SF ChanBaek - PM คำสัญญา - SF ChanBaek - PM คำสัญญา นิยาย SF ChanBaek - PM คำสัญญา : Dek-D.com - Writer

    SF ChanBaek - PM คำสัญญา

    "ถ้าฉันตายนายจะรู้สึกอะไรไหม ชานยอล" "ถ้าคนที่ตายไปเป็นนายฉันก็จะดีใจมากไง ฮาฮ่า" ...แล้วพวกเขาจะรู้ไหมว่าสิ่งที่พูดน่ะมันเกิดขึ้นจริง...

    ผู้เข้าชมรวม

    1,571

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.57K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    43
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 ส.ค. 58 / 21:26 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    SF ChanBaek PM คำสัญญา

    “ถ้าฉันตายนายจะรู้สึกอะไรไหมชานยอล”

    “ถ้าคนที่ตายเป็นนาย...ฉัน...ก็จะดีใจมากไง ฮ่าๆ”

    .......แล้วพวกเขาจะรู้บ้างไหมสิ่งที่พูดน่ะมันเกิดขึ้นจริง.......

    เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป.....         

    PM=Pomise….

    ปาร์ค ชานยอล หมาน้อยของผม~


    พยอน แบคฮยอน แค่เพื่อนสินะชานยอล...

    ---from A---

    Twitter- @IamAor_KL

    สวัสดีนักอ่านที่ตั๊ลร๊ากกกทุกท่าน เรื่องสั้นเรื่องแรกนะคะฝากด้วยนะ

    - ถ้าทำให้ใครไม่ชอบไม่โดนก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะคะ

    - แต่ถ้าชอบแล้วเม้นเป็นกำลังใจให้นี่จะโคตรดีใจเลย ฮ่าๆ

    ฝากแท็ก #Chanbaekpm ในทวิตด้วยน๊า

    Code - Cr. O W E N TM.

    O W E N TM.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      คำสัญญาเป็นสิ่งที่ฝังในใจของคนเรามาก ถ้าได้ให้สัญญากับใครไปแล้วเราควรจดจำสิ่งที่เราพูดไปให้ดีและควรทำมันให้ได้ หรือถ้าเราทำมันไม่ได้เราก็ไม่ควรพูดมันตั้งแต่แรกจะดีกว่า

      พยอนแบคฮยอน

      แกรบ!

      “แบคฮยอน!

      “เฮ้ย! ย่าห์อะไรเนี่ย ไอ้บ้าตกใจหมด”

      เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกสะดุ้งจนสุดตัว ตกใจจนแทบทำปากกาหลุดจากมือ เมื่อใครบางคนโผล่มาเงียบๆจากด้านหลัง

      “ฮ่าๆ ตกใจอะไรขนาดนั้น แล้วนี่ทำไรอยู่ตรงนี้ตามหาตั้งนาน”

      ร่างสูงหัวเราะร่าเสียงทุ้มน่าฟัง พลางทรุดกรายลงข้างๆร่างบางอ้อนแอ้นที่นั่งอยู่ก่อนบนม้าหินอ่อนในสวนสวยของโรงเรียนดัง

      “ไม่ได้ทำอะไร แค่...คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอ่ะ”

      “เห คิดอะไรหืม คิดถึงชายปาร์คคนนี้อยู่ล่ะสิ ฮ่าๆ”

      พูดแย่อีกคนเล่นพร้อมทั้งยังรั้งศีรษะคนตัวเล็กมาซบอกตัวเองอย่างที่เขามักจะทำเป็นประจำ โดยไม่เคยคิดหรอกว่าอีกคนจะรู้สึกอะไรกับมันหรือไม่เพราะตั้งแต่เขารู้จักกันมาเขาก็เล่นกันแบบนี้กับคนตัวเล็กอยู่แล้ว

      “คิดถึงนายอะไร อย่ามาหลงตัวเองแถวนี้ ปาร์คชานยอล”

      ปากรียวบางถูกยู่อย่างน่ารักน่าชังแก้มใสที่ขึ้นสีเรื่อๆโดยไม่รู้ตัว มือเรียวสวยก็พลางผลักดันอกแกร่งออกด้วยแรงอันน้อยนิดนั่นอีก

      “อาว ไม่หลงตัวเองจะให้หลงนายแทนไหมล่ะ หืม”

      “ไอ้บ้า หยุดพูดไปเลย เก็บปากไว้กินตีนโน่น”

      ไม่ว่าเปล่ามือน้อยๆยังส่งไปผลักหน้าหล่อๆนั่นอย่างหมั่นไส้

      “คร้าบคร้าบ นี่ว่าแต่มีเรื่องอะไรรึเปล่าเห็นนั่งเหม่อแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้วนะ ไม่สบายเหรอ หืม”

      มือแกร่งยืนมือแนบทับกับหน้าผากเนียนใสเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกายคนตัวเล็กอย่างห่วงๆ ถึงจะเห็นเขาชอบแหย่ชอบแกล้งยังไงก็ตามเขาก็ยังคงเป็นคนที่คอยเป็นห่วงแบคฮยอนเสมอ จนการกระทำพวกนั้นมันมาทำเอาหัวใจดวงน้อยต้องสั่นไหวอยู่ประจำ

      “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา ตกลงมีเรื่องอะไรฮึ”

      “ไม่มีอะไรหรอกน่า ไม่ต้องสนใจหรอก แค่คิดเรื่องเรียนตามปกตินั่นแหละ”

