อันไหนเรื่องจริง อันไหนเรื่องโกหก? - อันไหนเรื่องจริง อันไหนเรื่องโกหก? นิยาย อันไหนเรื่องจริง อันไหนเรื่องโกหก? : Dek-D.com - Writer

    อันไหนเรื่องจริง อันไหนเรื่องโกหก?

    กาลเวลาที่ล่วงเลย บิดเบือนข้อมูลแท้จริงที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งกาลก่อน..... สิ่งใดกันเล่า ที่จะขนานนามว่าเรื่องจริงได้เต็มวาจา?

    ผู้เข้าชมรวม

    227

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    227

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 ก.ค. 49 / 01:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      อันไหนเรื่องจริง อันไหนเรื่องโกหก?
      ------------------------------------------

      นิทานของชาวเมือง Windia
      (โปรดจินตนาการถึงนินทานเสียงเล็กเสียงแหลม ออกแนวด.จ.ร.หน่อยๆ)

      กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

      มีแวมไพร์ปีศาจร้ายนามว่า Lord Chaos เป็นผู้ก่อกวนความสงบสุขของชาวเมืองเมือง Windia ในยามราตรี
      จอมปีศาจจะแปลงร่างเป็นค้างคาวฝูงใหญ่ที่บินลงมาส่งเสียงดัง
      มาจับชาวเมืองผู้น่าโชคร้ายกลับไปดูดเลือดกินที่ปราสาทอันแสนน่ากลัว

      มันเป็นอย่างนี้มาช้านาน ท่ามกลางความกลัวของประชาชนผู้น่าสงสาร...


      แต่แล้ววันหนึ่ง มีอัศวินผู้กล้าหาญจากดินแดนไกลปรากฏกายขึ้น
      เขาเป็นอัศวินหนุ่มผู้สวมชุดเกราะสีทอง และมีดาบวิเศษเล่มยาวที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์
      เขาควบม้าสีขาวคู่ใจ และนำประชาชนชาว Windia เข้าไปต่อสู้กับปีศาจผู้เหี้ยมโหด


      ท่ามกลางสายฝนและลมแรงจากพลังเวทย์มนตร์ของจอมปีศาจ อัศวินผู้กล้าหาได้ย่อท้อไม่
      แต่กลับเป็นแรงพลังให้เขามุ่งรุดหน้าหน้าไปสู่ปราสาทแวมไพร์เร็วยิ่งขึ้นไปอีก

      อัศวินและเหล่าประชาชนผู้กล้าหาญ ต่อสู้กับพวกปีศาจอย่างดุเดือดเป็นเวลายาวนาน
      จนท้ายที่สุด จอมปีศาจก็พ่ายแพ้ และได้ตายจากโลกนี้ไป

      อัศวินผู้กล้าหาญและประชาชนฉลองความสำเร็จในราตรีต่อมา พวกเขาไม่ต้องเกรงกลัวยามราตรีอีกต่อไปแล้ว

      และแล้ววันรุ่งขึ้น อัศวินผู้กล้าก็ได้จากไป
      แต่ความกล้าหาญและสิ่งที่เขาได้ช่วยประชาชนชาว Windia ไว้ยังคงเป็นที่เล่าขานกันอยู่จนปัจจุบัน......

      จบ.

      ------------------------------------------

      บันทึกของจอมมาร
      (ไม่ต้องจิตนาการเสียงด.จ.ร.แล้วนะครับ เพราะนี่เป็นบันทึกไดอารี่เฉยๆ)

      วันที่ 16 มิถุนายน ปีที่ 200
      ผมนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบ 200 ปีพอดีที่ตั้งแต่ผมได้รับอาคมให้มีชีวิตเป็นนิรันตร์จากบรรพบุรุษของผม
      ผมไม่ได้ชอบมันหรอก เพราะความกระหายเลือดสดอันไม่มีสิ้นสุด ที่ผมไม่สามารถหยุดยั้งมันได้
      มันเป็นคำสาป..... ของผู้ที่ฝืนหนทางของพระเจ้า... ความโง่เขลาของบิดาที่ชุบชีวิตผมกลับมาจากความสงบ
      เพียงเพราะกลัวว่าตระกูลจะสิ้นสกุล พวกเขาถึงกับทิ้งให้ผมมีชีวิต "อมตะ" ที่แสน "ทรมาน" นี่มาถึง 200 ปี

