ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Exo]Last Tears น้ำตาหยดสุดท้าย...{Krisyeol,Sehun ft.Exo}

    ลำดับตอนที่ #2 : Last Tears : ก็แค่เรื่อง…ที่กำลังจะผ่านไป

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 641
      3
      19 มิ.ย. 56










    Last Tears

    ก็แค่เรื่องที่กำลังจะผ่านไป

     

     



     

     

                    กองเอกสารต่างๆถูกจับวางรวมกันอยู่บนโต๊ะทำงานหลังใหญ่ เสียงขูดขีดปากกาดังขึ้นเป็นพักๆให้พอรู้ว่ายังมีอีกหนึ่งชีวิตกำลังนั่งพิจารณาเอกสารอยู่ตรงนี้ ใบหน้าสวยหวานเครียดขึงยามเมื่ออ่านแผนงานต่างๆมากมาย จนเข็มนาฬิกาล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่แล้วนั่นแหละ ร่างบอบบางจึงได้ฤกษ์พักสายตาพร้อมกับลุกเหยียดแขนเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าออกไปจากตัว

                    ลิ้นชักทำงานถูกดึงให้เปิดออกพร้อมกันกับที่มือเรียวคว้านหากล่องบุหรี่ยี่ห้อดังออกมาจากลิ้นชักนั้น ร่างบอบบางลุกเดินหายออกไปจากห้องทำงาน ภายในบริษัทที่แสนจะเงียบเชียบในเวลาดึกดื่นค่อนคืนอย่างนี้ ประตูดาดฟ้าถูกผลักให้เปิดอ้าออกก่อนที่ร่างบอบบางจะแทรกตัวผ่านเข้าไปพร้อมกับดึงประตูปิดเบาๆ ที่บนนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นสวนขนาดย่อมสำหรับเอาไว้ให้พนักงานขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจในเวลาพัก และชานยอลก็เลือกเอาสถานที่แห่งนี้ในค่ำคืนที่เมื่อยล้าจากเรื่องราวต่างๆเพื่อมาพักสมอง

                    ควันอุ่นลอยอยู่จางๆท่ามกลางแสงสีของกรุงโซล ตากลมคู่สวยกวาดมองไปรอบๆราวกับจะซึมซับภาพสวยๆไว้ในม่านตา มันนานแค่ไหนกันนะที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียวเงียบๆแบบนี้ ตั้งแต่ตอนที่ถูกส่งตัวไปเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำนั่นหรือเปล่า? คนที่ผลักให้ชานยอลได้เห็นโลกในอีกแบบหนึ่ง ด้านที่มันไม่ได้มีแต่สีขาวสะอาดแต่ทว่ามันกลับไม่ได้ดำมืดเสียจนน่ากลัวอย่างที่คิดเอาไว้

                    เวลาเกือบหกปีที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งจบหลักสูตรของมหาวิทยาลัยในเครือ ทรมานเสียจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ ชานยอลคนเก่าในวันนั้นเหมือนเด็กหลงทางที่โดนทิ้งไว้ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้ามากมายในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ทั้งเคว้งคว้าง เปล่าเปลี่ยวเสียจนไม่รู้ว่าตัวเขาเองผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน สถานที่ๆไม่มีแม้แต่เงาของคุณพ่อคุณน้า แต่ที่ทำให้เจ็บหัวใจเสียยิ่งกว่าคือที่แห่งนั้นไม่มีพี่ชายที่เป็นดั่งอัศวินผู้คอยปกป้องดูแลเขาเหมือนเคยต่างหาก ไม่เคยมีแม้แต่โทรศัพท์ซักสาย ไม่มีการติดต่อใดๆจากคนๆนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เขาทำผิดอะไรนักหนาพี่ชายถึงได้เลือกตัดขาดกันขนาดนี้ เขาอยากรู้จริงๆ และนั่นเป็นปีแรกที่เขาต้องฉลองวันเกิดท่ามกลางความเงียบเหงาคนเดียวภายในหอพักรวม และก็เป็นเหตุผลเดียวที่เขาเลือกใช้ตัดขาดกับผู้ชายใจร้ายคนนั้นเช่นกัน

     

    “ หึ ” น่าสมเพชจริงๆปาร์คชานยอล เขาทำให้เจ็บขนาดนี้ยังมีหน้ามานั่งเสียน้ำตาให้คนพรรค์นั้นอยู่ได้ นายควรจะโกรธคนๆนั้นไม่ใช่เหรอ เขาทิ้งนาย เขาไม่สนใจนายเสียด้วยซ้ำ แล้วนายยังจะมามัวนั่งเสียเวลานึกถึงเขาอยู่ทำไม นั่นสิ ทำไมนะ?

     

    ก็ถ้าหากคำว่ารักมันตัดขาดได้ง่ายๆเหมือนดั่งใจคิด

    เขาคงทำมันไปแล้ว

     

    “ ไม่ยักรู้ว่าคุณหนูสูบบุหรี่ด้วยนะครับ ” เสียงทุ้มด้านหลังทำให้ร่างบอบบางรีบปาดน้ำตาออกจากหน้าลวกๆพลางปรับสีหน้าให้กลับมาไร้อารมณ์เหมือนที่ผ่านๆมาอีกครั้ง

     

    “ มันดึกแล้วนะครับ คุณหนูควรจะกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวคุณท่านจะเป็นห่วงเอา ” ชายหนุ่มยังคงพูดด้วยแววตาอาทรเหมือนในวันวาน เขาไม่สบายใจเลยที่คุณหนูเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

     

    “ พูดหมดหรือยัง ” ชานยอลเว้นวรรคเล็กน้อยพลางสบมองใบหน้าหล่อเหลาที่แสนคุ้นเคยด้วยแววตาแข็งกระด้าง ทั้งๆที่พยายามแล้วว่าจะไม่อ่อนแอต่อหน้าคนๆนี้ แต่เพียงสบเข้ากับดวงตาคมที่ทอดมองมาอย่าห่วงหาอาทร ความอ่อนแอที่ว่าก็พลันจุกขึ้นจนถึงลำคอจนทำให้ต้องรีบเบนสายตาหนีไปอีกทาง

     

    “ กลับไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว ”

     

    “ แต่นี้มันดึกแล้ว คุณหนูคะ

     

    “ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ฉันบอกว่าฉันอยากอยู่คนเดียวไงละ นายจะไปไหนก็ไป ” เสียงหวานตวาดห้วนด้วยความหงุดหงิด เผลอแสดงนิสัยเอาแต่ใจตัวเองออกมาจนได้ นายคงเบื่อมันมากสินะอู๋อี้ฟานถึงได้ถอนหายใจแรงๆออกมาแบบนั้น เบื่อฉันมากสินะ เบื่อจนตัดขาดเด็กอย่างชานยอลได้อย่างเลือดเย็นที่สุด เพราะว่าฉันมันเป็นเด็กเอาแต่ใจอย่างนี้สินะ อู๋อี้ฟาน

