Human's Empire ::: ดารา สายพาน ธารหมอก

โดย Lucia & ลูเซีย / ไหน้อยลูเซีย

"ตามหาความหมายของชีวิตซะ ไปที่ๆเห็นดวงตะวันบนท้องฟ้า เห็นดาวเดือนตอนกลางคืน ไปให้พ้นที่นี่ ไม่งั้นเธอจะตาย!”เขาหนีจากห้องทดลองสู่โลกที่แตกต่าง จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ที่เรียกตนเองว่า'มนุษย์'

อ่านนิยาย

รีวิวจากนักอ่าน

รีวิว

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่มนุษย์โคลนอย่างเนเวิสจะใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป

รีวิวถึงลำดับตอนที่ 10

เยี่ยมมาก

Human’s Empire ดารา สายพาน ธารหมอก

เรื่องย่อ

เนเวิส เด็กชายที่เกิดมาเพื่อเป็นตัวทดลองกำลังถูกกำจัดในไม่ช้า เมื่องานวิจัยสิ้นสุดลง หากแต่ลิเลียผู้ดูแลและรักเขาดั่งแม่ไม่อาจยอมให้เด็กหนุ่มต้องเผชิญกับความตายเช่นตัวทดลองอื่น เธอจึงสั่งให้เนเวิสหนีจากห้องทดลองเพื่อใช้ชีวิตที่แท้จริงอย่างที่เธอปรารถนาให้เด็กหนุ่มเป็น

เนเวิสทำตามสัญญาโดยไม่ลังเล แต่การหนีไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ผู้ล่านับสิบที่ไล่กวดเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็รอดพ้นจากอันตรายนั้น หากแต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้เมื่อเขาเผชิญหน้ากับมนุษย์หน้าใหม่ที่ไม่เคยเห็น พวกเขาต้องการประโยชน์จากเนเวิสและเขาก็สู้สุดกำลังแต่มันก็ไม่อาจทำให้เขารอดพ้นจากกลุ่มคนเหล่านั้นได้ แต่เหตุการณ์ก็ดูเปลี่ยนใหม่เมื่อกลุ่มคนที่เขาคิดว่าเป็นฝ่ายทำร้ายกลับช่วยเหลือเขาไว้และนั่นทำให้เนเวิสได้พบกับครอบครัวใหม่ ครอบครัวที่ทำให้เนเวิสเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างที่เขาควรจะเป็นเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับลิเลีย

โครงเรื่อง (30/40)

การลำดับ (15/20) ในช่วงบทนำ – บทที่ 3 เป็นการเปิดเรื่องที่ดูเป็นนิยายแฟนตาซีไซไฟดีค่ะ อ่านแล้วจิตนาการตามและเห็นถึงโลกในอนาคตที่มีแต่ฝุ่นแดงๆ และวิวัฒนาการที่ดูล้ำหน้ามาก แต่หลังจากนั้น(บทที่4-7)ไซไฟก็ดูเป็นแค่ฉากแบกกราวน์ของเรื่องมากกว่าจะเป็นโทนหลัก เพราะผู้เขียนเน้นชีวิตของเนเวิสที่ใช้ชีวิตประจำวันอย่างมนุษย์ทั่วไปในดาวนั้นค่ะ มันทำให้ความเป็นไซไฟดูซาลงไปเลยและกลายเป็นเรื่องเล่าของเด็กผู้ชายคนหนึ่งไป

