SF ChanBaek - PM คำสัญญา
"ถ้าฉันตายนายจะรู้สึกอะไรไหม ชานยอล" "ถ้าคนที่ตายไปเป็นนายฉันก็จะดีใจมากไง ฮาฮ่า" ...แล้วพวกเขาจะรู้ไหมว่าสิ่งที่พูดน่ะมันเกิดขึ้นจริง...
ผู้เข้าชมรวม
1,571
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
SF ChanBaek PM คำสัญญา
“ถ้าฉันตายนายจะรู้สึกอะไรไหมชานยอล”
“ถ้าคนที่ตายเป็นนาย...ฉัน...ก็จะดีใจมากไง
ฮ่าๆ”
.......แล้วพวกเขาจะรู้บ้างไหมสิ่งที่พูดน่ะมันเกิดขึ้นจริง.......
เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป.....
PM=Pomise….
ปาร์ค ชานยอล – หมาน้อยของผม~
พยอน แบคฮยอน – แค่เพื่อนสินะชานยอล...
---from A---
Twitter-
@IamAor_KL
สวัสดีนักอ่านที่ตั๊ลร๊ากกกทุกท่าน
เรื่องสั้นเรื่องแรกนะคะฝากด้วยนะ
- ถ้าทำให้ใครไม่ชอบไม่โดนก็ขออภัยไว้
ณ ที่นี้นะคะ
- แต่ถ้าชอบแล้วเม้นเป็นกำลังใจให้นี่จะโคตรดีใจเลย
ฮ่าๆ
ฝากแท็ก #Chanbaekpm ในทวิตด้วยน๊า
Code - Cr. O W E N TM.
O W E N TM.เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คำสัญญาเป็นสิ่งที่ฝังในใจของคนเรามาก
ถ้าได้ให้สัญญากับใครไปแล้วเราควรจดจำสิ่งที่เราพูดไปให้ดีและควรทำมันให้ได้
หรือถ้าเราทำมันไม่ได้เราก็ไม่ควรพูดมันตั้งแต่แรกจะดีกว่า
พยอนแบคฮยอน
แกรบ!
“แบคฮยอน!”
“เฮ้ย! ย่าห์อะไรเนี่ย ไอ้บ้าตกใจหมด”
เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกสะดุ้งจนสุดตัว
ตกใจจนแทบทำปากกาหลุดจากมือ เมื่อใครบางคนโผล่มาเงียบๆจากด้านหลัง
“ฮ่าๆ ตกใจอะไรขนาดนั้น
แล้วนี่ทำไรอยู่ตรงนี้ตามหาตั้งนาน”
ร่างสูงหัวเราะร่าเสียงทุ้มน่าฟัง
พลางทรุดกรายลงข้างๆร่างบางอ้อนแอ้นที่นั่งอยู่ก่อนบนม้าหินอ่อนในสวนสวยของโรงเรียนดัง
“ไม่ได้ทำอะไร
แค่...คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอ่ะ”
“เห คิดอะไรหืม
คิดถึงชายปาร์คคนนี้อยู่ล่ะสิ ฮ่าๆ”
พูดแย่อีกคนเล่นพร้อมทั้งยังรั้งศีรษะคนตัวเล็กมาซบอกตัวเองอย่างที่เขามักจะทำเป็นประจำ
โดยไม่เคยคิดหรอกว่าอีกคนจะรู้สึกอะไรกับมันหรือไม่เพราะตั้งแต่เขารู้จักกันมาเขาก็เล่นกันแบบนี้กับคนตัวเล็กอยู่แล้ว
“คิดถึงนายอะไร อย่ามาหลงตัวเองแถวนี้
ปาร์คชานยอล”
ปากรียวบางถูกยู่อย่างน่ารักน่าชังแก้มใสที่ขึ้นสีเรื่อๆโดยไม่รู้ตัว
มือเรียวสวยก็พลางผลักดันอกแกร่งออกด้วยแรงอันน้อยนิดนั่นอีก
“อาว ไม่หลงตัวเองจะให้หลงนายแทนไหมล่ะ
หืม”
“ไอ้บ้า หยุดพูดไปเลย
เก็บปากไว้กินตีนโน่น”
ไม่ว่าเปล่ามือน้อยๆยังส่งไปผลักหน้าหล่อๆนั่นอย่างหมั่นไส้
“คร้าบคร้าบ
นี่ว่าแต่มีเรื่องอะไรรึเปล่าเห็นนั่งเหม่อแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้วนะ ไม่สบายเหรอ
หืม”
มือแกร่งยืนมือแนบทับกับหน้าผากเนียนใสเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกายคนตัวเล็กอย่างห่วงๆ
ถึงจะเห็นเขาชอบแหย่ชอบแกล้งยังไงก็ตามเขาก็ยังคงเป็นคนที่คอยเป็นห่วงแบคฮยอนเสมอ
จนการกระทำพวกนั้นมันมาทำเอาหัวใจดวงน้อยต้องสั่นไหวอยู่ประจำ
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา
ตกลงมีเรื่องอะไรฮึ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ไม่ต้องสนใจหรอก
แค่คิดเรื่องเรียนตามปกตินั่นแหละ”
บอกปัดๆไปไม่อยากให้อีกคนซักไซ้
เพราะที่จริงเขาก็ไม่ได้มีเรื่องกลุ้มใจอะไรจะมีก็เรื่องคนข้างๆนี่แหละ
จะให้บอกไปได้ไงล่ะว่าเขาเริ่มไม่แน่ใจกับคำว่าเพื่อนอีกต่อไปแล้วถ้าบอกแล้วอีกคนตีตัวออกห่างเขาคงทนไม่ได้แน่
