ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Heaven Ivy. : WONKYU [END]

    ลำดับตอนที่ #4 : Heaven Ivy. -3- ยาพิษ...

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 57


    Heaven Ivy.


    -3-

     

                กรอบรูปถ่ายครอบครัวไม่เคยห่างจากสายตาของโจ คยูฮยอนตั้งแต่ผ่านมื้อเช้าอันแสนอึดอัดมา ร่างโปร่งไม่คิดจะพาตัวเองออกจากเรือนรับรองแต่อย่างใด หากไม่มีคำสั่งจากองค์รัชทายาทเขาเองก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจนัก เขาไม่ได้รับสิทธิให้ติดต่อกับบุคคลภายนอกหรือแม้แต่คนในครอบครัว แท้จริงเขาก็ไม่ได้ต่างจากนักโทษ ชายหนุ่มตัวขาวยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้บุหนัง นั่งมองรูปถ่ายที่บรรจุความทรงจำของพ่อแม่และพี่ชาย ทุกอย่างพาลให้คยูฮยอนคิดถึงบ้านเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงกระทั่งผ่านพ้นไปนานจนเขาไม่รู้ตัวว่าตนนั่งเหม่อลอยกินเวลาชีวิตไปมากขนาดไหน

                หากทว่า...เสียงเคาะประตูทำให้เขากลับสู่สภาพความเป็นจริง เรือนรับรองว่างเปล่าซึ่งมีเพียงโจ คยูฮยอน และเพื่อนสนิทที่สุดในตอนนี้ก็คืออากาศแห่งความเหงา

                “คุณคยูฮยอนคะ ดิฉันเอง...ไม่ทราบว่าเข้าไปได้หรือเปล่า” เป็นเสียงของแม่นมยองจา คยูฮยอนเอ่ยบอกอนุญาต

                “เชิญครับ” หญิงชราก้าวเข้ามาพร้อมด้วยสำรับอาหารดั่งเช่นเมื่อค่ำวาน คยูฮยอนรู้สึกผิดขึ้นมานิดกระนั้นก็ทำได้เพียงมองแม่นมยองว่างอาหารมื้อเที่ยงที่โต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้อง ออกปากขอโทษเสียงเบา

                “ขอโทษครับที่ทำให้ลำบาก”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หน้าที่ของดิฉันคือการดูแลคุณคยูฮยอน” ว่าพลางยิ้มบาง นัยน์ตาหรือแม้แต่น้ำเสียงของแม่นมส่งผ่านความใจดีมีเมตตา คยูฮยอนเห็นชัดจากหญิงวัยเกษียณคนนี้ เขาลุกเดินไปวางกรอบรูปครอบครัวไว้บนตู้ลิ้นชักข้างเตียงพลางพาตัวเองมายืนตรงหน้าเธอ

                “คราวหลังแม่นมไม่ต้องลำบากหรอกครับ ผมเกรงใจ”

                “ถ้าอย่างนั้นคุณคยูฮยอนเองก็อย่าลืมไปทานข้าวที่ห้องอาหารนะคะ ดิฉันกลัวว่าคุณจะไม่สบาย อีกอย่างองค์ชายคงเป็นห่วงคุณมาก” ฟังอย่างนั้นคยูฮยอนเองก็ทำได้เพียงถอนหายใจพร้อมยกยิ้มขันฝืนๆ ในเรื่องราวแสนจะไม่น่าเชื่อ องค์รัชทายาทจะมาเป็นห่วงเขาได้อย่างไร คงแค่กลัวว่าเขาจะตายเป็นผีเฝ้าวังเสียมากกว่า!

                “ช่างเถอะครับ เอาเป็นว่าขอบคุณมาก” ตัดสินใจไม่พูดจาส่อเสียดองค์รัชทายาทอย่างที่คิดไว้ในใจต่อหน้าแม่นมยองจา โค้งขอบคุณหญิงชราในฐานะที่เธอสู้อุตส่าห์นำมื้อเที่ยงมาให้เขาเป็นครั้งที่สอง สำหรับคยูฮยอน ...เครื่องบรรณาการไม่ควรทำให้คนในวังต้องลำบากไปมากกว่านี้

                “ดิฉันไม่รบกวนคุณแล้ว ถ้าเบื่อก็ออกมาเดินเล่นนอกเรือนรับรองได้ตามสบายเลยนะคะ องค์ชายชีวอนรับสั่งว่าตอนเย็นจะเข้ามาพบคุณ...”

