ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Heaven Ivy. : WONKYU [END]

    ลำดับตอนที่ #2 : Heaven Ivy. -1- พยศ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 57


    Heaven Ivy.

     

    -1-

     

                    เทศกาลชูซอกหรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวเกาหลีกำลังจะมาถึง... แน่นอน สำหรับคนกรุงโซลมันอาจหมายถึงช่วงเวลาแห่งความปิติ เป็นวันเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ แต่สำหรับชาวเมืองประเทศราชแล้ว มันคือช่วงเวลาที่ต้องเตรียมข้าวของที่ดีที่สุดเพื่อถวายเป็นเครื่องบรรณาการต่างหาก และในปีนี้...องค์รัชทายาทจะเป็นผู้เดินทางมารับเอาเครื่องบรรณาการด้วยตัวเองเสียด้วย ฟังดูพิลึกชอบกลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคงเป็นหน้าที่หลักในการพิชิตใจประชาชนในช่วงที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยข่าวลือเรื่องก่อกบฏ

                เกาะพยองอัน หรือเกาะแห่งความสงบสุข เป็นที่จับจ้องและถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษจากทางการเพราะเกาะแห่งนี้มีความมั่นคงในด้านการเมือง มีผู้นำที่เข้มแข็ง ทายาทสืบตระกูลถึงสองคน ประชาชนที่ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง นี่น่ะเป็นหลักสำคัญที่เมืองแม่เช่นโซลหวาดกลัวว่าวันใดวันหนึ่งประชากรจากประเทศราชจะแข็งข้อและไม่ขึ้นตรงต่อรัฐ

    หลังจากทายาทคนเล็กของตระกูลเรียนจบจากต่างประเทศได้ไม่นาน เขาก็ไม่ค่อยได้ช่วยงานในเรื่องการปกครองเกาะพยองอันสักเท่าไหร่... ดูเหมือนบุพการีจะไม่ต้องการให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องบ้านเมืองมากหนัก หน้าที่ในตอนนี้คือการเป็นคอลัมนิสต์ให้แก่นิตยาสารที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องราวของเกาะพยองอันโดยเฉพาะ ถึงจะเบื่องานนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มซึ่งกำลังก้าวผ่านสู่วัยผู้ใหญ่ก็ไม่อาจขัดความต้องการของผู้เป็นพ่อได้

    เช้านี้เจ้าของเรือนผมสีเข้มได้ยินเสียงพูดคุยจากในห้องนั่งเล่นสไตล์เกาหลีแต่แฝงไปด้วยความเรียบง่ายมากกว่าจะดูหรูหราเช่นการตกแต่งบ้านของชาวเมืองโซล มันเป็นภาพความเคยชินที่สัมผัสมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยของ โจ คยูฮยอน เขาพาตัวเองมานั่งเคียงข้างผู้เป็นแม่ ชำเลืองมองเธอรวมถึงสาวใช้คนอื่นๆ ซึ่งกำลังช่วยกันห่อผ้าไหมชั้นดี ผ้าไหมเนื้องามเป็นของขึ้นชื่อแห่งเกาะพยองอัน นี่ยังไม่นับรวมไข่มุกแวววาว มันเล่นแสงอวดโฉมคนมองเช่นเขาจนเผลอยื่นมือไปหยิบขึ้นมาพิจารณา อดจะแตะไข่มุกเม็ดงามลงบนริมฝีปากไม่ได้ รู้สึกชอบใจกับสัมผัสเย็นๆ ทว่านุ่มลึกของไข่มุกอย่างประหลาด ของล้ำค่าสำหรับเกาะแห่งนี้แต่กลับต้องถูกส่งไปถวายแก่เมืองโซลทั้งที่คนพวกนั้นไม่ได้มองว่าสิ่งเหล่านี้มันมีค่าด้วยซ้ำ...

                ก็เพียงแค่มองว่าเป็นเครื่องบรรณาการ

                “คยูฮยอนจ้ะ...” เสียงหวานของหญิงผู้มีใบหน้าสะคราญงามเอ่ยเรียกเขาพร้อมเอื้อมมือมาหยิบไข่มุกสีขาวนวลลงกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ปิดล็อกกล่องเบามือพร้อมด้วยผูกริบบิ้นสีทองเป็นการปิดท้าย คยูฮยอนลอบพรูลมหายใจเมื่อเห็นความพิถีพิถันของมารดาต่อเครื่องบรรณาการทุกๆ ชิ้น ใจเขาเองอยากจะบอกออกไปนักว่าสุดท้ายแล้วของทุกชิ้นก็ต้องถูกโยนเข้าห้องเก็บของในวัง คงไม่มีใครหน้าไหนมาเปิดกล่องชื่นชมมันแน่ก็ในเมื่อของจากประเทศราชที่ถูกถวายเข้าไปในปีๆ หนึ่งมีมากกว่าหลายร้อยชิ้น หากเป็นไปได้...เครื่องบรรณาการต่างๆ คงได้ล้นทะลักห้องเก็บของออกมาสักวัน