แถมตอนนี้ชานยอลยังมีคนที่ชอบอยู่แล้วอีก ถึงจะเป็นรักเขาข้างเดียวก็เถอะนะ
“อืม ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว
แต่ถ้ามีอะไรล่ะก็ปรึกษาเพื่อนคนนี้ได้นะไอ้ตัวเล็ก”
“อือ รู้แล้วน่า”
รู้แล้วว่าแค่เพื่อนไม่ต้องย้ำหรอกไอ้บ้า
ได้แต่น้อยใจกับตัวเองอยู่ในใจ ยู่หน้าสะบัดหนีอีกคนอย่างงอน
จนอีกคนต้องหัวเราะขำๆ
เอ่ยง้อเหมือนเคยที่เล่นกันตามประสาเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก
แค่เพื่อนสินะ
ฉันคงได้แค่นี้สินะชานยอล
การเรียนของวันผ่านไปตามปกติจนถึงเวลาพัก
เสียงดังอื้ออึงไปทั่วห้องเรียนกว้างเมื่อรู้ว่าวิชาต่อไปอาจารย์ติดประชุมไม่สามารถเข้าสอนได้จึงทำให้นักเรียนส่วนมากดีใจกันยกใหญ่
จับกลุ่มพูดคุยเรื่องต่างๆนาๆ
แต่ก็มักจะมีเรื่องที่ทุกคนชอบยกมาคุยกันประจำก็คงไม่พ้นเรื่องคนดังในโรงเรียนคู่รักสุดฟินในโรงเรียนอะไรพวกนี้
“นี่ๆ
แกเมื่อวานนะฉันไปซื้อของให้แม่นะ ฉันเห็นรุ่นพี่คริสด้วยนะแก
โอ้ยฉันพึ่งรู้ว่าพี่เขาอยู่ที่คอนโดใกล้ห้างแถวบ้านฉันเอง
ไม่งั้นฉันไปเดินส่องบ่อยๆละ”
เด็กสาวผมทองสวยคนหนึ่งเปิดประเด็นคุยกับกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทีที่แสดงออกเต็มที่ว่าคลั่งรุ่นพี่สุดหล่อประจำโรงเรียนคนนี้แค่ไหน
“โธ่ แก แกได้เห็นแค่นั้น ฉันนี้ วันนั้นฉันไปหาพี่สาวที่คอนโดนั่น
ตอนฉันยืนอยู่ที่ร็อบบี้นะ ฉันเห็นรุ่นพี่คริสเดินออกมาจากลิฟต์กับพี่อี้ชิงด้วยอ่ะแก
โอ้ยฉันนี่แทบกรี๊ด บอกเลยฟินมาก”
“จริงหรอแก
พวกพี่เขาอยู่ด้วยกันแล้วหรอ”
“ไม่รู้อ่ะ เห็นเดินออกมาด้วยกันเฉยๆ
แต่ฉันว่าอยู่ด้วยกันก็ไม่แปลกนะเขาเป็นแฟนกันแถมพ่อแม่พวกพี่เขาก็สนับสนุนด้วย”
“โอ้ย
ช่างเป็นคู่ที่เหมาะกันอะไรอย่างนี้ แบบนี้ก็รอแต่งเลยสิเนี่ย โอ้ยเขินแทน”
“ใช่ไหมแก น่ารักมาก”
เสียงคุยกันเรื่องคู่รักสุดฟินในโรงเรียนจากกลุ่มผู้หญิงโต๊ะข้างหน้าของชานยอลและแบคฮยอนดังมาเขาหูสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเต็มๆแบบที่ว่าไม่ตั้งใจฟังก็ยังได้ยิน
จนร่างสูงที่นั่งฟังมานานเบ้บากตามเรื่องที่ได้ยินอย่างหมั่นไส้
“เหอะ ไม่เห็นเหมาะกันเลย
รุ่นพี่อี้ชิงไม่เหมาะกับไอ้เงิงบานๆนั่นหรอก”
ชานยอลพูดเสียดสีออกมาด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆในตัวแฟนหนุ่มของรุ่นพี่ที่ตนเองแอบปลื้มอยู่
“ฉันยังเหมาะกับรุ่นพี่อี้ชิงกว่าตั้งเยอะ
ว่าไหมแบคฮยอน”
“หือ ห้ะ อะไรนะ ฉันไม่ได้ฟัง
นายว่าอะไรนะเมื่อกี้”
คนสวยที่นั่งเหม่ออยู่ ทั้งยังสมองน้อยๆกำลังคิดอะไรเพลินๆเลยไม่ได้สนใจคนข้างๆว่าพูดอะไรบ้าง
จนชานยอลต้องส่ายหน้ายิ้มๆกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนั่น
“เปล่าไม่มีอะไรหรอก
แต่ว่าเหม่ออีกแล้วนะ ตกลงเป็นอะไร หืม”
ทำหน้าเข้มจริงจังเค้นคำตอบ
เพราะเขารู้สึกว่าคนตัวเล็กนี่ชักจะนั่งเหม่อสติหลุดลอยมากเกินไปแล้วดูไม่เหมือนเคยที่ช่างพูดช่างจาเลย
“อือ ไม่มีอะไรหรอกน่า
แค่เหนื่อยนิดหน่อย”
“หือ เป็นไรไม่สบายรึเปล่า
ไปห้องพยาบาลไหม”
เห็นหน้าตาไม่สู้ดีของตัวเล็กแล้วเขาก็อดห่วงไม่ได้
ทั้งยังอีกคนยังเป็นแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้วกลัวจะป่วยเอา
“ไม่เป็นไร แค่เรียนเหนื่อยเอง
ไม่ได้ป่วยซะหน่อย”
“แน่ใจนะ”
“อืออออ ฉันแข็งแรงจะตาย โธ่”
ไม่ว่าเปล่ายังมียกแขนเล็กนั่นทำท่าเบ่งกล้ามซะเต็มที่ถึงแม้มันจะไม่มีให้เห็นก็เถอะ
“ครับๆ คนเก่ง
เออจริงสิตอนเย็นรีบกลับไหม”
จู่ๆจากที่เป็นห่วงกันอยู่ดีก็มาเปลี่ยนเรื่องเป็นอย่างอื่นซะเฉย
