Halloweenday Story ! - Halloweenday Story ! นิยาย Halloweenday Story ! : Dek-D.com - Writer

    Halloweenday Story !

    คุณแน่ใจเหรอว่าสถานที่ๆคุณกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้. . . ไม่ใช่ทั้งสวรรค์. . . และนรก!!

    ผู้เข้าชมรวม

    820

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    820

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 พ.ย. 48 / 13:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      Halloweenday Story !


                หลังจากใช้ชีวิตมานานกว่าสิบหกปี. . . ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่า. . . ที่ๆผมยืนอยู่นี่. . . ไม่ใช่ทั้งสวรรค์. . . และนรก


                วันนี้เป็นวันที่สามสิบเอ็ดตุลาคม  วันฮัลโลวีน. . . ผมเดินทางมาจากบ้านนอกไกลแสนไกล  หลังจากสูญเสียที่ดิน  ไร่นา  บ้าน. . . รวมถึงครอบครัวของผมทุกคน. . .


                ทุกย่างก้าวที่เหยียบพื้นดินนั้นไร้จุดหมาย  ผมยังไม่สามารถยอมรับเรื่องราวของการสูญเสียนี้ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในชั่วข้ามคืนได้. . . ถึงแม้ว่าผมจะเป็นสัปปะเหร่อที่เห็นคนตายมามากมายแล้วก็ตาม. . . แต่สิ่งที่ผมเห็นเมื่อคืนวาน. . . มันน่ากลัวกว่านั้น. . .


                ตะวันเริ่มคล้อยต่ำบนถนนที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาจนเหลือสภาพความเป็นเมืองใหญ่ให้เห็นอยู่น้อยนิด  แต่สิ่งที่ปรากฏเด่นชัดที่สุด. . . คือซอยเล็กๆที่มีสะพานข้ามคลองเบื้องหน้าผม. . .


                มันเป็นแรงดึงดูดที่ผมบอกไม่ถูก  ผมอยากไปที่นั่น. . . ที่ๆสงบเงียบและไร้ผู้คนนั้น. . . เพื่อร้องไห้. . . ร้องให้มันหมดหัวใจและสลัดทิ้งความเสียใจออกไปเพื่อเริ่มต้นสู้ชีวิตใหม่อีกครั้ง


                ผมแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าพร้อมกับกำลังใจที่กลับมาเพื่อรับลมยามหัวค่ำซึ่งเย็นยะเยือกมากกว่าที่ไหนๆ  และแล้วผมก็ได้เห็น. . . ดาวอังคารดวงแดงที่ลอยเด่นอยู่กลางฟากฟ้า  ความตื่นตาตื่นใจแทรกขึ้นมาทันทีจนผมเผลอคิดว่า  ถึงแม้จะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นมากมายแต่ก็ยังเหลือสิ่งสวยงามไว้ให้ผมได้แลมอง  ผมชื่นชมกับความสวยงามของมันมากในขณะเดียวกัน  ผมก็เริ่มคิดที่จะมองหาพระจันทร์เพื่อเปรียบเทียบหลายๆอย่าง  แต่เมื่อผมหันไปหาดวงจันทร์ผมก็ต้องชะงักในทันที


                จากมุมที่ผมแหงนหน้ามอง. . . ผมบอกได้เลยว่ามันคือหัวกะโหลก. . . จากมุมๆนี้ตอนนี้  หลุมบนดวงจันทร์ได้แปลงสภาพดวงฤกษ์ที่ส่องแสงยามค่ำคืนให้กลายเป็นหัวกะโหลกยักษ์ลอยคว้างอยู่ในอากาศ  บางทีมันอาจจะเป็นความบังเอิญหรือภาพหลอนใดๆก็ตาม  แต่ในความคิดของผมมันเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึง


                ในที่สุดหลังจากผมรวบรวมสติอยู่พักใหญ่ผมก็ตัดสินใจจะไปจากที่นี่  แต่ทว่า. . . ทางเดินที่ผมมามันกลับกลายเป็นหนองน้ำที่รับกับแสงจากดาวอังคารจากแดงเถือกกั้นระหว่างผมกับถนนตัวเมืองไว้  ผมตกใจสุดขีดพร้อมทั้งพยายามหาเหตุผลเข้าช่วยเพื่อไม่ให้ตัวเองสั่นไปมากกว่านี้


                และในที่สุดผมก็เริ่มประสาทกิน  ตลอดสองวันมานี้แทบไม่มีเรื่องปกติโผล่เข้ามาในชีวิตผมเลย. . . แต่สติที่ยังคงเหลืออยู่ของผมกระซิบมาว่าต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อออกไปจากที่นี่. . . ผมจึงตัดสินใจกลับหลังหันแล้วเดินหน้าต่อไปเพื่อเผชิญกับอะไรก็ตามที่พร้อมจะโผล่มา  เพื่อหาทางออกที่อาจจะไม่มี. . .


