[Fic Baramos] HOW DO I LIVE? (ภาคต้น)
เวทย์ที่ผิดพลาด... นำพาเฟรินสู่อนาคต... คำบอกเล่า... ที่ทำให้รู้ถึงบุคคลผู้จากไป... ด้วยมือของเธอเอง...
ผู้เข้าชมรวม
1,202
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คำเตือน : ไม่อยากอ่านแบบไม่สมหวังอย่าอ่าน
“รุก”
นัยน์ตาสีน้ำตาลพราวระริกอย่างนึกขำ ใครเล่าจะนึกถึง ว่าเจ้าชายคาโล วาเนบลีแห่งคาโนวาลผู้เลิศเลอร์เพอเฟ็กขนาดแมวที่เดินผ่านยังต้องเหลียวหลัง ผู้นั้นจะมาสิ้นท่าสยบแทบเท้า หัวขโมยเฟริน เดอเบอโรว์แห่งบารามอสซึ่งตอนนี้พ่วงฐานันดรเจ้าหญิงแห่งเดมอสมาอีกหนึ่งและบารามอสเป็นร่างแห ผู้ซึ่งหาข้อดีไม่ได้ขนาดหมาเดินผ่านยังเมิน
แต่อย่างน้อยเจ้าชายแห่งคาโนวาลก็ยังไม่เมินนี่
คิดไปคิดมาดันเอาเจ้าชายไปเปรียบเทียบว่าแย่กว่าหมา นี่คือความในใจของคนที่ถูกหมาเมินต่อคนที่ถูกแมวมอง
คิดพลางมือก็ขยับเรือขวาด้นไปข้างหน้าสองช่องกินม้าตัวรุกอย่างง่ายๆ เกมนี้คงน่าเบื่อไปเยอะถ้าไม่มีเดิมพันที่สาสม เดิมพันในเรื่องที่หัวขโมยขี้โม้ผงาดขึ้นมาได้เป็นกิ้งกือได้ทอง ทั้งที่ปกติเอาแต่นอนขดโดยไม่มีใครเอาไม้มาเขี่ยอยู่ในพยาบาลด้วยสาเหตุนานับประการ แต่เพราะการเดิมพันทนี่ล่ะที่ทำให้กิ้งกือที่ขี้เกียจกว่ากิ้งกือปกติตัวนี้คลายขดแล้กระดึ๊บมาด้วยขาอันยั๊วเยี๊ยสองขา
แต่พอมาคิดดูแล้วถ้าไม่เดิมพันอาจจะไม่ต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่เดิมพันเมื่อชนะเกมนี้
อย่างน้อยก็แค่หนึ่งวันในหนึ่งปี ก็ไม่หนักหนาอะไรมาก
แต่ก็ช่างเถอะขอทำอะไรสักอย่างให้มันบ้าง
แล้วค่อยทวงคืนทีหลังก็ได้
นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยฉายรอยคิดหนักคู่หนึ่งก่อนเดินบิชอบซ้ายที่อยู่ข้างคิงในมุมของคนเล่นฝ่ายขาวเดินไปข้างบนเฉียงซ้ายสองช่อง “รุก” นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง
“นายแน่ใจ” คำพูดยั่วโทสะคนอารมณ์เครียด นัยน์ตาสีฟ้าตวัดฉับ นัยน์ตาที่ปกติดุอยู่แล้วยิ่งดุกว่าเดิมหลายเท่าพันทวี เฟรินส่ายหัวปลงอนิจจังพร้อมกับรอยยิ้มเชิงเซ็งโลก “แล้วแต่นายก็แล้วกัน จะคิดโง่ๆยังไงก็ตามใจนาย” คำพูดชวนยัดพระบาทเข้าพระโอษฐ์
นัยน์ตาคู่เดิมเริ่มแปรจากความดุไปเป็น แข็งกร้าว
และเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลก็ไม่โง่พอที่จะไปสบเข้า กับความคิดงี่เง่าในสมอง
คนฉลาดนี่โง่อย่างนี้ทุกคนเลยรึเปล่านะ
ถึงรู้ว่าความคิดนี้มันออกจะงี่เง่าไม่สิโง่งมเลย แต่มันก็จริงนี่เล่นเดินบิชอบตัวที่คิงผูกไว้หน้าตาเฉยแล้วจะเหลืออะไรล่ะ
เหลือความแพ้ไว้เป็นอนุสรณ์ไง
เฟรินกวาดเรือไปทางขวาและแล้ว คิงของฝ่ายขาวที่ฉลาดแต่โง่ก็ถึงฆาต
“รุกฆาต” นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองนัยน์ตาสีฟ้าที่ยังคงเรียบเฉย
ตู้เย็นตู้นี้ดีแฮะพึ่งละลายน้ำแข็งไปหยกๆแต่กลับมาแข็งได้อีกแล้วน่าจะซื้อมาใช้บ้าง คิดพลางกวาดกระดานเก็บพลางผิวปากหวิว “อย่าลืมนะ ตามข้อตกลงเคลียร์สนามให้ฉันด้วย โดยไม่ถามเหตุผล”
“ตอนหนึ่งทุ่มเจอกันที่สนาม”
“หนึ่งทุ่ม ใครบอกว่าจะให้เคลียร์ตอนหนึ่งทุ่ม”
“นายไม่ได้ระบุเวลา บอกแค่ว่า มาเดิมพันหมากรุกกันหนึ่งเกม ถ้าฉันชนะนายจะเลิกเป็นขโมย แต่ถ้านายชนะให้ฉันเคลียร์สนามเอดินเบิร์กให้วันนี้ โดยไม่ถามเหตุผล” ใช่ว่าไม่อยากรู้เหตุผลที่เจ้าตัวดีกล้านำอาชีพสุดรักมาเดิมพัน แต่ข้อตกลงนี้ก็ใช่ว่าจะเสียหายอะไรและพอมาลองนึกดูเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะดูท่าเจ้าตัวจะตีอกมั่นใจว่าชนะชัวส์อยู่แล้ว
คงเอามาเดิมพันให้มันดูเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเท่านั้นเอง
“ ” กิ้งกือผงาดรู้ตัวเสียแล้วว่าได้นอนขดตัวในหลุมใหญ่แต่มองไม่ทันเห็นเข้า
“หนึ่งทุ่มวันนี้ที่สนาม” ว่าเสร็จคนขุดหลุมก็เดินจากไป
โธ่เว้ย! คนฉลาดแต่โง่นั้นก็โง่ แต่คนโง่ที่โง่นั้นโง่ยิ่งกว่า
แล้วแกจะเลือกเป็นข้อไหนหึเฟริน
ดูท่าเธอจะตกไปอยู่ในข้อที่สองเสียแล้วสิ
เวลาหนึ่งทุ่มยังจะมีไอ้บ้าที่ไหนไปใช้สนามอีกเล่า อย่างนี้ก็เท่ากับเสียเวลาเล่นหมากรุกฟรี
ที่สำคัญป้อมปิดสองทุ่มเวลาเดินมานับเถลไถลสรุปได้ใช้แค่สี่สิบห้านาทีไม่สิอาจเหลือแค่ครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ไอ้ก้อนน้ำแข็งเดินได้งี่เง่า อย่างมันคงเรียกได้ว่า
ไอ้คนฉลาดแต่โง่แต่ฉลาด
ความคิดของเฟรินยังคงงี่เง่าโง่งมตลอดกาล
“คาโลนายไปได้แล้วฉันจะใช้สนาม”
“ไม่” คำตอบสั้นได้ใจความ
“จบข้อตกลงแล้ว นายจะดูหิ่งห้อย ชมจันทร์ ชะแง้ดาว ก็ไปทำที่อื่น” น้ำเสียงแกมไล่ของคนขี้งอนเรียกเสียงถอนใจยาวได้เป็นอย่างดี
