ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [yaoi fanfiction]The evil within 'เยียวยา'

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2:ลุ้นรัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 322
      1
      15 พ.ย. 57

       "พ่อคะ! พ่อคะ! แบกหนูอีกๆ!!" เด็กหญิงเขย่าผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังนั่งกองอยู่กับพื้นด้วยความเหนื่อยหอบ หลังจากให้ลูกสาวขี่คอเดินรอบบ้านมานานหลายนาที

      "พ่อเหนื่อยแล้วลูก ให้พ่อพักมั่งเหอะ..."

      เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย ก่อนที่จะเขย่าตัวพ่อต่อ

      "แต่หนูยังไม่เหนื่อนี่นา เล่นต่อๆ นะๆๆๆ"

      ระหว่างที่เซบาสเตียนตัวโยกเยกงึกงักด้วยแรงเขย่า ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

     "ไปนอนได้แล้วลูก นอนดึกๆไม่ดีนะรู้มั้ย!"

     เด็กหญิงหันไปทางต้นเสียง ก่อนทำหน้าหงอยแล้วเดินจากไป

     "ค่ะ...คุณแม่ ราตรีสวัสดิ์.."

     ชายหนุ่มลุกขึ้นพลางนวดไหล่ตัวเองที่กำลังปวดเมื่อยจากการแบกลูกสาวเป็นเวลานาน

     "เฮ้อ...ให้ตายสิ...ไมร่า...แกไม่ค่อยจะทำตามคำสั่งผมเท่าไหร่เลย"

      หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

     "ก็เพราะคุณชอบตามใจแกไง แกถึงได้เป็นอย่างนี่น่ะ"

     "โถ่...คุณ ผมก็ไม่ได้ตามใจอะไรขนาดนั้นสักหน่อย"

     "ฮิฮิ...เอาล่ะๆ เราไปนอนกันเถอะนะคุณ พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานอีก..."

        ทั้งสองก็เจ้าห้องนอนไป และไฟทุกดวงถูกปิดลง...

      ชายวัยสามสิบปลายๆสะดุ้งตื่นขึ้น เขาลุกขึ้นนั่งแล้วแตะหน้าผากเบาๆหลังตื่นจากความฝัน...แท้จริงมันคือความทรงจำ...เป็นเพียงอดีต อดีตที่เขาต้องการย้อนกลับไปหามันอีกครั้ง ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้

      ผู้หญิงทั้งสองคนในความฝันของเขาได้จากไปแล้ว...พวกเธอจากไปโดยไม่มีวันกลับ

     ชายหนุ่มน้ำตาซึมออกมาเล็กๆ ทำไมต้องมาฝันแบบนี้ด้วย...

      .

      .

      โทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งถูกตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง  ซึ่งขณะนี้มันกำลังส่งเสียงดังระงมไปทั่วห้อง ทำเอาคนที่กำลังหลับไหลอยู่สะดุ้งตื่น

       'เซบโทรมา!! รีบรับสายเลย เซบโทรมา!!! ถ้าไม่รับอาจจะ...'

       ชายหนุ่มงัวเงียหยิบมือถือขึ้นมารับสาย

      "ฮา...โหล....?"

      "ทำอะไรอยู่น่ะนายเนี่ย เสียงงัวเงียแบบนี้อย่าบอกนะว่า..."

      "...เออ... เพิ่ง...ตื่น..."

      ทันใดนั้นโจเซฟก็หายสะลึมสะลือทันที เมื่อเขาได้ยินเสียงตะโกนที่ดังจนหูเขาแทบลาจากโลก!!

      "อีกแล้วนะนายน่ะ!! ลุกโว้ยยยย ลุกๆๆๆ!!!"

      "โอ้ยยย หูช้าน~~ "ชายหนุ่มร้องครวญครางพลางทำหน้าเหยเกใช้มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่แตะหูตัวเอง

       "ไม่ต้องมาทำเป็นโอดครวญเลยนะ!! นายไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกรึไง!"

      " ตั้งแล้ว แต่มันปลุกชั้นไม่ตื่นน่ะ "

     'แต่พอรู้ว่านายโทรมาเท่านั้นแหละ รับแทบไม่ทัน'

       โจเซฟนึกในใจ

      .

      .

      .