                “ครับ” แม่นมยองจากลับออกไปแล้ว และทิ้งไว้ซึ่งบรรยากาศที่บีบคั้นคนอย่าง โจ คยูฮยอนเหลือเกิน เขาไม่อาจอธิบายได้ว่าความรู้สึกในตอนนี้ว่ามันเป็นเช่นไร เจ้าของวงหน้าขาวจัดไม่สนใจกลิ่นหอมของอาหารรสเลิศ ไหนจะความหิวที่เล่นงานกระเพาะมากขึ้นเรื่อยๆ พลันดวงตาสบเข้ากับเงาสะท้อนของตัวเขาเองภายในกระจกซึ่งประดับอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เขามองเห็นใครคนหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน คนอ่อนแอที่กำลังหมดหนทางสู้ ไร้ซึ่งอิสรภาพ... โจ คยูฮยอนคนเดิมถูกกลืนหายไปไหนไม่ทราบเหลือไว้เพียงกายหยาบของเครื่องบรรณาการมนุษย์

                ไม่ว่าจะอย่างไร ร่างกายของเขามันคงไม่สำคัญหรือมีค่าไปมากกว่านี้...การได้ขึ้นชื่อว่าถวายตัวเข้ามาในวังก็เท่ากับชีวิตครึ่งหนึ่งตกอยู่ในมือขององค์รัชทายาทไปแล้ว สิทธิพิเศษมากมายมันก็แค่ของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทนเขาที่ไม่มีวันเรียกตัวตนคนเดิมของตนเองกลับมาได้...

    ทุกอย่างคือของหวานซ่อนความขมไม่จีรังในรสชาติซ้ำแต่จะยิ่งกลายเป็นยาพิษกัดกินทำลายเขาในทุกขณะที่ยังคงมีลมหายใจ

     

     

    องค์รัชทายาท ชเว ชีวอนไม่ได้อยากจะกริ้วโกรธหัวเสียไปมากกว่านี้ ลำพังแค่เรื่องในวังก็ทำเขาปวดหัวมากพอแล้ว แต่ดูเหมือนบุคคลภายนอกมักมองว่าองค์รัชทายาทเช่นเขาสมควรเป็นผู้ตัดสินความวุ่นวายในบ้านเมืองแทนที่จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีแห่งเกาหลี หรือปาร์ค อุนซู มาขอเข้าเฝ้าเขาในวันนี้พร้อมรายงานสถานการณ์ที่ใกล้เข้าสู่ภาวะน่าเป็นห่วงขึ้นทุกที ชายหนุ่มถอนหายใจครั้นฟังคำขอร้องจากชายรูปร่างท้วมเรื่องช่วยออกพระราชโองการปกป้องคณะรัฐมนตรีทั้งหมดจากภาวะการเมืองอันแสนดุเดือด ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตาแก่อ้วนพุงโรคนนี้คิดการณ์ใหญ่อะไรไว้...ชีวอนเองไม่อาจทราบว่าเหตุใดคนคนนี้ถึงได้รับการเลือกตั้งเข้ามา แต่ที่แน่ๆ บุคคลตรงหน้าคือชายที่ชาวเกาหลีทั้งในโซลและประเทศราชเกลียดชัง เขาไม่เคยไว้ใจ และไม่เคยคิดว่าประเทศเกาหลีจะเจริญก้าวหน้าหากยังมีชายผู้นี้อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดิน ทว่าข้อกำจัดหลายๆ อย่างในระบอบการปกครองทำให้องค์รัชทายาทกระทำการได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะการเขี่ยตาแก่อันตรายคนนี้ออกจากประเทศ สิ่งเดียวที่องค์รัชทายาททำได้ในตอนนี้คือการค่อยๆ ปรับเปลี่ยนการปกครองอย่างแยบยลและพ้นจากสายตานายกปาร์คมากที่สุด

    “กระหม่อมแค่ต้องการให้พระองค์ช่วยปกป้องคณะรัฐมนตรีทั้งหมดจากพวกกบฏ”

    “แล้วไม่คิดหรือ... ว่าเราเองก็ต้องเผชิญหน้ากับกบฏในอนาคตเช่นกัน” ชีวอนกดยิ้มในขณะที่เอ่ยประโยคเยือกเย็นเมื่อครู่ ดวงตาคล้ายสัตว์เจ้าเล่ห์ตระหนกเล็กน้อยราวกับกำลังถูกราชสีห์เพ่งเล็งหมายหัว ชายหนุ่มสูงศักดิ์พึงระลึกมาเสมอว่าความผิดพลาดใหญ่หลวงของท่านพ่อคือการไว้ใจชายผู้นี้ เขาเห็นสมควรว่าควรจัดการถอนรากถอนโคนชนชั้นที่ปกครองอย่างไร้ความยุติธรรมเสียที

    “แล้วพระองค์จะทรงนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้หรือ พวกกบฏเตรียมกำลังหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ให้ทางการรัฐจับผิดได้เลยสักครั้ง ล่าสุดก็ส่งคนเข้ามาลอบขโมยข้อมูลลับในทำเนียบ พระองค์น่าจะทราบดีว่าเกาหลีในตอนนี้กำลังจะลุกเป็นไฟหากพระองค์ไม่ทรงเด็ดขาด หลังจากองค์ราชาประชวร องค์รัชทายาทคือความหวังเดียวของประชาชน” คำเยินยอทำให้ชีวอนเค้นหัวเราะในลำคอ...เขาจะเป็นความหวังของประชาชนได้อย่างไรกัน ในเมื่อหลายฝ่ายก็ทราบดีว่าองค์รัชทายาทชีวอนยังไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาชน สิ่งที่นายกปาร์คต้องการในตอนนี้คือต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อก้าวขึ้นมาปกครองประเทศแทนราชวงศ์ชเวต่างหาก และหากเขาหรือแม้กระทั่งองค์ราชาหมดประโยชน์ ราชวงศ์ทั้งหมดจะต้องถูกเขี่ยทิ้งโดยไม่แยแสและสิ้นสุดซึ่งกษัตริย์แห่งประเทศเกาหลี

    เขาไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น...