ทีตัวเองตลบหลังคนอื่นได้ แต่โดนเข้าบ้างกลับทำงอน
มือใหญ่รั้งร่างบางเข้ามาพลางมอบจุมพิตที่หน้าผากนวลอย่างไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว ดวงหน้าขาวพลันขึ้นสีเรื่อ ก่อนรอการเอ่ยคำที่น่าจะเป็นคำหวาน
“กฎของเอดินเบิร์ก ผู้ใดทำทรัพย์สินของโรงเรียนเสียหายจะต้องชดใช้ ผู้ใดทำความเสียหายให้ตนเองด้วยความประมาทหรืออยู่นอกคาบเรียนโรงเรียนจะไม่รับผิดชอบ ผู้ใดทำความเสียหายให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิตผู้นั้นจะถูกไล่ออก” แต่กลับไม่ใช่คำหวานอย่างที่คิด ดวงหน้างามแดงก่ำด้วยความโกรธมือกำแน่นระงับอารมณ์ แต่ก่อนที่จะปริปากอย่างใดเสียงเดิมก็แทรกขึ้นมา “ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะ เฟริน ระวังตัวอย่าให้เป็นหวัดล่ะ” น้ำเสียงทอดกระแสอ่อนโยนที่หาได้ยากจากเจ้าชายผู้เลอศักดิ์
“แล้วพรุ่งนี้
” คนเดิมยังพูดต่อแต่ยังไม่จบประโยคก็ต้องหลบหน้าอย่างที่สาวน้อยที่ดวงหน้าขึ้นสีตรงหน้าไม่มีทางรู้ว่าหลบทำไม ถ้าไปจับดวงหน้าคนตัวสูงให้หันมาคงเห็นดวงหน้าขาวที่ขึ้นสีเรื่อ ก่อนจะเอ่ยตัดบท “ช่างเถอะ
รักษาตัวดีๆล่ะ”
ดวงหน้างามยังคงแดงก่ำแต่ด้วยความเขินอายมิใช่ความโกรธกับคำหวานนั้น หารู้ไม่ว่าประโยคที่พูดซะน้ำตาลยังยอมแพ้มานั่นครี้ดเป็นคนจดมาให้ ที่เจ้าชายคนเก่งต้องฝึกซ้อมแล้วซ้อมเล่าเป็นสัปดาห์ก่อนจะนำมาพูดได้จริง
“พิชิตโลกันฑ์!”
เมื่อลับสายตาไปแล้ว เสียงหวานก็เอ่ยเรียกคทาสองพันคราวน์คู่ใจออกมา เล่นเอาคนที่ใช้เวทย์พลางตัวหลบอยู่หลังพุ่มไม้ชักใจไม่ดี เตรียมตัวเผยร่างออกไปเต็มที่ถ้าเห็นท่าไม่ดี
“โอม
ท้องฟ้าผู้ลาลับ สดับเสียงหามีไม่
หมู่ดาวสกาวใจ ทอแสงเรืองประเทืองตา
กาลนี้จงผินกลับ จงลาลับดับเวหา
สิ้นแท้ต่อเวลา ขอดอกไม้นานาพันธุ์
ขอท้องฟ้าอันแจ่มใส ขอวันใหม่แห่งสีสัน
ขอหนาวจงเปลี่ยนพลัน ขอผลิใบฤดูกาล
พันธุ์ไม้จงสะพรั่ง ให้ประทังนกขับขาน
มวลสัตว์ทุกฝูงงาน จงสถิตในชั่ววัน
ข้าแต่เทพยิ่งใหญ่ ขอท่านไซร้อย่าผินผัน
ขอสนองคำขอพลัน ขอบันดาลผู้เรืองรอง
ตัวข้าจะเอื้อนเอ่ย คำคุ้นเคยแด่เพื่อนผอง
บุรุษผู้หมายปอง คาโล วาเนบลี
สุขสันต์วันเกิด
เพี้ยง!”
