วันก่อนฝนพรำ (ตอนต้น) - วันก่อนฝนพรำ (ตอนต้น) นิยาย วันก่อนฝนพรำ (ตอนต้น) : Dek-D.com - Writer

    วันก่อนฝนพรำ (ตอนต้น)

    Kersha series 07 based on Lineage ][ ในภาคนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเคอช่าจะเดินทางไปกีรันอารีนาสมัยเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มและรักการประลอง ที่ท่าเรือกลูดินเขาได้พบกับมีชาซึ่งมาเก็บเด็กสาวชาวมนุษย์?

    ผู้เข้าชมรวม

    180

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    180

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 มิ.ย. 50 / 03:32 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    Kersha series 07

    เคอช่าได้รับคำสั่งจากผู้คุมกฏธิเฟียลซึ่งเปรียบเสมืองเจ้านายให้ออกเดินทางไปรู้จักโลกให้มากกว่านี้
    ทำให้เขาเดินทางมายังเมืองท่ากลูดิน สถานที่ซึ่งเขาเคยมาเมื่อสมัยเด็ก
    และในขณะที่กำลังนั่งทอดอารมณ์ชมทะเลอยู่นั้น ก็มีเด็กหญิงชาวมนุษย์คนหนึ่งเข้ามาหา
    ตามมาด้วยผู้ปกครองของเธอซึ่งเป็นดาร์คเอลฟ์แห่งสมาคมลับจอมเวทย์สถาบันมนตร์ดำ!?
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      สงครามระหว่างเอลฟ์แห่งแสงและดาร์คเอลฟ์แห่งความมืดสิ้นสุดลงได้หลายปีแล้ว
      ดาร์คเอลฟ์ผู้กระหายสงครามและถูกกดขี่อยู่ภายใต้อิทธิพลอันไพศาลของเฟล่าเอลฟ์ในดินแดนโอเรน
      บัดนี้กลับผงาดขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย กำลังที่ซ่องสุมมาแรมปีได้ทำให้โลกประจักษ์อีกครั้งแล้วว่า
      ในยุคแห่งความสับสนวุ่นวายนี้ ดาร์คเอลฟ์คือเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะเป็นใหญ่เหนือใคร

      หน่วยลอบสังหารกางเขนดำ ซึ่งมีส่วนสำคัญในชัยชนะที่ผ่านมา เวลานี้แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตนเอง
      หลุมศพของผู้ปราชัยถูกทิ้งร้างและผู้รอดชีวิตต่างคนต่างมองหาเป้าหมายใหม่
      เหล่าเด็กหนุ่มผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้และการสงคราม แต่อ่อนประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตในโลกกว้างใหญ่
      หลายคนออกเดินทางเพื่อหวังจะพบเส้นทางให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิมได้

      เคอช่าเองก็เช่นกัน หลังจบการฝึกอบรมขั้นพื้นฐาน 6 ปี
      เขาได้รับตำแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกคณะยุวทูตเดินทางไปยังเมืองท่ากลูดินในเขตการปกครองกลูดิโอ
      ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของตระกูลวินดาวูด ขุนนางมนุษย์ที่มีชื่อเสียงมากในนครอาเดน
      เมืองหลวงของอาณาจักรเอลมอร์ - เอเดนแห่งนี้
      แคว้นโอเรนซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์ สถานที่เดียวที่เคอช่ารู้จักต่างกันกับดินแดนของพวกมนุษย์ลิบลับ

      ที่กลูดิน เคอช่าได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ในหลายแง่ของโลกใบเดิมที่เขาอาศัยอยู่
      ศึกษาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเผ่าต่างๆ กับพวกมนุษย์ ตลอดจนได้ร่วมปราบเผ่าทูเรคออค
      ที่ชายแดนทิศตะวันตกของเอลมอร์ - เอเดนด้วย เป็นระยะเวลาสามปีที่เคอช่าใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของพวกมนุษย์
      ก่อนจะถูกเรียกตัวกลับยังหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์หลังสิ้นสุดภารกิจ

      สิ่งที่รอคอยเหล่านักการทูตตัวน้อยอยู่คือสงครามที่ประทุขึ้นอีกครั้ง
      เคอช่าถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในหน่วยกางเขนดำโดยทันที และส่งเข้าสู่สมรภูมิรบในสเกลใหญ่เป็นครั้งแรก
      ในอดีตเคยมีสงครามใหญ่ที่ทำให้เอลฟ์และบราวน์เอลฟ์ต้นสายเผ่าพันธุ์ของดาร์คเอลฟ์ในปัจจุบันต้องแตกกัน
      จนเป็นเรื่องบาดหมางระหว่างเผ่ามาจนรุ่นลูกรุ่นหลาน และเด็กทุกคนที่เติบโตมาหลังสงครามนั้น
      จะถูกปลูกฝังให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้ามโดยที่ความแค้นเหล่านั้นไม่อาจเจือจางลงได้เลย