                สิ่งที่ผมเห็นจากสะพานอีกฟาก. . . คือบ้านเรือนที่แต่ละหลังต่างก็ตกแต่งด้วยโคมไฟต่างๆนานาเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศฮัลโลวีน. . . อีกทั้งวันนี้ยังครึกครื้นเป็นพิเศษ  เด็กๆแต่งตัวเป็นผีสางนางไม้ตามธรรมเนียมตะวันตกเพื่อออกเคาะประตูคนในหมู่บ้านและรับขนมที่พวกผู้ใหญ่จะแจกให้. . . มันช่างเป็นภาพที่น่าดูเสียจริงๆจนผมอดไม่ได้ที่จะนั่งลงแล้วชื่นชมกับค่ำคืนของงานเทศกาล. . . และในที่สุดความคิดที่จะออกจากที่นี่ก็เริ่มหายไป. . . จนกระทั่ง. . .


                หวอ. . . !!


                เสียงประหลาดดังกึกก้องไปทั่วทั้งหมู่บ้าน  ผมเดาว่ามันคือเสียงไซเรนแต่ทำไมล่ะ  ความคิดนี้ทำให้ผมอยากจะวิ่งเข้าไปถามผู้คนที่จู่ๆต่างก็วิ่งกันพล่านกลับเข้าบ้านตัวเองอย่างรวดเร็ว


                แต่ทันทีที่ขาแรกของผมก้าวลงจากสะพาน. . . สายน้ำสีแดงสดก็ไหลทะลักเข้ามา. . . สาดใส่บ้านทุกหลังในที่แห่งนี้จนในที่สุด. . . หมู่บ้านนี้ก็จมอยู่ใต้หนองน้ำสีเลือดโดยมีสะพานที่ผมยืนอยู่นี้ที่เดียวเท่านั้นที่รอด


                ในที่สุดผมก็เริ่มชิน. . . ถึงแม้ตัวจะยังสั่นและขยับตัวลำบากก็ตามแต่ความรุ้สึกลึกๆของผมมันได้ด้านชาไปเสียแล้ว. . . บัดนี้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของผมต่างถูกห้อมล้อมด้วยหนองน้ำประหลาด. . . ผมพยายามคิดว่ามันคงจะเป็นน้ำท่วมจนเมื่อมองออกไปยังตัวเมืองที่ขัดแย่งกับข้อสันนิษฐานนี้โดยสิ้นเชิง


                ผมค่อยๆทรุดตัวลงนั่งก่อนคิดต่อไปว่าจะทำยังไงดี  แต่แล้ว. . . จู่ๆหนองน้ำทั้งสองฝั่งก็ค่อยๆลดลงจนในที่สุด. . . ก็เหือดแห้งไป  ผมลุกพรวดขึ้นทันทีก่อนชะเง้อคอมองลงไปยังหมู่บ้านที่เคยครึกครื้นซึ่งบัดนี้ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย


                ขณะหนทางที่จะพาผมออกไปเปิดโล่ง  ผมกลับคิดว่าแค่ไปดูนิดหน่อยคงไม่เสียงหาย. . . ซึ่งมันทำให้ผมก้าวเดินลงไปยังหมู่บ้านแห่งนี้


                ทั้งๆที่จมอยู่ใต้น้ำมาเกือบห้านาทีแต่ทั้งตัวอาคาร  ต้นไม้  หรือแม้กระทั่งถนนกลับไม่มีความชุ่มชื้นให้เห็นเลย  รวมถึงการหายไปของแสงไฟตามบ้านแต่ละหลังจนสถานที่แห่งนี้เหมือนจะกลายเป็นหมู่บ้านร้างไปเสียแล้ว. . . ผมเริ่มเดินไกลขึ้นๆลึกเข้าไปเรื่อยๆ  จนผมคิดว่ามาถึงกลางหมู่บ้านแล้วทันใดนั้น. . .