                “เสียดายของพวกนี้จังนะครับ...มันเป็นของล้ำค่าของเกาะพยองอันแท้ๆ” แม้แต่การถอนหายใจของหญิงสาวยังฟังดูนุ่มนวล คยูฮยอนยิ้มบางพลางขยับกายเข้าไปนั่งใกล้ๆ ผู้เป็นแม่ พร้อมวาดมือขึ้นโอบร่างของเธอ

                “มันเป็นประเพณีหนิ...ลูกเองก็รู้” ว่าพลางพยักพเยิดสายตาไปยังสาวใช้คนอื่นๆ พวกหล่อนเหล่านั้นรับรู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นเวลาส่วนตัวของผู้เป็นนาย ห้องนั่งเล่นโอ่โถงถึงได้เหลือเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น

    ความจริง...เธอเองยังนึกขอบคุณโซลอยู่อย่างที่ไม่นำประเพณีเก่าแก่อย่างการถวายเครื่องบรรณาการด้วยบุตรหลานในวงตระกูลไปเป็นข้าหลวงหรืออาจร้ายยิ่งกว่าคือการนำไปเป็นสนมเล็กสนมน้อยให้ถูกเชยชมจนไร้ค่า โจ ยอนฮวา เบี่ยงตัวหันกลับไปหยิกแก้มลูกชายคนเดียวอย่างนึกเอ็นดู รักและห่วงหาไม่อยากให้ไกลตัวไปไหน ช่วงที่ลูกชายต้องไปเรียนที่เมืองนอก เธอเองก็ทำได้เพียงโทร.ไปถามสารทุกข์สุขดิบอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่ใจอยากจะนั่งเครื่องไปถึงอังกฤษก็หลายที

                “ครับ ผมรู้... แต่มันก็อดเสียดายไม่ได้จริงๆ” เสียงนุ่มยังบ่นงึมงำไม่ขาดปาก แม้คยูฮยอนจะอายุ 22 ย่าง 23 เข้าไปแล้ว แต่ยอนฮวาเองก็ไม่เคยมองว่าเจ้าเด็กขี้บ่นจะโตขึ้นเลยสักนิด ผ่านไปกี่ปีเด็กคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน นึกย้อนไปเมื่อยังสาว...คยูฮยอนเกิดจากความผิดพลาด เธอเองไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาเป็นสะใภ้ของตระกูลใหญ่เช่นนี้ แต่เพราะสามีหรือ อี อินซา ยื่นคำขาดว่าจะไม่ทิ้งเธอให้โดดเดี่ยวพร้อมจะดูแลทั้งเธอและลูก แม้อาจจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นภรรยารอง...ข้อตกลงสำคัญระหว่างเขาและเธอคือการให้คยูฮยอนใช้นามสกุลโจ เพื่อที่อย่างน้อยแล้ว...ศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิงก็ยังคงฝากไว้กับลูกชายคนเดียว

                และยอนฮวาก็ไม่เคยผิดหวังในตัวคยูฮยอนเลยสักครั้ง

                “ถือว่า...ของพวกนี้เป็นการขอบคุณที่เขาไม่เข้ามาระรานเราดีกว่านะ” เธอตอบลูกชายพลางจ้องมองดวงตาสีดำรัตติกาลซึ่งฉาบไปด้วยความวิตกอยู่หน่อย

                “บางที เพราะความอุดมสมบูรณ์ของเกาะพยองอัน คนพวกนั้นอาจต้องการที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาละมั้งครับ ไม่ใช่เพราะเอ็นดูในฐานะเมืองเล็กๆ ที่มีไมตรีต่อโซลแน่ๆ เราเป็นแค่ชาวเมืองประเทศราช” ยอนฮวารับคำในลำคอ พูดอีกก็ถูกอีก...หลายปีที่ผ่านมา โซลพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเจรจาให้คนภายนอกเข้ามาสัมปทานที่ดินที่เกาะแต่สามีของเธอในฐานะนายกรัฐมนตรีแห่งพยองอันก็บ่ายเบี่ยงข้อเสนอนี้มาตลอด

                “พวกคนโซลไม่ต่างอะไรไปจากพวกชอบหาประโยชน์กับคนที่อ่อนแอกว่า เห็นแก่ตัว ไร้หัวใจ”