    “เรามีวิธีทางการแก้ปัญหาได้อย่างรอมชอม คนเหล่านั้นแค่ต้องการเป็นอิสระ สิ่งเดียวที่นายกรัฐมนตรีปาร์คและคณะควรทำคือการยึดมั่นอยู่บนความยุติธรรมและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดี เพราะถ้าไม่... เราเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่ากบฏหรือประชาชนกันแน่ที่จะโค่นล้มรัฐบาลของพวกคุณ” องค์รัชทายาทเช่นเขากลั่นกรองคำพูดทุกอย่างมาเป็นอย่างดี และเห็นทีคำปรามาสของเขาคงทำให้คนตรงหน้าสะอึกจนไปไม่เป็น

    “แต่พระองค์...” ชายท้วมตั้งท่าจะโต้เถียง

    “เราเตือนนายกปาร์คด้วยความหวังดี”

    “เห็นทีว่ากระหม่อมไม่ควรรบกวนพระองค์แล้ว” ชีวอนเห็นแววตาไม่พอใจภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะของนายกปาร์ค เจ้าของร่างท้วมขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังโดยไม่พูดจาใดๆ นายกปาร์ค อุนซูกลับไปพร้อมคนติดตามอีกสองสามคน เขามองตามหลังพร้อมความคิดที่แล่นวนในหัวสมอง ชายผู้นั้นจะต้องไม่ยอมวางมือจากเรื่องที่เขาได้ตักเตือนไปเมื่อครู่อย่างแน่นอน ซ้ำอาจกระทำการณ์ซึ่งกระตุ้นให้การเมืองเผ็ดร้อนยิ่งกว่าเดิม

    องค์รัชทายาทไม่อาจคาดเดาอนาคตที่กำลังจะมาถึงได้...และมากไปกว่าการประคับประคองราชวงศ์ องค์รัชทายาทจะต้องปกป้องประชาชนและริเริ่มปฏิรูปการปกครองอย่างจริงจัง พลันหัวสมองของชายหนุ่มก็มีชื่อของใครบางคนแทรกเข้ามาในประสาทการรับรู้ หนึ่งสิ่งที่เขาไม่อาจละความสนใจไปได้เห็นจะเป็นเครื่องบรรณาการล้ำค่าจากพยองอัน... การดึงเด็กคนนั้นเข้ามาเป็นเครื่องบรรณาการถือเป็นฉนวนชั้นดีสำหรับการก่อกบฏโดยผู้นำอย่าง อี ดงกัน พี่ชายต่างแม่ของโจ คยูฮยอน หมอนั่นต้องการน้องชายของตัวเองกลับคืนสู่บ้านเกิดในเร็ววัน ไม่เพียงเท่านั้น...อี ดงกันต้องการอิสรภาพแก่เกาะพยองอันและประเทศราชอื่นๆ

    ในฐานะองค์รัชทายาทเขาจะต้องไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้จบลงอย่างประนีประนอมโดยที่เขาจะต้องไม่เสียโจ คยูฮยอนไปด้วยเช่นกัน!

     

     

    องค์ชายเล็กอย่างซูโฮไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมตนเองต้องมาแอบมองเครื่องบรรณาการมนุษย์อยู่ห่างๆ อยู่ตรงนี้...ที่ศาลาริมน้ำเขาเห็นเจ้าของร่างโปร่งนั่งกอดเข่ามานานโขแล้วล่ะ ความจริงคงต้องโทษความอยากรู้อยากเห็นของเขาเองนั่นแหละถึงได้ลงทุนโดดชั่วโมงเรียนจากครูพิเศษมาหลบมุมหลังเสาเสียเฉยๆ เพราะมื้อเช้าทำให้เขาทราบว่าระหว่างพี่ชายและโจ คยูฮยอนคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันพอสมควร พี่ชายตัวดีเฉยชาและปัดที่จะบอกเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดเครื่องบรรณาการชิ้นสุดท้ายจากพยองอันถึงเป็นหนุ่มหน้าหวาน เจ้าของดวงตาใสแต่เจือความเศร้าคนนี้ ถึงอย่างนั้นเด็กชายเองก็แค่อยากทำความรู้จักกับเครื่องบรรณาการชิ้นพิเศษเพื่ออย่างน้อยเขาเองจะได้มีเพื่อนในวังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

    เด็กชายรวบรวมความกล้าและสืบเท้าตรงไปยังศาลาริมน้ำ การมาของซูโฮทำให้คนที่กำลังเหม่อมองสระน้ำเบื้องหน้าแลดูจะทำตัวไม่ถูก รีบขยับกายนั่งในท่าปกติ

