ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Heaven Ivy. : WONKYU [END]

    ลำดับตอนที่ #5 : Heaven Ivy. -4- ว่าด้วยเรื่องรอยยิ้ม :)

    • อัปเดตล่าสุด 27 ม.ค. 57


    Heaven Ivy.


    -4-

     

                องค์รัชทายาทชเว ชีวอนทอดสายตามองเอกสารราชการมากมายรวมไปถึงเรื่องร้องทุกข์ต่างๆ จากประชาชนซึ่งความจริงล้วนส่งให้แด่องค์ราชาทั้งสิ้น แต่เพราะในตอนนี้องค์ชายชีวอนมีหน้าที่แบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดของผู้เป็นพ่อ แม้แต่การอ่านจดหมายนับร้อยฉบับอันแสนน่าเบื่อเขายังต้องรับช่วงแทน วันนี้ชายหนุ่มยอมรับว่าตนไม่มีสมาธิมากนักอาจเพราะเมื่อคืนเขาแทบจะนอนไม่หลับ ได้แต่นอนพลิกกายไปมาจนถึงเช้า...ต้นเหตุเกิดจากเครื่องบรรณาการมนุษย์นามว่า โจ คยูฮยอนทั้งสิ้น เขาเดาว่าคนตัวขาวต้องไม่ยอมมารับประทานอาหารที่ตำหนักใหญ่แต่ผิดคาด...สิ่งล้ำค่าจากพยองอันพาร่างที่ดูเหมือนกายหยาบไร้ชีวิตขึ้นทุกขณะมาทานมื้อเช้าพร้อมเขาอย่างที่ตกลงไว้ก่อนหน้า หากท้ายที่สุดเจ้าตัวก็ทานอะไรได้น้อยลง และถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปมีหวังคงได้ล้มป่วยหรือไม่ก็ตรอมใจไปเสียก่อน

                แต่องค์รัชทายาทจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับโจ คยูฮยอนได้อย่างไร...เห็นทีว่าเขาควรเด็ดขาดกับบรรณาการมนุษย์ผู้ดื้อรั้นสักหน่อย! ทว่าเหตุการณ์เมื่อคืนสอนให้ชีวอนรู้ว่าไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามและทำให้อีกคนต้องตื่นกลัวไปมากกว่าเดิม ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายไม่เคยคิดจะอ่อนโอนกับใครให้เปลืองเวลา แต่กับคยูฮยอนคือข้อยกเว้น...เขาไม่อาจโกหกตัวเองได้แน่ว่าถูกดวงตากลมโตจู่โจมจนไม่อาจสลัดภาพใบหน้าหวานออกไปจากห้วงความคิด ติดตรงที่ว่า...องค์ชายผู้สูงศักดิ์พยายามทำให้อีกคนยอมรับเขาด้วยอำนาจทั้งหมดที่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าอย่างไร...องค์รัชทายาทชเว ชีวอนก็ผิดเต็มประตู

                คำพูดปรามาสจากปากของโจ คยูฮยอนครั้นเมื่อแรกเจอยังคงก้องอยู่ในหู

                ไม่ว่าองค์ชายจะอยู่สูงเหนือใครต่อใคร แต่หากจิตใจของพระองค์เยือกเย็น ด้านชา...พระพักตร์ไร้ซึ่งรอยยิ้ม ก็อย่าหวังว่าจะชนะใจประชาชนได้ นั่นคือสิ่งที่กระหม่อมมั่นใจว่าอย่างไรเสีย ชาวเมืองประเทศราชไม่มีวันรักพระองค์!

                การจะทำให้ประชาชนรักเขาว่ายากแล้ว...แต่เรื่องที่ยากยิ่งกว่าคงเป็น การล่วงรู้หัวใจของโจ คยูฮยอน

                จดหมายฉบับหนึ่งสร้างความประหลาดใจแก่องค์รัชทายาทก่อนที่หัวสมองของเขาจะเตลิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ เขาหยิบจดหมายซึ่งถูกจรดด้วยลายมือของเด็กอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบ และมันก็ช่างบังเอิญที่จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาจากบ้านเกิดของโจ คยูฮยอนเสียด้วย เนื้อความภายในบอกเล่าเรื่องราวของพยองอันผ่านมุมมองของเด็กหญิงคนหนึ่งด้วยข้อความสั้นๆ ที่เข้าใจง่ายสลับกับการให้กำลังใจองค์ราชาให้หายจากอาการประชวร ในส่วนท้ายมีรูปวาดทะเลพยองอันลงด้วยสีไม้ หากปัจฉิมลิขิตลงท้ายถึงเขาเล็กน้อย...

                หนูแค่อยากเห็นองค์ชายชีวอนยิ้มสักหน่อย พระองค์คงจะทรง...พระหล่อมากแน่ๆ!

                ชายหนุ่มแย้มยิ้มกับคำราชาศัพท์ที่ถูกบัญญัติขึ้นใหม่โดยเด็กหญิงจากพยองอัน เขาพับจดหมายที่ว่าไว้ในลิ้นชักเก็บของสำคัญเคียงกันกับผ้าโพกศีรษะของโจ คยูฮยอน เขาเพียงหวังว่าสองสิ่งนี้จะทำให้เขามีรอยยิ้มประดับใบหน้าบ้างและช่วยถอดภาพลักษณ์องค์รัชทายาทยิ้มยากออกไปสักที

                “ประทานอภัยองค์ชาย...เกิดเรื่องนิดหน่อยครับ” ร่างของคนสนิทก้าวเข้ามาในห้องทำงานพร้อมใบหน้าตึงเครียด คัง มินฮยอกรับหน้าที่เสมือนมือขวาขององค์รัชทายาทมาหลายปีและทราบดีถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่าชักจะไม่ปลอดภัยต่อราชวงศ์ชเว ต่างฝ่ายต่างเปรียบเป็นหอกข้างแคร่ทั้งนั้น หนุ่มผู้ช่วยโค้งเคารพแก่องค์ชายสูงศักดิ์แต่พอเป็นพิธีพลางแจ้งข่าวที่ตนเพิ่งจะทราบเมื่อครู่ “นายกรัฐมนตรีปาร์ค อุนซู และคณะรัฐมนตรีทั้งหมดต้องการเข้าเฝ้าพระองค์...”

