เหตุผลของความเศร้า - เหตุผลของความเศร้า นิยาย เหตุผลของความเศร้า : Dek-D.com - Writer

    เหตุผลของความเศร้า

    ความเศร้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือสิ่งใดกัน? หลีกเลี่ยงได้เพียงไหน? โปรดตอบฉันทีว่าเหตุใด... เหตุใด..... เหตุใด..........

    ผู้เข้าชมรวม

    239

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    239

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ก.ค. 49 / 03:15 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นและเงียบสงัดในหมอกหนาทึบ มีเสียงฝีไม้แจวน้ำอย่างช้าๆตามจังหวะอยู่ด้านหลังของฉัน
      ลึกเข้าไปในกลุ่มหมอก ฉันสังเกตเห็นเงาเรือลำอื่นที่มีอยู่ประปรายลึกไปในแสงสว่างรำไรนั้น แต่ไม่ได้สนใจจะทำอะไรเป็นพิเศษ มีเพียงความต้องการนั่งสงบๆอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงอีกฟากฝั่งเท่านั้นก็พอ

      “แน่ใจแล้วนะหนู” เสียงเอื่อยๆของชายชราผู้เป็นฝีพายไต่ถามย้ำฉันอีกครั้งที่สาม
      ฉันปิดริมฝีปากแน่นแล้วหลับตาลง ไม่จำเป็นต้องย้ำคำตอบเดิมที่ฉันพูดไปก่อนจะลงมาในเรือไม้เก่าลำนี้
      เสียงฝีพายเบาๆปลอบประโลมจิตใจฉันอย่างสงบ แต่กระนั้นเสียงจากหัวใจของฉันก็เรียกร้องให้เอ่ยคำพูดออกมา
      “คุณลุงคะ”
      ชายชราครางในลำคอเบาๆเป็นการตอบรับ


      “ทำไมคนเราจึงไม่ควรตายคะ”



      ชายชราหัวเราะเบาๆ
      “หนูเอ๋ย เธอเองยังเยาว์วัย ไยจึงมีคำถามไม่น่าอภิรมย์นี้อยู่ในชีวิตกัน”
      ริมฝีปากฉันยังคงปิดแน่น
      “หนูเองก็เป็นผู้มีความรู้ ทำไมจึงตอบคำถามนี้ไม่ได้”
      ฉันจ้องมองแสงเทียนเล่มเล็กที่หัวเรือ พลางคิดหาคำตอบอย่างง่ายๆ


      “เพราะเราเกิดมาแล้วหรือคะ”
      ฉันเลือกคำตอบที่เป็นพื้นฐานที่สุด
      “แต่หนูก็ไม่ได้เป็นฝ่ายที่อยากเกิดมานี่... หืม”
      เขาพูดถูก ไข่ปฏิสนธิขึ้นมาจากความต้องการตามสัญชาตญาณของคนสองคน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือทารกที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วเข้าสู่วงจรเดิม


      “เพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาหรือคะ”
      ชายชราส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ฉันสังเกตได้จากแสงจันทร์ที่เด่นชัดจนพาดภาพเงาของชายชรามาทางหัวเรือ
      “คำตอบนี้ดูช่างยิ่งใหญ่และมีมโนธรรมเสียจริงๆ” ชายชราเว้นจังหวะพูดเพื่อออกแรงแจวเรือ
      “แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ หนูลองคิดถึงบ้านที่มีลูกสามคนขึ้นไปสิ... ถ้าเช่นนั้นแล้วลูกหนึ่งคนทดแทนคุณพ่อ ลูกอีกคนทดแทนคุณแม่ แล้วลูกคนสุดท้ายก็ไม่มีความหมายสิ”
      ฉันคิดว่าเหตุผลของคุณลุงนั้นไม่จริงเสียทีเดียวแต่ก็อดลังเลไม่ได้ มีแนวคิดว่าพระคุณพ่อแม่นั้นตอบแทนเท่าไรก็ไม่พอเพียง แต่ฉันไม่อยากต่อคำกับเขา คำตอบต่อไปของฉันจึงเริ่มออกห่างจากประโยชน์ของมนุษย์


