วันก่อนฝนพรำ (ตอนต้น)
Kersha series 07 based on Lineage ][ ในภาคนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเคอช่าจะเดินทางไปกีรันอารีนาสมัยเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มและรักการประลอง ที่ท่าเรือกลูดินเขาได้พบกับมีชาซึ่งมาเก็บเด็กสาวชาวมนุษย์?
ผู้เข้าชมรวม
189
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
สงครามระหว่างเอลฟ์แห่งแสงและดาร์คเอลฟ์แห่งความมืดสิ้นสุดลงได้หลายปีแล้ว
ดาร์คเอลฟ์ผู้กระหายสงครามและถูกกดขี่อยู่ภายใต้อิทธิพลอันไพศาลของเฟล่าเอลฟ์ในดินแดนโอเรน
บัดนี้กลับผงาดขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย กำลังที่ซ่องสุมมาแรมปีได้ทำให้โลกประจักษ์อีกครั้งแล้วว่า
ในยุคแห่งความสับสนวุ่นวายนี้ ดาร์คเอลฟ์คือเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะเป็นใหญ่เหนือใคร
หน่วยลอบสังหารกางเขนดำ ซึ่งมีส่วนสำคัญในชัยชนะที่ผ่านมา เวลานี้แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตนเอง
หลุมศพของผู้ปราชัยถูกทิ้งร้างและผู้รอดชีวิตต่างคนต่างมองหาเป้าหมายใหม่
เหล่าเด็กหนุ่มผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้และการสงคราม แต่อ่อนประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตในโลกกว้างใหญ่
หลายคนออกเดินทางเพื่อหวังจะพบเส้นทางให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิมได้
เคอช่าเองก็เช่นกัน หลังจบการฝึกอบรมขั้นพื้นฐาน 6 ปี
เขาได้รับตำแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกคณะยุวทูตเดินทางไปยังเมืองท่ากลูดินในเขตการปกครองกลูดิโอ
ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของตระกูลวินดาวูด ขุนนางมนุษย์ที่มีชื่อเสียงมากในนครอาเดน
เมืองหลวงของอาณาจักรเอลมอร์ - เอเดนแห่งนี้
แคว้นโอเรนซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์ สถานที่เดียวที่เคอช่ารู้จักต่างกันกับดินแดนของพวกมนุษย์ลิบลับ
ที่กลูดิน เคอช่าได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ในหลายแง่ของโลกใบเดิมที่เขาอาศัยอยู่
ศึกษาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเผ่าต่างๆ กับพวกมนุษย์ ตลอดจนได้ร่วมปราบเผ่าทูเรคออค
ที่ชายแดนทิศตะวันตกของเอลมอร์ - เอเดนด้วย เป็นระยะเวลาสามปีที่เคอช่าใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของพวกมนุษย์
ก่อนจะถูกเรียกตัวกลับยังหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์หลังสิ้นสุดภารกิจ
สิ่งที่รอคอยเหล่านักการทูตตัวน้อยอยู่คือสงครามที่ประทุขึ้นอีกครั้ง
เคอช่าถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในหน่วยกางเขนดำโดยทันที และส่งเข้าสู่สมรภูมิรบในสเกลใหญ่เป็นครั้งแรก