                “พวกเขามาโดยไม่แจ้งเราล่วงหน้า” ชายหนุ่มว่า รู้สึกคับข้องใจแต่ก็ใช่ว่าจะเดาไม่ได้ว่านายกปาร์คต้องการเข้ามากดดันเขาอีกตามเคย

                “ไม่ทราบว่าองค์ชายจะว่าอย่างไร จะให้พวกเขาเข้าเฝ้าหรือไม่”

                “ให้พวกเขาไปรอที่ห้องรับรอง เห็นทีคงต้องตกลงเรื่องยุ่งๆ กันสักหน่อย” องค์รัชทายาทบอกอย่างหนักแน่น เรียวปากกดยิ้มเยือกเย็น ผู้ช่วยหนุ่มพยักหน้ารับตามคำสั่งก่อนจะออกไปจัดการให้คนอื่นๆ ช่วยจัดการเรื่องห้องรับรองเพื่อเตรียมการเข้าเฝ้าครั้งนี้ ขณะเดียวกันนั้นร่างของหญิงสาวผู้อยู่ในฐานะคู่หมั้นคู่หมายขององค์ชายชีวอนก็ย่างเท้าเข้ามาแทนที่ เจ้าของห้องนึกประหลาดใจที่ช่วงนี้ดูเหมือน คิม ยูอีจะเข้ามาที่วังบ่อยจนผิดวิสัย

                “เกิดเรื่องอะไรรึเปล่าคะ ดูคุณเครียดๆ นะ” เธอทักทายเขาพร้อมมอบรอยยิ้มละมุน ถึงอย่างนั้นชีวอนก็กล้าพูดว่าในตอนนี้เขาไม่ต้องการเห็นรอยยิ้มของใครทั้งสิ้น นอกเสียจาก...บรรณาการจากพยองอัน ชายหนุ่มรักษามารยาทโดยการยิ้มตอบเธอ  แม้จะฝืนเกร็งมุมปากอยู่หน่อยๆ

                “นายกปาร์คมาขอเข้าเฝ้า ผมอาจไม่ว่างอยู่กับคุณนะ ยูอี”

                “ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ฉันแค่นำของฝากจากคุณแม่มาให้คุณ ท่านเพิ่งกลับจากทริปทัวร์ยุโรปน่ะค่ะ” สาวสวยเลื่อนกล่องของฝากกล่องเล็กมาตรงหน้าเขา ชีวอนทำได้เพียงรับมันมา รักษาน้ำใจเปิดกล่องที่ว่าดูเล็กน้อยและพบว่ามันคือนาฬิกาข้อมือเรือนหรูยี่ห้อดัง ในปีๆ หนึ่งเขาได้ของฝากและของขวัญมากกมายจากครอบครัวของยูอี และนี่ก็อาจเป็นชิ้นที่ร้อยกระมัง และทุกชิ้นที่กล่าวมา องค์ชายผู้นี้ไม่คิดจะนำมันมาใช้เท่าใดนัก เพียงแค่เก็บมันไว้ที่เดียวกับ ห้องเก็บเครื่องบรรณาการเท่านั้น

                “ขอบคุณครับ อันที่จริง...ไม่ต้องซื้อของฝากมาให้ผมทุกครั้งก็ได้”

                “ฉันบอกคุณแม่ไปแล้วแต่ท่านไม่ยอมหนิคะ ยังไงก็ตามใจท่านเถอะค่ะ”

    “ฝากบอกท่านด้วยว่าคราวหน้าไม่ต้องแล้ว...ผมเกรงใจ” ชีวอนจำได้ว่าเขากล่าวประโยคนี้กับยูอีจนนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าสุดท้ายเขาก็ได้รับของฝากจากต่างประเทศเรื่อยมา บางทีเบื่อที่จะพูดย้ำๆ...เบื่อความเจ้ากี้เจ้าการของครอบครัวคิมและท่านพ่อของเขาก็ไม่คิดจะแย้งอะไร...รอยยิ้มหวานจากหญิงสาวไม่เคยทำให้เขาชื่นใจทั้งยังสร้างความเบื่อหน่าย องค์รัชทายาทเคยคิดว่าผู้หญิงแบบยูอี หากอยู่ด้วยกันไปนานๆ เธอคงน่าสนใจสำหรับเขา แต่เปล่าเลย ทุกอย่างมันคือการจัดวางจนเกินไป...เหมือนภาพวาดที่ร่างด้วยเส้นดินสอแข็งกระด้าง ทุกอย่างปั้นแต่งไม่เป็นธรรมชาติ ไม่น่าสนใจขึ้นทุกวัน แม้ว่าทุกครั้งที่เขาพบเธอ คิม ยูอีจะมีรูปโฉมสวยสง่าเสมอ

    น่าคิดทีเดียวว่าเขาคงกำลังเบื่อ คิม ยูอี... และมีสิ่งอื่นให้สนใจมากกว่า

     