ดวงหน้าขาวราวหิมะของผู้ใช้เวทย์พลางตัวขึ้นสีก่ำขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเขา ไม่คิดว่าคนความจำสั้นขนาดนั้นอย่างมันจะจำได้
ความซาบซึ้งถาโถมเข้ากลางใจ เวทย์นั่นเป็นเวทย์สำหรับสุขสันต์วันเกิดคนรักที่มีวันเกิดในฤดูอื่นที่นอกจากใบไม้ผลิ เวทย์นั้นจะทำให้วันรุ่งขึ้นอากาศดีดอกไม้บานสะพรั่งในทุกที่ที่เจ้าของวันเกิดเดินผ่าน แต่ไม่ค่อยมีคนใช้กันเพราะเป็นมนต์ที่ยาว แต่เพื่อเขา เฟรินกลับทำให้ได้
ทันห้วงคิดแสงสว่างไอสีขาวพุ่งออกจากหัวคทารายล้อมร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่เวทย์นี่เมื่อร่ายแล้วจะมีแค่แสงสว่างเกิดขึ้นชั่วครู่ แต่ไม่มีไอสีขาวออกมาล้อมรอบผู้ร่ายเวทย์ นอกเสียจาก
พลังเวทย์ไม่ถึงขั้น
ผู้รู้ถึงความผิดปกติรุดตัวออกมาทันที มือหมายจะคว้าร่างบางในห้วงคำนึง
แต่ที่คว้าออกมาได้กลับเป็นคทาสองพันคราวน์
“เฟริน!” เสียงที่แทบจะเป็นเสียงตะโกนพร้อมกับการทรุดตัวลงของเจ้าของผมสีเงิน ผู้ซึ่งกอดคทาไว้ในอ้อมอก
เขารู้ดี จากหนังสือเล่มหนึ่งที่บันทึกไว้ เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้น และผู้ร่ายเวทย์นั้นก็ได้หายไปตลอดกาล
“ควันนี่มันอะไรกัน”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นพลางนำมือโบกไอสีขาวออกไป สักพักไอนั้นก็ค่อยๆจางลง ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอีกคู่ฉายรอยเฉยชา เบื้องหลังมีนาฬิกาเรือนโตตีบอกเวลาสองทุ่ม
“เธอ ” เฟรินกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อเห็นภาพเงาสะท้อนตรงหน้า ติดอยู่ที่ใส่ชุดต่างกัน และคนตรงหน้าดูมีอายุมากกว่าเท่านั้น
“มาแล้วรึ” น้ำเสียงเดียวกันแต่กลับเย็นเยียบชวนคนฟังหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เป็นใครถ้าฟังแค่เสียงคงแยกไม่ออกแน่ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร เพราะมันเป็นเสียงเดียวกัน “ฉันคือเธอในอีกสามปีข้างหน้า” ร่างนั้นอธิบาย
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเท่าไข่ห่านยักษ์พลางส่ายหัวช้าๆ “ไม่จริงมั้ง”
“เกิดชาติหน้าก็เชื่อไม่ลงหรอก ไอ้ผู้หญิงท่าทางยโสโอหังเย็นชายังกับคาโล จะเป็นเราในอนาคตได้ไง” ความคิดถูกประกาศออกมาเป็นคำพูดจากผู้สูงวัยกว่า “คิดอย่างนั้นใช่ไหม ฉันก็เคยคิดอย่างนั้น เป็นได้สิก็ฉันนั่นล่ะที่เป็นเธอ ไม่สิเธอนั่นล่ะที่จะเป็นฉัน” เฟรินชะงักกึกก่อนระเบิดเสียงหัวเราะ
“แหม มุขท่านอ ”
“ฉันไม่ใช่ท่านอาลูน่าที่ปลอมตัวมาแกล้งเธอเล่นและไม่ได้อ่านใจเธอ” เสียงหนึ่งดักคออย่างรู้ทัน เฟรินชะงักกึก คราวที่แล้วไปอดีตคราวนี้มาอนาคตหรือนี่ “นี่กระเป๋าสตางค์เธอ” มือบางของผู้สูงอายุกว่ายื่นกระเป๋าสตางค์สีแดงให้
แถมยังฝีมือขโมยพัฒนาขึ้นอีกต่างหากไม่เชื่อไม่ได้แล้วอย่างนี้