สำหรับมุมมองของผู้วิจารณ์แล้วคิดว่าการใส่รายละเอียดปลีกย่อยของชีวิตเนเวิสมากไปอาจทำให้ประเด็นของเรื่องในตอนแรกยืดเยื้อ ประเด็นที่ว่าก็คือเนเวิสเป็นตัวทดลองของใคร และงานทดลองที่ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไรในอนาคตแล้วลิเลียจะเป็นอย่างไรต่อไป ผู้วิจารณ์อยากรู้ในส่วนนี้มากกว่าจะเป็นการใช้ชีวิตของเนเวิสในแต่ละวันค่ะ แต่เมื่ออ่านไปถึงตอน 7-8 แล้วประเด็นหลักที่คิดไว้ว่าจะพบก็ยังไม่เห็น มันทำให้ความน่าสนใจและอยากติดตามตอนต่อไปน้อยลงหรือบางทีอาจจะข้ามไปหาจุดที่ผู้วิจารณ์อยากจะรู้โดยไม่อ่านรายละเอียดในตอนต่างๆ ก็ได้ค่ะ ซึ่งจุดนี้อยากให้ลองพิจาณาปรับดู

การย้อนอดีตที่เกิดขึ้นระหว่างบท การย้อนอดีตบางครั้งก็ทำได้ดีค่ะ เช่น ช่วงต้นในบทที่ 4-5 เป็นการย้อนอดีตที่สามารถเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ทำให้อ่านแล้วเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ แต่บางครั้งมันก็ดูไม่มีเหตุผล เช่นในบทที่สอง มีฉากต่อสู้กับหมาป่าโผล่มากลางบทโดยไม่มีการเชื่อมโยงกับเนื้อหาถัดไป จุดนี้อาจตัดไปเลยหรือปรับเปลี่ยนให้เนื้อหาคล้อยตามกันได้ค่ะ เช่น ให้ระบุไปว่าเนเวิสกำลังคิดเหม่อลอยไปถึงเรื่องเก่าๆ ก่อนจะเลิกคิดเพราะมีคนเดินเข้ามาหาเขาให้ห้องนั้นแล้ว เป็นต้น

ความสนุก (15/20) เท่าที่อ่านมาจุดความสนุกจะอยู่ในช่วงแรกๆ มากกว่าค่ะ ผู้วิจารณ์มองว่าในช่วงนั้นดูเหมาะกับการเป็นนิยายแนวไซไฟมากกว่า เพราะหลังจากตอนนั้น 4-8 ดูเป็นแนวดราม่าของเนเวิสซึ่งเป็นรายละเอียดที่ทำให้นิยายดูเรื่อยๆ และยังหาจุดพีคที่ดึงให้น่าติดตามในแต่ละบทไม่พบ ซึ่งระหว่างที่อ่านในบทนี้จะเห็นจุดที่น่าจะดึงดูดแฟนคลับได้คือ ฉากจิ้นของตัวละครมากกว่า เช่น เนเวิสกับม่าน หรือบางทีอาจเป็นเนเวิสกับเมฆเสียด้วยซ้ำ

ถ้าในมุมมองของผู้วิจารณ์ก็อยากเห็นจุดพีคแรงๆ ในช่วงบทที่ 6-7แล้ว เพราะด้วยแต่ละบทมันก็ยาวนะคะ ไม่ได้สั้น มันก็น่าจะไปถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องบ้างสักที และถ้ามันไปโผล่ในบทอื่นที่ไกลกว่านั้น บทที่ผ่านมาก็ดูยืดไปเยอะทีเดียวทำให้ไม่อยากรออ่านแล้วค่ะ

ตัวละคร (18/20)