    สองแม่ลูกเบนสายตาไปยังผู้มาใหม่ ลูกชายคนโตของบ้านยืนพิงกรอบประตูพร้อมส่งรอยยิ้มเฉกเช่นไม่ยี่หระอะไรในคำพูด คยูฮยอนทอดสายตามองพี่ชายต่างมารดาอย่าง อี ดงกันพลางพยักหน้ารับกับสิ่งที่พี่ชายตั้งข้อครหาแก่คนกรุงโซล คนอายุอ่อนกว่ารู้ว่าแท้จริงสิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดของพี่ชายไม่ได้มีเพียงการแสดงความเดียดฉันท์ต่อคนเมืองหลวง แต่อี ดงกันเกลียดชังองค์รัชทายาทเข้ากระดูกดำเลยล่ะ... ส่วนเรื่องตื้นลึกหนาบางอะไร คยูฮยอนเองก็ไม่ทราบและไม่คิดจะถามเช่นกัน

                “อีกหน่อย พวกเขาอาจไม่ได้ต้องการแค่เครื่องบรรณาการพวกนี้” คยูฮยอนไม่มั่นใจว่าเสียงของเขามันแผ่วเบาลงไปหรือเปล่า...แต่บางทีเขาก็แค่กลัว กลัวว่าบ้านเกิดแห่งนี้จะไม่สงบสุขดั่งชื่อเรียกของมันอีกต่อไป ยิ่งหากองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์...เขาไม่รู้ว่าเกาหลีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขนาดไหน แต่เท่าที่ทราบ...สถานการณ์บ้านเมืองก็ชักจะคุกรุ่นขึ้นมาทุกขณะ

                “อย่าเพิ่งกังวลไปคยูฮยอน...คนในโซลขยับตัวทำอะไรก็เป็นไม่ต่างอะไรไปจากสะเก็ดไฟ คนรอบนอกต้องการเป็นอิสระกันทั้งนั้น รัฐยังไม่ทำอะไรสุ่มเสี่ยงในตอนนี้” พี่ชายต่างมารดากล่าวเสริม ดงกันสืบเท้าเข้ามานั่งขัดสมาธิต้องข้ามกัน ดวงตาคมกริบกวาดมองเครื่องบรรณาการดาษดื่น แวบหนึ่งที่คยูฮยอนเห็นแววประกายไฟจุดขึ้นในนัยน์ตาของชายหนุ่ม

                “ยิ่งกับช่วงที่องค์รัชทายาทใกล้จะขึ้นครองราชย์ แม่ว่า...พวกเขายังคงต้องการให้พระองค์ได้เข้าไปนั่งในใจของประชาชนเสียก่อน”

                “ครับ ผมก็คิดเช่นนั้น แต่เราเองก็คงต้องเตรียมการรับมือไว้บ้าง”

                “รับมือ?” คยูฮยอนทวนคำพูดด้วยนึกคลางแคลงอย่างบอกไม่ถูก พี่ชายของเขาไม่แสดงสีหน้าใดๆ นอกจากเผยยิ้มมุมปากพร้อมเอ่ยประโยคซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจไขความข้องใจ

              “ที่ใดมีอำนาจ...ที่นั่นยอมมีการขัดขืน”

                “พี่ดงกัน หวังว่าข่าวที่เขาลือกันมันจะไม่ใช่ความจริงและต้นสายปลายเหตุมันมาจากพี่นะครับ”

                ข่าวเรื่องอี ดงกันคือผู้นำก่อกบฏลือกันหนาหูแล้วจะให้เขาคิดอย่างไรล่ะ?

                มีเพียงรอยยิ้มนุ่มลึกเป็นคำตอบ คยูฮยอนกะพริบตามองใบหน้าคมสันของพี่ชาย ทำอย่างไรก็อ่านความคิดของผู้ชายคนนี้ไม่ออกเลยสักครั้ง จวบจนคุณแม่ใหญ่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา เรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองถึงได้ถูกพับเก็บไป คุณแม่ใหญ่ของบ้านคือ ยุน โบรา เธอเป็นหญิงกลางคนที่ยังสวยสะพรั่งไม่เปลี่ยน นิสัยใจกว้างของเธอทำให้ครอบครัวไม่เกิดสภาวะความอึดอัดอย่างเช่นครอบครัวอื่นที่ผู้นำมีภรรยามากกว่าหนึ่ง สำหรับคยูฮยอนเอง...เธอคือคุณแม่อีกคน หากจะเปรียบแล้ว คุณแม่ยอนฮวาคือคนที่ประคบประหงมเขา ส่วนคุณแม่โบราคือคนที่สอนให้เขาไม่ออกนอกลู่นอกทาง ดุทั้งเขาและดงกันไปตามประสา

                “คยูฮยอนไปลองชุดฮันบกที่แม่เตรียมไว้ให้นะ ส่วนดงกัน คุณพ่อเรียกให้ไปพบจ้ะ” เสียงหวานกล่าวบอก ร่างโปร่งพยักหน้ารับ เขาทำตามที่แม่โบราบอกคือการไปลองชุดฮันบกสำหรับวันชูซอก พี่ชายคนโตก้มศีรษะขอตัวพร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้นก้าวเท้าออกจากห้อง คยูฮยอนสาวเท้าเดินตามไปติดๆ รู้สึกร้อนใจแปลกๆ เมื่อเห็นเรียวคิ้วเข้มนั่นขมวดเข้าหากันระหว่างเคียงเดินกันมาตามโถงทางเดิน