      บอกปัดๆไปไม่อยากให้อีกคนซักไซ้ เพราะที่จริงเขาก็ไม่ได้มีเรื่องกลุ้มใจอะไรจะมีก็เรื่องคนข้างๆนี่แหละ จะให้บอกไปได้ไงล่ะว่าเขาเริ่มไม่แน่ใจกับคำว่าเพื่อนอีกต่อไปแล้วถ้าบอกแล้วอีกคนตีตัวออกห่างเขาคงทนไม่ได้แน่ แถมตอนนี้ชานยอลยังมีคนที่ชอบอยู่แล้วอีก ถึงจะเป็นรักเขาข้างเดียวก็เถอะนะ

      “อืม ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แต่ถ้ามีอะไรล่ะก็ปรึกษาเพื่อนคนนี้ได้นะไอ้ตัวเล็ก”

      “อือ รู้แล้วน่า”

      รู้แล้วว่าแค่เพื่อนไม่ต้องย้ำหรอกไอ้บ้า

      ได้แต่น้อยใจกับตัวเองอยู่ในใจ ยู่หน้าสะบัดหนีอีกคนอย่างงอน จนอีกคนต้องหัวเราะขำๆ เอ่ยง้อเหมือนเคยที่เล่นกันตามประสาเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก

      แค่เพื่อนสินะ ฉันคงได้แค่นี้สินะชานยอล

       

      การเรียนของวันผ่านไปตามปกติจนถึงเวลาพัก เสียงดังอื้ออึงไปทั่วห้องเรียนกว้างเมื่อรู้ว่าวิชาต่อไปอาจารย์ติดประชุมไม่สามารถเข้าสอนได้จึงทำให้นักเรียนส่วนมากดีใจกันยกใหญ่ จับกลุ่มพูดคุยเรื่องต่างๆนาๆ แต่ก็มักจะมีเรื่องที่ทุกคนชอบยกมาคุยกันประจำก็คงไม่พ้นเรื่องคนดังในโรงเรียนคู่รักสุดฟินในโรงเรียนอะไรพวกนี้

      “นี่ๆ แกเมื่อวานนะฉันไปซื้อของให้แม่นะ ฉันเห็นรุ่นพี่คริสด้วยนะแก โอ้ยฉันพึ่งรู้ว่าพี่เขาอยู่ที่คอนโดใกล้ห้างแถวบ้านฉันเอง ไม่งั้นฉันไปเดินส่องบ่อยๆละ”

      เด็กสาวผมทองสวยคนหนึ่งเปิดประเด็นคุยกับกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทีที่แสดงออกเต็มที่ว่าคลั่งรุ่นพี่สุดหล่อประจำโรงเรียนคนนี้แค่ไหน

      “โธ่ แก แกได้เห็นแค่นั้น ฉันนี้ วันนั้นฉันไปหาพี่สาวที่คอนโดนั่น ตอนฉันยืนอยู่ที่ร็อบบี้นะ ฉันเห็นรุ่นพี่คริสเดินออกมาจากลิฟต์กับพี่อี้ชิงด้วยอ่ะแก โอ้ยฉันนี่แทบกรี๊ด บอกเลยฟินมาก”

      “จริงหรอแก พวกพี่เขาอยู่ด้วยกันแล้วหรอ”

      “ไม่รู้อ่ะ เห็นเดินออกมาด้วยกันเฉยๆ แต่ฉันว่าอยู่ด้วยกันก็ไม่แปลกนะเขาเป็นแฟนกันแถมพ่อแม่พวกพี่เขาก็สนับสนุนด้วย”

      “โอ้ย ช่างเป็นคู่ที่เหมาะกันอะไรอย่างนี้ แบบนี้ก็รอแต่งเลยสิเนี่ย โอ้ยเขินแทน”

      “ใช่ไหมแก น่ารักมาก”

      เสียงคุยกันเรื่องคู่รักสุดฟินในโรงเรียนจากกลุ่มผู้หญิงโต๊ะข้างหน้าของชานยอลและแบคฮยอนดังมาเขาหูสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเต็มๆแบบที่ว่าไม่ตั้งใจฟังก็ยังได้ยิน

      จนร่างสูงที่นั่งฟังมานานเบ้บากตามเรื่องที่ได้ยินอย่างหมั่นไส้

      “เหอะ ไม่เห็นเหมาะกันเลย รุ่นพี่อี้ชิงไม่เหมาะกับไอ้เงิงบานๆนั่นหรอก”

      ชานยอลพูดเสียดสีออกมาด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆในตัวแฟนหนุ่มของรุ่นพี่ที่ตนเองแอบปลื้มอยู่

      “ฉันยังเหมาะกับรุ่นพี่อี้ชิงกว่าตั้งเยอะ ว่าไหมแบคฮยอน”

      “หือ ห้ะ อะไรนะ ฉันไม่ได้ฟัง นายว่าอะไรนะเมื่อกี้”

      คนสวยที่นั่งเหม่ออยู่ ทั้งยังสมองน้อยๆกำลังคิดอะไรเพลินๆเลยไม่ได้สนใจคนข้างๆว่าพูดอะไรบ้าง จนชานยอลต้องส่ายหน้ายิ้มๆกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนั่น

      “เปล่าไม่มีอะไรหรอก แต่ว่าเหม่ออีกแล้วนะ ตกลงเป็นอะไร หืม”

      ทำหน้าเข้มจริงจังเค้นคำตอบ เพราะเขารู้สึกว่าคนตัวเล็กนี่ชักจะนั่งเหม่อสติหลุดลอยมากเกินไปแล้วดูไม่เหมือนเคยที่ช่างพูดช่างจาเลย

      “อือ ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่เหนื่อยนิดหน่อย”

      “หือ เป็นไรไม่สบายรึเปล่า ไปห้องพยาบาลไหม”

      เห็นหน้าตาไม่สู้ดีของตัวเล็กแล้วเขาก็อดห่วงไม่ได้ ทั้งยังอีกคนยังเป็นแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้วกลัวจะป่วยเอา

