ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นและเงียบสงัดในหมอกหนาทึบ มีเสียงฝีไม้แจวน้ำอย่างช้าๆตามจังหวะอยู่ด้านหลังของฉัน
ลึกเข้าไปในกลุ่มหมอก ฉันสังเกตเห็นเงาเรือลำอื่นที่มีอยู่ประปรายลึกไปในแสงสว่างรำไรนั้น แต่ไม่ได้สนใจจะทำอะไรเป็นพิเศษ มีเพียงความต้องการนั่งสงบๆอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงอีกฟากฝั่งเท่านั้นก็พอ
“แน่ใจแล้วนะหนู” เสียงเอื่อยๆของชายชราผู้เป็นฝีพายไต่ถามย้ำฉันอีกครั้งที่สาม
ฉันปิดริมฝีปากแน่นแล้วหลับตาลง ไม่จำเป็นต้องย้ำคำตอบเดิมที่ฉันพูดไปก่อนจะลงมาในเรือไม้เก่าลำนี้
เสียงฝีพายเบาๆปลอบประโลมจิตใจฉันอย่างสงบ แต่กระนั้นเสียงจากหัวใจของฉันก็เรียกร้องให้เอ่ยคำพูดออกมา
“คุณลุงคะ”
ชายชราครางในลำคอเบาๆเป็นการตอบรับ
“ทำไมคนเราจึงไม่ควรตายคะ” ชายชราหัวเราะเบาๆ
“หนูเอ๋ย เธอเองยังเยาว์วัย ไยจึงมีคำถามไม่น่าอภิรมย์นี้อยู่ในชีวิตกัน”
ริมฝีปากฉันยังคงปิดแน่น
“หนูเองก็เป็นผู้มีความรู้ ทำไมจึงตอบคำถามนี้ไม่ได้”
ฉันจ้องมองแสงเทียนเล่มเล็กที่หัวเรือ พลางคิดหาคำตอบอย่างง่ายๆ
“เพราะเราเกิดมาแล้วหรือคะ”
ฉันเลือกคำตอบที่เป็นพื้นฐานที่สุด
“แต่หนูก็ไม่ได้เป็นฝ่ายที่อยากเกิดมานี่... หืม”
เขาพูดถูก ไข่ปฏิสนธิขึ้นมาจากความต้องการตามสัญชาตญาณของคนสองคน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือทารกที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วเข้าสู่วงจรเดิม
“เพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาหรือคะ”
ชายชราส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ฉันสังเกตได้จากแสงจันทร์ที่เด่นชัดจนพาดภาพเงาของชายชรามาทางหัวเรือ
“คำตอบนี้ดูช่างยิ่งใหญ่และมีมโนธรรมเสียจริงๆ” ชายชราเว้นจังหวะพูดเพื่อออกแรงแจวเรือ
“แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ หนูลองคิดถึงบ้านที่มีลูกสามคนขึ้นไปสิ... ถ้าเช่นนั้นแล้วลูกหนึ่งคนทดแทนคุณพ่อ ลูกอีกคนทดแทนคุณแม่ แล้วลูกคนสุดท้ายก็ไม่มีความหมายสิ”
ฉันคิดว่าเหตุผลของคุณลุงนั้นไม่จริงเสียทีเดียวแต่ก็อดลังเลไม่ได้ มีแนวคิดว่าพระคุณพ่อแม่นั้นตอบแทนเท่าไรก็ไม่พอเพียง แต่ฉันไม่อยากต่อคำกับเขา คำตอบต่อไปของฉันจึงเริ่มออกห่างจากประโยชน์ของมนุษย์
“เพื่อพัฒนาโลกหรือคะ”
ถึงแม้จะไม่ได้สบตาคู่สนทนาแต่ฉันรู้สึกได้ว่าคุณลุงกำลังยิ้ม ไม่ว่าจะยิ้มเยาะในคำตอบหรือพอใจในความคิดของฉันก็ตาม
“หนูเอ๋ย เธอเริ่มไปกันใหญ่แล้ว” ชายชราข่มอารมณ์ขันของตนไว้ก่อนจะต่อประโยค “มนุษย์เองไม่ใช่หรือที่เป็นผู้ทำลายป่าไม้ ขับไล่สิ่งมีชีวิตอื่นออกไป สร้างเครื่องมือสารพันเพื่อใช้เข่นฆ่าทำลายสิ่งอื่นแม้แต่มนุษย์กันเอง”
“ก็มนุษย์มีตั้งมากมายนี่คะ” ฉันเถียงกลับทันควัน “ลดลงนิดหน่อยจะเสียหายอะไรกัน”
ใช่แล้ว ในเมื่อมนุษย์มันเลวนักหนา ไม่ว่าจะหายไปซักคนหนึ่งหรือครึ่งซีกโลกมันก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง
ไม่ว่าใครทำอะไรก็จะต้องมีใครไม่พอใจเสมอ
ทำไมต้องกลับมาย้ำเหตุผลที่ควรตายกันด้วย
ชายชราถอนหายใจสั้นๆจนเกือบถูกเสียงไม้แจวกระทบผิวน้ำกลืนหายไป
“แล้วคนที่ยังอยู่ล่ะหนู”
ฉันนิ่งเฉยเสียครู่หนึ่ง
“ก็ช่างพวกเขาสิคะ”
เสียงฝีพายเงียบลง
“อ้าว” ชายชราอุทาน “ถ้าอย่างนั้นมันก็ขัดกันสิ”
ฉันพยายามจะนิ่งเฉย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยไต่ถาม
“...... ขัดอะไรคะ”
ชายชราตั้งไม้แจวลงบนเรือจนเกิดเสียงกระทบเบาๆ
“ขัดกับตอนคราวคุณพ่อของหนูไง”
.