                “พี่ดงกัน...อย่าหาว่าผมก้าวก่ายเลยนะครับ แต่เรื่องบางเรื่อง ยิ่งเรื่องของเกาะพยองอัน พี่ก็ควรบอกผมบ้าง” นั่นเพราะคยูฮยอนไม่ค่อยรับรู้เรื่องความเป็นไปของเกาะแห่งนี้เลย รวมไปถึงเรื่องที่พี่ชายปักใจเกลียดชังองค์รัชทายาทด้วย

                “พี่จะบอกเราเองเมื่อถึงเวลา” เสียงทุ้มเอ่ยเป็นคำตอบพลางยื่นมือมายีผมเขาเบาๆ มาอีหรอบเดิมอีกแล้ว...

                แล้วมันคือตอนไหนกันล่ะ? จะให้โจ คยูฮยอนปิดหูปิดตาไม่รับรู้ไปถึงเมื่อไหร่!

               

               

                “พระองค์อาการยังไม่ดีขึ้น... มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ” อาการองค์ราชาทำให้องค์รัชทายาทไม่อาจวางใจเรื่องใดๆ ได้เลย เสียงของคนสนิทที่เอ่ยรายงานอาการประชวรด้วยประโยคซ้ำๆ เดิมๆ มาหลายวัน และชายหนุ่มเองก็ไม่อาจทราบว่าโรคประหลาดเฉียบพลันของผู้เป็นพ่อเกิดจากสาเหตุใด มีบางอย่างกำลังคลางแคลงในใจเท่านั้น ชายกลางคนที่เคยแข็งแรงมาตลอดกลับทรุดลงภายในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้...เขาเกรงว่าช่วงเวลาอ่อนแอที่สุดของเกาหลีกำลังใกล้เข้ามาทุกที รวมไปถึงหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่เขาเองไม่คิดอยากจะได้รับมันนัก

                “จัดทีมแพทย์ดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิด ส่วนเราจะดูแลงานที่เหลือแทน” เสียงทุ้มเอ่ยบอก คนสนิทโค้งศีรษะรับก่อนจะสืบเท้าออกจากห้องทำงานขององค์รัชทายาทไปอย่างเงียบๆ พร้อมเสียงหับประตู ทว่าสักพักกลับมีเสียงฝีเท้าของใครอีกคนก้าวเข้ามาแทนที่ ดวงตาคมตวัดมองผู้มาใหม่และพบว่าร่างตรงหน้าคือน้องชายคนเดียวของเขา ชเว ซูโฮ

                “พี่ชีวอน ผมไม่อยากนั่งเรียนหนังสือในวัง...ผมแค่ต้องการออกไปเรียนที่โรงเรียนเหมือนคนอื่นบ้าง” มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาได้สักพัก...องค์รัชทายาทถอนหายใจแผ่วเบา ฟังเสียงของน้องชายพูดความในใจออกมาจนหมดเปลือก “มันน่าเบื่อและน่ารำคาญที่ต้องเรียนแต่สิ่งเดิมๆ ผมเองชักจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ” เด็กชายอายุ 16 ปี ชักสีหน้าหงุดหงิดอย่างเปิดเผย

                “เพื่อความปลอดภัยของนายเอง” ชเว ชีวอนว่าใจเย็น ในหัวของเขาในตอนนี้มันเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายทั้งนั้น ความสัมพันธ์ของเขาและน้องชายไม่ค่อยดีและมันก็แย่เสียยิ่งกว่าพี่น้องคู่อื่นๆ หลายครั้งที่พยายามจะปรับตัวเข้าหา แต่วัยที่ต่างกันขนาดนี้...ช่องว่างบางอย่างทำให้เขาไม่เคยเข้าไปในนั่งในใจน้องชายของตนเองได้เลย

                น่าคิดว่า...องค์ชายชีวอนยังชนะใจน้องชายตัวเองไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนทั้งประเทศ

                “เพื่อความปลอดภัย? อ้อ ในวังมันยังมีปลอดภัยหรอครับ ในเมื่อท่านพ่อโดนวางยา!” เด็กหนุ่มขึ้นเสียงและนั่นก็ทำให้ชีวอนสบตาน้องชายด้วยหวังจะใช้ความสงบที่มีข่มใจร้อนๆ น้องชายตัวดีได้ แต่ไม่เลย ซูโฮยังคงจ้องหน้าเขากลับอย่างไม่ยี่หระ ท่าทางแบบนั้นช่วยยืนยันคำพูดของเจ้าตัวให้หนักแน่นยิ่งขึ้น