                           

                ถึงต้นไม้ต้นนี้มันจะใหญ่โตไม่ต่างจากต้นไม้หลังบ้านที่พยองอัน แต่ความรู้สึกตอนที่ปืนป่ายขึ้นมานั่งบนกิ่งสาขาใหญ่ของมันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหายว้าวุ่นใจอย่างที่ชอบทำแบบนี้เป็นประจำครั้นเมื่ออยู่พยองอันเลย วิวทิวทัศน์ที่หวังจะได้เห็นกลับเป็นเพียงกำแพงวังหนาๆ ปิดกั้นทุกการมองเห็น เขาเชื่อว่าการที่มีกำแพงวังหนาเช่นนี้คงเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ และมันก็เปรียบเหมือนเขตรั้วกำจัดอิสรภาพของเขาได้เป็นอย่างดี หนุ่มน้อยแดนไกลกัดริมฝีปากล่างอย่างจนใจ เขาเผลอนึกถึงรสจูบเยือกเย็นจากองค์รัชทายาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า...มันไม่ได้หอมหวานหรือตื่นเต้นอย่างรสจูบแรกเมื่ออยู่อังกฤษ แต่มันตรึงในห้วงความคิด ตอกย้ำว่าองค์รัชทายาทเข้าใกล้สู่การมีสิทธิในตัวเขาอย่างเต็มขั้น

                “พี่คยูฮยอน! พี่ไปทำอะไรบนนั้นน่ะ” เสียงร้องจากองค์ชายเล็กแห่งราชวงศ์ชเวเรียกจิตใจที่กำลังเหม่อลอยไปไกลให้กลับมาสนใจเด็กชายตัวขาวซึ่งยืนเงยหน้ามองเขาด้วยท่าทีตกตะลึง คยูฮยอนส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้พลางเอ่ยตอบ

                “กระหม่อมรู้สึกไม่สบายใจจึงขึ้นมานั่งเล่นบนนี้” ร่างโปร่งยังคงนั่งเล่นบนกิ่งไม้ใหญ่เช่นนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามันสร้างความหวาดเสียวแก่องค์ชายซูโฮมากเพียงใด เด็กชายมองกิ่งไม้ที่ยื่นออกไปทางสระน้ำเล็กน้อยแล้วก็ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง

                “อ่า...แต่ไม่เห็นว่าต้องขึ้นไปนั่งห้อยขากับต้นไม้สูงขนาดนั้นนี่ครับ”

                “กระหม่อมทำเช่นนี้เป็นปกติตั้งแต่อยู่พยองอันแล้ว องค์ชายเล็กอย่าทรงกังวลไปเลย”

                “ผมจะพยายามไม่กังวลน่ะนะ อ้อ แล้วพี่คยูฮยอนควรจะเลิกใช้กับราชาศัพท์กับผมได้แล้วนะครับ”

                “ครับๆ พี่ทราบแล้ว” คยูฮยอนพยักรับแต่โดยดี เขามองเห็นใบหน้าเหนื่อยหน่ายไม่สมวัยจากเด็กชายไหนจะท่าทางยืนกอดอกเช่นนั้น...ว่าจะไปองค์ชายเล็กคนนี้มีความเหมือนกับองค์รัชทายาทมากทีเดียว ทั้งหน้าตาและท่าทาง แต่จุดต่างคือ...เด็กคนนี้มีความรู้สึกเห็นใจอกใจคนอื่น ไม่เยือกเย็นมากเท่าผู้ชายคนนั้น!

                ให้ตายสิ! เขาคิดถึงคนบ้าอำนาจทีไร...มันก็ชวนให้ปวดประสาททุกทีเลยสิหน่า

                “แล้วไม่ลงมาหรือครับ?” ซูโฮยังคงคาดคั้นให้เขาลงมาจากต้นไม้ แต่คยูฮยอนเลือกที่จะส่ายหน้าปฏิเสธ

                “ขอพี่อยู่บนนี้อีกสักหน่อยดีกว่า แล้วนี่โดดเรียนมาอีกแล้วใช่ไหม”

                “แฮ่ะๆ” และเสียงหัวเราะแห้งๆ จากเด็กชายก็เป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี

                “ระวังจะถูกองค์รัชทายาทดุเอานะครับ” ทั้งที่เขาว่าไปตามเนื้อผ้าแต่คนถูกเตือนกลับหลุดเสียงหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น

                “ผมคิดว่าพี่ชีวอนต้องไม่ดุผมแน่ ถ้าผมอยู่กับพี่คยูฮยอนน่ะ”

                ...นี่องค์ชายเล็กแห่งราชวงศ์ชเวมองเขาเป็นไม้กันหมาหรือยังไง? (อ่า นี่เขาไม่ได้ตั้งใจส่อเสียดผู้ชายเอาแต่ใจคนนั้นเลยนะ!!)