     

    “ ผมจะรอคุณหนูอยู่ข้างล่าง สบายใจเมื่อไหร่ก็ลงไปแล้วกันนะครับ ” ร่างสูงถอนหายใจเล็กน้อย ดวงตาคมทอดมองแผ่นหลังบอบบางด้วยความรู้สึกเป็นห่วง แม้อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เขารู้ว่าเขาทำแบบนั้นไม่ได้ คุณหนูคนเดิมของเขาได้หายจากเขาไปนานแล้ว

     

    ” ชานยอลไม่ตอบอะไร รอฟังจนเสียงประตูดาดฟ้าปิดลงเบาๆก่อนจะหันหลังกลับไปมองตรงที่ผู้ชายคนนั้นเคยยืนอยู่ แอบรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยคนๆนั้นก็ยังห่วงเขาอยู่บ้าง แม้มันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่ได้รับก็ตาม

     

     



     

                    นั่งรับลมอยู่ได้พักใหญ่จนในที่สุดร่างบอบบางก็ตัดสินใจเดินลงไปชั้นล่างของบริษัท ทันที่ที่ขาแตะพื้นล็อบบี้เขาก็เห็นชายหนุ่มคนเดิมนั่งรอเขาอยู่จริงๆ ในนาทีนั้นชานยอลบอกไม่ได้หรอกว่าใจตนสั่นมากแค่ไหน แต่ความหวั่นไหวก็ถูกปัดทิ้งในนาทีต่อมา ก็แค่หน้าที่ ผู้ชายคนนั้นทำเพราะหน้าที่ ไม่ใช่เพราะนาย ปาร์คชานยอล

                    เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบอบบางจึงเดินเข้าไปหยุดยืนพอให้อีกคนรู้สึกตัว อี้ฟานเงยหน้าสบตากับชานยอลเล็กน้อยก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืนนิ่งๆอยู่สักครู่ รอให้คุณหนูเดินนำไปที่รถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ด้านนอก เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบก่อนที่ประตูทางด้านเบาะหลังจะถูกดึงให้เปิดออกโดยร่างสูง ชานยอลหยุดสายตามองอีกคนนิ่งก่อนจะเดินเลยขึ้นไปเปิดประตูเบาะข้างคนขับแทน

     

    “ วันนี้ฉันไม่อยากนั่งข้างหลัง ” บอกกับอีกคนเสียงเรียบแล้วก็แทรกตัวเข้าไปนั่งรอในรถเงียบๆ อี้ฟานปิดประตูหลังเบาๆ เขาเดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับ เปิดประตูให้อ้าออกแล้วแทรกตัวลงไปนั่งบ้าง

     

     

     

                    เกิดความเงียบขึ้นหลังจากนั้น ไม่มีใครพูดจาใดๆหรือพยายามจะพูดอะไรต่อกัน มีเพียงเสียงแอร์รถยนต์ที่ดังอื้ออึงเบาๆพอทำให้บรรยากาศในรถดูไม่เงียบเชียบจนเกินไปนัก แต่กระนั้นมันก็น่าอึดอัดมากอยู่ดี ชานยอลที่เอนหัวพิงไปกับเบาะรถหันหน้าออกไปทางหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา ดวงตาคู่สวยเลื่อนลอยปล่อยความคิดให้หมุนวนไปในอากาศ แต่ทว่า

     

    Rrrrrrrr!!!!!

    เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูของอู๋อี้ฟานดังขึ้นขัดจังหวะความคิดเข้าเสียก่อน ชานยอลเหลือบตามองหน้าจอทัชสกรีนสุดหรูที่สว่างโร่เพียงเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ปลายสายคือคนสำคัญของผู้ชายคนนั้น แล้วอีกไม่เกินอึดใจ เขาก็จะกลายเป็นส่วนเกินเหมือนที่ผ่านๆมา

     

    “ ว่าไงเซฮุน ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนหืม ” น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความอ่อนโยนของคนร่างสูงทำให้คนที่เป็นส่วนเกินของบทสนทนานี้ได้แต่เม้มปากเข้าหากันเล็กน้อยเพื่อระงับอารมณ์บางอย่างที่กำลังคลอหน่วงอยู่ในม่านตาให้มันไหลย้อนกลับไปที่เดิม

     

    “ อื้ม พี่กำลังกลับบ้านไปพร้อมกับคุณหนู เราไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไปนอนได้แล้วไป ” ห่วงกันเหลือเกินนะ แต่ช่วยไปห่วงกันไกลๆหน่อยได้ไหม เพราะว่าคนขี้อิจฉาคนนี้ไม่อยากฟัง ไม่อยากรู้อีกแล้วว่าพวกเขารักกันแค่ไหน ห่วงใยกันอย่างไร เพราะยิ่งรับรู้ หัวใจดวงนี้ก็ยิ่งเจ็บปวด เจ็บปวดที่ๆตรงนั้นไม่เคยเป็นของเขาและไม่มีวันเป็นของเขา

                    แค่นยิ้มเยาะสมเพชเงาตัวเองในกระจก เห็นหรือยังละชานยอล หยุดซะทีเถอะความรู้สึกบ้าๆของนาย มันไม่มีค่าพอให้ผู้ชายคนนั้นหันกลับมามองนายได้หรอก

                    ท่ามกลางความเงียบที่กลับมาก่อตัวอีกครั้ง น้ำใสๆไหลซึมออกทางหางตาคู่สวยอาบแก้มขาวนวลช้าๆก่อนจะถูกมือบางยกขึ้นปาดทิ้งแทบจะในทันที ในเวลาที่แสนเดียวดายเหมือนตอนนี้ คนๆนี้ก็ยังเป็นคนที่ถูกมองข้ามอยู่วันยันค่ำ

     

    “ คุณหนู ” อี้ฟานเอ่ยแทรกขึ้นมาเบาๆ เขาเกือบลืมไปเลยว่าตั้งแต่บ่าย ร่างบอบบางยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยซักนิดนอกจากกาแฟที่เลขาชงเข้าไปให้ในห้องเพียงแก้วเดียวเท่านั้น

     

    “ แวะทานอะไรหน่อยไหม ตั้งแต่บ่ายคุณหนูทานกาแฟไปแค่แก้วเดียวเอง ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยถามอย่างอาทร ตั้งแต่คุณหนูมุทำงานในบริษัทใหญ่ของนายท่านร่างบอบบางก็ละเลยจนลืมดูแลตัวเองเหมือนที่ผ่านๆมา เขาก็แค่รู้สึกเป็นห่วงว่าอีกคนจะทรุดเอาได้สักวันถ้ายังหักโหมไม่ดูกำลังตัวเองอยู่แบบนี้