เนเวิส เป็นตัวละครทีทำให้ผู้วิจารณ์นึกถึงหนังเรื่องแชปปี้ จักรกลเปลี่ยนโลกค่ะ เป็นตัวละครที่ดูใสซื่อและอ่อนต่อโลกใบนี้มากๆ แต่ว่าโลกก็สอนให้เจอแต่สิ่งเลวร้ายที่เปลี่ยนให้ความใสซื่อกลายเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันได้ซึ่งเนเวิสก็คล้ายๆ กับแชปปี้ในจุดเริ่มต้นและการดำเนินชีวิต แต่ต่างกันตรงที่แชปปี้จะดูหม่นหมองและรันทดมากกว่า ส่วนเนเวิสยังโชคดีกว่ามากที่ได้พบกับครอบครัวของตะวันทำให้ชีวิตของเขาดูไม่โหดร้ายนัก ต้องยอมรับว่าผู้เขียนสะท้อนความไร้เดียงสาของเนเวิสได้ดีมากค่ะ อ่านแล้วรู้เลยว่าเนเวิสไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบบริสุทธิ์ใจจริงๆ ทำให้ผู้วิจารณ์อยากเห็นพัฒนาการของเนเวิสว่าจะสามารถไปได้มากกว่านี้ไหม หรือมีจุดหักเหให้เนเวิสเปลี่ยนไปยังไง โดยสรุปแล้วเนเวิสก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจที่สุดในเรื่องเลยก็ว่าได้ค่ะ

การใช้ภาษา (34/40)

การบรรยาย (17/20) รู้สึกว่าช่วงแรกๆ จะมีปัญหากับการบรรยายอยู่บ้างค่ะ แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลื่นไหลตามลำดับ การบรรยายใช้ภาษาที่สวยงามมากขึ้น แต่บางทีก็ดูไม่สมดุลกับแนวเรื่องเท่าไหร่ เช่น ในบทที่สี่ ฉากในห้องน้ำที่ม่านกำลังอาบน้ำให้เนเวิสและเมฆเข้ามาเห็น รู้สึกว่าสำนวนการบรรยายกลายเป็นนิยายแนวผู้ใหญ่ไปหน่อยค่ะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับอายุของตัวละครที่ไม่น่าจะเกิน 18 ปีและมีโทนเรื่องเป็นแนวไซไฟ ถ้าหากปรับให้การบรรยายเป็นภาษากลางๆ ก็อาจจะทำให้มุกที่ใส่ไปมันอินมากกว่านี้ก็ได้ค่ะ และเมื่อผ่านฉากนี้ไปสำนวนการบรรยายก็ดูอ่านง่ายขึ้นและกลับมาอยู่ในบรรยากาศของนิยายไซไฟ

ความถูกต้องของหลักภาษา (17/20) ตามจริงแล้วโดยส่วนใหญ่ผู้เขียนก็ทำได้ดีอยู่แล้วเพียงแต่อยากชี้ให้เห็นจุดเล็กๆ ที่นำไปพัฒนาได้

จุดไข่เปล่า เช่น “...ต่อด้วยข้อความ” อันนี้ผู้วิจารณ์ได้รับคำแนะนำจากกองบก. ท่านหนึ่งบอกว่าโดยหลักภาษาไทย การใช้จุดไข่ปลามักจะใช้ท้ายประโยคที่มีการอธิบายยืดยาวและย่นประโยคให้สั้นลง หรือถ้าใส่หน้าข้อความแล้วก็ต้องใส่หลังข้อความในกรณีที่ยกข้อความมาจากที่อื่น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใส่จุดไข่ปลา ให้ผู้แต่งบรรยายไปว่าตัวละครเว้นระยะการพูด หรือหยุดเงียบชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อไปแทนน่าจะดีกว่าค่ะ เช่นเดี๋ยวกับการใส่ “...” มันหมายถึงการเงียบไม่ตอบโต้อะไร ก็ให้บรรยายใส่ไปเลยจะดีกว่าค่ะ และจุดไข่ปลาควรมีแค่สามจุดเท่านั้นค่ะ อยากให้ผู้แต่งใส่ใจกับหลักการใช้เครื่องหมายให้มากกว่านี้นะคะ

ปรัศนี ? ตามความเป็นจริงหลักภาษาไทยไม่มีการใช้ค่ะ เพราะในภาษาไทยมีคำไทยที่เป็นคำถามในตัวมันเองแล้ว เช่น หรือ เหรอ หรือไม่ อะไร ที่ไหน อย่างไร แต่นอกเหนือจากนั้นก็สามารถใช้ได้ในกรณีที่ต้องการว่านี่คือการเน้นเพื่อตั้งคำถามเช่น แน่ใจว่านี่คือเค้ก? หืม? ห๊ะ? เป็นต้น