                “องค์ชายชีวอนจะยิ่งดุกว่าเดิมสิไม่ว่า...” ยิ่งนึกถึงใบหน้าคมแสนเย็นชา คยูฮยอนก็ยิ่งรู้สึกว่าองค์รัชทายาทร้ายกาจเกินกว่าที่เขาจะเข้าใกล้         

                “คำก็ดุสองคำก็ดุ พี่ชีวอนไม่ใช่สุนัขนะครับพี่คยูฮยอน” ว่ากลั้วหัวเราะ

                “พี่ยังไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำ”

                “เลิกเถียงกับผมแล้วลงมาจากต้นไม้เถอะครับ ผมกลัวพี่ตกลงมากจริงๆ นะ” ลูกแมวขี้เหงาอย่างองค์ชายเล็กซูโฮอาจไม่ยอมไปไหนง่ายๆ หากเขาไม่ยอมลงมาจากต้นไม้เสียที ท้ายที่สุดคยูฮยอนจึงจำต้องยอมพาตัวเองลงมายืนบนพื้นปกติ ยังไงซะไม่ว่าเขาจะนั่งรับลมอยู่บนต้นไม้อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง คนตัวขาวคงไม่อาจละเอาความยุ่งเหยิงในใจออกไปได้หมดอยู่ดี

                “ผมมีที่ๆ หนึ่งที่จะทำให้พี่คยูฮยอนหายเครียดนะ” เรียวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายของซูโฮยังผลให้คยูฮยอนรู้สึกอย่างรู้อย่างเห็นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถึงจะลังเลในทีแรกแต่ความจริงเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านอกจากตำหนักรอง ภายในพระราชวังกลางกรุงโซลแห่งนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจซึ่งถูกปิดซ่อนไว้อีกหรือเปล่า

                “แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ?” เจ้าของใบหน้าหวานถามอย่างสนใจ ถ้าหากจะโดนองค์รัชทายาทดุหรือว่ากล่าวข้อหาเที่ยวเดินเพ่นพ่านไปทั่ว สิ่งล้ำค่าจากพยองอันก็จะแกล้งหน้ามึน ทำเป็นไม่รู้เรื่อง พยศคืนให้สาใจ...บรรณาการเช่นเขา ไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็ย่อมถูกหาเรื่องวันยังค่ำ คยูฮยอนทราบดีทีเดียว!!

                “ที่ตำหนักใหญ่ครับ...เราไปกันเถอะ!

     

     

                ใครจะเชื่อว่าภายในตำหนักใหญ่จะมีห้องแสดงงานศิลปะอยู่ด้วย...บางทีคงต้องเรียกว่าแกลลอรี่เฉพาะของราชนิกูลมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย ภาพวาด ถูกประดับตกแต่งไว้ทั่วผนังห้องสีขาวสะอาด มุมห้องมีกระป๋องสีทั้งที่ใช้แล้วและยังไม่ถูกเปิดใช้วางไว้มากมาย คยูฮยอนรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก ภาพทุกภาพบอกเล่าความเป็นไปของราชวงศ์ได้เป็นอย่างดี แถมทุกชิ้นก็จะมีลายเซ็นกำกับว่าใครเป็นคนรังสรรค์ผลงานนั้นๆ ขึ้นมา มองดูแล้วไม่ได้มีเพียงภาพวาดแนวเรียลลิสติกแต่ยังมีภาพแนวอื่นๆ อีกมาก ไม่น่าเชื่อว่าราชนิกูลหลายๆ คนถูกจัดเป็นจิตรกรชั้นเอกทั้งองค์ราชาหรือแม้กระทั่งองค์รัชทายาท

                ภาพสีน้ำมันเบื้องหน้าเป็นผลงานขององค์รัชทายาท คยูฮยอนนึกเบ้ปากนิดคล้ายกับไม่อยากจะยอมรับในความงามของภาพวาดสักเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมจำนนที่จะบอกว่าภาพวาดชิ้นนี้ไร้จุดติจริงๆ ทว่าเมื่อพินิจพิจารณาภาพนี้อย่างถี่ถ้วน หัวใจของเขากลับกระตุกวูบ ...นกพิราบสีขาวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ มันเหม่อมองไปยังท้องทะเลสีคราม... เจ้าของร่างโปร่งเม้มริมฝีปากครั้นมองเห็นวันที่กำกับของภาพวาด มันคือวันเดียวกันกับที่องค์รัชทายาทเดินทางไปรับเครื่องบรรณาการที่เกาะพยองอัน

    และเป็นวันเดียวกันกับที่เขาได้พบกับผู้ชายบ้าอำนาจคนนี้

    โจ คยูฮยอนแค่ตีความหมายภาพไปตามที่รู้สึก...

    ร่างโปร่งเผลอกำหมัดแน่น หากเปรียบนกพิราบเป็นตัวเขา... องค์รัชทายาทชเว ชีวอนก็สามารถนำมันมากักขังไว้ในกรงได้อย่างใจปรารถนาแล้วล่ะ!

    “พี่คยูฮยอน...เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ฝ่ามือที่แตะลงบนไหล่กระตุกความคิดของคยูฮยอนให้กลับมาสนใจองค์ชายเล็กซูโฮ เด็กชายมีสีหน้าเป็นกังวลเมื่อเห็นเขาจ้องภาพวาดเบื้องหน้าคล้ายอยากจะทำลายภาพฝีมือองค์รัชทายาทให้แหลกคามือ

    “ปะ-เปล่าหรอก”

    “พี่คยูฮยอนดูเครียดกว่าเดิมนะครับ...ผมกะว่าถ้าพี่ได้เข้ามาชมงานศิลปะสักหน่อยน่าจะผ่อนคลายขึ้น” เสียงนั่นว่าอย่างเป็นห่วง คยูฮยอนรู้ตัวดีว่าในเวลานี้จิตใจของเขามันอ่อนแอเกินกว่าจะควบคุมอารมณ์ส่วนลึกให้เป็นปกติและปิดกั้นมันไม่ให้ใครล่วงรู้แต่เด็กชายตรงหน้ามีความคล้ายกับเขาตรงที่กำลังเหงาและว้าเหว่ มันอาจเป็นจุดเชื่อมที่ทำให้พวกเขาสนิทกันได้รวดเร็ว หากไม่ติดที่อีกคนเป็นน้องชายขององค์รัชทายาท คยูฮยอนคงกล้าที่จะเปิดเผยเรื่องราวของตนเองมากกว่านี้