      “ไม่เป็นไร แค่เรียนเหนื่อยเอง ไม่ได้ป่วยซะหน่อย”

      “แน่ใจนะ”

      “อืออออ ฉันแข็งแรงจะตาย โธ่”

      ไม่ว่าเปล่ายังมียกแขนเล็กนั่นทำท่าเบ่งกล้ามซะเต็มที่ถึงแม้มันจะไม่มีให้เห็นก็เถอะ

      “ครับๆ คนเก่ง เออจริงสิตอนเย็นรีบกลับไหม”

      จู่ๆจากที่เป็นห่วงกันอยู่ดีก็มาเปลี่ยนเรื่องเป็นอย่างอื่นซะเฉย จนแบคฮยอนตามอารมณ์ไม่ทัน

      “อืม ก็ว่างอยู่นะ มีอะไรรึเปล่า”

      “งั้นดีเลย ไปดูรุ่นพี่อี้ชิงแสดงเปียโนกัน เดี๋ยวถ้ากลับค่ำจะไปส่ง ชดเชยที่เมื่อวานไม่ได้ไปส่งด้วย”

      จากที่ใบหน้าสวยมียิ้มหวานประดับกลับต้องค่อยๆเจื่อนลงทันทีเหมือนรู้ว่า อีกคนชวนไปดูรุ่นพี่ที่อีกคนแอบชอบเล่นดนตรี ไม่ใช่ว่าแบคฮยอนไม่อยากไปหรืออิจฉาพี่อี้ชิงหรอกแต่เขาแค่ไม่อยากเห็นชานยอลเจ็บปวดเวลาที่ต้องไปเจอพี่อี้ชิงกับพี่คริสเขาอยู่ด้วยกัน เพราะร่างสูงมักจะแสดงมันออกมาให้เขาเห็นเสมอเวลาที่เจอภาพบาดตาพวกนั้น ซึ่งแบคฮยอนทนดูไม่ได้แน่

      “น่า แบคไปด้วยกันนะ แป๊บเดียวก็ได้ แค่จะเอาของขวัญไปให้พี่เขาเอง”

      ของขวัญวันเกิดพี่อี้ชิงสินะ

      “แต่ว่า...”

      “น่า ไปด้วยกันหน่อยนะหมาน้อยของผม”

      ชื่อเรียกที่เรียกกันในวัยเด็กถูกยกมาใช้ในเวลาที่ร่างสูงอยากอ้อนเขาเสมอ แล้วครั้งนี้ก็เช่นกัน ชานยอลคงชอบอี้ชิงมาก ทั้งที่อี้ชิงไม่สนใจชานยอลมากกว่าคำว่าน้องเลยแท้ๆ ร่างสูงก็ยังพยายามทำทุกอย่างเพื่อเข้าใกล้อี้ชิงอีก มันเลยทำให้แบคฮยอนอดที่จะน้อยใจไม่ได้ ทั้งๆที่เขาอยู่ข้างกันมาตลอดแต่อีกคนก็ไม่เคยมองเกินคำว่าเพื่อนเลย ต่างจากแบคฮยอนที่หัวใจมันทรยศ แอบชอบแม้กระทั้งเพื่อนตัวเอง

      “อือ ก็ได้ แต่ต้องไปส่งด้วยนะ”

      “โอเค เลยครับผม”

      สุดท้ายก็ยอมตามใจอีกคนจนได้

      “เออ จริงสิเมื่อวานได้ยินว่าเด็กโรงเรียนเราถูกรถชนที่หน้าโรงเรียนหรอเห็นเขาลือกันทั่วเลย”

      เสียงผู้หญิงกลุ่มเดิมดังแทรกบทสนทนาทั้งคู่ขึ้นมา แต่คลานี้ดูเหมือนจะเคร่งเครียดนิดๆ

      “อือฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน คงจะใช่แหละ เห็นบอกว่าเสียแล้วด้วย เมื่อเช้านี้เอง”

      “เห้ย จริงดิ ฮือออ น่าสงสารจัง ว่าแต่ห้องไหนอ่ะ”

      “ไม่รู้สิ แต่อย่าให้เป็นห้องเราเลย ฉันกลัว”

      “กลัวอะไรแก เพื่อนกันเขาไม่มาหลอกกันหรอก”

      “ก็กลัวไงเผื่อฉันเคยทำอะไรไม่ดีกับเขาแล้วเขาโกรธอ่ะ เดี๋ยวตามมาทวง บรึ้ยยยย แค่คิดก็สยองละ”

      “เว่อร์ละ ดูหนังมากไปแล้ว พอๆ มันไม่ใช่ห้องเราหรอก นั่งหน้าสะล่อนกันครบแบบนี้  ถ้ามีก็คงโดดหลอกกันยกห้องละ”

      เด็กสาวว่าเพื่อนอย่างติดตลก จนทำเอาทุกคนในห้องต้องหัวเราะตามเพราะเรื่องที่ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้ว คงมีแต่แบคฮยอนที่ได้แค่ยิ้มตามนิดๆ เพราะเขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะมาพูดเล่นเลยซักนิด และคนที่ตายก็ยังน่าสงสารมากด้วย เพราะทั้งครอบครัวและเพื่อนพ้อง คงเสียใจมากแน่ๆ แล้วถ้ามันเกิดกับพวกเขาเองคงขำกันไม่ออกหรอก

      “นี่มันน่าขำรึไง ขำอยู่ได้”

      ดวงตาเรียวรีเหลือบมองคนข้างๆที่ยังขำไม่หยุดราวกับมันเป็นเรื่องอะไรที่ตลกนักหนาทั้งที่จริงมันไม่ตลกเลยซักนิด

      “ก็จริงนี่นา มันน่าขำไหมล่ะ เพื่อนนั่งเต็มห้อง จีอายังคิดว่าเป็นห้องเราอีก ถ้าห้องเราจริงๆก็คงโดนหลอกกันหมดแล้ว ฮ่าๆ”