       "หาว~~~ " ชายหนุ่มหาวหวอดใหญ่ๆบนโต๊ะทำงาน บ่งบอกได้อย่างดีว่าเจ้าตัวง่วงแค่ไหน

      "กาแฟมั้ย" เซบาสเตียนถามก่อนจะวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะของชายหนุ่ม

      โจเซฟเลื่อนแก้วกาแฟมาซด แต่ก็เอะใจเล็กๆ เอ๊ะ? ทำไมวันนี้มาแปลก

      "นี่...เซบาสเตียนนนนนน" โจเซฟลากเสียงยาว ค่อยๆหันไปทางคนที่กำลังยืนอยู่ เซบาสเตียนสะดุ้งเฮือก

     "นาย... อยากยืมเงินชั้นก็ขอดีๆสิ!" เซบาสเตียนหน้ามุ่ย ดูเหมือนเขาจะผิดหวังเล็กๆ ก่อนจะเดินฉับๆไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ทิ้งให้คู่หูนั่งมองตามอย่างงุนงง

     ตกดึกคืนนั้น... ฝนตกหนัก

       เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆกลับไปแล้ว เซบาสเตียนยังคงง่วนกับการตามหาเลสลี่ย์อยู่

        ส่วนโจเซฟก็ยังอยู่เป็นเพื่อนเซบาสเตียนจนดึก ทั้งๆที่ปกติเขาจะขอตัวกลับก่อนไปแล้ว ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นห่วงเป็นใย คอยดูแลเซบาสเตียนขนาดนี้ เขา'แปลก' ไปจริงๆด้วย

      "เฮ้อ...ให้ตายเหอะ ฝนตกหนัก รถก็ติด แล้วชั้นจะกลับยังไงเนี่ย บ้านชั้นก็อยู่ตั้งไกลจากที่นี่..."

      ชายหนุ่มแว่นดำบ่นอุบ ระหว่างที่กำลังส่องโลกภายนอกจากหน้าต่างของสำนักงาน เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้าง ราวกับว่ามันกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ เขาลืมดูพยากรณ์อากาศไปเสียสนิทเลย

      "คืนนี้ไปนอนที่บ้านชั้นก่อนมั้ยล่ะ"เซบาสเตียนถาม ขณะที่ตายังส่องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ เพราะที่ที่เขาอยู่ก็ไม่ได้ไกลจากสำนักงานนี้นัก

      "เอ่อ...จะดีเหรอเซบ ชั้นว่า..." โจเซฟทำท่าทางอึกอัก

      "นี่ บ้านนายก็อยู่ตั้งไกล แถมรถยังติดอีก นี่ก็ดึกแล้ว แถมเมื่อคืนนายยังนอนไม่ค่อยหลับไม่ใช่เหรอ ถ้าเกิดนายเกิดหลับในคารถขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น นายรู้มั้ย? แล้วอีกอย่าง..."

      "โอ้ยๆๆ พอๆๆ ก็ได้ๆ คืนนี้ชั้นจะไปกับนาย โอเคนะ?"

      ณ คอนโดที่เซบาสเตียนอยู่

       ชายหนุ่มทั้งสองคนนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ ภายนอกฝนตกไม่มีท่าทีว่าจะซาลงเลยแม้จะผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว

      อันที่จริง โจเซฟก็เคยมานอนร่วมห้องกับเซบาสเตียนอยู่เป็นบางครั้งเมื่อมีเหตุจำเป็น แต่ บรรยากาศมักไม่กดดันแบบนี้ พวกเขามักคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาเพื่อนฝูงจนหลับไป แต่ครั้งนี้เซบาสเตียนกลับเงียบแถมนอนหันหลังให้อีก ราวกับกำลังน้อยใจอะไรบางอย่าง

      "เฮ้...?" โจเซฟเอ่ยถามขึ้น

       "หืม มีอะไร?"เซบาสเตียนถามกลับ แต่ก็ยังคงหันหลังอยู่

      "ชั้นว่า...ช่วงนี้นายดูแปลกๆไปนะ หลังจากออกมาจากหัวของรูวิคได้น่ะ นายมีอะไร บอกชั้นได้นะ"

      "โจเซฟ นี่นายไม่รู้จริงๆเหรอ?" เซบาสเตียนเปลี่ยนน้ำเสียงก่อนจะพลิกตัวมาหาคนข้างตัว จนหน้าจะชนกันอยู่แล้ว

      โจเซฟรีบถอยหนีด้วยความเขิญอาย ก่อนจะถามต่อ

      "มะ...ไม่รู้อะไรเล่า?"

      "โจเซฟ!! นายอายุตั้งสามสิบกว่าๆแล้ว แต่ใสซื่อในเรื่องบางอย่างยิ่งกว่าเด็กตัวน้อยๆอีก!! เอาเถอะ รีบๆนอนซะ ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดก็เหอะ!"