    “พี่ไม่เป็นไร...แค่กำลังคิดถึงบ้านน่ะ ไม่มีอะไรหรอกซูโฮ” เขาแจงออกไปอย่างนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มบางๆ

    “เจอตัวแล้ว!! องค์ชายซูโฮ! กระหม่อมตามหาจนทั่วที่แท้มาหลบอยู่ที่นี่นี้เอง” เสียงทุ้มใหญ่พร้อมด้วยร่างของชายหนุ่มตัวสูงใบหน้าคมเข้มก้าวเข้ามาภายในห้องแสดงงานศิลปะ คยูฮยอนเดาว่าผู้ชายคนนี้ต้องเป็นครูพิเศษของซูโฮอย่างแน่นอน และไม่ผิดคาดเด็กชายตื่นตระหนกคล้ายกระต่ายถูกนายพรานไล่กรวด เจ้าตัวสาวเท้าวิ่งหนีไปเสียดื้อๆ ก่อนที่ชายคนนั้นจะได้เอ่ยประโยคถัดไปเสียอีก เขามองใบหน้ามึนงงของครูพิเศษพร้อมกับก้มศีรษะทักทายไปตามมารยาท

    “ผมแทคยอนครับเป็นครูพิเศษขององค์ชายซูโฮ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมคงต้องออกไปไล่จับองค์ชายเล็กเสียก่อน ไม่งั้นอาจได้ถูกองค์รัชทายาทเอ็ดเข้าอีก”

    “อ้อครับ ยินดีที่ได้รู้จัก...ถ้างั้นก็ตามเขาให้เจอนะครับ” คำอวยพรฟังดูแข็งทื่อค่อนไปทางประชดประชันโดยไม่ได้ตั้งใจแต่อีกคนกลับไม่ถือสาทั้งยังยิ้มตอบ ชายหนุ่มนึกสงสัยในทีแรกว่าคนตรงหน้าเป็นใครจนเมื่อเขานึกถึงเรื่องเครื่องบรรณาการจากพยองอันที่องค์ชายซูโฮเคยปริปากเล่าให้ฟัง อยากจะพูดคุยด้วยสักหน่อยคงจะไม่ทันการ ศิษย์(ตัวแสบ)วิ่งหนีหายไปแบบนี้แล้วการเรียนจะคืบหน้าไปได้อย่างไร ว่าแล้วร่างสูงก็ก้าวพรวดออกจากห้องศิลปะ เริ่มปฏิบัติการจับปูใส่กระด้ง!!

    ความอลหม่านของครูและลูกศิษย์จากไปแทนที่ด้วยความเงียบอีกตามเคย...และมันก็ถึงเวลาที่คยูฮยอนควรจะกลับไปยังเรือนรับรองหลังจากชมงานศิลปะจนหนำใจ(แต่ดูเหมือนเขาจะยิ่งขุ่นเคืองมากกว่าเดิม) ร่างโปร่งกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องศิลปะแล้วเชียว ทว่าเสียงพูดคุยจากที่ไหนสักแห่งทำให้เขาชะงักฝีเท้าและเคลื่อนกายกลับเข้ามาในห้องตามเดิม เขาพิงแผ่นหลังเข้ากับผนังห้องอย่างระแวดระวัง แอบซ่อนตัวเมื่อจับใจความได้ว่า...บุคคลเหล่านี้ต่างกล่าววาจามาดร้ายองค์รัชทายาทอยู่!

    “องค์รัชทายาทหัวแข็งเกินกว่าที่เราจะจูงจมูกได้”

    “งานนี้ไม่ง่ายเสียแล้ว พวกเราคงต้องทำอะไรสักอย่าง”

    “หากยุ่งยากมากนัก เราคงรอพวกกบฏให้จัดการองค์รัชทายาทไม่ได้แล้ว หากยิ่งรอ...กบฏอาจโค่นล้มพวกเราก่อนเป็นแน่”

    กบฏ...

    จัดการองค์รัชทายาท...

    เขาแน่ใจว่าพวกกบฏต้องหมายถึงพี่ชายของเขา...แต่คยูฮยอนไม่เห็นด้วยหากจะต้องมีการฆ่าแกงกันเพราะเรื่องแบบนี้ อีกประการ เด็กหนุ่มมั่นใจว่าคนสองคนที่กำลังพูดจามาดร้ายอยู่ใกล้ๆ จะต้องเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีภายใต้อำนาจของนายกปาร์ค อุนซูอย่างแน่นอน ทุกคนทราบดีว่านายกปาร์คถูกเกลียดชังโดยประชาชนและมีประวัติเลวร้ายเกินจะบรรยาย ลือกันว่าที่คนคนนี้ได้รับการเลือกตั้งขึ้นมาก็เพราะข่มขู่คู่แข่งและซื้อเสียงไว้มหาศาล

    หากเป็นเช่นนี้..องค์รัชทายาทตกอยู่ในอันตรายจากพวกเสือสิงห์ทางการเมืองเข้าแล้ว!

    เคร้ง! คยูฮยอนนึกโทษโชคชะตาที่ตนก้าวพลาดไปโดนกระป๋องสีใช้แล้วจนมันล้มกลิ้งส่งเสียงก้องได้อย่างน่าเจ็บใจในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน

    “นั่นใคร!!!