                “อย่าพูดเหลวไหลและกลับไปท่องหนังสือซะ” ทำได้เพียงตอบเสียงเรียบ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวในสำนักพระราชวัง ข่าวลือเรื่ององค์ราชาถูกวางยาเป็นที่พูดกันในวังอย่างกว้างขวาง บางอย่างกำลังเปลี่ยนไปและมีเรื่องไม่ชอบมาพากล...มันมากขึ้นทีละนิด ในฐานะองค์รัชทายาทเขาจำต้องใจเย็นและมองทุกอย่างให้เฉียบขาด พร้อมกันนั้น...ชายหนุ่มต้องคอยดูแลน้องชายคนเดียวให้ห่างไกลพวกเสือสิงห์ทั้งหลายเช่นกัน ถึงแม้การกระทำของเขาในตอนนี้จะทำให้ซูโฮคิดต่อต้านเขามากขึ้นก็ตาม

                “พี่ชีวอนก็ลองคิดทบทวนดูล่ะกันนะครับว่าคนในวังยังน่าไว้ใจได้ขนาดไหน” ว่าทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นก็สาวเท้าเร็วๆ ออกไปจากห้องของเขา ชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาททิ้งศีรษะพิงพนักเก้าอี้หนัง หลับตาครุ่นคิดถึงปัญหามากมายที่กำลังรุมเร้าจิตใจ เป็นไปได้เขาอยากละทิ้งหน้าที่ทุกอย่างและใช้ชีวิตเป็นเพียงคนธรรมดา ทว่าในเมื่อพระเจ้าส่งเขามายืนในที่ที่เต็มไปด้วยภาระอันหนักอึ้งแล้ว ชเว ชีวอนก็อยากจะส่งคืนหัวใจกลับไปให้ผู้ที่สร้างเขาเหลือเกิน...

                เขาถูกสอนมาตลอดว่ายิ่งไร้หัวใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งปกครองคนได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งสงสารยิ่งไม่กล้าออกคำสั่ง ยิ่งอาลัยอาวรณ์ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า หน้าที่สีเทาเคลือบแฝงจิตใจมากขึ้นทุกที อีกไม่นานหรอก... ชเว ชีวอนเชื่อว่าสักวัน เขามันคงใช้ชีวิตอย่างปราศจากหัวใจจริงๆ

     

     

              บ้านหลังโตของนายกรัฐมนตรีแห่งเกาะพยองอันในวันนี้เต็มไปด้วยเหล่าชั้นปกครองของเกาะ ตัวบ้านตกแต่งให้ดูสวยงามเพื่อต้อนรับการมาเยือนขององค์รัชทายาทในขณะเดียวกันมันก็ดูเรียบง่ายตามแบบฉบับคนที่นี่ สวนหน้าบ้านประดับไปด้วยดอกไม้สีสันสดใส มองๆ ดูบรรยากาศในวันนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากที่อื่นซึ่งจัดงานเทศกาลชูซอกเหมือนกัน แต่สำหรับเขตปกครองพิเศษมันคือวันที่ต้องถวายเครื่องบรรณาการต่างๆ งานวันนี้จัดขึ้นเพื่อสรรเสริญองค์ราชาและองค์รัชทายาท และช่วยตอกย้ำฝังความคิดของพวกเขาว่าพยองอันไม่มีวันอยู่เหนือโซล...

                คยูฮยอนไม่ใคร่อยากจะอยู่ในงานสักเท่าไหร่ วินาทีที่พวกเขาเตรียมต้อนรับองค์รัชทายาทมันคงกระอักกระอ่วนใจใช่ย่อย อันที่จริงหนุ่มหน้าหวานก็แค่เดาไปอย่างนั้น ปีนี้เป็นปีแรกที่องค์รัชทายาทลงมารับเครื่องบรรณาการด้วยตนเองที่เกาะแห่งนี้ ซึ่งโดยปกติจะเป็นองค์ราชา แต่การประชวรอย่างเฉียบพลันของพระองค์ทำให้องค์รัชทายาท หรือที่ใครๆ รู้จักในนาม ชเว ชีวอน ต้องลงมาที่เขตปกครองพิเศษเป็นปีแรก

                เจ้าของร่างสูงโปร่งภายใต้ชุดฮันบกสีน้ำตาลครีมสุภาพขอตัวออกมาเดินผ่อนคลายที่สวนหลังบ้าน และมันก็เป็นทุกครั้งที่หนุ่มน้อยเลือกที่จะปืนป่ายต้นไม้ต้นใหญ่ประจำบ้านแม้เขาจะไม่ใช่เด็กวัยซุกซนแล้วก็ตาม มันแพร่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็นแก่ครอบครัวของเขามาโดยตลอด คยูฮยอนชอบที่นั่งห้อยขากับท่อนไม้ซึ่งแข็งแรงพอที่รับน้ำหนักของเขาพร้อมมองวิวทิวทัศน์ของตัวเกาะครั้นเมื่อรู้สึกจิตใจว้าวุ่น