     เซบาสเตียนพูดจบก็หันหลังกลับไป ทิ้งให้คู่หูนอนสงสัย ก่อนจะสะกิดใจอะไรบางอย่าง...

    'เฮ้ย... คงไม่ใช่หรอกม้าง' เขาคิด ก่อนจะพลิกตัวไปอีกทาง

      โจเซฟหลับตานอน ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา น่าแปลกที่คืนนี้เขาไม่ได้คิดถึงคิดแมนจนนอนไม่หลับอีกต่อไป

      ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง โจเซฟก็ลืมตาขึ้น เมื่อเขารู้สึกอบอุ่นแปลกๆ เหมือนมีอะไรพาดเอวอยู่จากด้านหลัง

      เมื่อตั้งสติได้ เขาก็ได้รู้ว่า...ตอนนี้เขากำลังโดนเซบาสเตียนโอบแบบหลวมๆอยู่

      "หว๋า... อะไรกันเนี่ย" เขาอุทานออกมาเบาๆ แต่โจเซฟเอ๋ย...มันยังไม่พอแค่นี้หรอกนะ!!

      เซบาสเตียนขยับตัวเข้าใกล้อีกแม้ยังหลับอยู่ทำให้แนบชิดตัวเซบยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้หลังของโจเซฟแนบคนร่างสูงไปทั้งตัว เขาสัมผัสได้ถึงอกแกร่งที่มีเพียงเสื้อนอนบางๆปกปิด ตอนนี้โจเซฟแทบระเบิดอยู่แล้ว!!!

    "จะ...เจ้าบ้า ทำอะไรของนายเนี่ย!!"

      หัวใจเขากำลังเต้นผิดจังหวะ ราวกับว่ามันกำลังจะทะลุออกมา...

       แต่ก็ไม่ดิ้นหรือถอยหนี เมื่อโจเซฟเริ่มตั้งสติได้ เขาก็ค่อยๆปรือเปลือกตาลง แบบนี้...ก็ดีเหมือนกันนะ

       วันรุ่งขึ้น...

       โจเซฟค่อยๆลืมตาขึ้น ต้องตกใจเมื่อคนที่กอดเขาเมื่อคืนนี้หายไปแล้ว แต่เมื่อพลิกตัวไป ก็เห็นร่างสูงกำลังนั่งเก้าอี้อยู่ที่ระเบียงโดยหันหลังให้

      โจเซฟเดินไปเปิดประตูกระจกแล้วเดินไปหาร่างสูงที่กำลังนั่งอยู่ เซบาสเตียนสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันมามอง โจเซฟรีบหลบตา เมื่อคิดถึงเรื่องน่าอายเมื่อคืน

      "เมื่อคืน...นายนอนดิ้นงั้นเหรอ...?" โจเซฟถาม ทัั้งที่ยังหลบตาอยู่

      "..."เซบาสเตียนเงียบ ตาจ้องเขม็ง

      "เอ่อ...ชั้นไปอาบน้ำนะ" โจเซฟเริ่มเห็นท่าไม่ดีเลยถอยหลังหนี แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นขอบประตู ร่างสูงก็รีบพุ่งเข้ามาจับตัวโจเซฟเอาไว้

      โจเซฟตกใจมาก จนเผลอร้องออกมา

    ยังไม่ทันได้ไถ่ถามอะไร...

      ริมฝีปากของเขาก็โดนอีกฝ่ายประกบจูบ...

     โจเซฟเบิกตากว้าง หน้าแดงไปจนถึงใบหู หัวใจเต้นแรงกว่าเมื่อคืนเสียอีก เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้!!

      เซบาสเตียนถอนจูบออก จ้องดวงตาคู่สวยกำลังจ้องเขากลับด้วยความเขิญอายผ่านกรอบแว่น

      "ฟังนะ...โจเซฟ"

      โจเซฟจ้องหน้าอีกฝ่ายรอเขาพูดต่อ

      "ชั้นรักนาย..ได้ยินมั้ย!! ชั้นรักนาย!"

     "ซะ...เซบ?"

      ชายร่างเล็กอ้ำอึ้ง เขามาเจอกับเรื่องแบบนี้โดนไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด

      "แล้วนายล่ะโจเซฟ นายคิดยังไงกับชั้นล่ะ"

      "..."