     

    “ ไม่ต้อง ฉันจะกลับบ้าน ” เสียงหวานแหบพร่าเล็กน้อยแต่ยังคงรักษาความกระด้างไว้ในคำพูดเรียบๆเหล่านั้น อี้ฟานส่ายหัวระอาเล็กน้อยกับความดื้อดึงไม่เปลี่ยนแปลง คราวนี้เขาจะลองขัดใจร่างบางดูบ้าง

     

    “ แต่ผมหิว ” ร่างสูงพูดแค่นั้นก่อนจะหักหัวรถเลี้ยวจอดแวะร้านอาหารข้างทาง ชานยอลหันหน้ากลับมามองอย่างเอาเรื่องที่ร่างสูงขัดใจตน คนสวยเตรียมจะพูดโวยวายแต่อี้ฟานไม่ได้อยู่รอฟัง ร่างสูงก้าวขาลงจากรถเดินดุ่มๆเข้าไปนั่งในร้านหน้าตาเฉย ปล่อยให้ร่างบอบบางนั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่ในรถอย่างนั้น

                    อี้ฟานลอบมองปฏิกิริยาของชานยอลเล็กน้อยก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะผุดขึ้นอยู่เหนือมุมปาก ลองถ้าไม่ทำวิธีนี้คุณหนูคงไม่ยอมลงมานั่งทานข้าวดีๆหรอก แต่กระนั้นก็ใช่ว่าลงมาแล้วอีกคนจะไม่แผลงฤทธิ์

     

    “ สั่งอะไรมา ไม่เห็นน่ากินเลย ” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ร่างบอบบางเผลอใช้เสียงกระเง้ากระงอนเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กๆกับร่างสูง แถมยังชะโงกหน้าดูพลางยู่ปากเหม็นเบื่ออาหารตรงหน้าอีกต่างหาก บ้าเถอะ ต๊อกโบกกี กมออซัง ซุนแด ดักบาล มันกับแกล้มชัดๆ

     

    “ งั้นก็ตามใจคุณหนูเถอะครับ แต่ผมจะกิน ” อี้ฟานยักคิ้วกวนๆใส่ พลางคีบต๊อกโบกกี้เข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ชานยอลจิ๊ปากไม่ชอบใจที่โดนอีกคนกวนประสาทจึงกอดอกพลางสะบัดหน้าหนีไปอีกทางอย่างงอนๆ ในนาทีนั้นแทบจะลืมหมดทุกอย่างว่าก่อนหน้าเคยหมางใจอะไรกันไว้ ถ้าชานยอลเฉลียวใจขึ้นมาซักหน่อยคงไม่เผลอแสดงออกท่าทางคุ้นเคยเหมือนในอดีตอย่างแน่นอน

     

    โครกกกกกก!!!

    ขอบคุณที่ทำให้ชานยอลขายหน้า บ้าจริง!! ไอ้กระเพาะบ้า ดันจะมาร้องประท้วงเอาอะไรตอนนี้

     

    “ ต๊อกนี้รสชาตดีนะครับ ไม่เผ็ดเกินไป คุณหนูคงพอทานได้ ”

     

    “ ยุ่ง ” คนสวยกระแทกเสียงใส่แถมยังยื่นปากใส่ร่างสูงด้วยท่าทางเอาแต่ใจอีกต่างหาก แต่แค่นั้นก็มากพอแล้ว อย่างน้อยมันก็ทำให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนไม่อึดอัดเกินไปเหมือนอย่างก่อนหน้านี้

     

    “ หึหึ ” อี้ฟานหัวเราะในลำคอน้อยๆมองดูคุณหนูคีบต๊อกโบกกีเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆด้วยความหิวแต่ใบหน้าสวยหวานกับทมึงถึงราวกับกำลังโกรธอาหารตรงหน้าอยู่ก็ไม่ปาน มันก็แค่น่ารักดีแหละนะ

                    หลังจากแวะร้านข้างทางเสร็จ อี้ฟานก็พาชานยอลกลับสู่คฤหาสน์ตระกูลปาร์คทันที รถยนต์ยังไม่ทันจอดเทียบหน้าบ้านดีเสียด้วยซ้ำ ร่างบอบบางของเซฮุนก็โผล่พรวดออกมายืนคอยอยู่ที่หน้าประตูราวกับติดเรด้า ชานยอลทอดมองร่างบอบบางของญาติผู้น้องด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งอิจฉาทั้งสงสารระคนกันไป แต่ที่ทำให้คนสวยรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยกันมากกว่า

     

    “ เด็กดื้อ ” ชานยอลได้ยินอี้ฟานสถบออกมาเบาๆเมื่อเจอเซฮุนยืนรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่ แม้น้ำเสียงนั้นจะค่อนไปทางตำหนิเสียมากแต่ไม่มีสิ่งใดบนหน้าตาไม่บ่งบอกเลยว่าร่างสูงเป็นห่วงร่างบอบบางที่ยืนคอยอยู่ตรงนั้นแค่ไหน การกระทำที่เรียกอาการสะอึกเล็กน้อยให้แก่คนหน้าหวาน ความรู้สึกเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนพังทลายลงไม่เป็นท่าแทนที่ด้วยความรู้สึกแย่ๆเหมือนที่ผ่านมา กดทับซ้ำลงในจุดเดิม ย้ำจนเป็นรอยแผลลึกที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากเจ้าตัว

                    อยากจะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้เสียให้พ้นๆ กระนั้นแม้แต่แรงก้าวขาลงจากรถยังแทบไม่มี ทำไมต้องเป็นเขาด้วย ทำไมต้องเป็นเขาที่ไม่ถูกเลือก

     

    “ คุณหนูครับ ”

     

    ” ชานยอลเมินเฉยกับคำเรียกนั้น ร่างบอบบางกัดฟันผลักประตูให้เปิดออกก่อนจะก้าวพรวดลุกออกจากรถ ไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้ เพราะแค่นี้เขาก็เหมือนส่วนเกินที่ไม่มีใครต้องการเข้าไปทุกทีแล้ว

     

    “ พี่ครับ ทำงานเหนื่อยไหมครับ อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวผมเข้าไปทำให้ ” เซฮุนขยับเข้าไปถามพี่ชายของเขาด้วยความเป็นห่วง เด็กหนุ่มมองร่างบอบบางของพี่ชายที่ซูบซีดลงไปเยอะในช่วงนี้ พี่ชานยอลน่าจะดูแลตัวเองบ้างอย่างน้อยทานอะไรบ้างก็ยังดี นี้ถ้าเขาไม่โทรไปถามพี่อี้ฟานช่วงออกไปทำงานนะคงไม่มีวันได้รู้เรื่องกันพอดี

     