    เจ้าของร่างโปร่งสะดุ้งตัวเมื่อเสียงนั่นคำรามถามประกอบกับฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ห้องศิลปะ คยูฮยอนแทบกลั้นเสียงหายใจ น่าแปลกที่แม้แต่ลมหายใจในตอนนี้มันยังดังเสียจนน่ารำคาญ แถมด้วยกลองศึกภายในอกข้างซ้ายก็ยังเต้นไม่เป็นส่ำ หากชายพวกนั้นรู้ว่าเขาได้ยินทุกการสนทนา...โจ คยูฮยอนคงเป็นเหยื่อรายแรกที่ถูกฆ่าปิดปากอย่างไม่ต้องสงสัย

    “ฉันถามว่าใคร...!!คยูฮยอนทอดสายตามองเงาซึ่งทอดผ่านเข้ามาภายในห้องศิลปะอย่างหวาดๆ ...ไม่กี่อึกใจคนพวกนั้นต้องทราบแน่ว่าเป็นเขา!

    “ประทานโทษค่ะ...องค์ชายชีวอนเรียกเชิญพวกคุณกลับไปที่ห้องรับรอง เห็นว่าพวกคุณขอตัวออกมานานมากแล้ว” เป็นเสียงของแม่นมยองจา...

    “ครับ...ขอโทษด้วยจริงๆ พวกเราจะกลับไปเดี๋ยวนี้” เสียงดุดันเมื่อครู่แทบจะพลิกลิ้นในบัดดล คนพวกนั้นกล่าวกับแม่นมด้วยท่าทีสุภาพทั้งที่ก่อนหน้าเพิ่งจะกล่าวอาฆาตองค์รัชทายาทไปหยกๆ...คยูฮยอนฟังเสียงพูดคุยอีกไม่กี่ประโยคก็ดูเหมือนที่หน้าห้องศิลปะจะไม่มีใครอยู่แล้ว ร่างโปร่งบางพาตัวเองออกจากห้องศิลปะและก้าวเท้าเร็วๆ กลับสู่ตำหนักรอง อย่างไรเสียเขาต้องขอบคุณที่แม่นมยองจาเข้ามาช่วยชีวิตเขาได้ทันท่วงทีถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหตุการณ์อันแสนบังเอิญก็ตาม

    ที่สำคัญ...คยูฮยอนต้องบอกเรื่องนี้กับองค์รัชทายาทด้วยตัวเขาเอง!

     

     

    ไร้เงาขององค์รัชทายาทเมื่อถึงเวลามื้อเย็น...คยูฮยอนเลียบๆ เคียงๆ ถามจากแม่นมยองจาก็ได้คำตอบว่าชายหนุ่มยังคงหารือเรื่องบ้านเมืองกับคนสนิท ทั้งที่คณะรัฐมนตรีรวมไปถึงนายกปาร์คกลับกันไปหมดแล้วก็ตาม...เด็กหนุ่มเพิ่งจะมาทราบทีหลังว่าวันนี้คนเหล่านั้นเข้ามาขอเข้าเฝ้าองค์ชายชเว ชีวอนโดยไม่แจ้งล่วงหน้าและนี่คงเป็นเหตุผลที่เขาไปบังเอิญได้ยินบทสนทนาจากผู้ไม่ประสงค์ดีเข้า เขาเคยคิดว่าหากไม่มีองค์ชายเอาแต่ใจร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ตนคงรู้สึกเจริญอาหารมากกว่านี้ แต่แปลกที่คยูฮยอนกลับรับประทานอาหารได้น้อยเช่นเดิม อุปมานไปเองว่าคงวิตกเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ยินในวันนี้

    สิ่งล้ำค่าจากพยองอันตัดสินใจที่จะรอพบกับองค์รัชทายาทหลังจากอีกคนหารือเรื่องบ้านเมืองแล้วเสร็จ มันไม่นานอย่างที่ใจคิด...ผู้ช่วยหนุ่มก้าวออกมาจากห้องทำงานด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ชายคนนี้แสดงท่าทีเคารพเขาอย่างที่เครื่องบรรณาการไม่สมควรจะได้รับ คยูฮยอนโค้งเป็นการขอบคุณ สูดหายใจลึกพร้อมกับย่างเท้าเข้าไปในห้องทำงานขององค์ชายชเว ชีวอน เขาเห็นองค์ชายหลับตาพิงศีรษะกับพนัก ใบหน้าคมสันดูเครียดกว่าวันก่อนและมันก็ทำให้รัศมีสง่างามขององค์รัชทายาทถูกบดบังไปสักหน่อย หนุ่มหน้าหวานไม่รู้จะเรียกความสนใจจากชายสูงศักดิ์อย่างไรจึงแสร้งกระแอมเบาๆ

    “องค์ชาย...กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องทูลบอก” นัยน์ตาคมปรายมองเขาเล็กน้อย คยูฮยอนล่ะเกลียดจริงเชียวสายตาเยือกเย็นจากคนคนนี้...ตั้งท่าจะอ้าปากพูดทว่าเปลือกตานั้นกลับหรี่หลับลงอีกรอบคล้ายกับไม่ต้องการรับฟังอะไรจากเขาเสียอย่างนั้น

    “อย่าเพิ่งพูดอะไร ช่วยนวดขมับให้ฉันที...” คยูฮยอนขมวดคิ้วยุ่ง นี่เห็นเขาเป็นอะไร...คนรับใช้?