    “คือ...ผมเห็นพี่ดูไม่ค่อยสบายใจ เลยอยากมานั่งคุยเป็นเพื่อนน่ะ” ซูโฮว่าเก้อๆ ทว่าอีกคนกลับส่ายหน้าพร้อมตอบกลับเสียงเรียบ

    “ขอบพระทัยองค์ชายเล็กแต่กระหม่อมเกรงว่าจะไม่สมควร” เด็กชายอึ้งไปอึดใจหนึ่ง กระนั้นก็ยังพยายามสร้างไมตรีต่อไป

    “พี่คยูฮยอนเลิกพูดแบบทางการกับผมเถอะ ผมไม่ชอบราชาศัพท์เลยสักนิด”

    “...แต่”

    “ผมแค่อยากมานั่งคุยเป็นเพื่อนพี่จริงๆ นะ” ซูโฮมั่นใจว่าเขามองชายหนุ่มหน้าหวานด้วยสายตาออดอ้อนเพียงใด เขายังคงกล่าวต่อด้วยท่าทางราวกับลูกแมวขี้เหงา “พี่คยูฮยอนคงไม่รู้สินะครับว่าในวังตอนนี้แทบจะไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว จะมีก็แต่ผม พี่ชีวอน แม่นมยองจา ข้าราชบริพารที่ยังคงต้องปรนนิบัติพวกเรา ผมเองออกไปไหนไม่ได้มาประมาณสองปีแล้วครับ แม้แต่โรงเรียนผมยังไม่ได้ไป ต้องติดแหง็กนั่งเรียนอยู่ในวัง”

    “แล้วคนอื่นๆ?” เสียงนุ่มเอ่ยปากถามพร้อมใบหน้าเจือความสงสัย ซูโฮยกยิ้มบาง อย่างน้อยเขาก็หาบทสนทนาที่ลงตัวได้เสียที เด็กชายนั่งลงข้างๆ เครื่องบรรณาการมนุษย์จากพยองอันที่กำลังจะเปลี่ยนสถานะเป็นเพื่อนใหม่ต่างวัยพลางเอ่ยตอบคำถามจากคยูฮยอน

    “ท่านพ่อรักษาอาการประชวรอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนท่านอาและครอบครัวของท่านก็ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกได้สักพักแล้วครับ ราชวงศ์ชเวไม่ได้มีสมาชิกมากมายอะไร เวลานี้คนที่ต้องมั่นคงที่สุดก็คือพี่ชีวอน ถึงแม้พี่เขาจะชอบทำตัวไม่รู้จักโตเท่าไหร่ก็ตาม” ท้ายประโยคคยูฮยอนพอจะเดาได้ว่าองค์ชายเล็กแห่งชเวคงรู้สึกไม่พอใจในตัวพี่ชายอย่างที่เอื้อนเอ่ย หันไปสบตาเด็กชายข้างกายก็ได้คำตอบว่าเด็กคนนี้ไม่ต่างอะไรจากเขาในตอนนี้นัก สัมผัสได้ว่าซูโฮเองกำลังเผชิญกับความเหงา เด็กในวัยนี้สมควรได้ออกไปพบปะเพื่อนฝูงเสียบ้างแทนที่จะมาอุดอู้อยู่แต่ในวัง แต่เพราะสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ คงไม่เป็นการณ์ดีที่จะให้องค์ชายเล็กต้องเดินทางไปโรงเรียนอย่างเช่นเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน

    “กระหม่อมคิดว่าองค์รัชทายาททำถูกแล้ว เขาเป็นห่วงองค์ชายเล็กถึงได้ทำแบบนี้”

    “พี่ชีวอนเป็นคนที่เข้าใจยากมากคนหนึ่ง...แต่อันที่จริง ผมกำลังมองว่าพี่อาจเป็นคนที่ช่วยให้ผมเข้าใจเขามากขึ้น พี่ชีวอนไม่เคยเอาแต่ใจกับใครหรอก กับพี่คยูฮยอนน่ะคนแรกเลย” คยูฮยอนไม่อาจตีความหมายจากองค์ชายเล็กได้ภายในวินาทีนั้น เรียวคิ้วขมวดยุ่ง เขาและเด็กชายเงียบไปชั่วครู่ มันนานจนเขามั่นใจว่าองค์ชายซูโฮต้องการที่จะสื่ออะไร...

    “มะ-ไม่หรอก...กระหม่อมแค่พูดไปอย่างที่เข้าใจ” เสียงหัวเราะแผ่วๆ จากองค์ชายเล็กเรียกความร้อนขึ้นมาเห่อบนแก้มขาว เขาหวนนึกถึงใบหน้าคมสันของอีกคนแต่ด้านหนึ่งของจิตใจกลับตะโกนบอกว่าฐานะของเขามันก็แค่เครื่องบรรณาการ...