ในอดีตเคยมีสงครามใหญ่ที่ทำให้เอลฟ์และบราวน์เอลฟ์ต้นสายเผ่าพันธุ์ของดาร์คเอลฟ์ในปัจจุบันต้องแตกกัน
จนเป็นเรื่องบาดหมางระหว่างเผ่ามาจนรุ่นลูกรุ่นหลาน และเด็กทุกคนที่เติบโตมาหลังสงครามนั้น
จะถูกปลูกฝังให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้ามโดยที่ความแค้นเหล่านั้นไม่อาจเจือจางลงได้เลย
หน่วยกางเขนดำนั้นมีด้วยกัน 18 คน เป็นสุดยอดมือสังหารที่สังกัดหน่วยการปกครองกลางหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์
ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากผู้มีอิทธิพลระดับสูงในเผ่ามาแล้ว แม้ว่าแต่ละคนจะยังเป็นเด็กอยู่แต่ก็มีฝีมือไว้วางใจได้
หน่วยกางเขนดำทำหน้าที่ลอบเข้าไปตัดกำลังของกองกำลังข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สงครามครั้งนั้นจบลงที่ชัยชนะของดาร์คเอลฟ์
ทำให้เอลฟ์แห่งแสงต้องยอมรับการกำหนดเขตแดนของอีกฝ่านอย่างไม่เต็มใจ
เคอช่ายังคงทำงานให้กับสภาปกครองกลางในฐานะมือสังหารอยู่ กระทั่งในวันหนึ่งที่ผู้คุมกฏซิเฟียลออกปากแนะนำ
ให้ดาร์คเอลฟ์หนุ่มน้อยออกเดินทางไปหาประสบการณ์ในโลกกว้างเพิ่มเติมเพื่อที่ความสามารถอันถูกจำกัดนั้น
จะได้ถูกปลดผนึกออกเสียที
โลกภายนอกที่เคอช่าในเวลานั้นรู้จักแคบเสียจนน่าใจหาย และสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเคอช่าแล้ว ที่ติดตรึงในความทรงจำ
ก็มีแต่อารีนา สนามประลองข้างหมู่บ้านกลูดินที่มีอายเค็มจากทะเลโชยมาถึง
ในตอนที่ตั้งใจจะแวะกลับไปที่กลูดินอีกครั้ง เขาได้พบกับเอลฟ์คนหนึ่งโดยบังเอิญ
ทั้งที่เคอช่าไม่สู้จะสบายใจนักที่ต้องเข้าหน้ากับเอลฟ์
แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องที่เขาเป็นดาร์คเอลฟ์เอาเสียเลย
ปฎิกิริยาที่ผิดไปจากความคาดหมายว่าเอลฟ์กับดาร์คเอลฟ์ไม่ถูกกันเป็นเรื่องปกตินั้น
ทำให้เคอช่าจำเอลฟ์คนนั้นได้ติดใจอย่างประหลาด
อย่างไรก็ดี การต้องสังคมกับเอลฟ์ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าพึงใจนักสำหรับดาร์คเอลฟ์ที่ถูกปลูกฝังเรื่องความแค้น
มาจนติดแน่นอย่างเคอช่าอยู่ดี เมื่อปลีกตัวออกมาได้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะใช้โอกาสนั้นทันที
วันครึ่งหลังจากออกเดินทางจากหมู่บ้าน เคอช่าก็มาถึงหมู่บ้านกลูดิน
มันใช้เวลาน้อยกว่าการเดินทางครั้งก่อนเมื่อร่วมสิบปีมาแล้วมากนัก
ลานประลองที่คลุ้งไปด้วยฝุ่นทรายในบ่ายวันนั้นมีเด็กอยู่เพียงไม่กี่คน
อากาศที่ร้อนทำให้หลายคนทิ้งดาบและมีดลงไปแช่น้ำทะเลอยู่ริมชายหาด
ไม่มีใครอยู่ในระดับที่พอจะเป็นคู่มือให้กับเคอช่าในเวลานี้ได้เลย
ดาร์คเอลฟ์เดินเรื่อยไปจนถึงสะพานปลา มุมที่มองเห็นประภาคารได้ชัดเจน