      หน่วยกางเขนดำนั้นมีด้วยกัน 18 คน เป็นสุดยอดมือสังหารที่สังกัดหน่วยการปกครองกลางหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์
      ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากผู้มีอิทธิพลระดับสูงในเผ่ามาแล้ว แม้ว่าแต่ละคนจะยังเป็นเด็กอยู่แต่ก็มีฝีมือไว้วางใจได้
      หน่วยกางเขนดำทำหน้าที่ลอบเข้าไปตัดกำลังของกองกำลังข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      สงครามครั้งนั้นจบลงที่ชัยชนะของดาร์คเอลฟ์
      ทำให้เอลฟ์แห่งแสงต้องยอมรับการกำหนดเขตแดนของอีกฝ่านอย่างไม่เต็มใจ

      เคอช่ายังคงทำงานให้กับสภาปกครองกลางในฐานะมือสังหารอยู่ กระทั่งในวันหนึ่งที่ผู้คุมกฏซิเฟียลออกปากแนะนำ
      ให้ดาร์คเอลฟ์หนุ่มน้อยออกเดินทางไปหาประสบการณ์ในโลกกว้างเพิ่มเติมเพื่อที่ความสามารถอันถูกจำกัดนั้น
      จะได้ถูกปลดผนึกออกเสียที

      โลกภายนอกที่เคอช่าในเวลานั้นรู้จักแคบเสียจนน่าใจหาย และสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเคอช่าแล้ว ที่ติดตรึงในความทรงจำ
      ก็มีแต่อารีนา สนามประลองข้างหมู่บ้านกลูดินที่มีอายเค็มจากทะเลโชยมาถึง

      ในตอนที่ตั้งใจจะแวะกลับไปที่กลูดินอีกครั้ง เขาได้พบกับเอลฟ์คนหนึ่งโดยบังเอิญ
      ทั้งที่เคอช่าไม่สู้จะสบายใจนักที่ต้องเข้าหน้ากับเอลฟ์
      แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องที่เขาเป็นดาร์คเอลฟ์เอาเสียเลย
      ปฎิกิริยาที่ผิดไปจากความคาดหมายว่าเอลฟ์กับดาร์คเอลฟ์ไม่ถูกกันเป็นเรื่องปกตินั้น
      ทำให้เคอช่าจำเอลฟ์คนนั้นได้ติดใจอย่างประหลาด

      อย่างไรก็ดี การต้องสังคมกับเอลฟ์ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าพึงใจนักสำหรับดาร์คเอลฟ์ที่ถูกปลูกฝังเรื่องความแค้น
      มาจนติดแน่นอย่างเคอช่าอยู่ดี เมื่อปลีกตัวออกมาได้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะใช้โอกาสนั้นทันที

      วันครึ่งหลังจากออกเดินทางจากหมู่บ้าน เคอช่าก็มาถึงหมู่บ้านกลูดิน
      มันใช้เวลาน้อยกว่าการเดินทางครั้งก่อนเมื่อร่วมสิบปีมาแล้วมากนัก

      ลานประลองที่คลุ้งไปด้วยฝุ่นทรายในบ่ายวันนั้นมีเด็กอยู่เพียงไม่กี่คน
      อากาศที่ร้อนทำให้หลายคนทิ้งดาบและมีดลงไปแช่น้ำทะเลอยู่ริมชายหาด
      ไม่มีใครอยู่ในระดับที่พอจะเป็นคู่มือให้กับเคอช่าในเวลานี้ได้เลย

      ดาร์คเอลฟ์เดินเรื่อยไปจนถึงสะพานปลา มุมที่มองเห็นประภาคารได้ชัดเจน
      เขาเคยมานั่งมองทะเลที่ตรงนี้บ่อยๆเมื่อครั้งแรกที่มายังเมืองนี้
      แสงระยับบนผิวน้ำและระลอกคลื่นที่กระเพื่อมแต่เส้นขอบฟ้าเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในมโนภาพของเคอช่าเสมอ