จนแบคฮยอนตามอารมณ์ไม่ทัน
“อืม ก็ว่างอยู่นะ มีอะไรรึเปล่า”
“งั้นดีเลย
ไปดูรุ่นพี่อี้ชิงแสดงเปียโนกัน เดี๋ยวถ้ากลับค่ำจะไปส่ง
ชดเชยที่เมื่อวานไม่ได้ไปส่งด้วย”
จากที่ใบหน้าสวยมียิ้มหวานประดับกลับต้องค่อยๆเจื่อนลงทันทีเหมือนรู้ว่า
อีกคนชวนไปดูรุ่นพี่ที่อีกคนแอบชอบเล่นดนตรี ไม่ใช่ว่าแบคฮยอนไม่อยากไปหรืออิจฉาพี่อี้ชิงหรอกแต่เขาแค่ไม่อยากเห็นชานยอลเจ็บปวดเวลาที่ต้องไปเจอพี่อี้ชิงกับพี่คริสเขาอยู่ด้วยกัน
เพราะร่างสูงมักจะแสดงมันออกมาให้เขาเห็นเสมอเวลาที่เจอภาพบาดตาพวกนั้น
ซึ่งแบคฮยอนทนดูไม่ได้แน่
“น่า แบคไปด้วยกันนะ แป๊บเดียวก็ได้
แค่จะเอาของขวัญไปให้พี่เขาเอง”
ของขวัญวันเกิดพี่อี้ชิงสินะ
“แต่ว่า...”
“น่า ไปด้วยกันหน่อยนะหมาน้อยของผม”
ชื่อเรียกที่เรียกกันในวัยเด็กถูกยกมาใช้ในเวลาที่ร่างสูงอยากอ้อนเขาเสมอ
แล้วครั้งนี้ก็เช่นกัน ชานยอลคงชอบอี้ชิงมาก
ทั้งที่อี้ชิงไม่สนใจชานยอลมากกว่าคำว่าน้องเลยแท้ๆ
ร่างสูงก็ยังพยายามทำทุกอย่างเพื่อเข้าใกล้อี้ชิงอีก
มันเลยทำให้แบคฮยอนอดที่จะน้อยใจไม่ได้
ทั้งๆที่เขาอยู่ข้างกันมาตลอดแต่อีกคนก็ไม่เคยมองเกินคำว่าเพื่อนเลย
ต่างจากแบคฮยอนที่หัวใจมันทรยศ แอบชอบแม้กระทั้งเพื่อนตัวเอง
“อือ ก็ได้ แต่ต้องไปส่งด้วยนะ”
“โอเค เลยครับผม”
สุดท้ายก็ยอมตามใจอีกคนจนได้
“เออ
จริงสิเมื่อวานได้ยินว่าเด็กโรงเรียนเราถูกรถชนที่หน้าโรงเรียนหรอเห็นเขาลือกันทั่วเลย”
เสียงผู้หญิงกลุ่มเดิมดังแทรกบทสนทนาทั้งคู่ขึ้นมา
แต่คลานี้ดูเหมือนจะเคร่งเครียดนิดๆ
“อือฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน
คงจะใช่แหละ เห็นบอกว่าเสียแล้วด้วย เมื่อเช้านี้เอง”
“เห้ย จริงดิ ฮือออ น่าสงสารจัง
ว่าแต่ห้องไหนอ่ะ”
“ไม่รู้สิ แต่อย่าให้เป็นห้องเราเลย
ฉันกลัว”
“กลัวอะไรแก
เพื่อนกันเขาไม่มาหลอกกันหรอก”
“ก็กลัวไงเผื่อฉันเคยทำอะไรไม่ดีกับเขาแล้วเขาโกรธอ่ะ
เดี๋ยวตามมาทวง บรึ้ยยยย แค่คิดก็สยองละ”
“เว่อร์ละ ดูหนังมากไปแล้ว พอๆ
มันไม่ใช่ห้องเราหรอก นั่งหน้าสะล่อนกันครบแบบนี้
ถ้ามีก็คงโดดหลอกกันยกห้องละ”
เด็กสาวว่าเพื่อนอย่างติดตลก
จนทำเอาทุกคนในห้องต้องหัวเราะตามเพราะเรื่องที่ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้ว
คงมีแต่แบคฮยอนที่ได้แค่ยิ้มตามนิดๆ
เพราะเขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะมาพูดเล่นเลยซักนิด
และคนที่ตายก็ยังน่าสงสารมากด้วย เพราะทั้งครอบครัวและเพื่อนพ้อง คงเสียใจมากแน่ๆ
แล้วถ้ามันเกิดกับพวกเขาเองคงขำกันไม่ออกหรอก
“นี่มันน่าขำรึไง ขำอยู่ได้”
ดวงตาเรียวรีเหลือบมองคนข้างๆที่ยังขำไม่หยุดราวกับมันเป็นเรื่องอะไรที่ตลกนักหนาทั้งที่จริงมันไม่ตลกเลยซักนิด
“ก็จริงนี่นา มันน่าขำไหมล่ะ
เพื่อนนั่งเต็มห้อง จีอายังคิดว่าเป็นห้องเราอีก
ถ้าห้องเราจริงๆก็คงโดนหลอกกันหมดแล้ว ฮ่าๆ”
ร่างสูงระเบิดหัวเราะออกมาอีก
อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เคยได้ฟังยังไงยังงั้น
“เอาเข้าไป เดี๋ยวถ้ามีจริงๆเดี่ยวจะขำไม่ออก”
“เห้ย จะซีเรียสทำไมเนี่ย
แค่ล้อเล่นกันเองน่า มันไม่ได้เกี่ยวกับพวกเราจริงๆซักหน่อย”
ชานยอลหยุดหัวเราะทันที
เมื่อเห็นว่าอีกคนทำหน้าเครียดไม่พอใจ จนเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองซะงั้น
“งั้นขอถามอะไรหน่อย”
ร่างเล็กหันมาสบตาคู่คมตรงๆ ดวงตาใสส่องแววจริงจังจนอีกคนไม่กล้าหันหนี
“หือ? อะไร”
“ถ้าคนๆนั้นเป็นฉันล่ะ”
“.......”