การเลือกใช้คำ ผู้แต่งยังพลาดกับการสะกดคำและใช้คำให้ตรงกับความหมายที่จะสื่ออยู่บ้างและมีคำฟุ่มเฟือยที่จะยกมาให้เห็นในตัวอย่าง ดังนี้

บทนำ ร่างหนึ่งโผล่ออกมาจนเด็กชายที่วิ่งไม่ลืมหูลืมตามาพักใหญ่เบี่ยงหลบไม่ทัน ต้องเบียดกระแทกอีกฝ่ายจนเด้งกลับเข้าไปทางเดิมที่ออกมา ปรับให้มีความลื่นไหลมากขึ้นเช่น

ฉับพลันร่างหนึ่งก็โผล่ออกมาประจันหน้ากับเด็กชายที่วิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา เนเวิสชะงักเล็กน้อยก่อนใช้ไหวพริบเบียดกระแทกอีกฝ่ายจนกระเด็นกลับเข้าไปยังทางเดิม ราวกับว่าประสาทสัมผัสของเนเวิสตื่นตัวเต็มที่ เขารู้ว่าต่อจากนี้หากมีตัวอะไรโผล่มาอีกก็พร้อมใช้สัญชาตญาณที่มีหลบหลีกได้ทันการ เป็นต้น

เสียงกรีดร้องโวยวายไล่หลังชวนให้ตื่นตระหนกจนเด็กชายเผลอเพิ่มความเร็วโดยไม่รู้ตัว และเมื่อระยะทางยาวไกลเท่าไหร่ เขายิ่งอยู่ท่ามกลางสิ่งประหลาดมากยิ่งขึ้น เนเวิสสะกดความรู้สึกหวั่นไหวไว้ภายในใจ เขาวิ่งอย่างไรทิศทาง สัญชาตญาณบอกว่าไม่มีเวลาให้หยุดคิดหรือตัดสินใจใดทั้งนั้น เขาต้องหนี หนีไปให้พ้น ปรับเป็น

เสียงกรีดร้องไล่หลังชวนให้ตื่นตระหนก ฝีเท้าของเขาก็พลันก้าวเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และเมื่อระยะทางยาวไกลเท่าไหร่ โดยรอบก็ดูแปลกประหลาดในสายตาของเขาไปหมด เนเวิสสะกดความหวั่นวิตกเอาไว้ เขาวิ่งไปโดยไร้ทิศทางที่แน่ชัดและสัญาตญาณของเขาก็ร้องเตือนอยู่ตลอด ไม่มีเวลาให้หยุดคิดหรือตัดสินใจทั้งนั้น เขาต้องหนี หนีไปให้พ้น

“หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าขยับ” เสียงต่ำๆ ดังขึ้น ปรับเป็นว่า เสียงคำรามต่ำดังขึ้น หรือเสียงขู่ดังขึ้น

ด...ดีมาก! ตัวทดลองทีนี้ก็ถอยหลังเข้าไปในห้องซะ” ร่างในชุดดำลายม่วงส่งเสียงเข้ม คำที่ขีดเส้นใต้มีความขัดแย้งกัน ต้นประโยคแสดงอาการหวาดกลัว ไม่มั่นใจ ในขณะที่คำบรรยายตามหลังเป็นเสียงเข้ม

ชายคนนั้นผงะ สำลักออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ ประโยคนี้ดูขาดๆ งงๆ ปรับเป็น ชายคนนั้นผงะ พลันตอบอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “อะ...อะไรนะ”

ก่อนทางเข้ามันจะเปิดออกพร้อมทิ้งเชือกเส้นหนึ่งลงมา มนุษย์คนหนึ่งโผล่ออกมากวักมือเรียก พลางตะโกนบางสิ่งที่ถูกความวุ่นวายกลืนกินไปจนหมด ปรับเป็น