      วันที่ 17 มิถุนายน ปีที่ 200
      ผมเดินไปที่หมู่บ้าน Windia เพื่อหาสัตว์เป็นๆมากินเป็นอาหาร และก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือผมอย่างทุกที่เป็นทุกที
      ตั้งแต่พวกเขาเลิกให้ความช่วยเหลือ ต่อมาก็เลิกเลี้ยงสัตว์ เอาแต่นำเข้าเนื้อสำเร็จรูป เพื่อที่จะขับไล่ผม
      ผมก็ต้องหาเลือดจากชาวเมืองนี่แหละ... มันไม่ใช่ความผิดของผมนี่นา... ไม่งั้นจะให้ผมไปหาจากไหนกันล่ะ
      ทั้งๆที่เมื่อ 100 กว่าปีก่อนหน้านี้ พวกเรายังอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ เพราะเรื่องของผมได้รับความเห็นใจ
      พวกเขาทั้งให้อาหาร และมอบที่หลบซ่อนจากแสงอาทิตย์แก่ผม..... ถึงจะมีคำสาปที่แสนชัง แต่ก็ช่างเป็นวันเวลาที่มีสุข
      เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปและลูกหลานเข้ามาแทนที่ผู้คนก่อนหน้า..... ผมก็ถูกพลักไล่ออกมาจากตัวเมืองไกลขึ้น ไกลขึ้น
      จนผมต้องมาอยู่ในปราสาทร้างอันหนาวเหน็บนี่เพียงผู้เดียว
      ..............
      ทำไมผมถึงนึกเรื่องงี่เง่าพวกนี้ขึ้นมานะ? ช่างเป็นเรื่องเศร้าที่น่าหัวร่อจริงๆ

      วันที่ 18 มิถุนายน ปีที่ 200
      มีอัศวินที่อยากได้ชื่อเสียงจากการช่วยประชานชนกำลังจะมาไล่ผมไป ทำไมพวกเขาถึงได้ลงทุนลงแรงมากมายนักนะ
      พวกเขาลุยฝนเพื่อที่จะมาขับไล่ผมด้วยซ้ำ ทำไมเขาถึงได้เกลียดชังผมกันขนาดนั้นนะ
      ช่างเถอะ..... พอเขียนไดอารี่วันนี้จบ ผมจะลงไปคุยกับพวกเขาดีๆแล้วกัน
      ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องล่ะก็... ผมคง........ จะต้องไปจากที่นี่จริงๆ
      ..............
      ผมเอง ก็เหนื่อยมามากพอแล้วล่ะ... 200 ปีที่ช่างว่างเปล่าและไร้สาระนี่

      ไดอารี่สิ้นสุดลงในวันนี้
      ------------------------------------------

      เรื่องเล่าของอดีตอัศวินผู้เกษียรอายุ
      (โปรดจินตาการเสียงตาแก่กำลังเมาแล้วหลุดปาก)

      โอ้ยยย ไอ้เรื่องนั่นหน่ะเร้อ... มันต้างยี่สิบสามสิบปีมาแล้วนาาา... มาๆ ข้าจะเล่าให้เอ็งทั้งหลายฟัง *เอิ้ก*
      ก็ไอ้ครั้งที่ข้ากำลังแอบแวบหนีงานนั่นหน่ะดิ..... ข้าก็เลยไปเที่ยวทางเหนือซะหน่อยยย
      อย่างน้อยข้าก็ต้องฆ่าเวลาให้มันดูเหมือนข้าไปธุระนานหน่อย จะได้ได้บำเหน็จเยอะเย๊อะ~!