      “เพื่อพัฒนาโลกหรือคะ”
      ถึงแม้จะไม่ได้สบตาคู่สนทนาแต่ฉันรู้สึกได้ว่าคุณลุงกำลังยิ้ม ไม่ว่าจะยิ้มเยาะในคำตอบหรือพอใจในความคิดของฉันก็ตาม
      “หนูเอ๋ย เธอเริ่มไปกันใหญ่แล้ว” ชายชราข่มอารมณ์ขันของตนไว้ก่อนจะต่อประโยค “มนุษย์เองไม่ใช่หรือที่เป็นผู้ทำลายป่าไม้ ขับไล่สิ่งมีชีวิตอื่นออกไป สร้างเครื่องมือสารพันเพื่อใช้เข่นฆ่าทำลายสิ่งอื่นแม้แต่มนุษย์กันเอง”

      “ก็มนุษย์มีตั้งมากมายนี่คะ” ฉันเถียงกลับทันควัน “ลดลงนิดหน่อยจะเสียหายอะไรกัน”
      ใช่แล้ว ในเมื่อมนุษย์มันเลวนักหนา ไม่ว่าจะหายไปซักคนหนึ่งหรือครึ่งซีกโลกมันก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง
      ไม่ว่าใครทำอะไรก็จะต้องมีใครไม่พอใจเสมอ
      ทำไมต้องกลับมาย้ำเหตุผลที่ควรตายกันด้วย


      ชายชราถอนหายใจสั้นๆจนเกือบถูกเสียงไม้แจวกระทบผิวน้ำกลืนหายไป
      “แล้วคนที่ยังอยู่ล่ะหนู”
      ฉันนิ่งเฉยเสียครู่หนึ่ง
      “ก็ช่างพวกเขาสิคะ”
      เสียงฝีพายเงียบลง
      “อ้าว” ชายชราอุทาน “ถ้าอย่างนั้นมันก็ขัดกันสิ”

      ฉันพยายามจะนิ่งเฉย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยไต่ถาม
      “...... ขัดอะไรคะ”
      ชายชราตั้งไม้แจวลงบนเรือจนเกิดเสียงกระทบเบาๆ
      “ขัดกับตอนคราวคุณพ่อของหนูไง”
      .
      .
      .


      คุณพ่อของฉันจากไปเมื่อปีกลาย ช่วงที่ท่านป่วยเข้าโรงพยาบาลก็มีสัญญาณหลายๆอย่างที่บอกว่าท่านคงไม่ได้กลับออกมา เมื่อท่านเสียไปคุณแม่ท่านเสียใจมากถึงกับล้มป่วย ตอนนั้นฉันจึงต้องเข้มแข็งให้มาก
      มากพอที่จะเป็นที่พักพิงของคุณแม่
      มากพอที่จะติดต่อญาติถึงเรื่องที่เกิด
      มากพอที่จะไม่กระทบต่อการศึกษา
      มากพอที่จะ...... ไม่ร้องไห้ฟูมฟายคร่ำครวญอย่างที่ปรารถนาอย่างสุดหัวใจกับการจากไปของคุณพ่อ

      ฉันหลับตาลงอีกครั้งเพื่อตั้งสติไม่ให้เลยเถิด
      “คำตอบนั้นง่ายและธรรมดามากเลย หนูเอ๋ย”
      เสียงของชายชราเคลื่อนเข้ามาใกล้ และมีบางสิ่งหยิบยื่นข้ามไหล่ข้างขวาของฉันมา

      มันคือ... ผ้าเช็ดหน้า


      พริบตานั้นฉันตระหนักถึงน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มสองข้างของตน เรื่องราวหลากร้อยหลากพันเมื่อฉันยังมีลมหายใจพุ่งผ่านความคิดของฉันประหนึ่งก้อนหินเล็กๆที่ผจญกำลังกระแสน้ำไหลอันเชี่ยวกราก
      คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว คิดถึงโรงเรียน คิดถึงเพื่อน
      คิดถึงไออุ่นจากแสงเรืองรอของดวงตะวัน คิดถึงแรงเต้นของหัวใจเมื่อเหนื่อยล้า
      คิดถึงความรู้สึกชุ่มฉ่ำเมื่อปลายเท้าสัมผัสลงบนพื้นหญ้า
      คิดถึงเหลือเกิน และคิดถึงมาขึ้นเรื่อยๆเมื่อรู้ว่าฉันจะไม่มีวันกลับไปรู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว......