    “ ขอบใจ แต่ไม่ต้องหรอก ฉันกินมาอิ่มแล้ว ” ชานยอลปลายหางตามองร่างสูงที่ก้าวตามหลังมาติดๆ จู่ๆความคิดด้านลบก็เลือกให้ร่างบางทำอะไรบางอย่างลงไป อะไรบางอย่างที่รู้ว่าเป็นการสั่นคลอนความรักของน้องชายกับผู้ชายคนนั้นให้วูบไหวเพียงเพราะความอิจฉาลึกๆที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเท่านั้น

     

    “ อ๋อ คราวหลัง เราไปกินที่ร้านนี้กันอีกนะ มันอร่อยดี ฉันชอบ ” ท้ายประโยคชานยอลหันไปยิ้มบางๆใส่เซฮุนให้ได้หน้าชา ทิ้งระเบิดไว้เป็นที่เรียบร้อยร่างบอบบางก็เดินชนไหล่ผ่านน้องชายไปอย่างจงใจ ยังไงปาร์คชานยอลก็ยังเป็นคุณหนูผู้แสนร้ายกาจและเอาแต่ใจตัวเองในสายตาคนอื่นอยู่วันยันค่ำ แต่ใครเลยจะรู้ว่าทุกย่างก้าวที่ย่ำลงไปข้างหน้าพร้อมๆกับเงาสะท้อนในกระจกที่ฉายภาพคนสองคนยืนจับมือถ่ายทอดความรักความเข้าใจซึ่งกันและกันต่อหน้าต่อตาร่างบางจะทำให้ก้อนเนื้อในอกบีบรัดแน่นจนเจ็บจุกไปหมดได้ขนาดนี้

                    ภาพตรงหน้าทำให้ขาขยับแทบไม่ออก แต่ชานยอลก็ยังคงกัดฟันทนฝืนร่างกายเดินไปจนถึงห้องจนได้ และทันทีที่บานประตูปิดลง ร่างทั้งร่างก็ทรุดฮวบลงนั่งกองกับพื้นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ทนสกัดกลั้นมาเนิ่นนานไหลอาบสองแก้มนวล อาการปวดหนึบที่ขั้วหัวใจไม่ได้จางหายไปเลยสักนิด ตอกย้ำภาพวันนี้และภาพวันวานให้มันค่อยๆฝังลึกลงไปยังก้นบึ้งหัวใจ ทรมานที่ต้องกลายเป็นส่วนเกิน เป็นคนที่ไม่มีความสำคัญอีกแล้วสำหรับผู้ชายคนนั้น  ทั้งๆที่รู้มาตลอดว่าเขารักกันแค่ไหน แต่หัวใจมันกลับไม่เคยรักดีเลยสักครั้ง สร้างหน้ากากกันตัวเองออกมา สร้างกำแพงสูงใหญ่เพียงเพราะจะปกป้องหัวใจไม่ให้เจ็บช้ำมากกว่าเดิม แต่มันไม่เคยสำเร็จ

                   

    มันเจ็บร้าวไปหมด หายใจก็แทบจะไม่ออก

    ทรมานจนเหมือนจะตายลงตรงนี้

     

    “ ฮึก จะ จงอิน ” เสียงหวานครางออกมาแทบจะไม่เป็นคำพูดเมื่อกดโทรศัพท์มือถือโทรออกหาใครบางคน

     

    “ ฮึก จงอิน ฮึก ชะ ช่วยฉันด้วย ”

     

    “ ฉันเจ็บตรงนี้เหลือเกิน ฮึก ช่วยฉันด้วยจงอิน ช่วยฉันด้วย ฮือ ช่วยฉันด้วย  ” เสียงสะอื้นไห้ราวกับคนกำลังจะขาดใจดังขึ้นเป็นห้วงๆ ชานยอลตอนนี้ไม่เหลือคราบคุณหนูผู้แสนเอาแต่ใจเลยสักนิด ร่างบอบบางดูราวกับเด็กน้อยที่กำลังพลัดหลงกับพ่อแม่ยังไงยังงั้น

     

    “ ฮึก จงอิน มารับฉันนะ นายมารับฉันทีนะ มารับฉัน ” คำพูดย้ำๆในประโยคเดิมดังสะท้อนคลอไปกับเสียงร่ำไห้ มือข้างที่ถือโทรศัพท์กำแน่นจนมันขึ้นเส้นเลือดปูดนูน ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรกับร่างบอบบางบ้างจึงทำให้อีกคนพยักหน้ารับรัวๆเหมือนเด็กก่อนจะกดตัดสายทิ้งพลางวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัว

                    ร่างบอบบางนั่งชันเข่าพลางใช้สองแขนโอบล้อมตัวเองไว้เหมือนเด็ก น้ำตาไหลพรากอาบแก้มนวลพร้อมเสียงสะอื้นไห้ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ อาการที่สั่นเสียยิ่งการลูกนกพลัดตกจากรังแม่ ช่างน่าเวทนานัก

                    นั่งโยกตัวไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหนเป็นทางนานนับชั่วโมง จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูห้องแล้วนั่นแหละ ร่างบางจึงได้สติกับเข้าร่างอีกครั้ง

     

    “ ใคร?? ” เสียงหวานแหบพร่าพยายามอย่างหนักที่จะไม่ให้มันสั่น แต่ช่างยากเหลือเกิน และเพราะคนที่เคาะประตูนั้นก็หาใช่คนที่ร่างบอบบางจำเป็นจะต้องซ่อนความอ่อนแอไม่ให้เห็นไม่จึงไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ชานยอลจะต้องเช็ดน้ำตาตอนเปิดประตูให้คนๆนั้น

     

    “ ฮึก จงอิน ” เพียงแค่ใครคนนั้นก้าวขาเข้ามาในห้อง ชานยอลก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของชายผู้นั้นทันที ร่างบางสะอื้นไห้ซบไหล่หนาอย่างไม่อายว่าอีกคนจะหาว่าเขาเหมือนเด็กเล็กๆหรือไม่ เพราะเขาคือคิมจงอิน คือคนสำคัญของปาร์คชานยอล คือคนที่ชานยอลไว้ใจมากที่สุด ไว้ใจมากกว่าใครๆ

     

    “ ไม่เป็นไรนะ นายยังมีฉัน ไม่เป็นไรนะชานยอล ” ชายหนุ่มผิวคล้ำพูดปลอบโยนร่างในอ้อมกอดให้ได้คลายจากความเศร้าโศก เพียงแค่อีกคนยกสายโทรไปหาเขาดึกดื่นพร้อมกับเสียงสะอื้นปริ่มจะขาดใจนั่น มันก็ไม่สามารถทำให้เขาทนนิ่งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป เพราะเขารู้ดีว่า ภายใต้หน้ากากเย็นชาไร้หัวใจที่อีกคนสร้างขึ้นมานั้นมันเป็นเพียงเพราะร่างบอบบางนี้ต้องการป้องกันตัวเองออกจากสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดเจียนตายเหมือนในตอนนี้ไงละ