      ร่างสูงระเบิดหัวเราะออกมาอีก อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เคยได้ฟังยังไงยังงั้น

      “เอาเข้าไป เดี๋ยวถ้ามีจริงๆเดี่ยวจะขำไม่ออก”

      “เห้ย จะซีเรียสทำไมเนี่ย แค่ล้อเล่นกันเองน่า มันไม่ได้เกี่ยวกับพวกเราจริงๆซักหน่อย”

      ชานยอลหยุดหัวเราะทันที เมื่อเห็นว่าอีกคนทำหน้าเครียดไม่พอใจ จนเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองซะงั้น

      “งั้นขอถามอะไรหน่อย” ร่างเล็กหันมาสบตาคู่คมตรงๆ ดวงตาใสส่องแววจริงจังจนอีกคนไม่กล้าหันหนี

      “หือ? อะไร”

      “ถ้าคนๆนั้นเป็นฉันล่ะ”

      “.......”

      คำถามที่ออกจากริมฝีปากบางเฉียบทำเอาร่างสูงเงียบงุนงงในสิ่งที่อีกคนพูด ได้แต่มองลึกเข้าไปในดวงตาใสแจ๋วนั่นแต่มันก็ยังคงแววจริงจังไว้เสมอ

      “ถามอะไรของนายเนี่ย”

      “ตอบมาเหอะน่า”

      ไม่ทันที่ร่างสูงจะเบือนหน้าหลบสายตา แบคฮยอนก็จับใบหน้าคมให้หันมาสบกันตามเดิม

      “....”

      ความเงียบเข้าปกคุมทั้งสอง โดยที่ตาทั้งคู่ยังสบกันอยู่อย่างนั้น จนแบคฮยอนเริ่มคิดว่าถ้าอีกคนไม่ตอบหัวใจเขาคงได้เด้งออกมาเต้นอยู่ข้างนอกแน่ๆ เพราะระยะแบบนี้มันอันตรายจริงๆ

      “ถ้าคนที่ตายเป็นนาย ฉันก็คงดีใจมากกกกกเพราะจะได้ไม่มีใครมากวนให้หนวกหูไงฮ่าๆ”

      “นี่!

      คำตอบที่ดูเหมือนจะไม่มีความจริงจังที่จะตอบเลยซักนิดทำเอาแบคฮยอนต้องผลักหน้าอีกคนแรงๆ พร้อมสะบัดหน้าอย่างหมดอารมณ์

      เขาไม่น่าหวังอะไรกับคนอย่างชานยอลเลยจริงๆ ใช่สินะเขาไม่ใช่พี่อี้ชิงที่อีกคนชอบนี้ ที่ทำให้อะไรก็ดูจริงจังไปหมด

      “โอ๋ ไม่งอน ล้อเล่นๆ”

      “ไม่ต้องมาพูด”

      มือเล็กๆยกขึ้นปัดไปมาอย่างงอนๆ แถวยังสะบัดหน้าแรงๆ อย่างไม่กลัวลำคอระหงส์นั้นจะเคล็ดเอาเลยซักนิด จนชานยอลได้แต่ยิ้มตาม

      “นี่ไม่ฟังแล้วจะรู้หรอ คำตอบจริงๆน่ะ”

      นิ้วแกร่งรั้งคางเรียวสวยให้หันมาสบกับดวงตาคม ที่ทำเอาคนที่ดื้อขัดต้องสงบเพราะแววจริงจังที่ไม่ค่อยฉายให้เห็นบ่อยนัก

      “จะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่อยากจะคิดและก็ไม่อยากให้มันเกิด เหมือนอย่างที่นายถามเลย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันคงเสียใจมากแน่ๆ และฉันก็จะไม่ให้อภัยตัวเองที่ปล่อยให้นายจากไป และถ้ามีใครซักคนต้องตาย คนๆนั้นเป็นฉันคงจะดีกว่า เพราะชีวิตฉันมันคงไม่น่าอยู่แน่ๆถ้าไม่มีนาย เข้าใจนะแบคฮยอน”

      สายตาของร่างสูงที่มองมามันสื่อความหมายหลายอย่างที่แบคฮยอนสัมผัสมันได้ไม่หมด เพราะบางครั้งมันเหมือนจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นแต่แบคฮยอนแค่ไม่อยากคิด

      “แล้วก็อย่าคิดแบบนี้อีกอย่าคิดว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไร เพราะฉันรู้สึกอะไรมากกว่าที่นายคิด เพราะเราเป็นเพื่อนกันเพื่อนที่รักกันมากที่สุดนะแบคถ้าใครสักคนเป็นอะไรไป เราก็จะไม่ทิ้งกัน นายลืมแล้วหรอที่สัญญากันไว้น่ะ”

      ริมฝีปากหนายกยิ้มนิดๆ นิ้วเรียวพลางยกขึ้งเกลี่ยน้ำตาใสที่ซึ่มออกมาจากดวงตาสวย

      “จำได้สิ ไม่ลืมหรอก”

      มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาออกลวกๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะร้องไห้ทำไม แต่พอพูดเรื่องสัญญานี่ทีไรเขามักจะร้องไห้ทุกที

      “ทวนหน่อยไหม”

      “อืม”

      รอยยิ้มสดใส ถูกส่งให้อีกคนทั้งที่น้ำตายังไม่แห้งไป ก่อนริมฝีปากทั้งคู่จากเอ่ยประโยคที่มักจะพูดกันสมัยเยาว์วัย

      “ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ถึงแม้จะมีใครตายจากไปเราก็จะไม่ทิ้งกัน เพื่อนกันตลอดไป...”