ถึงจะดูเหลือเชื่อแต่จากฝีมือการขโมยที่ยอดเยี่ยม ลักษณะหน้าตารูปร่าง แผลเป็นใต้ตาซ้าย ถ้าบอกว่าคนละคนกันคงเชื่อยากมากกว่าหลายเท่านัก
คิดพลางรับกระเป๋าสตางค์มา
“ให้ผมเดาที่นี่คงเป็นวังเดมอส แต่ก็คิดไม่ตกสักทีว่าเป็นวันไหน แล้วก็ผมมาที่นี่ได้อย่างไร” เจ้าตัวตอบเสียงแจ้วอย่างร่าเริง
“ที่เธอมาที่นี่ได้เพราะเวทย์ที่เธอร่ายผิดพลาด วันนี้เป็นวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ” คำตอบที่เฟรินต้องเก็บงำความสนใจ แต่เคยเก็บมิดซะที่ไหนเล่า
“แล้วคาโลล่ะ เป็นไงบ้าง ยังงี่เง่าเหมือนเดิมรึเปล่า”
“เขาจากไปแล้ว” น้ำเสียงราบเรียบแต่เรียกนัยน์ตาสีน้ำตาลให้เบิกกว้างเท่าไข่ห่านยักษ์
“คาโลจากไป?” เฟรินทวน
“ใช่จากไปจากโลกนี้ด้วยมือของฉันเอง” เส้นอารมณ์สาวเริ่มสั่นกับท่าทีเฉยเมยของตัวเธอในอนาคต มันทำให้เกิดอารมณ์กรุ่นมากกว่าความสงสัยเรื่องข้อเท็จจริง
“แล้งคุณไม่เสียใจบ้างเลยเหรอ” น้ำเสียงสั่นเครือ พยายามควบคุมสติ
“เค้าจากไปน่ะดีแล้ ” พูดยังไม่ทันขาดคำ ผู้มีอายุน้อยกว่าได้ทำในสิ่งที่สุภาพบุรุษไม่พึงกระทำ หมัดที่ซึมชื้อด้วยเหงื่อถูกพุ่งไปข้างหน้า แต่คนตรงหน้ากลับแค่เบี่ยงตัวหลบราวรู้ทัน “ขอพูดอีกครั้งในชีวิตนี้ไม่มีครั้งไหนที่ฉันดีใจมากไปกว่าการที่ได้กำจัดเขาด้วยมือของฉันเอง”
“แกพูดอย่างนั้นออกมาได้ยังไง!” น้ำใสๆคลอนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่โต “แกมันคนไร้หัวใจ! แกไม่มีทางเป็นฉันได้ แกไม่ใช่ฉัน ฉันคือฉัน เฟริน เดอเบอโณว์ เดอะ ทีฟ ออฟ บารามอส!”
“ใช่ฉันเป็นเธอไม่ได้อีกแล้ว เด็กน้อย แต่เธอจะเติบโตขึ้นเป็นฉัน” คำพูดยังคงเป็นประโยคซ้ำซาก “การที่เธอมาพบฉันนั่นคือสิ่งที่จะทำให้เธอเป็นฉัน”
“ฉันไม่มีวันที่จะเป็นคนอย่างแก! ไม่ว่าจะชาตินี้หรือไหน แกมันเป็นปีศาจไร้หัวใจ!”
“ฉลาดสมเป็นเฟริน” มุขที่เฟรินไม่อาจรับ “ใช่ ฉันเป็นปีศาจครึ่งมนุษย์ หัวใจของฉันไม่มีอีกแล้ว และไม่มีวันที่หัวใจของฉันจะกลับคืนมา แล้วสักวันเธอจะรู้ เฟริน เดอเบอโรว์ เดอะทีฟ ออฟ บารามอส” น้ำเสียงยังคงเย็นเยียบ “เธอจะรู้ว่าการกำจัด คาโล วาเนบลี ออกไปจากโลกนี้เป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอ ทั้งเธอและฉัน เราคือ เฟริน เดอเบอโรว์ เดอะทีฟ ออฟ บารามอส จงจำคาถานี่ไว้ด้วยเพราะอีกสามปีเธอจะต้องใช้มัน” ว่าพลางยื่นมือมาทางร่างบางที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหวังจะได้ตะบันดวงหน้างามให้โดนสักหมัด “เทพผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอกลับคำ ทุกสิ่งจงกลับคืน”
สิ้นคำไอสีขาวก็ปกคลุม ร่างบางที่หวังสิ่งเข้าไปปะทุษร้ายชะงักกึกก่อนทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป ภาพแห่งห้วงฝันร้ายหายไปแล้ว กลับเป็นที่อีกที่ที่มืดมิดแต่อบอุ่น