.
.
คุณพ่อของฉันจากไปเมื่อปีกลาย ช่วงที่ท่านป่วยเข้าโรงพยาบาลก็มีสัญญาณหลายๆอย่างที่บอกว่าท่านคงไม่ได้กลับออกมา เมื่อท่านเสียไปคุณแม่ท่านเสียใจมากถึงกับล้มป่วย ตอนนั้นฉันจึงต้องเข้มแข็งให้มาก
มากพอที่จะเป็นที่พักพิงของคุณแม่
มากพอที่จะติดต่อญาติถึงเรื่องที่เกิด
มากพอที่จะไม่กระทบต่อการศึกษา
มากพอที่จะ...... ไม่ร้องไห้ฟูมฟายคร่ำครวญอย่างที่ปรารถนาอย่างสุดหัวใจกับการจากไปของคุณพ่อ
ฉันหลับตาลงอีกครั้งเพื่อตั้งสติไม่ให้เลยเถิด
“คำตอบนั้นง่ายและธรรมดามากเลย หนูเอ๋ย”
เสียงของชายชราเคลื่อนเข้ามาใกล้ และมีบางสิ่งหยิบยื่นข้ามไหล่ข้างขวาของฉันมา
มันคือ... ผ้าเช็ดหน้า
พริบตานั้นฉันตระหนักถึงน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มสองข้างของตน เรื่องราวหลากร้อยหลากพันเมื่อฉันยังมีลมหายใจพุ่งผ่านความคิดของฉันประหนึ่งก้อนหินเล็กๆที่ผจญกำลังกระแสน้ำไหลอันเชี่ยวกราก
คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว คิดถึงโรงเรียน คิดถึงเพื่อน
คิดถึงไออุ่นจากแสงเรืองรอของดวงตะวัน คิดถึงแรงเต้นของหัวใจเมื่อเหนื่อยล้า
คิดถึงความรู้สึกชุ่มฉ่ำเมื่อปลายเท้าสัมผัสลงบนพื้นหญ้า
คิดถึงเหลือเกิน และคิดถึงมาขึ้นเรื่อยๆเมื่อรู้ว่าฉันจะไม่มีวันกลับไปรู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว......
มือสั่นเทาของฉันรับผ้าเช็ดหน้านั้นมาอย่างช้าๆ
พริบตานั้นฉันให้คำตอบของเรื่องราวหลากร้อยหลากพันด้วยเสียงกรีดร้องร่ำไห้อย่างเดียวดายท่ามกลางความเงียบสนิทใต้แสงจันทร์เหนือผิวน้ำของทะเลสาปที่ทอดยาวลับตานั้น
ชายชราวางไม้แจวเข้าข้างลำเรือก่อนจะก้มลงกอดฉันอย่างอ่อนโยน
ฉันไม่ถือสาอะไร เพราะเมื่อก่อนหน้าท่านจะต้องเข้าโรงพยาบาลท่านมักจะกอดฉันเช่นนี้เสมอเมื่อฉันทุกข์ร้อนใจ
“พ่อคะ” ฉันหันกลับไปซบกอดท่าน ข่มความรู้สึกที่ล้นพ้นนั้นไว้
ท่านค่อยๆลูบเรือนผมปลอบใจฉัน
“ชู่... ไม่เป็นไรแล้วนะ”
แม้ท่านจะกล่าวเช่นนั้นก็ตามแต่คำพูดนั้นกลับทำให้ฉันสะอื้นไห้มากกว่าเดิม
คุณพ่อหัวเราะเบาๆ
“ใช่แล้วล่ะลูก คำตอบที่คนเราไม่ควรตายอยู่ที่นี่แล้ว” คุณพ่อพยุงใบหน้าฉันขึ้นมาสบตาท่าน
คุณพ่อผู้ชราแต่ยังคงดูแข็งแรง แม้จะผอมไปเล็กน้อยแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่สมบูรณ์
“เพราะถ้ามีคนตาย ก็จะมีคนต้องเสียใจไงล่ะ” - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Free Talk - หนึ่งในงานดองข้ามปีได้ปั้นมาให้เป็นก้อนจนจบลงได้ซะที ตอนแรกว่าจะจบโดยให้สาวน้อยที่พยายามฆ่าตัวตายของเรื่องนี้ได้ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลที่คุณพ่อของแกเคยเสียชีวิตไป แต่ดูท่าทางแล้วจะลงจอดไม่สวยเท่าไหร่ เลยตัดบทเป็นว่า “คิดได้เมื่อสาย” เพราะมีคุณพ่อมารับซึ่งดีกว่า “คิดไม่ได้” ก็แล้วกัน
- เหตุผลที่คนไม่ควรตายนั้น ผมก๊อปไอเดียมาจาก “X ศึกวันล้างโลก” ของ CLAMP ที่กล่าวไว้ว่า “ทำไมมนุษย์ถึงฆ่าไม่ได้” นั่นเอง
จบแบบนี้ดีมั้ย? “ใช่แล้วล่ะลูก คำตอบที่คนเราไม่ควรตายอยู่ที่นี่แล้ว” คุณพ่อพยุงใบหน้าฉันขึ้นมาสบตาท่าน
คุณพ่อผู้เน่าเฟอะแต่ยังคงมีหนอนชอนไช แม้จะเยิ้มไปเล็กน้อยแต่ดวงตาเต็มไปด้วยแมลงอย่างสมบูรณ์
“เพราะถ้าแกตาย แกจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสไปตลอดกาล!!!”
- .....ช่างมันเถอะ จบแบบเดิมแหละดีแล้ว
Asahi
พิมพ์ครั้งแรก 20 มิถุนายน พ.ศ. 2549
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น