    คนคนนั้น...คงไม่คิดจะถนอมเครื่องบรรณาการชิ้นนี้ไว้ตลอดไปแน่ ดีแต่จะคิดทำลายเสียไม่ว่า

    “ต่อไปพี่คยูฮยอนห้ามแทนตัวว่ากระหม่อมกับผมนะ...ผมไม่ชอบเท่าไหร่หรอกครับ มันฟังดูห่างเหิน คำราชาศัพท์ไม่มีความจำเป็นกับผมเท่าไหร่ ถือว่าเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า” ท้ายที่สุดก็จำต้องพยักหน้ารับคำขอร้องดังกล่าวจากการถูกคะยั้นคะยอจนใจอ่อน เด็กชายยิ้มกว้างไม่วายจะตีสนิทเขาโดยการชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย แต่คยูฮยอนเองยังไม่อยากเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมากนักแม้จะรู้ว่าอย่างไรเสียองค์ชายเล็กคนนี้ไม่ได้คิดร้ายต่อเขาเลยก็ตาม

    แต่องค์รัชทายาทต่างหากที่เปรียบเสมือน...ยาพิษ

    “ซูโฮจ้ะ...” ชายหนุ่มตัวขาวและองค์ชายเล็กเจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก ภาพที่เห็นคือหญิงสาวหน้าตาสะสวยและรูปร่างสมบูรณ์แบบของเธอก็เรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย ยิ่งเธออยู่ในชุดแต่งกายที่ดูกระฉับกระเฉงแต่หรูหราอยู่ในทีแล้วนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่ามอง รูปสมบัติที่ไร้ที่ติทำให้เขาพอจะเดาได้ไม่ยากว่าเธอคือใครและอยู่ในฐานะอะไร

    “ให้ตายสิ” เสียงสบถจากปากของซูโฮประกอบกับสีหน้าหน่ายๆ ขมวดปมความสงสัยขึ้นอีกปมใหม่... หญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาจนถึงภายในศาลาริมน้ำ อมยิ้มส่งให้องค์ชายเล็กแห่งราชวงศ์ชเวก่อนเธอจะเหลือบสายตามาทางเขาพร้อมรอยยิ้มที่คยูฮยอนไม่ชอบและไม่ปรารถนาจะรับจากเธอ

                “ชีวอนโวยวายใหญ่แล้วที่เราหนีเรียนออกมา รีบกลับไปที่ตำหนักใหญ่เถอะนะ”

                “ครับพี่ยูอี...” เด็กชายลุกขึ้นอย่างอิดออด ปรายตามองเขาอย่างเบื่อๆ บางทีคงเพราะไม่อยากกลับไปนั่งเรียนหนังสือตัวต่อตัวกับครูพิเศษ คยูฮยอนทำได้เพียงส่งยิ้มให้กำลังใจ ส่วนตัวเขาเองก็ควรกลับเข้าไปในเรือนรับรองหลังจากนั่งทอดอารมณ์และปล่อยเวลาชีวิตให้สูญเปล่าไปเสียเฉยๆ มาหลายชั่วโมง หากก่อนที่ร่างโปร่งจะได้ก้าวออกจากศาลาริมน้ำ หญิงสาวกลับขยับเท้ามายืนประจันหน้าเขา ซูโฮซึ่งยืนมองอยู่ห่างๆ เกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาชั่วขณะ

                คู่หมั้นสาว ว่าที่ราชินี...กับเครื่องบรรณาการมนุษย์ซึ่งองค์รัชทายาทเอนใจให้ ซูโฮไม่อยากจะคิดว่าหากเป็นพี่ชายตัวดียืนอยู่ตรงนี้แทนที่เขา... พี่ท่านจะรู้สึกอย่างไร จะกระอักกระอ่วนใจจนแทบทึ้งหัวตัวเองเหมือนชเว ซูโฮหรือเปล่า!

                “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เธอกล่าว แต่คยูฮยอนไม่อาจเชื่อว่าไมตรีที่เธอหยิบยื่นมาคือความจริงใจอย่างที่เขาเพิ่งจะได้รับจากองค์ชายเล็กซูโฮ

                “ครับ”

                “ชีวอนคงชอบคุณมากๆ ถึงได้ทำให้คุณต้องถวายตัวเข้ามาในวัง...” คำว่า ถวายตัว จากปากของเธอมันทำให้เขาจุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไหนจะรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างจงใจ คยูฮยอนขบฟันแน่น เธอไม่ได้ชื่นชมเขาหรอกแต่กำลังเชือดเฉือนกันด้วยถ้อยคำนิ่มๆ ต่างหาก

                “....”

                “ยังไงก็ทำให้เขาสบายใจเวลาเครียด สุขใจเวลาอยาก...อ้อ ฉันหมายถึงอยากได้เพื่อนคุยถูกคอน่ะค่ะ”

                “....”