คำถามที่ออกจากริมฝีปากบางเฉียบทำเอาร่างสูงเงียบงุนงงในสิ่งที่อีกคนพูด
ได้แต่มองลึกเข้าไปในดวงตาใสแจ๋วนั่นแต่มันก็ยังคงแววจริงจังไว้เสมอ
“ถามอะไรของนายเนี่ย”
“ตอบมาเหอะน่า”
ไม่ทันที่ร่างสูงจะเบือนหน้าหลบสายตา
แบคฮยอนก็จับใบหน้าคมให้หันมาสบกันตามเดิม
“....”
ความเงียบเข้าปกคุมทั้งสอง
โดยที่ตาทั้งคู่ยังสบกันอยู่อย่างนั้น จนแบคฮยอนเริ่มคิดว่าถ้าอีกคนไม่ตอบหัวใจเขาคงได้เด้งออกมาเต้นอยู่ข้างนอกแน่ๆ
เพราะระยะแบบนี้มันอันตรายจริงๆ
“ถ้าคนที่ตายเป็นนาย
ฉันก็คงดีใจมากกกกกเพราะจะได้ไม่มีใครมากวนให้หนวกหูไงฮ่าๆ”
“นี่!”
คำตอบที่ดูเหมือนจะไม่มีความจริงจังที่จะตอบเลยซักนิดทำเอาแบคฮยอนต้องผลักหน้าอีกคนแรงๆ
พร้อมสะบัดหน้าอย่างหมดอารมณ์
เขาไม่น่าหวังอะไรกับคนอย่างชานยอลเลยจริงๆ
ใช่สินะเขาไม่ใช่พี่อี้ชิงที่อีกคนชอบนี้ ที่ทำให้อะไรก็ดูจริงจังไปหมด
“โอ๋ ไม่งอน ล้อเล่นๆ”
“ไม่ต้องมาพูด”
มือเล็กๆยกขึ้นปัดไปมาอย่างงอนๆ
แถวยังสะบัดหน้าแรงๆ อย่างไม่กลัวลำคอระหงส์นั้นจะเคล็ดเอาเลยซักนิด
จนชานยอลได้แต่ยิ้มตาม
“นี่ไม่ฟังแล้วจะรู้หรอ
คำตอบจริงๆน่ะ”
นิ้วแกร่งรั้งคางเรียวสวยให้หันมาสบกับดวงตาคม
ที่ทำเอาคนที่ดื้อขัดต้องสงบเพราะแววจริงจังที่ไม่ค่อยฉายให้เห็นบ่อยนัก
“จะบอกอะไรให้นะ
ฉันไม่อยากจะคิดและก็ไม่อยากให้มันเกิด เหมือนอย่างที่นายถามเลย
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันคงเสียใจมากแน่ๆ และฉันก็จะไม่ให้อภัยตัวเองที่ปล่อยให้นายจากไป
และถ้ามีใครซักคนต้องตาย คนๆนั้นเป็นฉันคงจะดีกว่า
เพราะชีวิตฉันมันคงไม่น่าอยู่แน่ๆถ้าไม่มีนาย เข้าใจนะแบคฮยอน”
สายตาของร่างสูงที่มองมามันสื่อความหมายหลายอย่างที่แบคฮยอนสัมผัสมันได้ไม่หมด
เพราะบางครั้งมันเหมือนจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นแต่แบคฮยอนแค่ไม่อยากคิด
“แล้วก็อย่าคิดแบบนี้อีกอย่าคิดว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไร
เพราะฉันรู้สึกอะไรมากกว่าที่นายคิด
เพราะเราเป็นเพื่อนกันเพื่อนที่รักกันมากที่สุดนะแบคถ้าใครสักคนเป็นอะไรไป
เราก็จะไม่ทิ้งกัน นายลืมแล้วหรอที่สัญญากันไว้น่ะ”
ริมฝีปากหนายกยิ้มนิดๆ
นิ้วเรียวพลางยกขึ้งเกลี่ยน้ำตาใสที่ซึ่มออกมาจากดวงตาสวย
“จำได้สิ ไม่ลืมหรอก”
มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาออกลวกๆ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะร้องไห้ทำไม แต่พอพูดเรื่องสัญญานี่ทีไรเขามักจะร้องไห้ทุกที
“ทวนหน่อยไหม”
“อืม”
รอยยิ้มสดใส
ถูกส่งให้อีกคนทั้งที่น้ำตายังไม่แห้งไป
ก่อนริมฝีปากทั้งคู่จากเอ่ยประโยคที่มักจะพูดกันสมัยเยาว์วัย
“ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ถึงแม้จะมีใครตายจากไปเราก็จะไม่ทิ้งกัน เพื่อนกันตลอดไป...”
