย่างชั้นน่ะเป็นแนวนักรักนะไม่ใช่นักรบ...ก็เลยโดนใครก็ไม่รู้ต่อยเข้าเต็มเบ้าตาจนเขียวปั๊ดแบบเนี๊ย....ก็เพราะแกนี่แหละ...นังบัว!

                    “ค่อยยังชั่วหน่อยที่แก๊งเราชนะ...ส่วนแก ขอบตาเขียวก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องเปลืองอายแชโดว์....ว่าแต่ แกตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้าทำไม....วันนี้วันหยุดไม่มีทัวร์ลงซะหน่อย”โบอาท้วงขึ้น ขยับตัวทำท่าจะลงนอนต่อ

                    “ว๊าย! ตายแล้ว แกลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้มีทัวร์พิเศษ... รายการทีวีจากเมืองไทยจะมาถึงเช้านี้!

                    โบอาลุกพรวดขึ้น พุ่งตัวไปที่ห้องน้ำทันที กำลังจะปิดประตูแต่ถูกแต๊กรีบแหย่เท้ากั้นไว้ ก่อนโวยวาย

                    “ให้ชั้นเข้าด้วยสิ แกเข้าห้องน้ำนานมาก”

                    “ไม่ได้ ถึงแกจะเป็นกะเทย แต่ตรงนั้นก็ยังเป็นผู้ชายอยู่นะยะ”โบอาเถียง พยายามจะปิดประตู

                    “ทำยังกับไม่เคยเห็น...“แต๊กทำหน้าย่นใส่

                    “ก็เพราะเคยเห็นแล้วนะสิ ถึงไม่อยากเห็นอีก”

    โบอาทำหน้ายู่คืนแล้วเตะใส่เท้าจนแต๊กต้องหดเท้ากลับมา โบอารีบปิดประตูห้องน้ำทันที ทิ้งให้น้องต๊อกแต๊กทุบประตู ยืนตดไปบิดตัวไป โวยวายไปอยู่นอกห้อง

                    “จำไว้เลยนังโบอา...นังเกาหลีนรก!

                                     ----------------------จบตอน1-------------------------

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น