      มือหนายกขึ้นยีหัวคนตัวเล็กจนฟูฟ่อง พร้อมรอยยิ้มที่มีให้กันตลอดไม่ว่าจะเวลาไหนหรือผ่านมานานเท่าไหร่แต่รอยยิ้มแบบนี้ก็มีให้กันเสมอ

      พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดคำสัญญาอะไรแบบนี้ขึ้นมา รู้แต่ว่าตอนนั้นคิดแค่อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ทิ้งกัน และดูแลกันอย่างนี้ตลอดไป ถึงอาจมีซักวันที่ต้องแยกกันไปมีชีวิตของตัวเอง แต่พวกเขาก็อยากจะดูแลและเป็นแบบนี้ตลอดไป เขาไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่าเพื่อนหรือมากกว่าเพื่อนหรือเปล่าแต่แค่มันมีความสุขดีก็พอแล้ว

       

       

      ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียน ร่างเล็กออกมายืนรออีกคนที่หน้าห้องดนตรีเพราะรู้สึกว่าด้านในคนจะเยอะและแออัดไป เลยขอออกมารอด้านนอก แต่พอถึงเวลากลับบ้านอีกคนกลับหายไปซะงั้น แต่มันก็เป็นปกติแล้วล่ะ เวลาที่มาดูอี้ชิงแสดงแล้วชานยอลก็มักจะหายไปดื้อๆเสมอ ไม่ตามติดเป็นแฟนบอยก็คง ตามสังเกตการณ์คริสกับอี้ชิงล่ะมั้ง เลยทำให้แบคฮยอนต้องกลับบ้านเองบ่อยๆ และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่เขาคงต้องกลับเองคนเดียว

      “เฮ้อ กลับคนเดียวอีกแล้ว จะทุ่มหนึ่งแล้วด้วย ไอ้ชานยอลบ้าไม่กลับด้วยทำไมไม่บอกวะ มาปล่อยให้รอ แล้วหนีหายแบบนี้ได้ไง รถหมดรอบแล้วจะทำไงเนี่ย”

      ร่างบางเดินไปบ่นไปตามถนนหน้าโรงเรียนอย่างเซ็งๆ จนมาถึงป้ายรถเมย์ที่อยู่ไม่ไกล แล้วนั่งลงรอรถ ดีที่ที่ป้ายนี้ยังมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งนั่งรอรถอยู่ด้วย ไม่งั้นมันคงวังเวงน่าดู แถมยังพึ่งมีข่าวคนมาตายหน้าโรงเรียนอีก มือบางหยิบหูฟังโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลงฟังฆ่าเวลา แต่ก็ไม่ได้เปิดดังมากแค่คลอไว้เบาๆเลยทำให้ได้ยินกลุ่มข้างๆคุยกันนิดหน่อย

      “เมื่อไหร่รถจะมา”

      “ใช่อยากกลับแล้ว น่ากลัวอ่ะ”

      “แกอย่าพูดดิ เดี๋ยวรุ่นพี่เขาก็มาจริงๆหรอก”

      “ก็น่ากลัวอ่ะ ไม่เห็นหรอวันนี้ได้ข่าวโดดหลอกกันยกห้อง”

      “นั่นดิ เพราะไม่รู้ว่าพี่เขาตายแล้วแท้ๆ”

      “แต่ ให้ตายเหอะ ตกลงพี่คนที่ตายน่ะใครกันแน่ ทำไมไม่มีใครบอกอะไรเลย”

      “ไม่รู้สิ ไม่แน่อาจเป็นพี่ที่นั่งข้างแกนั่นก็ได้ ฮ่าๆ”

      “ไม่ขำย่ะ พอเหอะพอ”

      บทสนทนาหยุดลงแค่นั้น ส่วนคนที่นั่งฟังและถูกโยงเข้าเรื่องก็ได้แต่ขมวดคิ้วงงๆ ว่ามาโยงเขาเข้าเรื่องด้วยนี่นะ ยังทันไม่คิดอะไรมากกว่านั้นรถเมย์ประจำทางก็มาจอดเทียบหน้าซะก่อนเลยต้องรีบขึ้นรถไป

       

      ร่างเล็กมาถึงบ้านตัวเองในเวลาสองทุ่มกว่าๆ ไฟในบ้านเปิดสว่างจ้าแสดงว่าพ่อกับแม่เขากลับมาแล้ว แบคฮยอนก้าวเดินเข้าไปในบ้านตรงไปยังห้องโถงเพื่อตัดขึ้นไปบนห้องแต่ก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อพบกับผู้เป็นพ่อนั่งปลอบแม่ที่นั่งร้องไห้อยู่บนโซฟาสะอึกสะอื้น ทำเอาร่างบางมองอย่างสงสัยปนสะเทือนใจที่เห็นมารดาน้ำตานองขนาดนี้ ขาเรียวก้าวเข้าไปหาทั้งสองอย่างร้อนใจ “แม่ เกิดอะไรขึ้นหรอ ทำไมถึง....”

      แบคฮยอนเหลือบมองชุดที่ทั้งสองคนสวมอยู่ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปอีก เมื่อทั้งคู่ใส่สีดำทั้งชุดเหมือนจะไว้อาลัยให้ใครอย่างนั้นแหละ

      “แบคฮยอน...”