    เกาะพยองอัน บ้านเกิดของเขา...ท้องทะเลสีคราม ต้นไม้พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ อากาศบริสุทธิ์แตกต่างจากที่อังกฤษลิบลับ เขาสูดรับกลิ่นของทะเล หลับตาฟังเสียงคลื่นสงบๆ ทว่า...เสียงเครื่องยนต์จากรถหรูต่างถิ่นทำให้ดวงตาคู่กลมปรือเปิดขึ้นในทันที

    องค์รัชทายาทมาถึงแล้ว...แต่จะเป็นปัญหาหรือไม่หากโจ คยูฮยอนไม่ต้องการไปต้อนรับ เขาไม่อยากถูกย้ำผ่านพิธีต่างๆ ว่าบ้านเกิดของเขาเป็นเพียงประเทศราชไร้ค่าที่คนโซลจะเหยียบย้ำเช่นไรก็ได้!

                ภายในตัวบ้าน...คุณนายทั้งสองแห่งพยองอันกวาดสายตาไปโดยรอบก็ไม่พบกับลูกชายคนเล็ก หล่อนซุบซิบกันให้ได้ยินเพียงสองคน

                “ยอนฮวา...คยูฮยอนหายไปไหนหรือ?” คุณนายใหญ่ของบ้านเอ่ยถามคุณนายรอง

                “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะคุณพี่ เมื่อครู่น้องยังเห็นคยูฮยอนเดินอยู่แถวๆ นี้” ทั้งยอนฮวาและโบราไม่อาจกระโตกกระตากเดินออกไปตามหาทายาทคนเล็กของตระกูลได้เพราะในเวลานี้พวกเธอต่างก็กำลังต้อนรับการมาเยือนขององค์รัชทายาท ไม่ต่างจากผู้เป็นใหญ่แห่งเกาะพยองอันและบ้านหลังนี้ นายกรัฐมนตรี อี อินซา กำลังกล่าวต้อนรับพร้อมดงกัน ลูกชายคนโตที่ตามติดบิดาอยู่ไม่ห่าง แม้พื้นฐานนิสัยจะเกลียดชังองค์รัชทายาทขนาดไหน ดงกันก็จำต้องทำตามหน้าที่ไปก่อน

                องค์รัชทายาทชเว ชีวอนไม่ได้ฉลองพระองค์ด้วยชุดฮันบกแต่อย่างใด หากแต่เป็นสูทตามสมัยนิยม สีเทาเข้มเข้ารูปตามสัดส่วนชายชาตรี มีผู้ติดตามมาไม่มากอย่างที่คิด ท่าทางสุขุมนุ่มลึกกระนั้นกลับมองดูมีอำนาจทำให้ใครต่อใครต่างก็ไม่กล้าสบตาชายหนุ่มร่างสูงสง่าผู้นี้ สาวใช้ในบ้านก้มหน้ามองพื้น แม้แต่เสียงหายใจยังเบาแสนเบา บ้างอาจกลั้นหายใจก็เป็นได้ ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่จำต้องอ่อนน้อมถ่อมตน... หรือบางทีอาจเรียกว่า เจียมตัว

                “และนี่คือเครื่องบรรณาการของเกาะพยองอันทั้งหมดในปีนี้ กระหม่อมทูลถวาย” สิ้นเสียงของท่านนายกรัฐมนตรีก็มีข้าราชบริพารจากวังก้าวเท้ามานำเครื่องบรรณการทั้งหมดออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่คำชมแด่เครื่องบรรณาการที่ถูกคัดสรรค์มาอย่างดี องค์รัชทายาทไม่แสดงสีหน้าใดๆ นอกจากดวงตาคู่คมที่ทอดมองใครต่อใครด้วยสายตาว่างเปล่า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคล้ายกับราชสีห์มองสัตว์ป่าในปกครองไม่มีผิด

    พิธีถัดไปคือการร่วมรับประทานอาหาร... โต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยเมนูอาหารเกาหลีและอาหารพื้นเมืองของพยองอัน ผู้ที่มีสิทธิ์ร่วมรับประทานอาหารมีเพียงองค์รัชทายาทและครอบครัวของท่านนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เป็นพิธีส่วนตัวที่ตามรูปแบบเดิมแล้วจะเป็นช่วงเวลาแห่งการพูดคุยและสอบถามเกี่ยวกับการปกครองตลอดทั้งปีที่ผ่านมา แต่ในปีนี้...ทุกคนบนโต๊ะอาหารสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป มันแทบจะไม่มีการพูดจาใดๆ