     

    “ ฮึก ฉันเจ็บจงอิน ฮึก ฉันเจ็บ

     

    “ ฉันรู้ แต่นายยังมีฉัน ไม่ต้องกลัวนะชานยอล ฉันจะไม่มีวันทิ้งนายเด็ดขาด ฉันสัญญา ”





    (50%)




     

     

    ฉันจะไม่ทิ้งนาย ไม่มีวันปล่อยให้นายอยู่ตามลำพังเด็ดขาด

     

    “ จงอิน ”

     

    “ นายเชื่อฉันได้นะชานยอล นายเชื่อฉันได้ ” ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้นก่อนจะโดนร่างบางโถมเข้าใส่อีกรอบ ที่พึ่งสุดท้าย ที่พึ่งที่ไม่เคยทรยศชานยอล ที่พึ่งที่ไม่เคยหลอกลวงหรือทอดทิ้งเขาไปไหน คิมจงอิน ขอบคุณ

     

    “ ข ขอบคุณ ” ความรู้สึกตื้นตันเกิดขึ้นในนาทีนั้นพร้อมกับความรู้สึกผิดท่วมอยู่ทั้งใจ จงอินผู้ที่ยืนเคียงเขาเสมอมา แต่กลับเป็นเขาเองที่ตอบแทนความดีนั้นไม่ได้ ตอบแทนความรักคืนกลับให้จงอินไม่ได้ ผู้ชายดีๆแบบนี้ ผู้ชายที่รักเขาหมดทั้งหัวใจ แต่เป็นเขาเองที่ให้ใจกลับคืนไปไม่ได้ ไม่แม้แต่เสี้ยวเดียว ชานยอลผู้แสนโง่เขลาแท้จริงกลับเห็นแก่ตัวไม่ต่างจากใครๆ

     

    “ เลิกร้องได้แล้วน่า รู้ไหมหน้านายไม่เหมาะกับน้ำตาเลยนะชานยอล ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน มือหนาที่ไล่ปาดน้ำตาออกจากหน้าให้ดูทะนุทนอมเขายิ่งกว่าอะไร ทั้งๆที่มีคนที่ดีพร้อมอยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่หัวใจกับยังคงร่ำร้องโหยหาใครคนนั้นไม่รู้ลืม

     

    ถ้าหัวใจบังคับได้อย่างที่ปรารถนา ชานยอลจะสั่งให้ตัวเองลืมผู้ชายคนนั้นแล้วรักจงอินซะเดี๋ยวนี้เลย

    แต่หัวใจของชานยอล มันไม่เคยรักดี

    มันคอยแต่จะทรยศเจ้าของของมัน อยู่ร่ำไป

     

    “ พาไปจากที่นี้ที ฉันไม่อยาก อยู่ ” ร่างบอบบางเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น แววตาคู่สวยสะท้อนความเศร้าซึมลึกจนคนที่นั่งอยู่ด้วยกันยังรับรู้ถึงความเจ็บปวด จงอินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนอื่นๆถึงมองไม่เห็นความเศร้าซึมนี้ของร่างบอบบาง โดยเฉพาะคนๆนั้น คนที่สร้างรอยแผลเป็นกรีดลึกในหัวใจให้กับคนตรงหน้านี้ ชักอยากจะเห็นซะแล้วสิว่าหน้าตาของคนใจร้ายคนนั้นเป็นอย่างไร (?)

     

    “ ก็ได้ ฉันจะพาไป แต่นายไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ ขืนออกไปในสภาพนี้ คนอื่นได้แตกตื่นกันหมด ” จงอินไล่ให้ร่างบอบบางไปล้างหน้าล้างตาเสียใหม่ เขาแค่ไม่อยากให้ที่บ้านของร่างบางเข้าใจผิดคิดว่าเขาเข้ามาทำมิดีมิร้ายอีกคนถึงในบ้านหรอกนะ เพราะแค่ที่เขาพรวดพราดเข้ามาโดยพลการแบบนั้นมันก็พาให้คนอื่นเข้าใจร่างบางนี้ผิดหมดแล้ว เฮ้อ

                    นานราวชั่วอึดใจกว่าร่างบอบบางจะเดินออกมาจากห้องน้ำ จงอินมองใบหน้าสวยหวานที่เริ่มดีขึ้นกว่าก่อนนี้มากด้วยความพอใจ อย่างน้อยเขาก็ไม่เห็นคราบน้ำตาที่เป็นเครื่องสะท้อนความเจ็บปวดของร่างบางอีกแล้ว แค่นี้มันก็ดีมากพอแล้วสำหรับตอนนี้

     

    “ จะเอาชุดไปด้วยไหม ”

     

    “ ไม่ต้องหรอก ไว้พรุ่งนี้สายๆค่อยเข้ามาเปลี่ยน ”

     

    “ ตามใจ ” จงอินพูดแค่นั้น ชายหนุ่มยืนรอร่างบอบบางหยิบของบางชิ้นเข้ากระเป๋าถือก่อนที่คนทั้งคู่จะเดินออกจากห้องนี้ไปพร้อมกัน

                    และทันที่ที่เดินลงมาถึงชั้นล่าง คนทั้งคู่ก็เจอเข้ากับสายตาคู่หนึ่งที่ทอดมองมาอย่างสงสัย ใบหน้าหวานดูอ่อนเยาว์ทำให้จงอินเดาได้ไม่ยากว่าคนๆนี้คือใคร หึ

     

    “ นั่นพี่จะออกไปไหนครับ ” เซฮุนถลาเข้าไปถามพี่ชายด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าพี่ตัวเองเดินเกาะแขนคนแปลกหน้าที่จู่ๆก็พรวดพราดเข้ามาในบ้านบอกว่ามาหาพี่ชายของเขากลางดึก มันน่าไว้ใจเสียเมื่อไหร่ละ

     

    “ นายเป็นพ่อฉันหรือไงเซฮุน ” คนหวังดีโดนตอกหน้ากลับด้วยวาจาแสนร้ายกาจ ใบหน้าหวานของคนเป็นน้องซีดลงอย่างเห็นได้ชัด จงอินลอบมองอย่างพิจารณา ทำตัวน่าอ่อนแอซะขนาดนี้ไงละ ใครๆถึงได้รัก ถึงได้หลง หลงจนลืมมองความรู้สึกของใครบางคน ที่เปราะบางไม่ต่างกัน

     

    “ แต่นี้มันดึกมากแล้วนะครับ ผมเป็นห่วง ”

     