    “แต่มันเป็นเรื่องสำคัญ องค์ชายต้องฟังกระหม่อมก่อน” แย้งอย่างหัวเสียและไม่คิดจะทำตามคำสั่งกะทันหันนั่นด้วย

    “ฉันเครียดจนไม่อยากฟังอะไรแล้ว” ผู้ชายคนนี้กำลังแสดงท่าทีเอาแต่ใจกับเขาอยู่หรือยังไง ถึงได้จงใจหมุนเก้าอี้ไปอีกทาง ละความสนใจจากเขาไปเสียเฉยๆ ด้วยเพราะเหลืออด ประกอบกับเรื่องที่อัดอั้นอยู่ในใจคยูฮยอนมันคือเรื่องคอขาดบาดตาย เจ้าตัวถึงได้โพล่งสิ่งที่ได้ยินออกไปด้วยประโยครวบรัด

     “มีคนต้องการชีวิตองค์ชาย นี่คือสิ่งที่กระหม่อมอยากจะบอก” ได้ผลชะงัก...ดวงตาคมปรือเปิดขึ้นแต่ท่าทีนิ่งเฉยแบบนั้นดูผิดคาดไปจากที่คยูฮยอนคิดไว้ในทีแรก ...ทำไมถึงได้ดูไม่ตกใจเลยสักนิด

    “ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าตัวเองถูกปองร้าย” บอกพลางใช้นิ้วนวดขมับ “ฉันรู้มาตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะพวกของนายกปาร์คหรืออีกหลายๆ กลุ่ม ฉันแค่ต้องประคับประคองราชวงศ์ชเวและความปลอดภัยของทุกๆ คนรวมไปถึงประชาชน” หนึ่งในผู้ปองร้ายอีกกลุ่มก็คือพี่ชายของเขาอย่างนั้นสิ... คยูฮยอนนึกโดยไม่พูดมันออกไป เขารู้ดีว่าอีกคนไม่อยากจะพูดให้เขาต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่าที่เป็นอยู่ สิ่งที่องค์รัชทายาทบอกกับเขามันแปลกไปจากที่คยูฮยอนฝังใจกับผู้ชายคนนี้ ดูเหมือนองค์ชายชีวอนไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเองเลย แต่...เลือกที่จะห่วงคนอื่น

    “....”

    “ฉันไม่ต้องการให้มันเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง...มากไปกว่านั้น ฉันอยากให้เธอปลอดภัยจากพวกประสงค์ร้ายเช่นกัน” คยูฮยอนนิ่งไป แทบไม่เชื่อหูตัวเอง และเด็กหนุ่มคงไม่รู้ตัวว่าคำพูดจากปากขององค์รัชทายาทได้ถูกฝังเข้าสู่ส่วนลึกในหัวใจไปเสียแล้ว สิ่งล้ำค่าจากพยองอันไม่อาจไขความสงสัยที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ...เขาเป็นเพียงเครื่องบรรณาการจะไปมีค่าอะไรมากมายเท่าราชนิกูลคนอื่นๆ ไหนจะแม่สาวคู่หมั้นคนนั้น คงแค่พูดให้หลงระเริงดีใจจะได้ลืมๆ เรื่องที่เขาถูกบีบให้ถวายตัวเข้ามาในวังอย่างนั้นสินะ

    คยูฮยอนก้มหน้าหลบสายตาดุจเหยี่ยว ปั่นป่วนในอกเมื่อถูกจ้องไม่คลาดสายตา

    “กระหม่อมคิดว่าควรให้องค์ชายได้พักผ่อน...กระหม่อมขอตัว”

    องค์รัชทายาทชีวอนมองใบหน้าขาวจัดที่เผลอคว่ำปากไม่พอใจ อีกทั้งยังก้าวเร็วๆ ออกจากห้องทำงานของเขาไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มทราบดีอยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มจากพยองอันอคติต่อตัวเขามากเพียงใด และในวันนี้เขาตั้งใจว่าจะไม่เร่งเร้าโจ คยูฮยอนให้ยอมรับเขาอีกต่อไปแล้ว นั่นเพราะองค์ชายสูงศักดิ์ผู้นี้อ่านดวงตาสีดำรัตติกาลคู่นั้นออกในวินาทีที่สบตากันเมื่อครู่ มันเต็มไปด้วยความหวั่นไหวและความรู้สึกสองขั้วที่ตีกันให้วุ่น ท่าทางดื้อเงียบแบบนั้น ชีวอนเชื่อว่าตนจะต้องกำราบเด็กหนุ่มให้อยู่มือได้อย่างที่หวังแต่นั่นไม่ได้หมายความว่า...มันจะไม่ทุลักทุเล

    การช่วงชิงพื้นที่หัวใจโจ คยูฮยอนมันไม่ง่ายเอาเสียเลย!

               

               

                คำพูดจากปากองค์รัชทายาทส่งผลให้คยูฮยอนนอนไม่หลับไปทั้งคืน...เช้าตรู่นี้เจ้าของใบหน้าขาวจัดถึงได้พาตัวเองมานั่งทอดอารมณ์อยู่ริมสระน้ำหน้าเรือนรับรอง ถ้าใครอื่นโดยเฉพาะองค์ชายเล็กซูโฮมาเห็นเขานั่งห้อยขาอยู่ริมสระแบบนี้คงได้โวยวายที่เขามักชอบทำอะไรน่าหวาดเสียวเป็นแน่ ดวงตาคู่โตทอดมองดอกบัวในสระที่กำลังผลิบานเชื้อเชิญให้หมู่ผึ้งบินมาดอมดม แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องกระทบผิวน้ำจนมันเปล่งประกายระยิบระยับ เด็กหนุ่มแค่หวังจะให้จิตใจที่กำลังว้าวุ่นสงบลงบ้างหลังค่อนคืนที่ผ่านมาในหัวสมองของคยูฮยอนมีเพียงคำพูดของใครบางคนตอกย้ำซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น