เขาเคยมานั่งมองทะเลที่ตรงนี้บ่อยๆเมื่อครั้งแรกที่มายังเมืองนี้
แสงระยับบนผิวน้ำและระลอกคลื่นที่กระเพื่อมแต่เส้นขอบฟ้าเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในมโนภาพของเคอช่าเสมอ
ชายหนุ่มหย่อนขาลงไกวอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งก่อน
แม้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่เคอช่าก็ยังโตขึ้นอีกไม่มากเท่าไหร่
ร่างเล็กเพรียวทอดอารมณ์มองเรือสินค้าแล่นออกจากท่าเรือ วาดพื้นน้ำให้เกิดคลื่นยาวเป็นทาง
อะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของเคอช่าเบาๆพร้อมกับมือเล็กของเด็กวัย 2-3ขวบเกาะเอวของเขาไว้แน่น
เคอช่าหันไปสบตาใสๆของเด็กตัวน้อยที่ยิ้มให้ซื่อๆ เป็นเด็กมนุษย์ที่ดูจะคุ้นเคยกับดาร์คเอลฟ์อย่างน่าประหลาด
เด็กหญิงหัวเราะคิกก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเด็กหนุ่ม ขดตัวจนร่างที่เล็กอยู่แล้วนั้นยิ่งเล็กลงไปอีก
เสียงเอียดอาดของไม้กระดานบอกว่ามีใครบางคนกำลังเดินใหล้เข้ามา เคอช่าจึงหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง
ที่นั่นมีดาร์คเอลฟ์ที่เป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วอีกคนหนึ่งกำลังหันรีหันขวางราวกับเล็งหาอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
เคอช่าคุ้นหน้าชายคนนี้อยู่ว่าเคยเห็นเข้าออกสมาคมอยู่หลายครั้ง
เมื่อชะโงกเห็นแหวนสำริดที่หล่อเป็นตราสถาบันมนตร์ดำบนนิ้วชี้ข้างซ้ายของชายผู้นั้นแล้วด้วยก็ยิ่งมั่นใจ
ว่าเป็นจอมเวทย์ที่เคยเห็นตัวมาก่อนไม่ผิดแน่
แม้สถาบันมนตร์ดำจะไม่ได้อยู่ในสถานะสถาบันวิจัยเช่นเมื่อครั้งอดีตแล้ว แต่เป็นที่รู้กันภายในว่า
สมาคมผู้ศึกษาศาสตร์มืดและมนตร์ต้องห้ามก็ยังคงมีสืบทอดกันต่อมาอย่างลับๆ และยังคงมุ่นคิดค้นเวทย์มนตร์ใหม่ๆ
ที่มีประสิทธิภาพกันมาอย่างต่อเนื่อง แล้วสอนต่อบรรดามาจิสเตอร์เพื่อให้เผยแพร่กับลูกศิษย์ทั้งหลายต่อไป
ถึงแม้ในแง่หนึ่งสมาคมลับของจอมเวทย์เหล่านี้จะสร้างคุณประโยชน์กับเผ่า
แต่หลายเสียงก็ลือกันว่ากลุ่มคนเหล่านี้กระทำเร่องชั่วร้ายไว้ยิ่งเสียกว่าประโยชน์เหล่านั้น
โดยสัญลักษณ์ประจำกลุ่มคือแหวนสำริดวงโตที่มีกันเฉพาะคนใน
เคอช่าเองไม่อาจรู้ได้ว่าจนถึงตอนนี้จอมเวทย์เหล่านั้นมีกันกี่คน
แต่ที่แน่ใจได้คือทุกคนล้วนมีฝีมือโดดเด่นจนหาตัวจับยากด้วยกันทั้งนั้น
"พริซึ่ม พริซึ่ม! "
เสียงชายคนนั้นตะโกนเรียก เด็กน้อยบนตักเคอช่าหลับตาปี๋
ดูท่าจะคิดว่า หากตนเองมองไม่เห็นอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะมองเห็นตนด้วย
"มีเด็กเล็กๆผ่านมาทางนี้มั่งมั้ย? "
เขาถามกับเคอช่า พร้อมกับย่อตัวเล็กน้อย แบมือออกข้างตัวเพื่อประมาณความสูงของเด็กที่ตนตามหาอยู่