“อื้อ!” เสียงครางเบาๆจากคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาที่ไหนอีก เรียกนัยน์ตาสีฟ้าให้เลื่อนลงมา คทาสองพันคราวน์ยังอยู่แต่มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา
เฟริน เดอเบอโรว์
ดวงหน้างามส่ายหน้าเพื่อให้พ้นจากอ้อมอกเพื่อให้มีอากาศหายใจ ขณะที่ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน
“อื้อ! อื้อ! อื้อ!” คาโลคลายวงแขนออกเล็กน้อย ดวงหน้างามได้โอกาสเงยขึ้นเพื่อรับอากาศหายใจ “อุบ!” แต่ยังไม่ทันได้หายใจเข้าริมฝีปากร้อนก็ประกบไล่ลงมา นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ยังจับความไม่ได้เบิกกว้าง “อื้อ! อายใอไอ่ออก!” เจ้าตัวยุ่งประท้วงขึ้นเมื่อขาดหายใจมานานเกือบนาทีแล้ว ตั้งแต่ไอสีขาวจางไปก็ยังไม่ได้หายใจสักครั้ง มือบางผลักคนตรงหน้ากระเด็นลิ่ว
“เล่นอะไรน่ะ! จะฆ่ากันหรือไง!” ไม่ผลักเปล่ายังแถมการต่อว่าเพิ่มเข้าไปอีก ก่อนพยายามไล่เรียงเหตุการณ์
เมื่อกี้
คงฝันไป
ทันเท่าความคิดน้ำใสๆร่วงโรยมาจากนัยน์ตาคู่โต ความดีใจเอ่อล้นเมื่อรู้ว่านั่น เป็นเพียงแค่ความฝัน
ใช่มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น
“อีกห้านาทีป้อมปิด!” เสียงหวานอุทานก่อนวิ่งไปที่ป้อมอย่างรวดเร็วโดยไม่ถามไถ่เรื่องราวจากคนถูกผลักสักนิด
ถึงเขาจะไม่นึกโกรธแต่ถ้าได้โอกาสเมื่อไหร่จะเทศน์ซะให้เข็ด โทษฐานไม่มีฝีมือยังบังอาจลองดี
ถึงจะทำเพื่อเขา แต่ถ้าเจ้าหล่อนเป็นอันตรายขึ้นมาเขาก็ไม่ดีใจหรอก
“เฮ้อ”
มือบางยกขึ้นปาดเหงื่อหลังจากเข้ามาในห้องนอนได้ทันเวลา พลางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อออกมา
ตุบ
ของสิ่งหนึ่งร่วงลงบนพื้น เฟรินก้มลงเก็บกระเป๋าสตางค์สีแดงใบน้อยขึ้นมา กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวตกลงไปที่พื้น เป็นเหตุให้เจ้าหญิงหัวขโมยต้องก้มลงเก็บอีกรอบด้วยความหงุดหงิดแกมสงสัย แต่แล้วเมื่อได้เห็นข้อความบนแผ่นกระดาษนัยน์ตาคู่โตพลันเบิกกว้าง ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ก่อนกระดาษแผ่นนั้นที่เป็นรอยยับเนื่องจากแรงบีบ ก่อนจะร่วงหล่นสู่พื้นเนื่องจากมือนั้นชาไปแล้ว ข้อความสีแดงแปลกตาเรียงร้อยเป็นอักษรอย่างบรรจง
กำจัดเขาออกไปให้เร็วที่สุด
บัดดลที่กระดาษน้อยร่วงหล่นสู่พื้น พลันกลายเป็นเศษธุลี ปลิวไปตามสายลมที่อบอุ่นแต่ในความรู้สึกกลับเย็นเยียบกว่าหิมะ
นัยน์ตาสีน้ำตาลโชนแสงขึ้นทันที
“ไม่มีวัน ฉันไม่ทำ” คำพูดแน่วแน่ก่อนคิดหาหนทาง
ถ้าไม่เข้าใกล้มัน เธอก็ไม่มีทางฆ่ามันได้
จากนี้สามปีเธอจะไม่ย่างกรายเข้าใกล้มันสักเดคะเมตรเดียว
“คาโลฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”
“อะไร” เสียงตอบเย็นชาเช่นเคยหลังจากเทศนาพาทีเจ้าตัวดีมาหลายกัณฑ์ แต่มันกลับไม่ฟังเอาแต่เหม่อลูกเดียว เขาน่าจะรู้แต่แรกว่าอย่างมันไม่เคยสำนึกตัวว่าตัวเองผิดเลย แถมยังมีหน้ามาพูดนอกเรื่องอีก
“มันก็ออกจะเป็นเรื่องที่พูดยากสักหน่อยนะ