มือหนายกขึ้นยีหัวคนตัวเล็กจนฟูฟ่อง
พร้อมรอยยิ้มที่มีให้กันตลอดไม่ว่าจะเวลาไหนหรือผ่านมานานเท่าไหร่แต่รอยยิ้มแบบนี้ก็มีให้กันเสมอ
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดคำสัญญาอะไรแบบนี้ขึ้นมา
รู้แต่ว่าตอนนั้นคิดแค่อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ทิ้งกัน และดูแลกันอย่างนี้ตลอดไป
ถึงอาจมีซักวันที่ต้องแยกกันไปมีชีวิตของตัวเอง
แต่พวกเขาก็อยากจะดูแลและเป็นแบบนี้ตลอดไป
เขาไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่าเพื่อนหรือมากกว่าเพื่อนหรือเปล่าแต่แค่มันมีความสุขดีก็พอแล้ว
ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียน
ร่างเล็กออกมายืนรออีกคนที่หน้าห้องดนตรีเพราะรู้สึกว่าด้านในคนจะเยอะและแออัดไป
เลยขอออกมารอด้านนอก แต่พอถึงเวลากลับบ้านอีกคนกลับหายไปซะงั้น
แต่มันก็เป็นปกติแล้วล่ะ เวลาที่มาดูอี้ชิงแสดงแล้วชานยอลก็มักจะหายไปดื้อๆเสมอ
ไม่ตามติดเป็นแฟนบอยก็คง ตามสังเกตการณ์คริสกับอี้ชิงล่ะมั้ง เลยทำให้แบคฮยอนต้องกลับบ้านเองบ่อยๆ
และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่เขาคงต้องกลับเองคนเดียว
“เฮ้อ กลับคนเดียวอีกแล้ว
จะทุ่มหนึ่งแล้วด้วย ไอ้ชานยอลบ้าไม่กลับด้วยทำไมไม่บอกวะ มาปล่อยให้รอ
แล้วหนีหายแบบนี้ได้ไง รถหมดรอบแล้วจะทำไงเนี่ย”
ร่างบางเดินไปบ่นไปตามถนนหน้าโรงเรียนอย่างเซ็งๆ
จนมาถึงป้ายรถเมย์ที่อยู่ไม่ไกล แล้วนั่งลงรอรถ
ดีที่ที่ป้ายนี้ยังมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งนั่งรอรถอยู่ด้วย ไม่งั้นมันคงวังเวงน่าดู
แถมยังพึ่งมีข่าวคนมาตายหน้าโรงเรียนอีก
มือบางหยิบหูฟังโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลงฟังฆ่าเวลา แต่ก็ไม่ได้เปิดดังมากแค่คลอไว้เบาๆเลยทำให้ได้ยินกลุ่มข้างๆคุยกันนิดหน่อย
“เมื่อไหร่รถจะมา”
“ใช่อยากกลับแล้ว น่ากลัวอ่ะ”
“แกอย่าพูดดิ
เดี๋ยวรุ่นพี่เขาก็มาจริงๆหรอก”
“ก็น่ากลัวอ่ะ
ไม่เห็นหรอวันนี้ได้ข่าวโดดหลอกกันยกห้อง”
“นั่นดิ เพราะไม่รู้ว่าพี่เขาตายแล้วแท้ๆ”
“แต่ ให้ตายเหอะ
ตกลงพี่คนที่ตายน่ะใครกันแน่ ทำไมไม่มีใครบอกอะไรเลย”
“ไม่รู้สิ
ไม่แน่อาจเป็นพี่ที่นั่งข้างแกนั่นก็ได้ ฮ่าๆ”
“ไม่ขำย่ะ พอเหอะพอ”
บทสนทนาหยุดลงแค่นั้น
ส่วนคนที่นั่งฟังและถูกโยงเข้าเรื่องก็ได้แต่ขมวดคิ้วงงๆ ว่ามาโยงเขาเข้าเรื่องด้วยนี่นะ
ยังทันไม่คิดอะไรมากกว่านั้นรถเมย์ประจำทางก็มาจอดเทียบหน้าซะก่อนเลยต้องรีบขึ้นรถไป
ร่างเล็กมาถึงบ้านตัวเองในเวลาสองทุ่มกว่าๆ
ไฟในบ้านเปิดสว่างจ้าแสดงว่าพ่อกับแม่เขากลับมาแล้ว
แบคฮยอนก้าวเดินเข้าไปในบ้านตรงไปยังห้องโถงเพื่อตัดขึ้นไปบนห้องแต่ก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อพบกับผู้เป็นพ่อนั่งปลอบแม่ที่นั่งร้องไห้อยู่บนโซฟาสะอึกสะอื้น
ทำเอาร่างบางมองอย่างสงสัยปนสะเทือนใจที่เห็นมารดาน้ำตานองขนาดนี้
ขาเรียวก้าวเข้าไปหาทั้งสองอย่างร้อนใจ “แม่ เกิดอะไรขึ้นหรอ ทำไมถึง....”
แบคฮยอนเหลือบมองชุดที่ทั้งสองคนสวมอยู่ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปอีก
เมื่อทั้งคู่ใส่สีดำทั้งชุดเหมือนจะไว้อาลัยให้ใครอย่างนั้นแหละ
“แบคฮยอน...”
ดวงตาเศร้าจับใจมองขึ้นสบตาลูกชายอย่างอ่อนแรง
ปนตกใจนิดๆ ยิ่งทำให้แบคฮยอนสงสัยเข้าไปอีกทำไมมองเขาแบบนั้น
“เกิดอะไร ขึ้นหรอครับ”
ทั้งคู่จำต้องเสหลบตาลูกชายอย่างเลี่ยง
ทั้งที่รู้อยู่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องบอกเรื่องนี้
“แม่ครับ
พ่อครับบอกผมหน่อยสิทำไมแม่ร้องไห้” ดวงตาใสสั่นระริกเมื่อยังไม่มีใครพูดอะไรขึ้นสักที
จนคุณนายบยอนจำต้องบอกออกมา
“แบคฮยอน ลูกฟังแม่นะ
นั่งลงแล้วทำใจดีๆก่อนนะลูก”
“อะไรครับแม่”
ร่างเล็กสบดวงตาทอประกายเศร้าๆของผู้เป็นมารดาอย่างเกิดความสงสัย
“ชานยอล...”