ขนาดเท่าที่นักเวทย์คนนั้นทำมือให้ดู คงจะหมายถึงเจ้าตัวเล็กที่แอบซ่อนอยู่บนตักของเคอช่าไม่ผิดไปแน่
เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไร แต่กระดิกหูสองครั้งอย่างช้าๆพอเป็นสัญญาณ
ชายผู้ตามหาจึงเดินมานั่งยองๆลงข้างๆ เท้าคางพูด
"พริซึ่ม"
เมื่อเสียงที่เรียกอยู่ใกล้เสียข้างหู เด็กน้อยจึงรู้ตัวดีว่าถูกพบเข้าแล้ว
เธอชอนตาขึ้นมองรอยยิ้มของดาร์คเอลฟ์ตรงหน้าก่อนจะยิ้มตอบอย่างอายๆ
แล้วปีนข้ามตักของเคอช่ากลับไปเกาะอยู่บนอกของชายที่มาตามหาเธอเหมือนกับลูกหมีโคอาล่าเกาะแม่
ดาร์คเอลฟ์หนุ่มช้อนก้นเจ้าตัวเล็กแล้วประคองอุ้มขึ้นบนอก
มือเล็กๆกอดคอชายหนุ่มไว้แน่นอย่างไม่มีทีท่าจะหนีไปไหนอีก
"เอ ข้าเคยเจอเจ้ามาก่อนรึเปล่า? "
เคอช่าพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
"ข้าสังกัดสมาคมปกครองกลางใต้คำสั่งของท่านธิเฟียล"
"อา..ท่านธิเฟียล แล้วเจ้าชื่ออะไรนะ? "
"เคอช่า"
"เคอช่า..อืม ข้ามีชานะ"
อีกฝ่ายแนะนำตนเองบ้างพลางทำท่าวันทยาหัตตามแบบเผ่า
โดยการกำกำปั้นขวายกขึ้นแนบอก ศอกชิดลำตัว ก่อนจะโค้งศีรษะให้เล็กน้อย
เคอช่ารีบผุดลุกขึ้นและทำความเคารพตอบ
"เด็กคนนี้ชื่อพริซึ่ม"
เด็กน้อยมองเคอช่าด้วยดวงตากลมโต หัวเราะคิกแล้วมุดหน้าหนีไปตรงซอกคอของผู้ปกครองเธอ
"น่ารักมะ ลูกข้าเอง"
เคอช่าเบิกตาโพลง ทีแรกที่เห็นเด็กเล็กขนาดนี้มาวิ่งเล่นอยู่ริมน้ำก็นึกสงสัยอยู่ว่าเป็นลูกใครปล่อยมาแถวนี้
แต่การที่จู่ๆบอกว่าเด็กชาวมนุษย์เป็นลูกของดาร์คเอลฟ์ ก็ทำให้รู้สึกไม่ลงรอยในความคิดชอบกล
มีชาเห็นสีหน้าของเคอช่าแล้วก็หัวเราะ
"ล้อเล่นหรอกน่า ดูทำหน้าเข้าสิ"
ใบหน้าตอนที่ยิ้มหัวเราะอย่างจริงใจของมีชาทำเอาเคอช่าต้องจ้องตาค้าง
ภาพลักษณ์ของจอมเวทย์แก่กล้าวิชาที่สุขุมเยือกเย็นอันติดตาจากบรรดาจอมเวทย์หลายคนของสมาคมที่เคอช่าได้พบ
ถูกลบไปด้วยรอยยิ้มดูมีชีวิตชีวาเสียจนดูไม่ออกว่าเป็นผู้รู้วิชาชั้นสูง
"ว่าแต่มารอเรือไปกีรันเหรอ? "
เคอช่าส่ายหน้า
"อ้าว ถ้าเรือไปเกาะพูดได้ล่ะก็ เพิ่งออกไปแล้วตะกี้นะ"
เคอช่ายังคงส่ายหน้า
"ข้ามาเดินเล่น"
"ออ"
มีชาตอบรับด้วยน้ำเสียงโล่งอก ก่อนจะเอ่ยต่อไป
"งั้นไปเดินเล่นที่ไกลกว่านี้อีกหน่อยมั้ย? "
" ? "
"เจ้านี่เขียนทุกอย่างไว้บนหน้าเลยรึไงกัน"
มีชาว่า เอานิ้วชี้จิ้มไปกลางหน้าผากของอีกฝ่าย
"แน่ะ รอยเครียดขึ้นแล้ว เครียดมากๆอายุสั้นนะเอ้า"
แต่ประโยคดังกล่าวกลับยิ่งทำให้หว่างคิ้วนั้นขมวดเป็นปมแน่นขึ้นอีก
"ข้าจะไปช่วยพวกอ่อนๆล่าบีฟรอน ไปมะ"
"ก็เอาสิ"
บีฟรอนเป็นภูติแห่งทะเลที่คอยบงการเผ่าลังก์ลิสาดแมนแถมชายทะเลตะวันออก
เมื่อครั้งยังเล็ก เขาก็เคยได้ยินเรื่องของผู้ชักใยเผ่าพันธุ์ลิสาดแมนในเขตการปกครองกลูดิโอ