      ดวงตาเศร้าจับใจมองขึ้นสบตาลูกชายอย่างอ่อนแรง ปนตกใจนิดๆ ยิ่งทำให้แบคฮยอนสงสัยเข้าไปอีกทำไมมองเขาแบบนั้น

      “เกิดอะไร ขึ้นหรอครับ”

      ทั้งคู่จำต้องเสหลบตาลูกชายอย่างเลี่ยง ทั้งที่รู้อยู่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องบอกเรื่องนี้

      “แม่ครับ พ่อครับบอกผมหน่อยสิทำไมแม่ร้องไห้” ดวงตาใสสั่นระริกเมื่อยังไม่มีใครพูดอะไรขึ้นสักที จนคุณนายบยอนจำต้องบอกออกมา

      “แบคฮยอน ลูกฟังแม่นะ นั่งลงแล้วทำใจดีๆก่อนนะลูก”

      “อะไรครับแม่”

      ร่างเล็กสบดวงตาทอประกายเศร้าๆของผู้เป็นมารดาอย่างเกิดความสงสัย

      “ชานยอล...”

      “หือ?”

      ชานยอลเสียแล้วลูก

      !!!!...”

      .....60%....

      --------------------------

      ห้องนอนกว้างที่ควรจะส่องสว่างไปด้วยแสงไฟในตอนนี้กลับมีเพียงแสงสลัวจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานโตเท่านั้น บนเตียงนอนหลังกว้างถูกจับจองด้วยร่างเล็กที่นั่งขุดคู้กอดเข่าตัวเองอยู่ ดวงตาสวยที่เหม่อลอยพร้อมกับน้ำตาใสใสที่ไหลหลั่งลงตามแก้มเนียนไม่ขาด แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาเดินขึ้นห้องนอนตัวเองมาได้ยังไง เพราะตั้งแต่ผู้เป็นแม่ได้บอกประโยคนั้นพร้อมทั้งยังให้จดหมายและกล่องบางอย่างที่เพื่อนที่แบคฮยอนรักอยากจะให้กับแบคฮยอนในวันนี้แต่เขาไม่มีโอกาส ความในจดหมายนั้นทำให้ใจดวงน้อยบีบรัดแน่นเหมือนจะแตกออกเสียให้ได้ เขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย รู้สึกตัวอีกทีเขาก็เข้ามาอยู่ในห้องนี้แล้ว

      ร่างเล็กเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ถ้ามีใครสักคนมาพบเห็นแบคฮยอนในสภาพนี้ก็คงไม่มีใครที่จะสามารถเดาได้เลยว่าคนๆนี้กำลังคิดอะไรอยู่ คนที่รู้คงจะมีแต่เจ้าตัวเองที่ตอนนี้ในหัวจะมีแต่ภาพของคนๆหนึ่งลอยวนเวียนไปมาอย่างไม่สามารถทำให้หยุดคิดได้ คนที่ทำให้เขารักสุดหัวใจ...

      “ฮึก...ชานยอล...ขอโทษนะ”

      คนที่เขาอยากอยู่ด้วยมากที่สุด...

      “แบคฮยอนขอโทษ...ฮือๆ...”

      มือเรียวสวยกำจดหมายแน่นจนมันยับยู่ยี่ทั้งยังเปียกด้วยหยาดน้ำตาที่ถูกปล่อยให้ไหลลงมาไม่หยุด

      -สุขสรรค์วันครบรอบที่เราเจอกันนะแบคฮยอนนี่ ฮ่าๆ ฉันเหมือนคนบ้าเลยเนอะที่กล้าทำอะไรแบบนี้ ฮ่าๆ คือ ที่จริงนายอาจจะมองว่าวันนี้มันไม่สำคัญก็ได้นะ และนายก็อาจคิดว่าฉันคงลืมวันแบบนี้ไปแล้วก็ได้ เพราะตั้งแต่ที่เราเจอกันฉันก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้นี่เนอะ อืม เข้าเรื่องๆ คือ.... ที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะบอกกับนายแหละ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เป็นเรื่องที่อาจทำให้อนาคตเราไม่เหมือนเดิมเลยก็ได้ และมันทำให้ฉันไม่กล้าที่จะพูดกับนายตรงๆ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกของเพื่อนคนหนึ่งที่มีให้กับนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ตอนแรกฉันไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรแต่พอได้อยู่กับนายมาตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้มันทำให้ฉันมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่มีให้เพื่อน แต่มันเป็นความรู้สึกแบบคนรัก... ขอโทษนะแบคที่ฉันรู้สึกแบบนี้ แต่ฉันคงรักนายจริงๆ ฉันหาโอกาสที่จะบอกกับนายมานานแล้วนะ แต่สุดท้ายรุ่นพี่อี้ชิงเขาก็แนะนำว่าให้บอกในวันนี้แหละเพราะเป็นวันแรกที่เราสองคนได้พบกัน ฉันตื่นเต้นแทบบ้าแนะ ของขวัญก็กลัวว่านายจะไม่ชอบเลยให้พวกรุ่นพี่อี้ชิงไปเลือกช่วยซะวุ่นเลย ฮ่าๆ หวังว่านายจะชอบนะ ฉันเลือกจากใจเลยนะรู้ไหม เออ...จริงสิลืมไปเลย แบคฮยอนที่ฉันบอกมาทั้งหมดฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ ถึงแม้นายอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับฉัน แต่ฉันก็อยากให้นายรู้ไว้ ถ้านายไม่รู้สึกแบบเดียวกับฉันนายก็อย่าตีตัวออกห่างฉันเลยนะ เพราะฉันคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าห่างจากนาย แล้วก็จำคำที่เราสัญญากันได้ใช่ไหมว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ฉันอยากให้เป็นแบบนั้นจริงๆนะ อยากอยู่กับนายจนแก่ตายเลย อยากดูแลนายตลอดไปเลย หวังว่านายจะเข้าใจฉันนะ และรักนายมากนะแบคฮยอนของผม...-

       

      ขอความในจดหมายที่รับมาจากมารดายังคงวนอยู่ในสมองอย่างไม่สามารถสั่งให้ลืมได้ แบคฮยอนอยากตอบกลับเจ้าของจนหมายนี้เหลือเกินว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษเพราะเขาคนนี้ก็รู้สึกไม่ต่างจากชานยอลเลยแม้แต่นิด เป็นเขาต่างหากที่ควรขอโทษและไม่ควรได้รับการให้อภัยกับการกระทำอันเห็นแก่ตัวของตัวเอง

      “ฮึก...ฮือ...ขอโทษ...ชานยอล”

      แบคฮยอน

      “ฮึก!!