    โจเซฟเงียบไป

      "เอาอย่างนี้ ชั้นจะไปส่งนายที่คอนโดของนาย แล้วรอคำตอบจากนายในวันพรุ่งนี้ โอเคมั้ย?"

      .

      .

      .

       

        ชายหนุ่มตัวเล็กผมสีอ่อนนั่งนิ่งบนโซฟา เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงไปไหน ราวกับกำลังทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เป็นเวลานานแค่ไหนแล้วนะ ที่เขาไม่ได้มีร่างกายที่สมบูรณ์แบบนี้ ตอนนี้เขาไม่ต้องมาเผชิญกับความทรมานด้วยพิษบาดแผล และอาการปวดหัวอันไร้ที่สิ้นสุด

       เขารู้สึกสบายกายกว่าที่เคยเป็น แต่ทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจเลยล่ะ?

      "หึ!!แล้วชั้นจะมารู้สึกผิดที่ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย ฆ่าคนยังทำมาแล้วเลย กะอีแค่เรื่องหยุมหยิมแค่นี้มันเทียบไม่ได้หรอก!!!" เขาพึมพำกับตัวเอง

      ใช่!! อีกอย่าง เขาทำแบบนี้ไปเพื่อความอยู่รอด เพื่อที่จะได้ออกมาจากความฝันบ้าๆที่ขังเขาเอาไว้ มันจำเป็น...มันจำเป็น...มัน...

      แต่ถึงจะหาข้ออ้างมาเข้าข้างตัวเองยังไง เขาก็ไม่อาจจะเอาชนะความรู้สึกผิดลึกๆในใจได้อยู่ดี เขารีบลุกเดิน ก่อนสะบัดหัวไล่ความรู้สึกอันนั้นออกไป ให้ตายสิ ไอ่ความรู้ผิดชอบชั่วดีนี่ ยิ่งมียิ่งไม่สบายใจเลย!!!

       เขามายืนพิงตนไม้ที่สวนหลังบ้านเลสลี่ย์  อันที่จริง บ้านของเลสลี่ย์อยู่ในเมืองที่ไม่ได้สิวิลัยอะไรมากมาย ออกแนวชานเมืองด้วยซ้ำ และทีสำคัญคือมันห่างจากเมืองคลิมสันซิตี้ที่พวกเซบาสเตียนอยู่พอสมควร ฉะนั้นเขาจึงรู้สึกค่อนข้างปลอดภัยจากพวกเซบที่อาจกำลังตามล่าเขาอยู่

       แม่ของเลสลี่ย์เห็นลูกชายตัวเองกำลังยืนพิงต้นไม้อยู่ จึงเดินเข้าไปหา

      "เลสลี่ย์? เป็นอะไรจ๊ะ ทำไมยืนนิ่งเลย"

      รูวิคหันมามองโดยไม่ได้ตอบคำถามอะไรเลย ในวันก่อนเขาเอ่ยออกมาเพียงประโยคเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

      ผู้เป็นแม่ถอนหายใจ ลูบหัวชายหนุ่มร่างเล็กตรงหน้าเบาๆ สัมผัสที่มีไว้เพื่อเลสลี่ย์อีกแล้ว ใช่สิ...ในโลกนี้ไม่มีคนที่เขารักหรือรักเขาหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ไม่เหลือเลยซักคน...

      อึก...เกลียดนัก!!

     "อย่ามายุ่งกับผม!!" รูวิคปัดมือแม่เลสลี่ย์ออก ก่อนจะวิ่งเข้าตัวบ้านไป แม่ของเลสลี่ย์วิ่งตาม เมื่อมาถึงหน้าห้องของเลสลี่ย์ที่อยู่ชั้นสอง รูวิคปิดประตูเสียงดังแล้วล็อกไว้ทันที

      "เลสลี่ย์...เลสลี่ย์...เป็นอะไรของลูกน่ะ?" ผู้เป็นแม่เคาะประตูอยู่หลายที

     พอ...พอได้แล้ว เสียงของความเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่ใช่เพื่อเขาแบบนี้ เขาไม่อยากได้ยิน!!

      รูวิคเอามือปิดหูตัวเอง หลับตาแน่น พลางถอยห่างออกจากประตู ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นกรรไกรที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เขารีบวิ่งไปหยิบมัน พอกันทีกับไอ้เสียงแบบนี้ เขาจะทำให้มันเงียบซะ!!

      ชายหนุ่มที่กำลังคุมสติไม่อยู่เดินฉับๆมุ่งหน้าไปยังประตูที่กำลังถูกเคาะอยู่ หมายจะเอาชีวิตคนที่กำลังส่งเสียงอยู่นอกห้อง

      และแล้ว...