      มือสั่นเทาของฉันรับผ้าเช็ดหน้านั้นมาอย่างช้าๆ
      พริบตานั้นฉันให้คำตอบของเรื่องราวหลากร้อยหลากพันด้วยเสียงกรีดร้องร่ำไห้อย่างเดียวดายท่ามกลางความเงียบสนิทใต้แสงจันทร์เหนือผิวน้ำของทะเลสาปที่ทอดยาวลับตานั้น


      ชายชราวางไม้แจวเข้าข้างลำเรือก่อนจะก้มลงกอดฉันอย่างอ่อนโยน
      ฉันไม่ถือสาอะไร เพราะเมื่อก่อนหน้าท่านจะต้องเข้าโรงพยาบาลท่านมักจะกอดฉันเช่นนี้เสมอเมื่อฉันทุกข์ร้อนใจ
      “พ่อคะ” ฉันหันกลับไปซบกอดท่าน ข่มความรู้สึกที่ล้นพ้นนั้นไว้
      ท่านค่อยๆลูบเรือนผมปลอบใจฉัน
      “ชู่... ไม่เป็นไรแล้วนะ”
      แม้ท่านจะกล่าวเช่นนั้นก็ตามแต่คำพูดนั้นกลับทำให้ฉันสะอื้นไห้มากกว่าเดิม
      คุณพ่อหัวเราะเบาๆ


      “ใช่แล้วล่ะลูก คำตอบที่คนเราไม่ควรตายอยู่ที่นี่แล้ว” คุณพ่อพยุงใบหน้าฉันขึ้นมาสบตาท่าน
      คุณพ่อผู้ชราแต่ยังคงดูแข็งแรง แม้จะผอมไปเล็กน้อยแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่สมบูรณ์




      “เพราะถ้ามีคนตาย ก็จะมีคนต้องเสียใจไงล่ะ”



      - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


      Free Talk
      - หนึ่งในงานดองข้ามปีได้ปั้นมาให้เป็นก้อนจนจบลงได้ซะที ตอนแรกว่าจะจบโดยให้สาวน้อยที่พยายามฆ่าตัวตายของเรื่องนี้ได้ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลที่คุณพ่อของแกเคยเสียชีวิตไป แต่ดูท่าทางแล้วจะลงจอดไม่สวยเท่าไหร่ เลยตัดบทเป็นว่า “คิดได้เมื่อสาย” เพราะมีคุณพ่อมารับซึ่งดีกว่า “คิดไม่ได้” ก็แล้วกัน
      - เหตุผลที่คนไม่ควรตายนั้น ผมก๊อปไอเดียมาจาก “X ศึกวันล้างโลก” ของ CLAMP ที่กล่าวไว้ว่า “ทำไมมนุษย์ถึงฆ่าไม่ได้” นั่นเอง


      จบแบบนี้ดีมั้ย?
      “ใช่แล้วล่ะลูก คำตอบที่คนเราไม่ควรตายอยู่ที่นี่แล้ว” คุณพ่อพยุงใบหน้าฉันขึ้นมาสบตาท่าน
      คุณพ่อผู้เน่าเฟอะแต่ยังคงมีหนอนชอนไช แม้จะเยิ้มไปเล็กน้อยแต่ดวงตาเต็มไปด้วยแมลงอย่างสมบูรณ์

      “เพราะถ้าแกตาย แกจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสไปตลอดกาล!!!”


      - .....ช่างมันเถอะ จบแบบเดิมแหละดีแล้ว


      Asahi
      พิมพ์ครั้งแรก 20 มิถุนายน พ.ศ. 2549

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×