      ร่างเล็กที่ก้มหน้าซุกกับเข่าตัวเองสะดุ้งเฮือกเมื่อชื่อของตัวเองถูกเอยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่แสนคุ้นเคย ก่อนที่ใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาจะค่อยๆเงยขึ้นมองไปยังทางหน้าต่างบานโตที่ที่เสียงนั้นส่งมา ผ้าม่านระย้าปลิวไสวทั้งๆที่หน้าต่างนั้นถูกปิดสนิทพร้อมกับเผยให้เห็นเงาของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนจะชัดเจนขึ้นเมื่อแสงจันทร์รอดพ้นจากการถูกบดบังด้วยผ้าม่านสวย 

      ชะ ชานยอล!

      ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างขึ้นเมื่อสบเข้ากับสายตาคมนั้นตรงๆ

      “ไง ตกใจมากเลยหรอ พยอนแบคฮยอน”

      เสียงทุ้มที่เคยอ่อนโยนมาตลอดแต่ตอนนี้มันกลับเย็นยะเยือกอย่างน่าใจหาย ทำเอาร่างเล็กของผู้ที่ได้ฟังอดที่จะสั่นกลัวไม่ได้

      “ชานยอล ทะ ทำไม... ฮึก ฮือออ”

      คนตัวเล็กที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรทำยังไง ได้แต่นั่งปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น

      “ทำไมหรอ...เป็นฉันมากกว่าไหมที่ควรถามแบบนั้น...”

      ร่างสูงก้าวเดินจากริมหน้าต่างเรื่อยๆพร้อมกับสายตาคมที่ถอดมองมายังแบคฮยอนส่อแววที่ยากจะหยั่งรู้ได้ จนสองเท้าแกร่งมาหยุดที่ริมปลายเตียงหลังใหญ่ที่มีคนตัวเล็กนั่งสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่

      “ฮึก...ชะ...ชาน...”

      “ทำไมนายถึงต้องฆ่าฉัน ตอบมาสิว่าทำไมแบคฮยอน!!!

      “ฮึก!!!

      ร่างสูงของคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงดีๆ แต่จู่กลับทิ้งตัวลงมาคร่อมคนที่นั่งชิดหัวเตียงอยู่อย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน รู้ตัวอีกทีใบหน้าขาวซีดของชานยอลก็อยู่ห่างจากแบคฮยอนเพียงคืบแล้ว

      “ขะ...ขอโทษ...ฮึก...ฉันไม่รู้...ฉันขอโทษ...ฮือออ”

      ใบหน้าสวยเสหลบสายตาคมที่ตอนนี้มันขึ้นสีเลือดอย่างหน้ากลัวจนคนมองต้องหันหนีอย่างหวาดหวั่น จนอีกคนต้องใจกระตุกวูบเมื่อเผลอทำให้ใครอีกคนต้องหวาดกลัวทั้งๆที่วันนี้เขาตั้งใจจะมาคุยให้รู้เรื่องแท้ๆ สายตาคมที่แดงเดือดอ่อนลงจนเป็นปกตินิ้วเรียวยาวเย็นเฉียบค่อยๆยกขึ้นมาเกลี่ยคาบน้ำตาจากแก้มใสอย่างทะนุถนอม

      “ฉันไม่โกรธแบคฮยอน ไม่โกรธเลย...”

      น้ำเสียงของอีกคนที่อ่อนลงทำให้แบคฮยอนค่อยๆหันกลับมาสบสายตากับอีกคนอย่างสงสัย

      “ฉันไม่โกรธ ฉันแค่อยากรู้ว่านายทำแบบนั้นทำไม...”

      “...”

      แล้วนายฆ่าตัวเองทำไม

      จบคำถามของชานยอลทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ร่างเล็กได้แต่กัดริมฝีปากเย็นชืดของตัวเองอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรก่อนดี มันทั้งรู้สึกผิด และกลัวไปในเวลาเดียวกัน ทั้งๆที่เขาไม่ควรมีเรื่องต้องกลัวแล้วแท้ๆเพราะสภาพที่เขาอยู่ตอนนี้มันไม่สมควรที่จะกลัวอะไรเลย แต่เขากลับกลัว กลัวว่าชานยอลจะไม่ให้อภัย

      ใช่ แบคฮยอนน่ะตายไปแล้ว ตายไปก่อนชานยอลเสียอีก ตายเพราะความคิดชั่ววูบของตัวเอง แถมยังลากอีกคนตามตัวเองมาอีก แบบนี้จะไม่ให้เขารู้สึกผิดในความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้ยังไง

      “ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้...”

      “ไม่แบคฮยอน เพราะฉันใช่ไหม เพราะฉันนายถึง..”