    “ ไปเถอะจงอิน ยืนตรงนี้นานๆฉันรำคาญ ” ชานยอลพูดแค่นั้น ร่างบอบบางเลิกสนใจน้องชายที่ยืนพูดอะไรเซ้าซี้น่ารำคาญในความรู้สึกของเขา จงอินไม่ได้พูดอะไรอีก ชายหนุ่มเดินตามหลังชานยอลออกไปเงียบๆ แม้จะสงสารอีกคนที่โดนตอกหน้าไปแบบนั้น แต่จงอินเชื่อว่าที่ชานยอลทำลงไปเพียงเพราะร่างบอบบางต้องการสร้างกำแพงกันตนเองออกจากคนอื่นๆเพื่อซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ภายในเท่านั้น ทำไมเขาถึงมั่นใจแบบนั้นน่ะเหรอ เพราะสายตาของร่างบอบบางไงละ มันไม่เคยโกหก

     

    “ ใจร้ายจังเลยนะ ” เสียงแซวเล็กๆทำให้อารมณ์ของชานยอลดูดีขึ้นมาอีกนิด อย่างน้อยก็มีจงอินที่เข้าใจความคิดเขา เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร และรู้สึกยังไง

                    จงอินเหลือบสายตามองคนในรถพานมองเลยไปยังคนที่เดินตามออกมาส่งนอกรถ บางทีชานยอลก็ใจแข็งมากเกินกว่าจะแสดงความรู้สึกจริงๆของตนเองให้ใครได้เห็น แบบตอนนี้

     

    “ เขาน่าสงสารออก ”

     

    “ ก็คงงั้น นายไม่ต้องเป็นกังวลหรอก ยังไงคนปลอบหมอนั้นก็มีเยอะอยู่ดี ” จงอินถอนหายใจออกมาน้อยๆ มองร่างบอบบางที่เอนหัวซบกับกระจกด้วยความอ่อนอกอ่อนใจทั้งใจแข็งทั้งดื้อรัน แต่ทว่า เปราะบางเสียยิ่งกว่าอะไร นี่แหละปาร์คชานยอลที่เขารู้จัก

     

    “ พูดถึงก็มา ตายยากจริงๆ ” ชานยอลแค่นยิ้มขืนมองภาพอี้ฟานที่เดินเข้ามากอดปลอบใจเซฮุนด้วยดวงตาแสนเศร้า ความรู้สึกที่ไม่อาจส่งไปถึง มันก็ได้แค่นี้แหละ แค่เฝ้ามอง อยู่ในมุมของตัวเอง

     

    กึก!!

     

    “ นี่มัน ” คำพูดถูกกลืนหายไปในลำคอ เมื่อจงอินมองตามสายตาของร่างบอบบางจนไปปะทะเข้ากับใครคนนั้นของชานยอล บางทีจงอินอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่แล้ว ถ้าเป็นคนๆเดียวกัน ไม่ผิดตัวแน่ แต่ว่าทำไม(?) ตาคมทอดมองไปทางอี้ฟานอย่างพิจารณา

     

    “ เป็นอะไร ”

     

    “ เปล่าน่ะ รีบไปดีกว่า นายจะได้พักผ่อน ”

     

    “ อื้ม ” ชานยอลขานรับเบาๆก่อนจะหลับตาลงช้าๆเพื่อลบภาพตรงหน้าให้หายไปจากสายตา จงอินถอนหายใจ แววตาสุดท้ายก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไปจากบริเวณนั้นคือใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ยืนกอดปลอบคนตัวบางอยู่ตรงหน้าประตู ทิ้งความแคลงใจบางอย่างให้ตกตะกอนในจิตใจ ผู้ชายใจร้ายของชานยอลแท้จริงแล้วรู้สึกเช่นไรกันแน่ (?)

     

     

                    เช้าวันถัดมาจงอินแวะส่งชานยอลตรงหน้าประตูรั้ว ทั้งๆที่ใจจริงอยากจะส่งให้ถึงประตูห้องนอนเสียด้วยซ้ำแต่ติดตรงที่ร่างบอบบางนี้ร้องขอเอาไว้ซะก่อน เขาเลยทำได้แค่จอดรถให้อีกคนเดินลงไปเองเท่านั้น

     

    “ เย็นนี้กินข้าวด้วยกันนะ เดี๋ยวแวะไปรับที่ทำงาน ”

     

    “ อื้ม รีบไปเถอะ สายมากแล้วนะ เดี๋ยวพ่อนายก็ได้บ่นเอาอีกหรอก ” ชานยอลเอ่ยปากไล่ให้อีกคนรีบออกรถไปได้แล้ว

     

    “ พ่อหรือจะกล้าบ่นฉันน่ะ อย่าลืมสิ ฉันน่ะกัมจงว่าที่ประธานบริษัทคนต่อไปเชียวนะ ”

     

    “ อู้ว์ รู้แล้วๆ พ่อประธานกัมจง รีบๆไปเลยไป๊ ” ชานยอลทำหน้าเหม็นเบื่อในคำพูดโอ้อวดนั้นของชายหนุ่ม ร่างบอบบางแกล้งทำมือโบกไล่ให้อีกคนรีบไปไกลๆเสียที จงอินหัวเราะพรืดออกมากับท่าทางนั้น รู้สึกสุขใจที่ร่างบางนี้ยิ้มออกซะที

     

    “ ชาน

     

    “ หื้ม ”

     

    “ เปล่า ไม่มีไรหรอก ตั้งใจทำงานนะ ” คำพูดที่ตั้งใจถูกกลืนหายไปในลำคอ บางช่วงเวลาเขาก็ไม่กล้าพอจะพูดคำๆนั้นออกไป คำบางคำที่เก็บเอาไว้เนิ่นนาน เมื่อถึงเวลานั้นเขาไม่แน่ใจว่าร่างบอบบางนี้จะยังเหมือนเดิมกับเขาอยู่ไหม? คิมจงอินก็แค่กลัว กลัวว่าปาร์คชานยอลจะเปลี่ยนไปเพราะคำว่ารักที่เขามี

     

    “ อ่า โอเค นายเองก็เหมือนกันนะ ตั้งใจทำงาน ไว้เจอกันตอนเย็น ”

     

    “ บาย ” ชานยอลยืนส่งรอจนรถยนต์คันหรูพ้นไปจากสายตา จากนั้นตนเองจึงหันหลังกลับเข้าบ้านไปบ้าง แต่ยังไม่ทันที่ขายาวจะก้าวถึงประตูใหญ่ดีเสียด้วยซ้ำ ใครบางคนก็พุ่งสวนออกมาซะก่อน

     

    “ คุณหนู ” อี้ฟานเอ่ยทักร่างบอบบางที่กำลังเดินผ่านหน้าเขาไปเฉยๆ ไม่แม้แต่จะหยุดทักทายหรือมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ แต่กระนั้นกลับเป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยทักอีกคนก่อนแม้ว่าจะได้รับความเฉยชากลับมาเหมือนเคยก็ตาม