                ครืด!!  ครืด!!


                เสียงประหลาดบางอย่างดังขึ้นจากในความมืด  พร้อมๆกับความตกใจที่เกิดขึ้นผมไม่สามารถเห็นมันได้  ตอนนี้สิ่งเดียวที่ช่วยให้การมองเห็นของผมยังมีประโยชน์อยู่บ้างคือเสาไฟเหนือหัวผมที่จะดับแหล่มิดับแหล่อยู่รอมร่อ  ผมรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหว  บางทีอะไรซักอย่างข้างหน้าผมอาจจะกำลังตรงมาทางผมก็ได้


                มันไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว. . . ผมตัดสินใจตั้งท่าแล้วรอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม. . . และแล้วมันก็ค่อยๆปรากฏขึ้นจากเงามืด  


                ติ๋ง. . .!!


                เสียงประหลาดที่หลายคนอาจฟังเป็นเสียงน้ำหยดธรรมดา. . . แต่สำหรับผมมันไม่ใช่  เสียงที่ทำให้ผมหน้าซีดขึ้นมาพร้อมๆกับดวงตาที่เปิดกว้าง  ความเย็นยะเยือกที่ทำให้ขนต้องลุกซู่. . . ความกดดันนี้ทำให้เส้นผมของผมกลายเป็นสีขาว


                ผมแทบจะเสียสติไปในทันที  เป็นเพราะเสียงนี้แหละที่ทำให้เกิดหายนะในนาทีแรกของวันฮัลโลวีน  เสียงนี้แหละที่ทำให้หมู่บ้านใกล้สุสานของผมต้องวอดวาย  เสียงนี้แหละที่ทำให้คนรู้จักของผมต้องล้มตาย. . . เสียงนี้แหละ. . . ที่ปลุกคนตายในกลับมาเดินบนดิน!!


                ร่างเนื้อขาวๆที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด  เนื้อตามแขนขาขาดหวิ่นไปจนเห็นถึงกระดูกเช่นเดียวกับเสื้อผ้า  ลูกตาที่หลุดออกมาจากเบ้าห้อยอยู่บนโหนกแก้ม. . . ทั้งๆที่ดูโดยรวมแล้วเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุไม่เกินสิบขวบ. . .


                ผมตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก. . . ฝันร้ายกลับมาอีกครั้งแล้ว. . . เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วสบตากับผมด้วยดวงตาของเดียวที่ยังเหลืออยู่. . . แล้วแสยะยิ้ม. . . ยิ้มจนปากค่อยๆฉีกไปถึงใบหูเลือดไหลอาบ


                กรี๊ดดดดด !!


                เธอส่งเสียงร้องสูงปรี๊ดออกมาดังลั่นก่อนจะถลาเข้ามาหาผมด้วยสัญชาตญาณของการล่า. . . เธอกำลังจะกินผม. . . ผมสะดุ้งเฮื้อกตกใจสุดขีดกับท่าทางอันสุดจะหยั่งของเธอจนต้องรีบก้าวเท้าหนีไปให้ไกลที่สุด. . .


                เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่พ่อเคยเตือนให้ฟังเมื่อก่อน. . . ว่าในคืนวันฮัลโลวีน  ถ้าได้ยินเสียงไซเรนให้รีบเข้าบ้านและห้ามออกไปไหนจนกว่าจะเช้า. . . เมื่อคืนวานเป็นคืนแรกที่ผมขัดคำสั่งท่าน. . . จนทำให้พวกท่านรวมถึงคนอื่นๆต้องตาย  คำตอบของสาเหตุที่ผมได้ถามออกไป  ผมไม่เคยเข้าใจเลยจนถึงเมื่อวานนี้. . .


                “ มันเป็นวันปล่อยผี ”


                อาจเป็นเพราะหมู่บ้านของเรานิยมธรรมเนียมตะวันตกที่จะไม่เผาคนตาย  สิ่งนี้ล่ะมั้งที่เขาพูดถึง. . . และดูเหมือนว่าที่นี่. . . ก็คงคล้ายๆกันเพียงแต่ไม่ใช่สุสาน  เธอคงจะโดนฆ่าแล้วนำศพไปทิ้ง. . . น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน  แต่ผมในตอนนี้คงไม่คิดที่จะช่วยเธอแล้วล่ะ


                ผมวิ่งไปเรื่อยๆไม่หยุดจนเหมือนจะมาหยุดอยู่ที่ซอยกลางซึ่งมองเห็นสะพานออกนอกหมู่บ้าน  ผมยิ้มกว้างในที่สุด. . .