      "อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!"

      รูวิคร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อเขาใช้กรรไกรแทงที่ไหล่ซ้ายของเขาเองเพื่อเรียกสติที่หลุดลอยออกไปให้กลับมา เลือดสีแดงเข้มเปรอะเต็มเสื้อและประตูห้อง เขาปากรรไกรทิ้ง ก่อนทรุดฮวบลงกับพื้น

      เขายังก่อเรื่องไม่ได้ ยังไม่ใช่ตอนนี้!!

      ผู้เป็นแม่รีบไปหากุญแจมาไขประตู ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลูกชายตัวเองนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า

      "ละ...เลสลี่ย์..."

      นี่เป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนจะวูบไป...

       .

      .

      .

       ชายหนุ่มลืมตาขึ้น รอบกายของเขาเต็มไปด้วยความมืด ไม่มีแสงสว่างเลยแม้สักนิด เขาลุกขึ้นแล้วพยายามวิ่งไป หมายจะหาทางออกจากสถานที่อันดำมืดแห่งนี้...ในความเป็นจริง มันเป็นสิ่งที่เขาพยายามทำมานานแล้ว คือการ'หนี'

       มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง มันกำลังเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะอันน่าสยดสยอง เหมือนเสียงของเขาแต่แหบแห้งกว่า

      "ฮิฮิฮิ อย่าหนีอีกต่อไปเลยน่า รูวิค นี่มันตัวตนของนายเองนะ จะพยายามแค่ไหนก็หนีไม่พ้นหรอกน่า"

      คราวนี้รูวิคหยุดกึก ก่อนจะหันไปด้านหลัง แม้จะมองไม่เห็นอะไรเลยแต่เขาก็ต้องการเผชิญหน้ากับมัน

      "แก..."

      "นายเองไม่ใช่เหรอที่ชอบเห็นคนอื่นโดนทรมาน นายเองไม่ใช่เหรอที่ฆ่าคนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อผลประโยชน์และความพิรมณ์ส่วนตัว พวกนั้นเจ็บปวด พยายามดิ้นรน แต่นายกลับเห็นว่ามันเป็นเรื่องสนุก..."

      ก็จริง!!หลายชีวิตต้องมาตายจากการทดลองผิดมนุษย์ของเขา นอกนั้นยังมีคนที่เขาฆ่าด้วยความสนุกสนาน ในโลกบ้าๆที่เขาสร้างขึ้น แต่...

      "หุบปาก!! นั่นมันไม่ใช่ตัวตนของชั้นสักนิด! "

      ในความเป็นจริง มันคือความดำมืดที่เกาะกุมจิตใจของเขา เกาะกุมราวกับลวดหนามที่บาดลึกติดแน่น ลวดหนามที่ก่อตัวจากความโศกเศร้าและเคียดแค้น  มันทำให้เขากลายเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือด กลายป็นคนวิกลจริตที่เห็นการฆ่าเป็นเรื่องสนุก

      "ฮิๆๆๆ คนที่ฆ่าได้แม้กระทั่งพ่อแม่บังเกิดเกล้าตัวเองยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก!"

      "บอกให้หุบปากไงเล่า!!!" ชายหนุ่มคำรามออกมา ความเสียใจเอ่อล้นไปหมด เขาพยายามมุ่งหน้าไปหาสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ก็มีลวดหนามมารัดตัวเขาเอาไว้ รัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาในทุกอณูของร่างกาย ราวกับว่าเขากำลังจะแหลกสลาย

      ฮึ่ม!!! สุดท้ายก็ต้องติดแหง็กอยู่ในความมืดนี้งั้นเหรอ...

      กลายเป็นปิศาจกระหายเลือดพร้อมคลั่งตลอดเวลา พร้อมจะฆ่าคนด้วยความเริงรมณ์

     การอยู่ในร่างใหม่ไม่ได้ช่วยให้มันหายไปเลย

      ผ่านม่านตาที่กำลังพร่ามัว เขาเห็นใครบางคนกำลังถือเทียนที่ถูกจุดไฟสว่างไสวในความมืด เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนเข้ามาประชิดตัวเขา จนวิคตอเรียนโน่พอรู้ว่าเป็นชายที่เขายึดร่างอยู่

      ชายหนุ่มตัวเล็กยื่นมือมาหาเขา รูวิคตอบสนองด้วยการส่งมือที่เต็มไปด้วยแผลกลับไป ราวกับต้องการให้คนตรงหน้าช่วยเหลือ อีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยประโยคเดิมที่รูวิคได้ยินจากปากคนตัวเล็กเมื่อคืนก่อน...