                “ชีวอนคงทำให้คุณอยู่สบายไปอีกนาน...แค่ทำให้เขาพอใจ โชคดีนะคะ คุณโจ คยูฮยอน” เธอจากไปพร้อมรอยยิ้มเดิมๆ และทิ้งให้คยูฮยอนยืนนิ่งราวกับถูกสาป เขาถูกเธอดูแคลนได้อย่างเจ็บแสบ คำพูดเช่นนั้นกดให้คยูฮยอนต่ำลงราวกับถูกใครสักคนเหยียบจนจมดิน และใครที่ว่าก็คือองค์รัชทายาท เจ้าของร่างโปร่งสูดหายใจลึก ฝืนก้าวเดินกลับเข้าไปยังเรือนรับรองด้วยฝีเท้าอ่อนแรง เขาจะทนอยู่ในฐานะเครื่องบรรณาการและประคองศักดิ์ศรีของตนเองต่อไปได้อีกนานแค่ไหน....ในเมื่อข้อครหาว่าร้ายมันอาจเป็นจริงเข้าในสักวัน

                คยูฮยอนเคยคิดมาเสมอว่าเขาจะไม่มีวันยอมให้ศักดิ์ศรีมันถูกพังทลายลงเพราะผู้ชายคนนั้น แต่ในเวลานี้เขาชักไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่าตัวเองเข้มแข็งพอที่จะรักษาเกียรติของตัวเองได้หรือไม่?

     

     

    มื้อเย็นผ่านไปอย่างติดขัด คยูฮยอนไม่อาจรับประทานอาหารได้มากเท่าที่ควรแม้อาหารซึ่งเรียงรายอยู่ตรงหน้าจะส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ เขาแตะอาหารไปได้ไม่กี่อย่างก็วางช้อนส้อมลง ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้และพาตัวเองออกจากห้องอาหารโดยไม่สนใจสายตาคมดุๆ จากองค์รัชทายาท แต่อย่างน้อยเขาก็โชคดีที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาวคนนั้นอีก เขากลับมาที่เรือนรับรองเพื่ออาบน้ำและเตรียมเข้านอน ทว่าดูเหมือนคยูฮยอนอาจลืมอะไรไปบางอย่าง...

    “องค์ชาย!” เรือนร่างขาวจัดภายใต้ชุดคลุมอาบน้ำเบิกตาโพลงเมื่อเห็นองค์รัชทายาทนั่งเงียบอยู่ที่ปลายเตียง และดูท่า...ผู้ชายคนนั้นอาจกำลังไม่พอใจเขา คยูฮยอนควานหาเสียงตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ไม่กล้าที่จะพาตัวเองออกจากหน้าประตูห้องน้ำ พลางละล่ำละลักเอ่ย “องค์ชายมีธุระเรื่องใดกับกระหม่อม เข้ามาเช่นนี้...กระหม่อมตกใจ”

    “แม่นมยองจาบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าฉันจะมา”

    ...นั่นสิ แม่นมยองจาบอกเขาเมื่อเช้าแต่ดันลืมไปเสียสนิท

    “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอแต่งตัวสักครู่” ร่างโปร่งก้าวงุ่มง่ามไปหยุดยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า คว้าชุดนอนมาอย่างรีบๆ และกลับเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำโดยมีสายตาของใครอีกคนมองเขาไม่คลาดสักนาที ใช้เวลาแต่งตัวให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่นานมากแต่ดูเหมือนหนุ่มน้อยกำลังเจอเรื่องตลกร้ายสุดๆ ของวันอีกจนได้ เพราะทันทีที่เขาเปิดประตูออกจากห้องน้ำ คยูฮยอนสบตาเจ้าของร่างสูงใหญ่ องค์รัชทายาทแสนจะเอาแต่ใจเหยียดตัวยาวอยู่บนเตียงกว้าง ชายหนุ่มนอนก่ายหน้าผากพร้อมปรายสายตาเรียบๆ มายังเขาซึ่งตีสีหน้าไม่ถูกไปหลายนาที

    “ฉันเครียดนิดหน่อยและต้องการการพักผ่อน...” คนตัวขาวเม้มริมฝีปาก ไม่กล้าขยับตัวไปไหนนอกจากยืนเกร็งมองคนที่จ้องเขากลับด้วยสายตายากจะคาดเดา

    “องค์ชายควรกลับไปพักผ่อนที่ห้องบรรทมขององค์ชายเอง”

    “แต่ฉันอยากพักผ่อนอยู่ที่นี่มากกว่า” ถ้าหากการถอนหายใจทำให้ชีวิตสั้นลง คยูฮยอนเองก็คิดว่าตัวเองคงเหลือเวลาในชีวิตอีกไม่มาก ร่างโปร่งจนใจและเบื่อที่ต้องคอยตามอารมณ์ใครโดยเฉพาะกับองค์รัชทายาทจึงเลือกที่จะแสดงท่าทีไม่ยี่หระใดๆ

    “หากเป็นเช่นนั้นก็เชิญองค์ชายพักผ่อนได้ตามสบาย กระหม่อมขอตัว” จะอยู่ที่เรือนรับรองก็อยู่ไป ในเมื่อวังแห่งนี้ แทบจะทุกตารางนิ้วย่อมเป็นขององค์รัชทายาทชเว ชีวอนอยู่แล้ว เขานึกพลางก้าวขาอาดๆ จวนจะถึงประตูเรือนรับรองแล้วแท้ๆ ทว่าร่างสูงใหญ่กลับอาศัยความไว กระโจนเข้ามาขวางได้อย่างน่าหมั่นไส้ คยูฮยอนกะพริบตามองใบหน้าหล่อจัดซึ่งกำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้า บ่งบอกเป็นนัยๆ ว่าไม่ชอบที่เขามีกิริยากระด้างค่อนไปทางพยศจัดและพร้อมจะคำรามใส่ข้อหาทำให้เจ้าตัวไม่สบอารมณ์