      ชายหนุ่มหย่อนขาลงไกวอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งก่อน
      แม้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่เคอช่าก็ยังโตขึ้นอีกไม่มากเท่าไหร่
      ร่างเล็กเพรียวทอดอารมณ์มองเรือสินค้าแล่นออกจากท่าเรือ วาดพื้นน้ำให้เกิดคลื่นยาวเป็นทาง

      อะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของเคอช่าเบาๆพร้อมกับมือเล็กของเด็กวัย 2-3ขวบเกาะเอวของเขาไว้แน่น
      เคอช่าหันไปสบตาใสๆของเด็กตัวน้อยที่ยิ้มให้ซื่อๆ เป็นเด็กมนุษย์ที่ดูจะคุ้นเคยกับดาร์คเอลฟ์อย่างน่าประหลาด

      เด็กหญิงหัวเราะคิกก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเด็กหนุ่ม ขดตัวจนร่างที่เล็กอยู่แล้วนั้นยิ่งเล็กลงไปอีก
      เสียงเอียดอาดของไม้กระดานบอกว่ามีใครบางคนกำลังเดินใหล้เข้ามา เคอช่าจึงหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง
      ที่นั่นมีดาร์คเอลฟ์ที่เป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วอีกคนหนึ่งกำลังหันรีหันขวางราวกับเล็งหาอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ

      เคอช่าคุ้นหน้าชายคนนี้อยู่ว่าเคยเห็นเข้าออกสมาคมอยู่หลายครั้ง
      เมื่อชะโงกเห็นแหวนสำริดที่หล่อเป็นตราสถาบันมนตร์ดำบนนิ้วชี้ข้างซ้ายของชายผู้นั้นแล้วด้วยก็ยิ่งมั่นใจ
      ว่าเป็นจอมเวทย์ที่เคยเห็นตัวมาก่อนไม่ผิดแน่

      แม้สถาบันมนตร์ดำจะไม่ได้อยู่ในสถานะสถาบันวิจัยเช่นเมื่อครั้งอดีตแล้ว แต่เป็นที่รู้กันภายในว่า
      สมาคมผู้ศึกษาศาสตร์มืดและมนตร์ต้องห้ามก็ยังคงมีสืบทอดกันต่อมาอย่างลับๆ และยังคงมุ่นคิดค้นเวทย์มนตร์ใหม่ๆ
      ที่มีประสิทธิภาพกันมาอย่างต่อเนื่อง แล้วสอนต่อบรรดามาจิสเตอร์เพื่อให้เผยแพร่กับลูกศิษย์ทั้งหลายต่อไป

      ถึงแม้ในแง่หนึ่งสมาคมลับของจอมเวทย์เหล่านี้จะสร้างคุณประโยชน์กับเผ่า
      แต่หลายเสียงก็ลือกันว่ากลุ่มคนเหล่านี้กระทำเร่องชั่วร้ายไว้ยิ่งเสียกว่าประโยชน์เหล่านั้น
      โดยสัญลักษณ์ประจำกลุ่มคือแหวนสำริดวงโตที่มีกันเฉพาะคนใน
      เคอช่าเองไม่อาจรู้ได้ว่าจนถึงตอนนี้จอมเวทย์เหล่านั้นมีกันกี่คน
      แต่ที่แน่ใจได้คือทุกคนล้วนมีฝีมือโดดเด่นจนหาตัวจับยากด้วยกันทั้งนั้น

      "พริซึ่ม พริซึ่ม! "
      เสียงชายคนนั้นตะโกนเรียก เด็กน้อยบนตักเคอช่าหลับตาปี๋
      ดูท่าจะคิดว่า หากตนเองมองไม่เห็นอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะมองเห็นตนด้วย

      "มีเด็กเล็กๆผ่านมาทางนี้มั่งมั้ย? "
      เขาถามกับเคอช่า พร้อมกับย่อตัวเล็กน้อย แบมือออกข้างตัวเพื่อประมาณความสูงของเด็กที่ตนตามหาอยู่
      ขนาดเท่าที่นักเวทย์คนนั้นทำมือให้ดู คงจะหมายถึงเจ้าตัวเล็กที่แอบซ่อนอยู่บนตักของเคอช่าไม่ผิดไปแน่

      เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไร แต่กระดิกหูสองครั้งอย่างช้าๆพอเป็นสัญญาณ
      ชายผู้ตามหาจึงเดินมานั่งยองๆลงข้างๆ เท้าคางพูด
      "พริซึ่ม"
      เมื่อเสียงที่เรียกอยู่ใกล้เสียข้างหู เด็กน้อยจึงรู้ตัวดีว่าถูกพบเข้าแล้ว
      เธอชอนตาขึ้นมองรอยยิ้มของดาร์คเอลฟ์ตรงหน้าก่อนจะยิ้มตอบอย่างอายๆ
      แล้วปีนข้ามตักของเคอช่ากลับไปเกาะอยู่บนอกของชายที่มาตามหาเธอเหมือนกับลูกหมีโคอาล่าเกาะแม่