                กรี๊ด!!


                ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้นผมรู้ได้เลยว่าไม่ใช่เสียงของหล่อน. . . ใครบางคนอยู่ข้างหลังนี่  ในเวลาแบบนี้. . . เหมือนผม!!


                หัวข้อการตัดสินใจที่เอาชีวิตเป็นเดิมพัน. . . ไม่มีครั้งไหนที่ผมใช้เวลาสั้นเท่าครั้งนี้  ผมกลับหันหลังทันทีแล้ววิ่งกลับไปยังที่มาของเสียงร้อง  เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น. . . อีกครั้ง


                เห็นแล้วผมเห็นแล้ว. . . เสื้อผ้าขาดๆที่ถูกย้อมด้วยเลือดจนแดงนั่นกำลังจะปลิดชีพหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า  โดยไม่มีการลักเลผมวางแข้งอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปยังลำตัวของหล่อน. . . อาจเป็นเพราะเป็นศพมานานจึงทำให้ตัวเธอขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย


                แต่ถึงอย่างนั้นช่วงตัวบนของหล่อนกลับค่อยๆคลืบคลานเข้ามาหาผม  ผมรีบคว้าท่อแป๊ปใกล้ตัวแล้วตายไปหวดซ้ำจนในที่สุด. . . ผมก็คิดว่าการเคลื่อนไหวของเธอหยุดลง  ผมสั้นสะท้านไปทั้งตัวด้วยอารมณ์หลายๆอย่างก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก  จนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้นค่อยๆเดินเข้ามาหาผม


                “ ไม่เป็นไรนะครับ. . . ว้ากกกก!! ” ผมต้องกรีดร้องออกมาจริงๆ  มันเป็นความตกใจก็สุดจะหยั่งเมื่อเห็นใบหน้าที่เน่าเฟะนั่น  ลูกตาแดงๆกรอกไปมาอย่างน่าขนลุก. . . ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออก. . . หน้ามืด. . . หัวใจกำลังจะหยุดเต้น. . . และแล้ว. . . ทุกอย่างก็มืดมิดไปหมด. . .


                ผมคงตายไปแล้วจริงๆ. . . ตอนนี้ความรู้สึกปล่อยวางมันผุดขึ้นในหัวผม  ผมไม่เคยรู้สึกสบายอะไรอย่างนี้มาก่อน. . . ขณะนี้เรื่องเดียวในหัวของผมที่ยังเหลือให้คิดอยู่. . . คือสถานที่ที่ผมจะไปนี้  คือสวรรค์. . . หรือนรก


                ทันใดนั้นคำถามหนึ่งก็แทรกขึ้นมา  ว่าทำไมผมถึงคิดว่าที่ๆผมจากมาไม่ใช่ทั้งสวรรค์และนรก. . . เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันฮัลโลวีนนี้ทำให้ผมเริ่มคิดว่า  บางที. . . ทีนี่อาจเป็นนรกก็เป็นได้และสถานที่ๆผมจะไป. . . ก็คือสวรรค์


                คิดได้ดังนี้. . . แสงประหลาดก็ส่องผ่านมาบนเปลือกตาของผม  มันอาจเป็นสวรรค์จริงๆก็ได้. . . ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ให้มันแน่ชัด  แต่. . .


                กลุ่มหมอกหนาที่ปกคลุมทั่วบริเวณนี่   ไม้กางเขนสีขาวจำนวนมหาศาลที่ปักอยู่บนผืนดินไกลสุดลูกหูลูกตานี่   กับสภาพแวดล้อมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบนโลกนี่  ทำให้น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมา  ความเจ็บปวดทุกอย่างยังอยู่ครบ  สติทุกอย่างก็กลับมาครบทุกสิ่งทุกอย่าง. . . ยังคงเหมือนเดิม. . . และคำถามที่ว่าผมอยู่ที่ไหนนั้น  ความคิดนี้ทำให้ผมตอบกลับไปได้ทันที


                “ ที่ๆเราจากมานั่นไม่ใช่นรกหรอก  ที่นี่ต่างหาก!! ” นี่เป็นความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์แบบ. . . สุสานร้างไกลสุดลูกหูลุกตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้. . . กำลังรอคอยคุณอยู่. . .

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×