                คยูฮยอนไม่ต้องการให้องค์รัชทายาทผู้นั้นต้องเข้ามามีอิทธิพลต่อเขา...ไม่ว่าจะเรื่องความคิด การกระทำหรือแม้แต่...หัวใจ

                เสียงฝีเท้าหยุดอยู่ข้างๆ คยูฮยอนเผลอคิดว่าใครที่ว่าจะต้องเป็นซูโฮอีกตามเคยจึงเอ่ยปากทั้งที่ไม่ได้ละสายตาจากสระน้ำเบื้องหน้า

                “ตื่นเช้าจังนะซูโฮ...วันนี้อย่าคิดหนีเรียนเชียวล่ะ”

                “ซูโฮยังไม่ตื่นหรอก...รายนั้นตื่นสายเป็นประจำ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกและแน่นอนไม่ใช่เสียงของซูโฮ คยูฮยอนเบิกตาตระหนก พลันเงยหน้าสบตาเจ้าของร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง

                “องค์ชาย!” เขาหยัดตัวลุกขึ้น พร้อมปัดเศษใบไม้ออกจากกางเกงและเสื้อโค้ทอย่างลวกๆ

                “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น” ถามด้วยน้ำเสียงขบขัน คยูฮยอนตวัดสายตามองใบหน้าคม ดูท่าแล้วอีกคนคงหลับสนิทผิดจากเขาที่แทบไม่ได้นอนตลอดคืน

                “องค์ชายมักเข้ามาเงียบๆ...” ตอบเสียงเบา ตั้งแต่ได้รู้จักกัน...ไม่ว่าจะครั้งไหน องค์ชายชีวอนมักมาพร้อมกับความเงียบและบรรยากาศน่าอึดอัด ล่าสุด...ผู้ชายคนนี้เข้ามาพบเขาทั้งที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ แถมยังใช้โอกาสฉกฉวยหากำไรกับตัวเขาอีก ถ้าไม่ให้โจ คยูฮยอนคนนี้ตกใจเมื่อเจอหน้าดุๆ นั้น ...จะให้เขายิ้มหวานดีใจที่ได้พบองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ...ไม่มีทางเสียหรอก!

                “แล้วถ้าแบบนี้ยังตกใจรึเปล่า...” รูปหน้าสมบูรณ์แบบปรากฏรอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้พบเห็น

                โอ้ไม่นะ...

                คยูฮยอนไม่ทราบว่าเมื่อครู่มันเรียกว่าจูบอรุณสวัสดิ์ได้หรือเปล่า มันไวมากเสียจนภาพตรงหน้ามันพร่าเลือน ถึงอย่างนั้นเรียวปากอิ่มก็ยังคงทิ้งความอุ่นจางๆ ไว้ ร่างโปร่งเผลอก้าวถอยหลังเมื่อหัวใจของเขามันกู่ร้องอะไรบางอย่างออกมาและมันเสมือนสัญญาณที่แสนจะอันตราย... ให้ตายเถอะ หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงเพราะสัมผัสอบอุ่นคล้ายแสงจากพระอาทิตย์ยามเช้า หน้าเห่อร้อนอย่างไร้สาเหตุ อ้อไม่สิ...สาเหตุเพราะคยูฮยอนยอมรับว่าจุมพิตแบบเมื่อครู่มันทำให้...เขาตื่นเต้นระคนเคอะเขินเกินกว่าจะอยู่ใกล้รัศมีองค์ชายตรงหน้า...

                “คยูฮยอน...ห้ามก้าวถอยหลัง...” เสียงเข้มออกคำสั่งพร้อมดวงตาซึ่งฉายแววจริงจัง ทว่าเด็กหนุ่มกลับหาสติที่จะประมวลคำสั่งนั่นไม่พบ

                “...”

                “ฉันบอกว่าห้ามก้าวถอยหลัง!

                “เหวอ!” สายน้ำสาดกระเซ็นเหตุเพราะร่างโปร่งผลัดตกสู่สระน้ำเย็นเฉียบ กระนั้นไม่ใช่เพียงแค่บรรณาการจากพยองอัน ชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาทก็ต้องลงไปแหวกว่ายท่ามกลางสระน้ำที่เขาเห็นมาตั้งแต่เกิดเช่นกัน! คนตัวโตกว่าคว้าร่างเด็กหนุ่มไว้ให้ในอ้อมแขนพลางแย้มยิ้มขำเมื่อใบหน้าหงุดหงิดเพราะอุบัติเหตุเมื่อครู่ดูน่ารักน่าชังจนอดจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปกดจูบเบาๆ ที่กลีบปากสีระเรื่อไม่ได้

                คนโดนจูบเป็นครั้งที่สองหน้าเหวอ อ้าปากค้างนึกอะไรไม่ออก...รอยยิ้มหล่อร้ายแบบนั้นหมายความว่ายังไงกันห๊ะ!

     

                โจ คยูฮยอนควรโทษความซุ่มซ่ามของตัวเอง โทษความพยศที่มีในตัวหรือโทษรสจูบจู่โจมขององค์รัชทายาทกันแน่!

     



     

     

    Talk*
    ตอนนี้ไม่เครียดเน๊าะ ปรับฟิลกันหน่อยนร๊ะ (ตอนนี้ไม่มีอะไรตามเคย) เนี่ย
    ! ไม่ต้องสงสารยอนล่ะ เราควรจะอิจฉาบรรณาการกันได้แล้ว โอเค๊!!
    ปล.ขอบคุณพี่ yayah-p ที่ช่วยดูคำผิดให้เมื่อตอนที่แล้วด้วยนะคะ ><


    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×