“หือ?”
“ชานยอลเสียแล้วลูก”
“!!!!...”
.....60%....
--------------------------
ห้องนอนกว้างที่ควรจะส่องสว่างไปด้วยแสงไฟในตอนนี้กลับมีเพียงแสงสลัวจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานโตเท่านั้น
บนเตียงนอนหลังกว้างถูกจับจองด้วยร่างเล็กที่นั่งขุดคู้กอดเข่าตัวเองอยู่
ดวงตาสวยที่เหม่อลอยพร้อมกับน้ำตาใสใสที่ไหลหลั่งลงตามแก้มเนียนไม่ขาด แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาเดินขึ้นห้องนอนตัวเองมาได้ยังไง
เพราะตั้งแต่ผู้เป็นแม่ได้บอกประโยคนั้นพร้อมทั้งยังให้จดหมายและกล่องบางอย่างที่เพื่อนที่แบคฮยอนรักอยากจะให้กับแบคฮยอนในวันนี้แต่เขาไม่มีโอกาส
ความในจดหมายนั้นทำให้ใจดวงน้อยบีบรัดแน่นเหมือนจะแตกออกเสียให้ได้
เขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย รู้สึกตัวอีกทีเขาก็เข้ามาอยู่ในห้องนี้แล้ว
ร่างเล็กเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย
ถ้ามีใครสักคนมาพบเห็นแบคฮยอนในสภาพนี้ก็คงไม่มีใครที่จะสามารถเดาได้เลยว่าคนๆนี้กำลังคิดอะไรอยู่
คนที่รู้คงจะมีแต่เจ้าตัวเองที่ตอนนี้ในหัวจะมีแต่ภาพของคนๆหนึ่งลอยวนเวียนไปมาอย่างไม่สามารถทำให้หยุดคิดได้
คนที่ทำให้เขารักสุดหัวใจ...
“ฮึก...ชานยอล...ขอโทษนะ”
คนที่เขาอยากอยู่ด้วยมากที่สุด...
“แบคฮยอนขอโทษ...ฮือๆ...”
มือเรียวสวยกำจดหมายแน่นจนมันยับยู่ยี่ทั้งยังเปียกด้วยหยาดน้ำตาที่ถูกปล่อยให้ไหลลงมาไม่หยุด
-สุขสรรค์วันครบรอบที่เราเจอกันนะแบคฮยอนนี่
ฮ่าๆ ฉันเหมือนคนบ้าเลยเนอะที่กล้าทำอะไรแบบนี้ ฮ่าๆ คือ
ที่จริงนายอาจจะมองว่าวันนี้มันไม่สำคัญก็ได้นะ
และนายก็อาจคิดว่าฉันคงลืมวันแบบนี้ไปแล้วก็ได้
เพราะตั้งแต่ที่เราเจอกันฉันก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้นี่เนอะ อืม เข้าเรื่องๆ คือ....
ที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะบอกกับนายแหละ
มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เป็นเรื่องที่อาจทำให้อนาคตเราไม่เหมือนเดิมเลยก็ได้
และมันทำให้ฉันไม่กล้าที่จะพูดกับนายตรงๆ
มันเป็นเรื่องของความรู้สึกของเพื่อนคนหนึ่งที่มีให้กับนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
ตอนแรกฉันไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรแต่พอได้อยู่กับนายมาตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้มันทำให้ฉันมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่มีให้เพื่อน
แต่มันเป็นความรู้สึกแบบคนรัก... ขอโทษนะแบคที่ฉันรู้สึกแบบนี้ แต่ฉันคงรักนายจริงๆ
ฉันหาโอกาสที่จะบอกกับนายมานานแล้วนะ
แต่สุดท้ายรุ่นพี่อี้ชิงเขาก็แนะนำว่าให้บอกในวันนี้แหละเพราะเป็นวันแรกที่เราสองคนได้พบกัน
ฉันตื่นเต้นแทบบ้าแนะ
ของขวัญก็กลัวว่านายจะไม่ชอบเลยให้พวกรุ่นพี่อี้ชิงไปเลือกช่วยซะวุ่นเลย ฮ่าๆ
หวังว่านายจะชอบนะ ฉันเลือกจากใจเลยนะรู้ไหม เออ...จริงสิลืมไปเลย
แบคฮยอนที่ฉันบอกมาทั้งหมดฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ ถึงแม้นายอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับฉัน
แต่ฉันก็อยากให้นายรู้ไว้
ถ้านายไม่รู้สึกแบบเดียวกับฉันนายก็อย่าตีตัวออกห่างฉันเลยนะ
เพราะฉันคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าห่างจากนาย แล้วก็จำคำที่เราสัญญากันได้ใช่ไหมว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
ฉันอยากให้เป็นแบบนั้นจริงๆนะ อยากอยู่กับนายจนแก่ตายเลย อยากดูแลนายตลอดไปเลย
หวังว่านายจะเข้าใจฉันนะ และรักนายมากนะแบคฮยอนของผม...-
ขอความในจดหมายที่รับมาจากมารดายังคงวนอยู่ในสมองอย่างไม่สามารถสั่งให้ลืมได้
แบคฮยอนอยากตอบกลับเจ้าของจนหมายนี้เหลือเกินว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษเพราะเขาคนนี้ก็รู้สึกไม่ต่างจากชานยอลเลยแม้แต่นิด
เป็นเขาต่างหากที่ควรขอโทษและไม่ควรได้รับการให้อภัยกับการกระทำอันเห็นแก่ตัวของตัวเอง
“ฮึก...ฮือ...ขอโทษ...ชานยอล”
“แบคฮยอน”
“ฮึก!!”