      แล้วข้าก็ไปซะถึงตั้งเมืองวินเดียแหนะ *เอิ้ก* เออ..... ก็ต้องขี่ม้าไปตั้ง 2 วันนั่นแหละ
      แล้วพอพวกชาวบ้านเห็นอัดซาวินหน่า... โหยแกเอ้ยยย กรูเข้ามารุมข้าอย่างกับขอทานมาขอขนมปังเลยแหนะ
      บ้านนอกสุดๆเลยใช่ปะล่า..... บ้านนอกนะเว้ย~ แต่สาวๆเนี่ยนะปั๋งๆทั้งน้านนน... พูดแล้วคิดถึงเลยหว่ะ

      พวกมันขอให้ข้าช่วยปราบปีศาจให้มันหน่อย...
      ปีศาจบ้านพวกมันแหนะ ตอนนั้นมันจะถึงปีศักราชกษัตริย์พระองค์ใหม่แล้วหน่าาา
      แม้งยังเชื่อพวกผีๆสางๆอยู่ด้ายยย..... แม้งบ้าาาาาา *เอิ้ก*
      ข้าเห็นว่าสาวๆขอร้องหรอก เลยว่าจะไปพิสูจน์ผีพร้อมกับชาวบ้านให้เห็นกะตาข้าเหมือนกัน

      ขาไปพิสูจน์ผีนะเว้ย... โครตซวยเลยหว่ะ ฝนเนี่ยกระหน่ำโครม..... ข้าล่ะเซ็ง ว่าจะกลับแล้วเชียว แต่ข้าอยากเห็นผีเว้ย
      เลยวิ่งกันแทบแย่..... เพราะแถวนั้นแม้งไม่มีต้นไม้ซักต้น เมืองประสาอะไรม่ายรุ.....ไม่รักแผ่นดินแล้วตัดไม้ทำลายป่า

      พอไปถึงบ้านผีสิงที่ว่านะเว้ย ข้าแทบช๊อกเลยแหนะ!..... ไม่ใช่ผีนะเว้ย แต่แม้งบ้านเป็นปราสาทเลยหว่ะ!
      แถมอาคารเนี้ยะ... ฝุ่นเอย ตะไคร่เอย แมลงเอย... ยี้ ข้าละขนลุก โสฯสุดๆล่ะแก *เอิ้ก*
      แล้วก็นะเว้ย... ก็มีคนผิวซีดๆเดินลงมาบันได ข้าก็เลยเล่นด้วยซะเลย เพราะข้าก็รู้ว่าไม่ใช่ผี

      ข้าก็ควักดาบออกมาชี้หน้ามัน สวดบ้าๆบอๆให้เหมือนกับสวดมนต์... คือเล่นด้วยหน่ะแล๊ะ~
      แล้วข้าก็ตะโกนลั่นเลยว่า "ตายซะเถอะ เจ้าผีร้าย!!" มาดเนี่ยอย่างเท่ห์สาดเลยพวกเอ็งเอ๊ย~

      แล้วไอ้หมอนั่นมันนะเว้ย... พวกเอ็งต้องไม่เชื่อข้าแน่ๆเลยหว่ะ
      มันหยิบดาบข้าแล้วเสียบเข้าอกมันเองเลย!..... เฮ้ย ไม่ได้โม้นะเว้ย
      มันก็ตายสิวะ! คนนะเว้ยไม่ใช่แมว..... ข้าเนี่ยอึ้งไปเลย
      แต่นะเว้ย ชาวบ้านดีใจกันใหญ่เลยหว่ะ! ข้าล่ะงงสุดๆ..... สงสัยคงเป็นคนที่ชาวบ้านไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่

      แต่ช่างมันเถอะ เพราะตั้งหลายสิบปีแล้ว ไม่เห็นมีใครมาลากตัวข้าไปข้อหาฆ่าคนเลย
      แถมชาวบ้านยังจัดงานเลี้ยงให้ข้าอีกด้วยนะเว้ย..... เฮ้ย ไม่ได้โม้จริงจิ๊ง!
      ------------------------------------------

      Asahi
      พิมพ์ครั้งแรก 25 เมษายน พ.ศ. 2548

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×