      ดาร์คเอลฟ์หนุ่มช้อนก้นเจ้าตัวเล็กแล้วประคองอุ้มขึ้นบนอก
      มือเล็กๆกอดคอชายหนุ่มไว้แน่นอย่างไม่มีทีท่าจะหนีไปไหนอีก

      "เอ ข้าเคยเจอเจ้ามาก่อนรึเปล่า? "
      เคอช่าพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
      "ข้าสังกัดสมาคมปกครองกลางใต้คำสั่งของท่านธิเฟียล"

      "อา..ท่านธิเฟียล แล้วเจ้าชื่ออะไรนะ? "
      "เคอช่า"
      "เคอช่า..อืม ข้ามีชานะ"
      อีกฝ่ายแนะนำตนเองบ้างพลางทำท่าวันทยาหัตตามแบบเผ่า
      โดยการกำกำปั้นขวายกขึ้นแนบอก ศอกชิดลำตัว ก่อนจะโค้งศีรษะให้เล็กน้อย
      เคอช่ารีบผุดลุกขึ้นและทำความเคารพตอบ

      "เด็กคนนี้ชื่อพริซึ่ม"
      เด็กน้อยมองเคอช่าด้วยดวงตากลมโต หัวเราะคิกแล้วมุดหน้าหนีไปตรงซอกคอของผู้ปกครองเธอ
      "น่ารักมะ ลูกข้าเอง"

      เคอช่าเบิกตาโพลง ทีแรกที่เห็นเด็กเล็กขนาดนี้มาวิ่งเล่นอยู่ริมน้ำก็นึกสงสัยอยู่ว่าเป็นลูกใครปล่อยมาแถวนี้
      แต่การที่จู่ๆบอกว่าเด็กชาวมนุษย์เป็นลูกของดาร์คเอลฟ์ ก็ทำให้รู้สึกไม่ลงรอยในความคิดชอบกล
      มีชาเห็นสีหน้าของเคอช่าแล้วก็หัวเราะ

      "ล้อเล่นหรอกน่า ดูทำหน้าเข้าสิ"
      ใบหน้าตอนที่ยิ้มหัวเราะอย่างจริงใจของมีชาทำเอาเคอช่าต้องจ้องตาค้าง
      ภาพลักษณ์ของจอมเวทย์แก่กล้าวิชาที่สุขุมเยือกเย็นอันติดตาจากบรรดาจอมเวทย์หลายคนของสมาคมที่เคอช่าได้พบ
      ถูกลบไปด้วยรอยยิ้มดูมีชีวิตชีวาเสียจนดูไม่ออกว่าเป็นผู้รู้วิชาชั้นสูง

      "ว่าแต่มารอเรือไปกีรันเหรอ? "
      เคอช่าส่ายหน้า
      "อ้าว ถ้าเรือไปเกาะพูดได้ล่ะก็ เพิ่งออกไปแล้วตะกี้นะ"
      เคอช่ายังคงส่ายหน้า
      "ข้ามาเดินเล่น"

      "ออ"
      มีชาตอบรับด้วยน้ำเสียงโล่งอก ก่อนจะเอ่ยต่อไป
      "งั้นไปเดินเล่นที่ไกลกว่านี้อีกหน่อยมั้ย? "

      " ? "
      "เจ้านี่เขียนทุกอย่างไว้บนหน้าเลยรึไงกัน"
      มีชาว่า เอานิ้วชี้จิ้มไปกลางหน้าผากของอีกฝ่าย
      "แน่ะ รอยเครียดขึ้นแล้ว เครียดมากๆอายุสั้นนะเอ้า"
      แต่ประโยคดังกล่าวกลับยิ่งทำให้หว่างคิ้วนั้นขมวดเป็นปมแน่นขึ้นอีก

      "ข้าจะไปช่วยพวกอ่อนๆล่าบีฟรอน ไปมะ"
      "ก็เอาสิ"
      บีฟรอนเป็นภูติแห่งทะเลที่คอยบงการเผ่าลังก์ลิสาดแมนแถมชายทะเลตะวันออก
      เมื่อครั้งยังเล็ก เขาก็เคยได้ยินเรื่องของผู้ชักใยเผ่าพันธุ์ลิสาดแมนในเขตการปกครองกลูดิโอ
      อย่างบีฟรอน หรือคูโรโบรอส มาไม่น้อยอยู่ แต่ไม่เคยไปให้เห็นกับตาจริงๆสักครั้ง เนื่องด้วยเป็นธุระของพวกมนุษย์