ร่างเล็กที่ก้มหน้าซุกกับเข่าตัวเองสะดุ้งเฮือกเมื่อชื่อของตัวเองถูกเอยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่แสนคุ้นเคย
ก่อนที่ใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาจะค่อยๆเงยขึ้นมองไปยังทางหน้าต่างบานโตที่ที่เสียงนั้นส่งมา
ผ้าม่านระย้าปลิวไสวทั้งๆที่หน้าต่างนั้นถูกปิดสนิทพร้อมกับเผยให้เห็นเงาของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนจะชัดเจนขึ้นเมื่อแสงจันทร์รอดพ้นจากการถูกบดบังด้วยผ้าม่านสวย
“ชะ ชานยอล!”
ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างขึ้นเมื่อสบเข้ากับสายตาคมนั้นตรงๆ
“ไง ตกใจมากเลยหรอ พยอนแบคฮยอน”
เสียงทุ้มที่เคยอ่อนโยนมาตลอดแต่ตอนนี้มันกลับเย็นยะเยือกอย่างน่าใจหาย
ทำเอาร่างเล็กของผู้ที่ได้ฟังอดที่จะสั่นกลัวไม่ได้
“ชานยอล ทะ ทำไม... ฮึก ฮือออ”
คนตัวเล็กที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรทำยังไง
ได้แต่นั่งปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
“ทำไมหรอ...เป็นฉันมากกว่าไหมที่ควรถามแบบนั้น...”
ร่างสูงก้าวเดินจากริมหน้าต่างเรื่อยๆพร้อมกับสายตาคมที่ถอดมองมายังแบคฮยอนส่อแววที่ยากจะหยั่งรู้ได้
จนสองเท้าแกร่งมาหยุดที่ริมปลายเตียงหลังใหญ่ที่มีคนตัวเล็กนั่งสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่
“ฮึก...ชะ...ชาน...”
“ทำไมนายถึงต้องฆ่าฉัน
ตอบมาสิว่าทำไมแบคฮยอน!!!”
“ฮึก!!!”
ร่างสูงของคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงดีๆ
แต่จู่กลับทิ้งตัวลงมาคร่อมคนที่นั่งชิดหัวเตียงอยู่อย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน
รู้ตัวอีกทีใบหน้าขาวซีดของชานยอลก็อยู่ห่างจากแบคฮยอนเพียงคืบแล้ว
“ขะ...ขอโทษ...ฮึก...ฉันไม่รู้...ฉันขอโทษ...ฮือออ”
ใบหน้าสวยเสหลบสายตาคมที่ตอนนี้มันขึ้นสีเลือดอย่างหน้ากลัวจนคนมองต้องหันหนีอย่างหวาดหวั่น
จนอีกคนต้องใจกระตุกวูบเมื่อเผลอทำให้ใครอีกคนต้องหวาดกลัวทั้งๆที่วันนี้เขาตั้งใจจะมาคุยให้รู้เรื่องแท้ๆ
สายตาคมที่แดงเดือดอ่อนลงจนเป็นปกตินิ้วเรียวยาวเย็นเฉียบค่อยๆยกขึ้นมาเกลี่ยคาบน้ำตาจากแก้มใสอย่างทะนุถนอม
“ฉันไม่โกรธแบคฮยอน ไม่โกรธเลย...”
น้ำเสียงของอีกคนที่อ่อนลงทำให้แบคฮยอนค่อยๆหันกลับมาสบสายตากับอีกคนอย่างสงสัย
“ฉันไม่โกรธ
ฉันแค่อยากรู้ว่านายทำแบบนั้นทำไม...”
“...”
“แล้วนายฆ่าตัวเองทำไม”
จบคำถามของชานยอลทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ร่างเล็กได้แต่กัดริมฝีปากเย็นชืดของตัวเองอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรก่อนดี
มันทั้งรู้สึกผิด และกลัวไปในเวลาเดียวกัน
ทั้งๆที่เขาไม่ควรมีเรื่องต้องกลัวแล้วแท้ๆเพราะสภาพที่เขาอยู่ตอนนี้มันไม่สมควรที่จะกลัวอะไรเลย
แต่เขากลับกลัว กลัวว่าชานยอลจะไม่ให้อภัย
ใช่ แบคฮยอนน่ะตายไปแล้ว
ตายไปก่อนชานยอลเสียอีก ตายเพราะความคิดชั่ววูบของตัวเอง
แถมยังลากอีกคนตามตัวเองมาอีก
แบบนี้จะไม่ให้เขารู้สึกผิดในความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้ยังไง
“ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้...”
“ไม่แบคฮยอน เพราะฉันใช่ไหม
เพราะฉันนายถึง..”
“ไม่ใช่เพราะนาย
เพราะฉันมันโง่เองต่างหาก ถ้าฉันไม่คิดอะไรงี่เง่า ฮึก! ไม่ทำอะไรบ้าๆแบบนั้น ฉันก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้
และถ้าฉันไม่เห็นแก่ตัว จนต้องทำให้นายประสบอุบัติเหตุ
เพื่อต้องการให้นายมาอยู่ด้วยกัน ฉันก็คงไม่ต้องมารู้สึกผิดอยู่แบบนี้ ฮืออออ”
ร่างเล็กพร่ำระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาอย่างรู้สึกผิด
เขาไม่น่าทำเลย จริงๆ
เขาน่าจะคิดอะไรให้มันเยอะกว่านี้ ไม่ใช่ว่าน้อยใจ แล้วคิดอะไรที่มันตื้นๆ
เขาน่าจะคิดถึงคนรอบข้างมากกว่านี้
แล้วยังชานยอลอีกเขาไม่น่าลากอีกคนมาจมทุกข์ด้วยเลย แบคฮยอนนายมันเห็นแก่ตัวจริงๆ
ได้แต่ตัดพ้อตัวเองอยู่ในใจ
กับความงี่เง่าที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยไหนจะยังความเห็นแก่ตัวของตัวเองอีก
มันทำให้เขารู้สึกผิดจนหาที่เปรียบไม่ได้เลย
“อย่าโทษตัวเอง แบคฮยอน
ฉันไม่เคยโกรธนายที่ฉันต้องมีสภาพเป็นแบบนี้ ฉันกลับดีใจซะอีก”
“ฮึก หือ?”