     

    “ วันนี้คุณหนูควรหยุดพักสักวันนะครับ เดี๋ยวผมเซ็นลาให้ ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยออกมาอย่างห่วงใย พลางใช้สายตาทอดมองร่างบางตรงหน้า รอยคล้ำใต้ขอบตาเป็นสัญญาณบ่งบอกชั้นดีที่ทำให้รู้ว่าเมื่อคืนร่างบอบบางคงไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เป็นแน่

     

    “ ไม่ต้อง ฉันสบายดี นายจะไปทำงานก็ไปเถอะ เดี๋ยวฉันขับรถไปเอง ” เสี้ยวหน้าหวานผินมองไปทางอื่น พยายามไม่หวั่นไหวไปกับสายตาและน้ำเสียงอ่อนโยนที่อีกคนใช้ถามอย่างอาทร เขาก็แค่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บมากกว่าเดิมเพราะคำห่วงนั้นเป็นแค่หน้าที่ที่อีกคนใช้ถามไถ่กันเท่านั้น

     

    “ เห็นทีว่าผมคงให้คุณหนูทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าคุณหนูอยากไปทำงาน ผมก็จะรอไปพร้อมคุณหนู

     

    “ อู๋อี้ฟาน นายไม่ใช่พ่อฉัน ไม่ต้องมาสั่ง ” ร่างบางพูดด้วยความกราดเกี้ยว

     

    “ ครับ ผมไม่ใช่คุณท่าน แต่ผมมีหน้าที่ที่ต้องดูแลคุณหนูเพราะฉะนั้น ผมจะไปรอคุณหนูที่รถ ” เป็นครั้งที่สองที่อี้ฟานเลือกที่จะขัดใจร่างบอบบาง ชายหนุ่มเดินตรงไปยังโรงจอดรถพลางเปิดประตูรถยนต์คู่ใจก่อนจะแทรกตัวผ่านเข้าไปนั่งคอยอีกคนอยู่ในนั้นตามคำพูด ชานยอลหน้าบึ้งที่โดนขัดใจถึงสองครั้งสองคราในระยะเวลาไล่เลี่ยกันแต่กระนั้นร่างบอบบางก็มิอาจทำอะไรได้ดั่งใจนอกเสียจากระบายความแค้นเคืองเอากับฟ้ากับลมแทน จนรู้สึกอารมณ์เย็นลงแล้วนั่นแหละจึงได้ฤกษ์พาตนเองหายลับขึ้นไปชั้นบน ปล่อยให้คนแอบมองลอบยิ้มชอบใจคนเดียวในรถ

                    อี้ฟานนั่งรอคุณหนูเจ้าอารมณ์อยู่นานราวครึ่งชั่วโมงจนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายเดินปั้นปึ่งออกมาจากประตู ยืนรอให้เขาเอารถไปรับที่หน้าประตูใหญ่ ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย รู้สึกสบายใจอย่างไรบอกไม่ถูกที่เห็นอาการแสนงอนของคุณหนู คุณหนูคนเดิมกำลังจะกลับมาหรือเปล่า(?)

     

    ปึง!!

    แค่เสียงปิดประตูรถยังรู้เลยว่าอีกคนอยู่ในอาการไม่พอใจแค่ไหน หึหึ

     

    “ ถ้าอยากงีบพักสักหน่อยก็ได้นะครับ ถึงแล้วเดี๋ยวผมปลุก ” ร่างสูงเอ่ยบอกเมื่ออีกคนขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว แต่ชานยอลไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นอีกตามเคย จนร่างสูงจนใจและเลิกพูดคุยไปเอง เฮ้อ

    แต่ในขณะที่รถยนต์เคลื่อนตัวออกได้ยังไม่พ้นเขตบ้านดีเสียด้วยซ้ำ ร่างบอบบางก็ตาปรือโงนเงนจนหัวเอียงชนขอบกระจกเข้าซะแล้ว ท่าทางที่ทำให้คนมองเผลอยิ้มกว้างจนเก็บไม่มิด

     

    “ ย ยิ้มอะไรของนาย ” คนสวยแว้ดใส่เสียงเขียวเมื่อเจอเข้ากับรอยยิ้มกว้างชวนหมั่นไส้นั้นของร่างสูง โถ่เว้ย! เสียฟอร์มชะมัด แต่เขาง่วงจริงๆนี่หน่า ใครบอกว่าอาบน้ำแล้วจะตาสว่าง ไม่เห็นจริงเลยสักนิด มันสบายตัวจนอยากจะล้มตัวลงนอนอีกมากกว่า

     

    “ เปล่าครับ ” จะให้บอกได้ไงเล่า ว่าเวลาเห็นคนสวยที่นั่งข้างกันตอนนี้แว้ดใส่ตนน่ะ มันน่ารักขนาดไหนน่ะ

     

    “ ฝากไว้ก่อนเหอะ ” ชานยอลกัดฟันกรอดคาดโทษร่างสูงอยู่ในใจ ผิดกับอีกคนที่ได้ยินแค่เสียงงึมงำผ่านทางลำคอเท่านั้น

                    รถยนต์คันหรูจอดเทียบข้างทางเมื่อหันไปเจอคุณหนูชานยอลหลับคอพับคออ่อนไม่เป็นท่าอยู่อีกเบาะหนึ่ง ร่างสูงจัดแจงท่านอนให้อีกคนใหม่แถมปรับเบาะให้นอนสบายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ในยามนี้ตาคมกล้าทอดมองร่างบอบบางผ่านความเงียบเนิ่นนาน มองลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกในจังหวะสม่ำเสมอสลับกับใบหน้าสวยหวานที่ดูอิดโรยเพราะโหมทำงานหนักจนขาดการพักผ่อนนั่นอย่างเป็นห่วง จนในที่สุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือยกขึ้นมาเพื่อกดโทรออกหาใครบางคน

     

    “ ซูจองเหรอ วันนี้ช่วยจัดการตารางงานแทนคุณหนูด้วย เอกสารอะไรที่สำคัญเธอเอาไปฝากไว้ที่วิคตอเรียเดี๋ยวฉันเข้าไปจัดการเอง อ่อ แล้วทำเรื่องแจ้งบอร์ดด้วยว่าคุณหนูลาป่วยหนึ่งวัน ” ชายหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อยพลางหันมองร่างบอบบางเบาะข้างๆที่นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด

     

    “ ซูจอง วานเธอบอกวิคตอเรียทีให้จัดการทุกอย่างส่งมาในเมล์ให้ฉันด้วย วันนี้ฉันอาจไม่เข้าบริษัท ” ชายหนุ่มพูดแค่นั้นก่อนตัดปลายสายโทรศัพท์ทิ้งไป ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นซ่อนความรู้สึกเช่นใดเอาไว้

     

     

    ซ่า ซ่า ซ่า

                    ชานยอลได้ยินเสียงคลื่น สัมผัสถึงความเย็นชื่นของสายลมที่พัดผ่านมาพร้อมหอบเอากลิ่นเค็มของเกลือลอยเข้าแตะจมูก ห้วงความฝันอันแสนสุขสงบ ทะเล ทะเลเหรอ(?)