      “ไม่ใช่เพราะนาย เพราะฉันมันโง่เองต่างหาก ถ้าฉันไม่คิดอะไรงี่เง่า ฮึก! ไม่ทำอะไรบ้าๆแบบนั้น ฉันก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้ และถ้าฉันไม่เห็นแก่ตัว จนต้องทำให้นายประสบอุบัติเหตุ เพื่อต้องการให้นายมาอยู่ด้วยกัน ฉันก็คงไม่ต้องมารู้สึกผิดอยู่แบบนี้ ฮืออออ”

      ร่างเล็กพร่ำระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาอย่างรู้สึกผิด

       เขาไม่น่าทำเลย จริงๆ เขาน่าจะคิดอะไรให้มันเยอะกว่านี้ ไม่ใช่ว่าน้อยใจ แล้วคิดอะไรที่มันตื้นๆ เขาน่าจะคิดถึงคนรอบข้างมากกว่านี้ แล้วยังชานยอลอีกเขาไม่น่าลากอีกคนมาจมทุกข์ด้วยเลย แบคฮยอนนายมันเห็นแก่ตัวจริงๆ

      ได้แต่ตัดพ้อตัวเองอยู่ในใจ กับความงี่เง่าที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยไหนจะยังความเห็นแก่ตัวของตัวเองอีก มันทำให้เขารู้สึกผิดจนหาที่เปรียบไม่ได้เลย

      “อย่าโทษตัวเอง แบคฮยอน ฉันไม่เคยโกรธนายที่ฉันต้องมีสภาพเป็นแบบนี้ ฉันกลับดีใจซะอีก”

      “ฮึก หือ?”

      จากตอนแรกที่ก้มหน้าสะอึกสะอื้นร้องไห้ในความผิดของตัวเอง กลับต้องเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาอีกคนอย่างสงสัย

      “หมายความว่าไง?”

      “แบคฮยอน ฉันเคยบอกแล้วไงว่าฉันอยากอยู่กับนายตลอดไป เพราะฉะนั้นฉันไม่สนหรอกว่าเราจะอยู่ในสภาพไหนตัวอะไร ขอแค่มีนายฉันก็ยอมได้ทั้งนั้น เพราฉะนั้นนายไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกผิดกับฉันเลย และอีกอย่างฉันเลือกที่จะมาเอง”

      สายตาคมทอดมองเข้าไปในดวงตาวาวน้ำด้วยความอ่อนโยน สื่อความหมายว่าที่เขาพูดมาทั้งหมดเขาพูดจากใจจริง

      “ชานยอล...”

      “เราสัญญากันแล้วว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะหาทางที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้นานที่สุด ตราบใดที่มันยังมีหนทาง เพราะฉะนั้นฉันจึงเลือกทางนี้ ไม่ใช่กลับไปมีชีวิตที่ไม่มีนาย...”

      “ฮึก ฮือออ”

      “โอ๋ๆ ไม่เอาไม่ร้องสิ หมาน้อยของผมนี่ขี้แยตลอดเลยนะ”

      ชานยอลรั้งอีกคนมาซุกอกตัวเองทั้งยังโยกไปมาเหมือนกอดปลอบเด็กตัวเล็กๆ จนคนในอ้อมกอดหลุดยิ้มออกมากับความอบอุ่นที่ได้รับไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีอ้อมกอดนี้ก็ยังเหมือนเดิม อบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยที่สุด จนแบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าเข้าน่าจะรับรู้ความรู้สึกนี้ของอีกคนได้เร็วกว่านี้ก็คงดี เพราะมันคงจะมีความสุขกว่านี้มากแน่ๆถ้าหัวใจของพวกเขาเต้นระรัวไปพร้อมกัน ไม่ใช่หัวใจที่แน่นิ่งแบบนี้ แต่แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้วล่ะที่เขาสองคนเข้าใจกันได้ซะที

      “ฮึก ขอบคุณนะชานยอล รักนายมากเลย”

      “รักเหมือนกันครับ หมาน้อยของผม”

      รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสองอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งสองร่างที่ดูโปร่งแสงนั่งกอดกันอย่างแนบแน่นบนเตียงหลังกว้างภายในห้องนอนหรู แต่ถ้าในสายตาของคนทั่วไปห้องนี้มันก็เป็นเพียงห้องนอนว่างเปล่าที่มีเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์สาดส่อง แต่ถ้าจะลองสังเกตไปอีกสักนิดในห้องนอนกว้างนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มีเพียงแค่สองดวงวิญญาณนี้เท่านั้น บานประตูตู้เสื้อผ้าที่ถูกปิดอยู่ถูกแง้มจนเปิดออกอย่างไร้สาเหตุ จนเผยให้เห็นร่างซีดเซียวไร้วิญญาณถูกเชือกเส้นยาวรัดลำคอระหงส์ ห้อยติดกับเพดานตู้หลังสูง ปล่อยทิ้งร่างบางลงมาตามความยาว ร่างบางที่ดูซีดเซียวทั้งยังมีเลือดไหลซึมออกมาทั้งทางจมูกและปาก ม่านตาบางเบิกกว้างเหมือนกำลังจ้องมองไปยังเจ้าของร่างของตน ที่ไม่มีวันหวนกลับคืนร่างนี้ได้อีกแล้ว

      -----------THE END--------------

      Talk

      ทอล์คคึจบแล้วววววววววววววววววว เย้ๆ เรื่องแรกที่แต่งจริงๆจังๆ อาจจะดูงงๆ และเละไปบ้างก็เหอะ 55555

       เป็นช็อตฟิคที่อิคนแต่งมันอยากสนองนีดตัวเองนิดหน่อย คืออยากให้มีอะไรที่มันทั้งซึ้ง(อาจจะไม่ค่อยซึ้ง) ดราม่า(อาจจะไม่เท่าไหร่)  และหักมุมหัวหมุน ฮ่าๆ

      ที่แต่งไม่ได้ใช่แอนตี้หรืออะไรนะเออ คือมันเป็นจินตนาการของอิไรท์เอง ไรท์ชอบแต่งอะไรที่มันเป็นแบบนี้

      ถ้ามันทำให้ใครไม่ชอบก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วยนะคะ แต่ถ้าชอบถ้าโอเคก็เม้น+โหวตให้เรานิดหนึ่ง เพื่อเป็นกำลังใจอันใหญ่หลวงนะจ๊ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^_^ SEE YOU

      ตรวจสอบคำผิดให้หน่อยนะคะ


       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×