    คยูฮยอนถูกตามตัวมาที่ห้องรับประทานอาหารจนได้แม้จะแกล้งอิดออดอยู่นานโข แต่เพราะคุณแม่ยอนฮวาและคุณแม่โบราพร้อมจะเอ็ดเขาที่เบี้ยวพิธีส่งมองเครื่องบรรณาการจึงทำให้ชายหนุ่มเจ้าของผิวขาวจัดปฏิเสธอะไรไม่ได้อีก และเขาก็มาถึงที่ห้องอาหารเป็นคนสุดท้ายเสียด้วย มองเห็นดวงตาของผู้เป็นพ่อที่มองมาอย่างตำหนินิดหน่อย แต่คยูฮยอนก็ทำเป็นไม่สนใจ ก้มหน้านั่งลงในตำแหน่งว่างที่เหลือ โดยมีองค์รัชทายาทนั่งอยู่หัวโต๊ะ น่าตลกสิ้นดีที่ที่นั่งของเขาอยู่ตรงข้ามกับคุณพ่อและเยื้องกับชายหนุ่มสูงศักดิ์พอดิบพอดี

                โจ คยูฮยอนกล้าสาบานว่าวันนี้เป็นวันที่อาหารรสชาติแย่...ไม่ใช่เพราะแม่ครัว แต่เป็นเพราะความอึดอัดที่ราวกับถูกจ้องทุกครั้งที่ส่งตะเกียบเข้าปากต่างหาก เขาไม่ได้อุปทานไปเองแน่...แต่สายตาขององค์รัชทายาทกำลังตรึงเขาคล้ายกับตะปูที่ทิ่มแทงร่างให้ยากจะขยับกาย ทายาทคนเล็กแห่งพยองอันกะพริบตาปริบพร้อมกลืนเม็ดข้าวลงคออย่างยากลำบาก ไม่เจริญอาหารทั้งยัง...ร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า

                “อะแฮ่ม...เกรงว่าองค์ชายจะจ้องมองน้องรักของกระหม่อมเนินนานเกินไปแล้ว”

    เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะของอี ดงกันทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารนิ่งงันไปชั่วอึกใจ สีหน้าของคุณพ่อดูจะระอาในตัวพี่ชายคนโตอยู่สักหน่อย ท่านถึงได้ส่ายหน้าพร้อมกล่าวขออภัย บางที...คยูฮยอนอาจต้องขอบคุณดงกันที่จุดระเบิดเวลาของเขาให้หมดซึ่งความอดทน และเขารู้ว่าพี่ชายแสร้งพูดจาไปอย่างนั้น จุดประสงค์ที่แท้ก็เพื่อเหน็บแนมองค์รัชทายาทไปตามประสา ตัดสินใจวางมือจากการรับประทานอาหาร โค้งศีรษะขออนุญาต เอ่ยปากว่าอิ่มแล้วก่อนจะสาวเท้าเดินจากไปโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของมารดาทั้งสอง ชายหนุ่มตัวขาวทราบว่านี่มันคงเสียมารยาทมาก แต่เขา...อึดอัดจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว!

               

               

                หวังว่าองค์รัชทายาทจะกลับไปเร็วๆ

                คยูฮยอนจรดปลายเท้าไปยังพื้นหญ้าสนามหลังบ้านเช่นเคย... ทรุดกายนั่งลงใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ ขยับตัวนั่งชันเข่า ทอดมองฝ่าเท้าเปลือยเท้าที่เขี่ยเศษใบไม้ไปมาอย่างนึกหน่ายระคนไปด้วยหงุดหงิดใจพิกล เมื่อครู่เขาถูกจ้องจนร่างแทบพรุนและเขาก็เสียมารยาทเดินออกมาโดยมาสนใจเสียงของใครๆ อ๋อแน่ล่ะ...เขาเสียมารยาทต่อหน้าองค์รัชทายาท! หากเขาอยู่ที่โซลคงโดนลากไปตัดหัวแล้วกระมัง ทายาทคนเล็กของพยองอันเค้นหัวเราะ เลื่อนฝ่ามือปลดผ้าโพกศีรษะสีน้ำตาลเข้ม ปักด้วยด้ายทองสัญลักษณ์แห่งเกาะพยองอันวางไว้ข้างตัว

                เขาสบายใจได้ไม่ถึงห้านาที...ก็มีใครบางคนมารบกวนจิตใจ

                และจะใครซะอีก!