อย่างบีฟรอน หรือคูโรโบรอส มาไม่น้อยอยู่ แต่ไม่เคยไปให้เห็นกับตาจริงๆสักครั้ง เนื่องด้วยเป็นธุระของพวกมนุษย์
อย่างไรก็ดี ในเมื่อครั้งนี้เข้าไม่มีอะไรให้ทำเป็นพิเศษ การออกไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อยก็คงไม่เลว
ฝีมือในตอนนี้นับจากตอนนั้นก็พัฒนาก้าวหน้ามามากแล้ว
แม้อีกฝ่ายจะเป็นศัตรูที่น่าเกรงขาม แต่คงไม่เกินความสามารถของเขา
เคอช่าคิดเช่นนั้นและเดินตามมีชากลับเข้าไปในเมือง
ประตูทิศตะวันออกด้านที่มีถนนทอดเลียบชายทะเลฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านกลูดินนั้น
มีคนกลุ่มใหญ่ยืนรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ดูจากการแต่งตัวแล้ว มีหลากหลายสายอาชีพคละกันอยู่
"ท่านมีชา! "
นักรบที่ใส่เกราะสีน้ำตาลวิ่งเข้ามาทักทันทีที่ทั้งสองเดินมาถึง
ดูหน่วยก้านแล้ว น่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นั่น
"คนครบแล้วเหรอ? "
มีชายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่ดูสง่างามอย่างน่าประหลาด ผิดกับรอยยิ้มซื่อๆเมื่อครู่อย่างไรบอกไม่ถูก
"ขาดพระครับ"
เด็กหนุ่มตอบแข็งขัน
"ฮะฮะฮะ ขาดพระแล้วจะรอดมั้ยน่ะ"
เสียงหัวเราะทำให้พริซึ่มซึ่งผล็อยหลับไปแต่เมื่อไหร่ไม่รู้นั้นงัวเงียลืมตาขึ้นมา
และดึงคอเสื้อของมีชาเสียจนรัดคอของดาร์คเอลฟ์
"ตัวเล็ก หายใจไม่ออกแล้ว.. "
พริซึ่มคลายมือแล้วคล้องแขนกลับไปบนคอของมีชาอีกครั้ง
"แล้วจะหอบไอ้นั่นไปด้วยเหรอครับ? "
"งั้นเอาไปฝากคลักไว้ก่อนละกัน"
คลักที่ว่าเป็นคนแคระแห่งสมาคมกุญแจทองแดงซึ่งทำงานอยู่ที่โกดังสินค้าประจำเมืองกลูดินนี้
"ตัวเท่าลูกแมว ขืนเอาไปก็ได้เรื่องอะสิ"
คราวนี้เจ้าหนุ่มนักรบเป็นฝ่ายหัวเราะแทน
"พร้อมแล้วเรียกอีกทีละกัน"
มีชาว่าก่อนจะเดินไปทางโกดังโดยมีเคอช่าเดินตามไปติดๆ
เมื่อจัดการฝากฝังพริซึ่มไว้กับคนเฝ้าโกดังซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
จอมเวทย์ก็เบิกคทาออกมาจากที่ฝาก เมื่อมีชาถือคทาแล้ว เขาถึงได้ดูเหมือนจอมเวทย์ขึ้นมาสักหน่อย
เท่าที่ดูจากคทาแล้วก็รู้ได้ไม่ยากว่ามีชาเป็นจอมเวทย์ระดับสูงขนาดไหน
อาวุธลงอาคมชั้นสูงนั้น หากผู้ใช้ฝึกพลังอำนาจและทักษะมามากพอแล้วล่ะก็ จะทำให้ใช้อาวุธนั้นได้เต็มประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้ผู้คมจึงนิยมใช้อาวุธที่เหมาะสมกับระดับความสามารถของตนเองเท่านั้น
เสียงประกาศลั่นเมืองชักชวนผู้ที่มีใจกล้าพอจะต่อกรกับอสูรร้ายมารวมตัวกันที่นัดหมายประตูทิศตะวันออกด้านใต้
เคอช่าขยับมีดที่สะพายอยู่บนเข็มขัดข้างเอวให้กระชับอีกครั้ง
แล้วยิ้มราวกับเด็กที่รู้ตัวว่ากำลังจะได้ออกไปเที่ยวสวนสนุก
ผลงานอื่นๆ ของ <วชิระ> ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ <วชิระ>
ความคิดเห็น