” เสียงหวานออกแนวเครียดทำให้คนตรงหน้าชักใจไม่ดี “คือว่า
” ยิ่งพอสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่โตที่ฉายรอยหม่นหมองปริ่มน้ำใสๆแล้วอีกด้วย ยิ่งทำให้ใจไม่ดีเข้าไปใหญ่ หรือเขาจะบ่นเธอมากไป เฟรินก้มหน้างุด “สามปีนี้
เราอย่าพบกันเลยนะ
” เพราะประโยคหน้าเบาแค่ได้ยินคนเดียว ประโยคหลังก็เบาแต่ได้ยินกันสองคน แต่ถึงจะเบากลับทำให้โลกทั้งใบสลายไปได้ในพริบตาเดียว
มือหยาบกระชากดวงหน้างามขึ้นมาสบ นัยน์ตาสีฟ้าพยายามเค้นหาความจริงจากนัยน์ตาสีน้ำตาลที่พร่าพรายไปด้วยคราบน้ำตา ดวงหน้าขาวพยายามสะบัดหนีแต่ไม่เป็นผล
“ทำไม” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ “เกิดอะไรขึ้น”
“ ไม่มีอะไร แค่ฉันอยากอยู่ให้ห่างนาย ในช่วงสา ” ยังพูดไม่ทันจบ นัยน์ตาสีน้ตาลก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นในมือตัวเองมีมีดสั้นวาววับอยู่ โดยไม่รู้ว่ามันมาจากไหน นี่เธอหยิบไอ้มีดเล่มนี้มาได้ยังไง หรือเธอจะใช้มันฆ่าคาโลโดยไม่รู้ตัว “ฉันอยากไปจากนายให้เร็วที่สุด!” ว่าพลางลุกพรวดแล้วเดินหนีพร้อมกับวางมีดไว้บนโต๊ะ
“เดี๋ยว ” คำพูดที่ทำให้เจ้าชายรูปงามต้องเก็บงำความสนใจ
ดูสิให้เก็บมีดไว้ป้องกันตัวก็ดันวางทิ้งไว้อีก อุตส่าห์ยัดใส่มือไว้แล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่า ดื้อ!
แล้วนี่ก็ยังพูดกันไม่ทันจบ แค่บ่นนิดหน่อยก็ตั้งท่างอนลูกเดียว
สรุปว่าเขาต้องไปง้ออีกแล้วสิ
แต่ไม่เข้าใจว่าแค่นี้ ทำไมต้องขอเลิก
แล้วยังน้ำตานั่นอีก
นี่เธอจะฆ่ามันจริงๆหรือ
แถมยังทำโดยไม่รู้สึกตัวด้วย
มีดนั่นถ้าเธอเห็นมันช้ากว่านี้ เธอคงแทงคาโลไปโดยไม่รู้สึกตัวแน่ๆ แล้วพอเธอรู้สึกตัวเธอก็จะกลายเป็นฆาตกร ทั้งที่สาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ทำ แล้วนี่เธอกำลังจะทำมันไปทั้งๆที่ไม่รู้สึกตัว
เธอควรทำยังไงดี
ร่างบางทรุดตัวลงพิงประตู ดวงหน้างามซบเข่า ก่อนปล่อยเสียงสะอื้น... โดยมีความเงียบคอยปลอบใจ...
เอาแค่นี้ไปก่อนให้ลุ้นกันต่อโฮะๆ ถ้าแต่งไม่ได้อารมณ์ก็บอกนะคะจะแก้ให้ ภาคต้นนี่ยังไม่จบนะคะแต่พอรู้สึกตัวก็ปาไปเจ็ดหน้าแล้วอ่ะที่เวทย์เป็นกลอนก็เพราะอยู่ในอารมณ์อยากแต่งกาพย์เราไม่ค่อยมีฝีมือเท่าไหร่ไม่รู้เป็นไงบ้างยิ่งกลอนที่ดั้นด้นเขียนให้เสร็จภายในห้านาทีด้วยนี่สิ ยังไงก็ฝากๆเรื่องนี้ด้วยนะคะ ใช่ๆอลิสเปิดไดแล้วนะคะบ่นปัญหาชีวิตของตัวเองลองเข้าไปดูกันนะที่เอ ไม่แน่ใจน่าจะอันนี้ล่ะ http://my.dek-d.com/aris/ ไปดูกันเยอะๆน้า เดี๋ยวอลิสจะเปลี่ยนนามปากกานู้นแล้วนะเพราะมันโหล(มาก) ชื่อใหม่ค่ะ 2Ardis คาดว่าจะเปลี่ยนเร็วๆนี้ กลุ้มมั่กๆความจริงไม่อยากเปลี่ยนเลยอ่ะ แต่มันโหลจริงๆ
ด้วยความขอบคุณ
Arita
ผลงานอื่นๆ ของ Loveyaris ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Loveyaris
ความคิดเห็น