จากตอนแรกที่ก้มหน้าสะอึกสะอื้นร้องไห้ในความผิดของตัวเอง
กลับต้องเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาอีกคนอย่างสงสัย
“หมายความว่าไง?”
“แบคฮยอน ฉันเคยบอกแล้วไงว่าฉันอยากอยู่กับนายตลอดไป
เพราะฉะนั้นฉันไม่สนหรอกว่าเราจะอยู่ในสภาพไหนตัวอะไร
ขอแค่มีนายฉันก็ยอมได้ทั้งนั้น เพราฉะนั้นนายไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกผิดกับฉันเลย
และอีกอย่างฉันเลือกที่จะมาเอง”
สายตาคมทอดมองเข้าไปในดวงตาวาวน้ำด้วยความอ่อนโยน
สื่อความหมายว่าที่เขาพูดมาทั้งหมดเขาพูดจากใจจริง
“ชานยอล...”
“เราสัญญากันแล้วว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะหาทางที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้นานที่สุด
ตราบใดที่มันยังมีหนทาง เพราะฉะนั้นฉันจึงเลือกทางนี้
ไม่ใช่กลับไปมีชีวิตที่ไม่มีนาย...”
“ฮึก ฮือออ”
“โอ๋ๆ ไม่เอาไม่ร้องสิ
หมาน้อยของผมนี่ขี้แยตลอดเลยนะ”
ชานยอลรั้งอีกคนมาซุกอกตัวเองทั้งยังโยกไปมาเหมือนกอดปลอบเด็กตัวเล็กๆ
จนคนในอ้อมกอดหลุดยิ้มออกมากับความอบอุ่นที่ได้รับไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีอ้อมกอดนี้ก็ยังเหมือนเดิม
อบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยที่สุด
จนแบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าเข้าน่าจะรับรู้ความรู้สึกนี้ของอีกคนได้เร็วกว่านี้ก็คงดี
เพราะมันคงจะมีความสุขกว่านี้มากแน่ๆถ้าหัวใจของพวกเขาเต้นระรัวไปพร้อมกัน
ไม่ใช่หัวใจที่แน่นิ่งแบบนี้
แต่แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้วล่ะที่เขาสองคนเข้าใจกันได้ซะที
“ฮึก ขอบคุณนะชานยอล รักนายมากเลย”
“รักเหมือนกันครับ หมาน้อยของผม”
รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสองอย่างห้ามไม่ได้
ทั้งสองร่างที่ดูโปร่งแสงนั่งกอดกันอย่างแนบแน่นบนเตียงหลังกว้างภายในห้องนอนหรู
แต่ถ้าในสายตาของคนทั่วไปห้องนี้มันก็เป็นเพียงห้องนอนว่างเปล่าที่มีเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์สาดส่อง
แต่ถ้าจะลองสังเกตไปอีกสักนิดในห้องนอนกว้างนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มีเพียงแค่สองดวงวิญญาณนี้เท่านั้น
บานประตูตู้เสื้อผ้าที่ถูกปิดอยู่ถูกแง้มจนเปิดออกอย่างไร้สาเหตุ
จนเผยให้เห็นร่างซีดเซียวไร้วิญญาณถูกเชือกเส้นยาวรัดลำคอระหงส์
ห้อยติดกับเพดานตู้หลังสูง ปล่อยทิ้งร่างบางลงมาตามความยาว
ร่างบางที่ดูซีดเซียวทั้งยังมีเลือดไหลซึมออกมาทั้งทางจมูกและปาก
ม่านตาบางเบิกกว้างเหมือนกำลังจ้องมองไปยังเจ้าของร่างของตน
ที่ไม่มีวันหวนกลับคืนร่างนี้ได้อีกแล้ว
-----------THE END--------------
Talk
ทอล์คคึจบแล้วววววววววววววววววว
เย้ๆ เรื่องแรกที่แต่งจริงๆจังๆ อาจจะดูงงๆ และเละไปบ้างก็เหอะ 55555
เป็นช็อตฟิคที่อิคนแต่งมันอยากสนองนีดตัวเองนิดหน่อย
คืออยากให้มีอะไรที่มันทั้งซึ้ง(อาจจะไม่ค่อยซึ้ง) ดราม่า(อาจจะไม่เท่าไหร่) และหักมุมหัวหมุน ฮ่าๆ
ที่แต่งไม่ได้ใช่แอนตี้หรืออะไรนะเออ
คือมันเป็นจินตนาการของอิไรท์เอง ไรท์ชอบแต่งอะไรที่มันเป็นแบบนี้
ถ้ามันทำให้ใครไม่ชอบก็ขออภัยไว้
ณ ที่นี่ด้วยนะคะ แต่ถ้าชอบถ้าโอเคก็เม้น+โหวตให้เรานิดหนึ่ง
เพื่อเป็นกำลังใจอันใหญ่หลวงนะจ๊ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^_^ SEE YOU
ตรวจสอบคำผิดให้หน่อยนะคะ
ผลงานอื่นๆ ของ aor_unicorn ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ aor_unicorn
ความคิดเห็น