    “ฉันไม่ให้เธอไปไหน!” บอกเสียงเข้มคล้ายออกคำสั่ง คยูฮยอนเงียบ...องค์รัชทายาทกำลังข่มขวัญเขาชัดๆ

    “แล้วกระหม่อมควรทำอย่างไร องค์ชายถึงจะพอใจ...”

    “แค่อยู่กับฉันก็พอ...” ลมหายใจของคยูฮยอนสะดุดและมันก็ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนตั้งแต่หัวสมองลามไปถึงอวัยวะใต้อกซ้ายที่เต้นรัวไม่เป็นส่ำ ปลายเท้าขยับถอยหลังเมื่อใครอีกคนเคลื่อนกายเข้ามาประชิดเสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว ความเงียบสลับเสียงเต้นของหัวใจเป็นสัญญาณเตือนให้เขารู้ว่า...นี่มันเข้าสู่ภาวะอันตราย...

    แต่ใครจะรู้ว่าองค์รัชทายาทคือสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่เคยจะรับมือได้เลย!

    “องค์ชาย! ปล่อย!” ร้องประท้วงเมื่อถูกช้อนตัวขึ้นจากพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว แม้จะออกแรงดิ้นก็ไม่ทันการแผ่นหลังบางก็แนบลงกับพื้นเตียงเสียก่อน เจ้าของใบหน้าขาวจัดตัวเกร็งเมื่อคนที่มีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาททาบทับตัวลงมา กักขังกันด้วยวงแขนแข็งแกร่ง ดวงตาคล้ายราชสีห์สามารถทำให้เขาไม่สามารถเบี่ยงตัวหนีได้อย่างที่ตั้งใจ ชั่วครู่ที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจากอีกคนฉายแววประกายเว้าวอน คล้ายกับกำลังร้องขอให้เขาใจอ่อน แน่นอน...การยอมใจอ่อนในตอนนี้คือการปล่อยให้ร่างกายตกเป็นขององค์รัชทายาทโดยสมบูรณ์ ฉับพลันหนุ่มน้อยจากพยองอันรู้สึกจุกและเจ็บร้าวไปทั้งใจเมื่อครั้นที่คำพูดของยูอีก้องสะท้อนในโสตประสาท

    ยังไงก็ทำให้เขาสบายใจเวลาเครียด สุขใจเวลาอยาก...

    ใช่...โจ คยูฮยอนมันก็แค่เครื่องบรรณาการ

    บรรณาการอารมณ์หากใครอีกคนปรารถนาในตัวเขา

    “เธอกำลังทำให้ฉัน...รู้สึกผิด” สองหูของคยูฮยอนไม่ได้ฝาดไปแน่... เสียงทุ้มเอ่ยสารภาพก่อนเรียวหน้าคมสันจะผินมองไปยังนอกหน้าต่างเรือนรับรอง หากอีกคนจะรู้สึกผิดก็คงเพราะน้ำตาที่รื้นอยู่เต็มหน่วย คนตัวขาวพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บกักเอาความทุกข์ใจไม่ให้แสดงผ่านออกทางสายตา ทว่าความอ่อนแอกลับพังกำแพงความรู้สึกทั้งหมดได้อย่างร้ายกาจ มันยากที่เขาจะหยิ่งพยศได้อย่างใจปอง

    “กระหม่อมไม่ได้น่าสงสาร...กระหม่อมเป็นเพียงคนถือดีที่สมควรได้รับบทลงโทษเสียบ้าง” คำประชดประชันจากบรรณาการเสมือนธนูที่ปักอกชายหนุ่มอย่างจัง...

    “...ถ้าไม่อยากให้ฉันสงสารก็อย่าร้องไห้ให้ฉันเห็น” น้ำเสียงเคร่งขรึมแตกต่างจากการกระทำอย่างสิ้นเชิง...องค์รัชทายาทเลือกที่จะหันกลับมาเผชิญสายตากับเขา ฝ่ามืออุ่นเลื่อนขึ้นประคองแก้มขาว เรียวนิ้วไล่เกลี่ยน้ำตาบนผิวสีน้ำนม อ่อนโยนจนแทบเผลอไผล หากนี้เป็นฉากในหนังรัก...คยูฮยอนเชื่อว่านี่มันคงโรแมนติกและสร้างความประทับใจแก่คนดู แต่สำหรับเขา...ทุกสายตา ทุกคำพูดขององค์รัชทายาทกัดกร่อนพลังงานในชีวิตจนแทบไม่อยากจะต่อสู้กับคนคนนี้แล้วด้วยซ้ำ