ก่อนทางเข้าจะเปิดออกพร้อมทิ้งเชือกเส้นหนึ่งลงมาแล้วมนุษย์อีกคนที่โผล่หน้าและกวักมือเรียก พลางตะโกนบางสิ่งที่ถูกกลืนไปกับความวุ่นวายตรงหน้า

ธงสีเขียวผืนเท่าข้างแขน ปรับ ธงสีเขียวเท่าแขน

เขาก็ออกวิ่งไปคว้าเชือกเส้นนั้นไว้หมับ... แสดงว่าจับเชือกไว้แล้ว แต่เหตุการณ์ต่อมาเครื่องบินตก น่าจะแสดงอาการที่ชี้ให้เห็นว่าเนเวิสยังจับเชือกอยู่ในขณะที่เครื่องบินกำลังจะตก เช่น ในชั่วพริบตายานติดธงเขียวก็ถูกระเบิดย่อยยับ นาทีนั้นเองเขาก็รีบสลัดเชือกออกและทิ้งตัวลงกับพื้น กลิ้งหลุนๆ อยู่สักครู่ก่อนจะนอนราบกับพื้นได้ทันการ

หนึ่งในนั้นตะคอกเสียงเข้ม “กลับเข้ามา...” น่าจะเลือกใช้อัศเจรีย์มากกว่าจุดไข่ปลา เพื่อแสดงให้เห็นว่าประโยคดังกล่าวเป็นคำสั่ง

บทที่ 1 ชะงัด ชะงัก, ลูบหัวป้อยๆ ลูบหัวปอยๆ, กัดฟันรอด กัดฟันกรอด เป็นต้น

สำหรับคนที่กำลังจะเข้าไปอย่างพวกเขา เห็นคนออกมาในสภาพเช่นนี้แล้วจึงอดกลืนน้ำลายอย่างเสียวสันหลังวาบไม่ได้ กล่าวพร้อมหัวเราะเสียงแห้ง ปรับให้มีความลื่นไหล

สำหรับคนที่กำลังจะเข้าไปอย่างพวกเขาเมื่อเห็นคนออกมาในสภาพเช่นนี้แล้วก็อดกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่นไม่ได้ หนึ่งในนั้นกล่าวพร้อมหัวเราะแห้งๆ อย่างไม่แน่ใจในความคิด

พวกเขาอาจเป็นทหารรับจ้างก็จริง ผ่านสนามรบมาโชกโชนพอประมาณก็จริง แต่ในกรณีที่เพื่อนคนหนึ่งถูกแทงจนทะลุ นอนหายใจรวยริวอยู่ข้างถนน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ อารมณ์ก็ยิ่งปะทุ น่าจะปรับเป็นว่า

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงก็เพราะว่าพวกเขากำลังขาดสติ เพื่อเชื่อมโยงกับประโยคในย่อหน้าถัดไป

เนเวิสที่กำลังพัวพันกับชายอีกคนหนึ่งได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว นึกค้านอยู่ในใจว่าเขาไม่ได้เป็นคนกระทำเสียหน่อย คนพูดเองไม่ใช่หรือไงที่เอามีดเสียบเข้าไปในอกเพื่อนของเขาเอง นั่นทำให้เด็กหนุ่มได้รู้จักมนุษย์เพิ่มอีกหนึ่งข้อ ปรับเป็นว่า

เนเวิสที่กำลังติดพันอยู่กับชายอีกคน ได้ยินก็นึกค้านใจใจ เขาไม่ได้เป็นคนทำเสียหน่อย คนพวกนั้นเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนเอามีดแทงเพื่อนพ้องเสียเองและนั่นทำให้เนเวิสรู้จักอีกด้านของมนุษย์...