      "ผมจะช่วยคุณเองครับ..."

      ก่อนที่ภาพทั้งหมดตรงหน้าจะหายไป

    .

    .

    .

       เขาตื่นมาในโรงพยาบาลโดยมีผู้เป็นพ่อของเลสลี่ย์นั่งเฝ้าอยู่ เพราะนี่เป็นวันหยุด ทั้งพ่อและน้องสาวของเลสลี่ย์จึงไม่ต้องไปทำงาน ระหว่างที่พวกเขาไปซื้อของนอกบ้านก็ต้องรีบกลับมาทันทีเมื่อแม่ของเลสลี่ย์โทรมาบอกว่าลูกชายแทงตัวเองจนสลบไป ก่อนจะถูกนำมาส่งโรงพยาบาล

      "ตื่นแล้วเหรอ?" ผู้เป็นพ่อไถ่ถามด้วยความดีใจปนเป็นห่วง

      "..."

      "หมอบอกว่าถ้าแกตื่นเมื่อไหร่ก็กลับบ้านได้เลย แต่ต้องดูแลแผลดีๆ อย่าให้มันเน่าเด็ดขาด"

     "..."

     ผู้เป็นพ่อพยายามไถ่ถามถึงสาเหตุการทำร้ายตัวเองของลูกชาย แต่รูวิคยังคงเงียบเหมือนเดิม

      ที่ตั้งแต่เขามาก็แทบไม่ได้พูดอะไรเลย เพราะนี่เป็นร่างเลสลี่ย์ คงไม่ดีแน่ถ้าเขาพูดคุยในแบบที่ผิดแปลกไปจากเจ้าของร่าง อีกอย่าง หากพูดอะไรออกไปเขาอาจโดนครอบครัวนี้พาเขาไปให้ปากคำกับตำรวจว่าโดนใครทำอะไรมาบ้าง ซึ่งถ้าโกหกแล้วโดนจับได้อาจเกิดเรื่องใหญ่ตามมาภายหลัง

      ทันทีที่เขากลับมาบ้าน ทั้งแม่และน้องก็รีบยิงคำถามใส่เขาหลายข้อ และแสดงความเป็นห่วง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไร

      รูวิคทิ้งตัวนอนลงบนเตียงเดิม  เขารู้สึกเจ็บไปหมดเมื่อได้รับแรงกระเทือน ให้ตายสิ ได้ร่างใหม่ไม่ทันไรก็มีแผลแล้วหรือเนี่ย

      เขาหลับตาลงและตื่นมาในป่าแห่งเดิม แต่เป็นตอนเช้า

      แอ่งน้ำขนาดใหญ่ตรงสุดทางเดินมีดอกบัวบานเต็มไปหมด มีฝูงแมลงปอหากินอยู่เหนือแอ่งน้ำ น้ำกลายเป็นเลื่อมสีทองประกายแววาวยามต้องแสงตะวัน

      "สวัสดีฮะ!!" เสียงหนึ่งที่เขาคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง

      รูวิคหันไป ก็เห็นผู้ชายตัวเล็กที่กำลังยิ้มแย้ม ในตอนนี้ตัวของเขาต้องแสงอาทิตย์ ช่างดูสดใสราวกับกระต่ายตัวน้อยๆก็ไม่ปาน ตอนนี้ตัวเขาช่างดูน่าหลงไหล

      รูวิคใจเต้นเล็กๆ เพิ่งจะเคยเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเจ้านี่ ที่ผ่านๆมาเคยเห็นแต่ใบหน้าที่เหยเกด้วยความเจ็บปวดจากการทดลองผิดมนุษย์ของเขา กับสีหน้าที่ดูหวาดกลัว เขายอมรับว่าในตอนนั้นเขารู้สึกเฉยชากับความทรมานของคนตรงหน้า แต่รอยยิ้มบนดวงหน้าหวานในตอนนี้มันสะกดเขาเอาไว้ราวกับต้องมนตร์

       "นาย..."