     

    O___O

    เปลือกตาบางไล่กระพริบถี่ก่อนจะเปิดโพลงในนาทีถัดมาเมื่อสามัญสำนึกภายในสั่งการ ผืนทรายขาวละเอียดที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาตัดกันกับสีเขียวมรกตของน้ำทะเล ทะเลจริงๆด้วย แล้วชานยอลมาโผล่ที่นี้ได้อย่างไร ในเวลานี้เขาควรอยู่ในห้องทำงานที่บริษัทไม่ใช่เหรอ

                    คำถามไร้ซึ่งคำตอบ ไม่เกินอึดใจต่อมาผิวหน้ากับสัมผัสได้ถึงไอเย็นเยียบของโลหะที่ภายในบรรจุของเหลวอย่างกาแฟรสละมุนลิ้นเอาไว้ ชานยอลจำได้ว่าเคยมีโอกาสลิ้มลองบ่อยๆในช่วงทำงานห่ามรุ่งห่ามค่ำที่บริษัท

     

    “ กาแฟเพิ่มความสดชื่นครับคุณหนู ”

     

     

    “ ดื่มซะหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมพาไปทานข้าวเย็น ” อี้ฟานยังคงยื่นกระป๋องโลหะไปจ่อไว้ตรงใบหน้าสวยหวาน ตาคมคะยั้นคะคอให้ร่างบอบบางรับกระป๋องกาแฟไปจากมือตนซะที

     

    “ ทำไมฉันมาอยู่ที่นี้ ” ร่างบางคาดคั้นเอาคำตอบ ชานยอลแค่กำลังสงสัยว่าทำไมตนเองถึงมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้แค่นั้นเอง

     

    “ ผมเห็นคุณหนูเหนื่อยๆ เลยพามาพักผ่อน ” คำตอบที่เรียกอาการสั่นไหวในช่องอก ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตนเองไปให้มากกว่านี้ว่าความห่วงใยและการเอาใจใส่ที่อีกคนมอบให้มันอยู่นอกเหนือหน้าที่ของคนๆนั้น

     

    “ ห่วงฉันด้วยเหรอ ” ร่างบอบบางแทบอยากจะตบปากตนเองในตอนที่เผลอพูดความรู้สึกภายในออกไป ทั้งๆที่ย้ำกับตัวเองว่าจะใจแข็งให้มากกว่านี้ แต่ทว่าเมื่อได้รับความอ่อนโยนมากเข้า ความตั้งใจที่มีเลยพังไม่เป็นท่าเสียทุกทีไป เขาแค่กำลังหวังในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ เท่านั้นเอง

     

    “ มิได้ครับ ผมแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ” ประโยคร้ายกาจเหมือนคมมีดปลิดปลิวลมหายใจให้ยิ่งติดขัดมากกว่าเดิม แววตาคู่สวยไหววูบเจือความเศร้าในนาทีนึง อาการเจ็บหนึบลามขึ้นมาในช่องอกพร้อมกับน้ำใสที่คลอหน่วงในม่านตา วังวนเดิมๆที่เจ้าของหัวใจไม่ยักกับหลาบจำเสียที ยังคงตั้งความหวังลมๆแล้งๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลอกตัวเอง เพียงเพื่อหวังว่าเศษเสี้ยวใจของใครคนนั้นจะมีเงาของเขาฝังตัวอยู่บ้าง แต่ไม่เลย มันไม่เคยมี

     

     

     

    “ พาฉันกลับบ้าน ฉันอยากกลับบ้าน ” เสียงทุ้มหวานแหบพร่า พยายามบังคับให้น้ำในดวงตามันไหลย้อนกลับไปที่เดิม แต่ทว่ามันช่างยากเย็นเหลือคณานักในความเป็นจริง

     

    “ แต่คุณหนูยังไม่ได้ทานข้าว

     

    “ อู๋อี้ฟาน ฉันจะกลับบ้าน

     

    “ คุณหนู ”

     

    “ ฉันบอกว่าฉันอยากกลับบ้าน พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ”

     

     

    “ ขอร้องละ ” ประโยคอ้อนวอนหลุดดังออกมาแผ่วเบา เขาเหนื่อยแล้ว เขาเหนื่อยเหลือเกิน ร่างบอบบางหลับตาลงช้าๆพยายามซ่อนความอ่อนแอที่กัดกร่อนดวงใจให้พ้นจากสายตาของใครคนนั้น คนที่ทำทุกอย่างเพราะ หน้าที่ หน้าที่ที่ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆเคลือบแฝงอยู่เลย

     

    “ ครับ ผมจะพาคุณหนูกลับบ้าน ”

     

     

                    ในช่วงเวลาที่แสนโดดเดียว ก็ยังคงมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกที่ไม่อาจส่งผ่านไปถึงหัวใจอีกดวง ต่อให้พยายามร้องเรียกความสนใจมากมายเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีวันหันกลับมามอง








    TBC        


    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::










    TalK:

    เอามาลงครบร้อยแล้วนะค่ะสำหรับตอนแรก ยังไงฝากติดตามผลงานด้วย ดีไม่ดียังไงสามารถติชมได้นะคะ :) //ขอโทษที่ลงช้าไปมากเลย พอดีไรต์เตอร์เปิดเทอมแล้วแถมมีงานโปรเจคตั้งแต่เปิดเทอมเลยคะ เลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ แต่จะพยายามหาเวลาเข้ามาอัพให้นะคะ (แม้อีกสองเรื่องจะคาไว้ ฮ่าๆๆ ^  ^ : ) ช้าไปบ้างอย่าว่าเขาเลยนะ // ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจอยากทำงานดีๆออกมาตอบแทนทุกคนเลยจริงๆคะ อ๋อ ถ้าอยากพูดคุยอะไรกับไรต์เตอร์ก็ฟอลโล่ทวิตไปทักทายกันได้นะคะ (ไรต์เตอร์กากและเกรียนมาก ถ้าทุกคนไม่ถือสา) ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่า เจอกันตอนหน้าแล้วกันคะ ^ ^ 


    ปล. ถ้ารักถ้าชอบกัน ก็อย่าปล่อยให้เขาเดียวดายอยู่คนเดียวเลยนะคะ จะคอมเม้นท์ จะเฟป จะโหวต จะวิจารณ์ก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าเงียบหายไปเฉยๆ คนเขียนใจฟ่อ ไม่มีกำลังใจ T^T ปริบๆๆ(อ้อนวอน)




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×