หากเด็กหนุ่มคนสุดท้ายผู้เป็นเป้าหมายทำลายล้างแท้จริงกลับไม่โดนสัมผัสแม้แต่ปลายเส้นผม ปรับเป็นว่า หากแต่เด็กหนุ่มที่เป็นเป้าหมายกลับไม่โดนทำร้ายแม้แต่ปลายเล็บ

แต่นั่นในกรณีที่ร่างกายของเขายังสมบูรณ์ สมบูรณ์กว่าสภาพปัจจุบัน น่าจะเพิ่มคำนิดหน่อย แต่นั่นในกรณีที่ร่างกายของเขายังสมบูรณ์ เขาหมายถึงสมบูรณ์กว่าสภาพปัจจุบัน

บทที่2 เสียงของเหลวจำนวนมากเร่งร้อนไหลผ่านท่อเล็กๆ จำนวนมากดังรอบตัว มีคำฟุ่มเฟือย ตัดออกไปสักจุด

ดวงตาสีน้ำเงินเปิดขึ้นฉับพลันและพบว่าตัวเขากลับมาอยู่ในห้องสีขาวอีกแล้ว ปรับเป็น เบิกโพลง

ร่างเรียวขยับแขนขามากขึ้น จนพอกำหนดขอบเขตการกักขังตน ปรับเป็น กะ หรือ คาดคะเน น่าจะดีกว่า

บทที่ 3 ปราณี – ปรานี

เสียงร้องตื่นตระหนกของธานทิพย์เรียกความสนใจของหนุ่มน้อยกลับไปได้ ปรับเป็น เสียงร้องตื่นตระหนกของธารทิพย์เรียกความสนใจของหนุ่มน้อยให้หันกลับไป

บทที่ 4 เสียงใสๆ ของเด็กหญิงฟังแล้วสดใสไม่น่าเบื่อ ปรับเป็น เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงฟังแล้วรู้สึกสดใสและไม่น่าเบื่อ

นั่นคือมุมมองของหนุ่มน้อยที่อยู่ท่ามกลางที่โล่งกว้างมานานอย่างไม่เคยพบเจอโลกภายนอกสักเท่าไหร่ ปรับเป็น นั่นคือมุมมองของหนุ่มน้อยที่อยู่ท่ามกลางสถานที่โล่งกว้างมานาน ซ้ำไม่เคยพบเจอโลกภายนอก

Homo sapiens sapiens น่าจะเขียนแปลงเป็นภาษาไทยไปเลย เพราะตอนหลังๆ เห็นผู้เขียนก็ทำนะคะ จริงๆ แล้วการเขียนทับศัพท์จะเป็นการเขียนที่อยู่ในรูปของบทความวิชาการมากกว่าในนิยาย หากช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้อ่านอ่านง่ายขึ้นก็น่าจะดีค่ะ

บทที่ 6 โดยภาพรวมตามมาตรฐานปกติแล้ว เนเวิสเดาว่าอีกฝ่ายคงหล่อเหลามาก...แม้ว่าเขาขะมองไม่ออกก็ตามที

ประโยคขีดเส้นใต้ทำให้เกิดความสับสนค่ะ น่าจะปรับทำนองว่าถ้ามองโดยมาตรฐานของคนทั่วไปแล้ว จัสตินคงหล่อ แต่ในความคิดของเนเวิสเขาก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป น่าจะทำให้เข้าใจง่ายขึ้นนะคะ

รวม 82/100 คะแนน

ทั้งนี้ผู้วิจารณ์หยิบยกแค่บางกรณีมาพูดอาจไม่ได้แก้ไขหรือเสนอแนะได้ทั้งหมด แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้แต่งจะนำสิ่งที่เสนอแนะไปปรับปรุงพัฒนางานของท่านให้ดียิ่งขึ้นและหากมีข้อผิดพลาดก็ขออภัยไว้ด้วยค่ะ

reviewer author
@wondermomo / MissSuika
11 พ.ย. 58 / 17:58 น.

0