      "เอาล่ะ ตามผมมาสิครับ"

       มือเล็กคว้าฝ่ามือหนาที่มีแต่บาดแผลมาจับไว้มั่น ก่อนพยายามจูงไปตามทางเดิน

     แวบนึงในหัว เขาคิดจะสะบัดมือคนร่างเล็กทิ้งแบบที่เคยทำ แต่ความฝันเมื่อตอนกลางวันที่มือข้างนี้ยื่นมาทำให้เขาฉุกคิด ราวกับว่ามันเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง

      เขาจึงยอมให้เลสลี่ย์ดึงตัวเขาไปตามทางเดินเรื่อยๆ เมื่อรูวิคหันหลังไปก็เริ่มไกลจากแอ่งน้ำนั่นทุกทีๆ

      "อ้อ...ผมลืมบอกไป อย่าออกนอกเส้นทางเด็ดขาดเลยนะ!"

      คำพูดเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มหันกลับมา

     "ทำไมกันล่ะ?" เขาถาม ทำไมถึงห้ามล่ะ? ทั้งๆที่สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสส่งกลิ่นหอมฟุ้ง และป่าที่ดูไม่ได้น่ากลัวอะไร

     "เพราะจะเกิดเรื่องไม่ดีตามมาน่ะสิ!!" เรื่องไม่ดีอะไรกัน เมื่อเทียบกับโลกของเขาแล้วดินแดนแห่งนี้ดูไม่มีอะไรเลวร้ายเลยสักนิด แต่ทางที่ดีทำตามเจ้าตัวเล็กนี่ดีกว่า

      เลสลี่ย์หยุดเดิน เมื่อมาถึงทางแยก เลสลี่ย์หันซ้ายหันขวา ราวกับกำลังเลือกเส้นทางอยู่ แต่ก็ยังลังเลอยู่นั่น จนหันมาทางร่างสูงด้านหลัง

       "ไปทางไหนดีอ่ะครับ?" เลสลี่ถามพลางยิ้มแหยๆ ทำเอาคนข้างหลังแทบล้มคว่ำ!!

       "นายเป็นคนพาชั้นมาไม่ใช่เหรอ! เลือกเองสิ!!" คนนำทางยังเลือกไม่ถูก แล้วคนตามมาจะไปรู้มั้ย!!

        เลสลี่ย์ตกใจสะดุ้งเฮือก ก่อนที่จะทำหน้าเศร้า และ...

      "ฮึก..." น้ำตาใสๆของคนตัวเล็กเริ่มเอ่อออกมา

      "เฮ้ย...!? นาย...."

      "แง้~~~~!!"

        ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย!

       "เอ่อ... ทางซ้ายล่ะกัน" วิคตอเรียนโน่กล่าว

        เจ้าบ้าเอ๊ย ขี้แยชะมัด!!!

       ชายหนุ่มเงียบทันที แล้วจูงมือพารูวิคเดินต่อไป เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตัวเล็กยังมีหยดน้ำตาคั่งค้างบนใบหน้า ร่างสูงก็ใช้มือลูบซับน้ำตาเบาๆ เลสลี่ย์ตกใจเล็กๆ ตาปิดแน่นด้วยความเขิญอาย 'ให้ตายเถอะ รูเบน ทำไมนายต้องมาทำแบบนี้ให้ใครด้วยเนี่ย' รูวิคคิด ที่ผ่านๆมาก็ไม่เคยคิดจะถนอมร่างบางนี้เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ถึงเริ่มเปลี่ยนไปล่ะ เขา'แปลก'ไปงั้นหรือ...

      เมื่อเดินไปเรื่อยๆ รูวิคก็สังเกตุได้ว่ามีทางแยกย่อยอีกมากมาย เลสลี่ย์จะให้เขาเลือกเส้นทางทุกครั้ง จนในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย....

      ทุ่งทานตะวันสีเหลืองอร่าม รับกับแสงอาทิตย์แผดจ้าและท้องฟ้าที่ประดับไปด้วยเมฆสีขาว ทั้งยังเอนไหวไปตามสายลมอันอบอุ่น ไกลออกไปมีภูเขาตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังประดับ ภาพตรงหน้าเป็นอะไรที่งดงามเกินกว่าที่รูวิคจะอธิบายออกมาได้

        ทุ่งทานตะวันที่นี่ ยังดูสดใสกว่าทุ่งทานตะวันในโลกของเขาเยอะ สดใสเหมือนวัยเด็กของเขา ที่ได้วิ่งเล่นกับพี่สาวบ่อยๆท่ามกลางทุ่งทานตะวันที่บานท้าทายแสงอาทิตย์อันสว่างไสว

       "เอ๋? โผล่มาที่ทุ่งทานตะวันเหรอเนี่ย?"เลสลี่ย์พูดออกมาอย่างคาดไม่ถึง

       "..." รูวิคยืนนิ่ง

       "คุณวิคตอเรียโน่?"