      อย่างไรก็ดี ในเมื่อครั้งนี้เข้าไม่มีอะไรให้ทำเป็นพิเศษ การออกไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อยก็คงไม่เลว
      ฝีมือในตอนนี้นับจากตอนนั้นก็พัฒนาก้าวหน้ามามากแล้ว
      แม้อีกฝ่ายจะเป็นศัตรูที่น่าเกรงขาม แต่คงไม่เกินความสามารถของเขา
      เคอช่าคิดเช่นนั้นและเดินตามมีชากลับเข้าไปในเมือง

      ประตูทิศตะวันออกด้านที่มีถนนทอดเลียบชายทะเลฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านกลูดินนั้น
      มีคนกลุ่มใหญ่ยืนรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ดูจากการแต่งตัวแล้ว มีหลากหลายสายอาชีพคละกันอยู่

      "ท่านมีชา! "
      นักรบที่ใส่เกราะสีน้ำตาลวิ่งเข้ามาทักทันทีที่ทั้งสองเดินมาถึง
      ดูหน่วยก้านแล้ว น่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นั่น

      "คนครบแล้วเหรอ? "
      มีชายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่ดูสง่างามอย่างน่าประหลาด ผิดกับรอยยิ้มซื่อๆเมื่อครู่อย่างไรบอกไม่ถูก
      "ขาดพระครับ"
      เด็กหนุ่มตอบแข็งขัน

      "ฮะฮะฮะ ขาดพระแล้วจะรอดมั้ยน่ะ"
      เสียงหัวเราะทำให้พริซึ่มซึ่งผล็อยหลับไปแต่เมื่อไหร่ไม่รู้นั้นงัวเงียลืมตาขึ้นมา
      และดึงคอเสื้อของมีชาเสียจนรัดคอของดาร์คเอลฟ์
      "ตัวเล็ก หายใจไม่ออกแล้ว.. "
      พริซึ่มคลายมือแล้วคล้องแขนกลับไปบนคอของมีชาอีกครั้ง

      "แล้วจะหอบไอ้นั่นไปด้วยเหรอครับ? "
      "งั้นเอาไปฝากคลักไว้ก่อนละกัน"
      คลักที่ว่าเป็นคนแคระแห่งสมาคมกุญแจทองแดงซึ่งทำงานอยู่ที่โกดังสินค้าประจำเมืองกลูดินนี้
      "ตัวเท่าลูกแมว ขืนเอาไปก็ได้เรื่องอะสิ"
      คราวนี้เจ้าหนุ่มนักรบเป็นฝ่ายหัวเราะแทน

      "พร้อมแล้วเรียกอีกทีละกัน"
      มีชาว่าก่อนจะเดินไปทางโกดังโดยมีเคอช่าเดินตามไปติดๆ
      เมื่อจัดการฝากฝังพริซึ่มไว้กับคนเฝ้าโกดังซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
      จอมเวทย์ก็เบิกคทาออกมาจากที่ฝาก เมื่อมีชาถือคทาแล้ว เขาถึงได้ดูเหมือนจอมเวทย์ขึ้นมาสักหน่อย

      เท่าที่ดูจากคทาแล้วก็รู้ได้ไม่ยากว่ามีชาเป็นจอมเวทย์ระดับสูงขนาดไหน
      อาวุธลงอาคมชั้นสูงนั้น หากผู้ใช้ฝึกพลังอำนาจและทักษะมามากพอแล้วล่ะก็ จะทำให้ใช้อาวุธนั้นได้เต็มประสิทธิภาพ
      ด้วยเหตุนี้ผู้คมจึงนิยมใช้อาวุธที่เหมาะสมกับระดับความสามารถของตนเองเท่านั้น

      เสียงประกาศลั่นเมืองชักชวนผู้ที่มีใจกล้าพอจะต่อกรกับอสูรร้ายมารวมตัวกันที่นัดหมายประตูทิศตะวันออกด้านใต้
      เคอช่าขยับมีดที่สะพายอยู่บนเข็มขัดข้างเอวให้กระชับอีกครั้ง
      แล้วยิ้มราวกับเด็กที่รู้ตัวว่ากำลังจะได้ออกไปเที่ยวสวนสนุก

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×