    เขาเหนื่อยเกินไปแล้วจริงๆ

    “กระหม่อมอยากจะถามองค์ชายสักอย่าง...” ชีวอนมองดวงตาเจือความเศร้าแล้วพยักหน้าอนุญาต

    “...ว่ามาสิ”

    “พระอาทิตย์...และพระจันทร์เคยอยู่เคียงข้างกันหรือไม่?” คำถามจากปากอิ่มทำให้คนฟังย่นหัวคิ้วไม่เข้าใจอยู่สักครู่ แต่คยูฮยอนก็น่าจะทราบดีว่าองค์รัชทายาทปราดเปรื่องกว่าที่เห็นจากภายนอกมากนัก คำตอบนั้นจึงถูกต้องอย่างที่หนุ่มน้อยเฉลยในใจ

    เคียงข้างกันสิ ในยามเปลี่ยนช่วงเวลา ช่วงพลบค่ำและก่อนรุ่งสาง

    “แต่แล้วแสงอาทิตย์ก็จะบดบังพระจันทร์จนหายลับไป อย่างมากหากจะเคียงข้างก็เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว...ไม่จีรังยั่งยืน” มันเป็นความตั้งใจของเขาที่แฝงความนัยลงในคำตอบ คยูฮยอนแค่อยากจะเตือนสติองค์รัชทายาทว่าแท้จริงแล้วทุกสิ่งอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น โจ คยูฮยอนคนนี้ต่างหากที่ต้องแบกรับความทรมานไว้แต่เพียงผู้เดียว

    เครื่องบรรณาการชิ้นอื่นๆ ยังถูกส่งเข้าห้องเก็บของไม่ถูกไยดี นับประสาอะไรกับเขา...

    “แต่สำหรับฉัน...พระจันทร์ไม่เคยจางหายไปจากสายตา พระจันทร์มีเพียงหนึ่งเดียวและเคียงข้างพระอาทิตย์ไม่รู้เบื่อ แล้วรู้ไหม...ว่าการหายไปของพระจันทร์ในยามกลางวันทำให้พระอาทิตย์คิดถึงและโหยหามากแค่ไหน”

    “...”

    “มากอย่างฉันในตอนนี้”

    รสจูบเคลือบยาพิษแต้มประทับลงมาแผ่วเบา ดวงตาคู่กลมปิดลงและปล่อยให้อีกคนเอาแต่ใจเบียดกระชับร่างให้แนบเข้าหากันรวมไปถึงกลีบปากซึ่งกำลังถูกละเมียดชิมตั้งแต่มุมปากและสอดแทรกปลายลิ้นเข้ามากวาดต้อนจนร่างบางจนมุมและไร้หนทางต่อสู้ ขึ้นชื่อว่ายาพิษ...รสสัมผัสที่ว่าก็ย่อมแผ่กระจายไปทั่วร่างแล่นลิ่วสู่หัวใจภายในไม่กี่นาที มือใหญ่ลูบไปตามผิวพรรณขาวจัดกระนั้นชายหนุ่มเองก็รู้ซึ้งได้ถึงความหวาดกลัวจากอีกคน เนื้อตัวสั่นเทารวมไปถึงการไร้ซึ่งการตอบสนอง จุมพิตแม้จะหอมกลิ่นกายรัญจวนอารมณ์แต่เวลานี้มันไม่ได้ทำให้องค์รัชทายาทพึงใจเลยสักนิด องค์ชายชีวอนผละออกจากร่างที่กำลังอ่อนแรง ทอดสายตามองตุ๊กตามีชีวิตน้ำตาร่วงเผาะทั้งที่ปิดเปลือกตาแน่น ภาพตรงหน้าตอกย้ำว่าเขากำลังทำผิดมหันต์...

    สิ่งล้ำค่าจากพยองอัน...ไม่ควรถูกเขาทำลาย

    ตราบใดที่หัวใจของโจ คยูฮยอนถูกฝังอยู่ที่เกาะพยองอัน จะมีประโยชน์อะไรหากเขาช่วงชิงร่างกายบริสุทธิ์นี้มาได้ทั้งที่เจ้าตัวไม่ยินดีจะมอบให้เขาด้วยซ้ำ ถ้าเขายังดึงดันต่อไป ชเว ชีวอนก็คงไร้หัวใจเต็มทน!

               

     

    Talk*

    ตอนสามมาแล้ว แต่ ตอนนี้ไม่มีอะไรเลยเน๊อะ ฮรืออออออ ยอมรับค่ะว่าเรื่องนี้มันแต่งยากมากจริงๆ ท้อและหยุดๆ แต่งๆ เฮ้อออออ แต่เราจะก็จะเข็นมันออกมาเรื่อยๆ แหละ เรื่องนี้มันต้องจบ 55555555555555 ปล. ตอนนี้มันยังไม่ถึงขั้นอีโรติกเท่าไหร่เลยอ่ะ น้องยอนเขาไม่ง่ายนะ(แต่ก็ได้ไม่ยาก) เอ๊ะ! -.,-
    แถมรูปสักหน่อยยยยย ประจวบเหมาะละเกินนนนนนนนน

     

    :) Shalunla

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×