       "..."

       "เอ่อ...ถ้าไม่ชอบก็ไปทางอื่นกันเถอะครับ" เลสลี่ย์กล่าว ก่อนจะดึงๆเสื้อหวังให้คนร่างสูงกลับไปยังทางเดิน แต่...

       "ไม่ต้องหรอก! ที่นี่แหละดีแล้ว"

       พูดจบรูวิคก็เดินฝ่าเข้าไปในทุ่งทานตะวันอย่างรวดเร็ว มือหน้าไล้ไปตามดอกทานตะวันแต่ละดอกทุกครั้งที่เดินผ่าน เขาเงยหน้าขึ้น มองดูท้องฟ้าสีคราม ก่อนจะหลับตาลงรับสายลมอ่อนอุ่นๆ

      ชายตัวเล็กเห็นร่างสูงกำลังเผลอ จึงวิ่งเข้าไปตีหลังอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งหนี

       "ถ้าอยากแก้แค้นก็จับผมให้ได้น้าาาาาาาา" เลสลี่ย์วิ่งแล้วยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี สร้างความฉงนให้รูวิคเล็กๆ ทำแบบนี้ ไม่กลัวเขาเลยรึไง แต่แล้วความฉงนของเขาก็หายไปเมื่อเขาเห็นภาพใครบางคนกำลังซ้อนทับกับชายหนุ่มที่กำลังโบกไม้โบกมือเรียกเขาอยู่!!

      เจ้าของผมยาวสีดำคลับกำลังโบกมือเรียกเขาอย่างร่าเริง พร้อมเสียงหัวเราะคิกคักอันสดใสไม่แพ้ดอกไม้สีเหลืองอร่ามที่บานเต็มไปหมด

       เลสลี่ย์เห็นรูวิคกำลังก้มหน้านิ่ง ก็ต้องแปลกใจ จึงเดินเข้าไปหา

       "คุณวิคตอเรีย...." ไม่ทันได้พูดจบ ชายหนุ่มร่างสูงก็สบตาเลสลี่ย์พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์

       "เสร็จชั้นล่ะ!!!" ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือไปจั๊กจี้เอวของร่างบาง จนเลสลี่ย์ทรุดลงไป

       "อะ...ฮ่าๆๆๆ อย่านะครับ พอแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ!!!"

       แม้เขากำลังเศร้าอยู่ในใจก็ตาม แต่เด็กคนนี้กลับทำอะไรบางอย่างกับจิตใจของเขา ปลุกนิสัยด้านสว่างของเขาขึ้นมา โดยที่รูวิคไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

       ทีนี้ร่างบางลงไปนอนดิ้นกับพื้นของทุ่งทานตะวันจนดอกไม้สีเหลืองรอบๆสั่นไหวไปหมด ร่างสูงพยายามก้มลงไปตาม แต่แล้วก็พลาดท่าลื่นไถลจนปากไปโดนแก้มคนใต้ร่างเบาๆ คนใต้ร่างถึงกลับหน้าแดงซ่าน

      เลสลี่ย์จ้องมองร่างสูงที่กำลังคร่อมอยู่ด้านบน รูวิครีบลุกยืนก่อนจะพยุงร่างบางขึ้นมา ทั้งสองมองตากันอยู่พักหนึ่ง ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือชายหนุ่มตัวเล็กที่กำลังหน้าแดง ก่อนที่ภาพทุกอย่างตรงหน้าจะหายวูบไป...

      ชายหนุ่มตื่นขึ้นมา ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้าและเสียงหมู่นก เขาพยายามจะหลับต่อแต่ก็ไม่เป็นผล ถึงเวลาต้องลุกแล้ว รูวิครู้สึกแปลกใจที่เขาอยากจะกลับไปในฝันนั้นเหลือเกิน....

    --------

    โฮร๊กกกกก จบตอนล่ะ หลังจากพยายามปั่นมาสองอาทิตย์ มีแอบเผาๆหน่อย ตอนหน้าอาจอัพเร็วขึ้นอ่ะ ถ้าไม่มีอะไร คือเรายุ่งจริงๆอ่ะ รร.เลิก 5 โมงทุกวัน//ตาย

       มีเรื่องให้คิดด้วยนิดหน่อยค่ะ

       พยายามแต่งให้มุ้งมิ้งที่สุดแล้วค่ะตอนนี้  อ้อ...ถ้ามีคำผิดบอกเราด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค้าาาา><

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×