                รองเท้าหนังสีดำขลับปรากฏแก่สายตา คยูฮยอนไล่สายตามองร่างสูงสง่าซึ่งยืนค้ำศีรษะบดบังแสงตะวันที่ส่องทอดฝ่าใบไม้สีเขียวเหลือบส้ม เขาหลบสายตาที่ทอดมองลงมาพลางหยัดตัวลุกขึ้นจากพื้น ประสานมือเรียบร้อยพลางโค้งทำความเคารพอีกครั้ง

                “องค์ชายมีเรื่องอันใดกับกระหม่อม” เขาเอ่ยถามอย่างที่ใจนึก สงสัยในท่าทีของชายสูงศักดิ์ตรงหน้าเหลือเกิน หากดวงตาคู่คมไร้แววคือสิ่งที่คยูฮยอนไม่อาจขบความสงสัยได้แตกฉาน

                “ฉันอยากรู้ชื่อของเธอ” เรียวคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย คยูฮยอนไม่เข้าใจว่าองค์รัชทายาทต้องการจะทราบชื่อเขาไปทำไม...หรือเพราะกริ้วโกรธที่เขาเสียมารยาทไปเมื่อครู่เลยต้องการชื่อไปขึ้นบัญชีดำล่ะ?

                “ชื่อของกระหม่อมมีความจำเป็นต่อองค์ชายอย่างไร?”

                “เพียงแค่อยากรู้จัก” เป็นถ้อยคำที่สุภาพทว่า...มันแฝงไปด้วยอำนาจ คยูฮยอนถอนหายใจแผ่วเบามองใบหน้าที่แสดงท่าทีเย็นชาอยู่ในที

                “โจ คยูฮยอน คือชื่อของกระหม่อม...หากองค์ชายทราบอย่างที่ต้องการแล้ว กระหม่อมขอตัว” ไม่ทราบว่าอะไรมันถึงสั่งให้เขาแสดงอาการกระด้างกระเดื่องเช่นนั้น คยูฮยอนก้าวเท้าผ่านร่างขององค์รัชทายาทพร้อมกิริยาใบหน้าที่เชิดขึ้นเล็กน้อยเพราะหนุ่มน้อยไม่อยากทำตนต้อยต่ำไปกว่าคนเมืองโซล กำแพงอคติเกิดขึ้นในฉับพลันเพียงแค่เห็นแววตาคู่คมทอดมองเขาอย่างสงบ มันก่อกวนความรู้สึกลึกๆ ในอก เผลอๆ มันน่าหงุดหงิดใจ

                “เดี๋ยวก่อน” ร่างโปร่งบางชะงักฝีเท้าอย่างเสียไม่ได้ “หน้าของฉันมันไม่น่ามองขนาดนั้นเชียวหรือ” อีกครั้งที่คยูฮยอนนึกหัวเราะหึ เขาควรจะดีใจหรือเปล่าที่องค์รัชทายาทพระองค์นี้กล่าววาจาคล้ายกับกำลังตัดพ้อ ครั้นพอนึกอีกที...เขาก็ไม่อาจคิดว่านี่มันเป็นการตัดพ้อ แต่มันอาจเป็นนิสัยไม่ยอมใครเสียมากกว่า

                “กระหม่อมไม่มีเรื่องอันใดที่ต้องสนทนากับพระองค์” เขากล่าวทั้งที่ไม่หันหลังกลับไปมองชายหนุ่มแต่อย่างใด

                และ โจ คยูฮยอนอาจไม่รู้ว่าท่าทางเช่นนี้ส่อแววความ พยศจัดในสายตาขององค์รัชทายาทเสียเต็มประดา

                “หันหน้ามาสนทนากับฉัน อย่าแสดงกิริยาไม่น่ารัก” ถ้อยเสียงกังวานเข้มออกคำสั่ง คยูฮยอนพ่นลมหายใจผ่านเรียวปากสีอ่อน หัวใจเต้นตึกตักรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะความโกรธ เรื่องอะไรเขาต้องทำตามคำสั่งจากองค์รัชทายาทไร้หัวใจกันล่ะ...ไม่มีทาง

                “องค์ชายออกคำสั่งของทุกคนบนเกาะพยองอันได้ แต่กับกระหม่อมคือข้อยกเว้น” คยูฮยอนสูดหายใจลึกพลางพ่นคำพูดที่เขาคิดและกลั่นกรองมันออกมาเป็นอย่างดีแล้ว “ไม่ว่าองค์ชายจะอยู่สูงเหนือใครต่อใคร แต่หากจิตใจของพระองค์เยือกเย็น ด้านชา...พระพักตร์ไร้ซึ่งรอยยิ้ม ก็อย่าหวังว่าจะชนะใจประชาชนได้ นั่นคือสิ่งที่กระหม่อมมั่นใจว่าอย่างไรเสีย ชาวเมืองประเทศราชไม่มีวันรักพระองค์!”  

                “ดี...เธอตัดสินตัวฉันไปแล้ว มันก็ง่ายที่ฉันจะนำกฎเก่าๆ ของพระราชสำนักขึ้นมาใช้กับเธอ โจ คยูฮยอน!” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเช่นนั้นทำให้คยูฮยอนรู้สึกหนาวสันหลังอย่างประหลาด นึกทวนประโยคเมื่อครู่ด้วยความไม่เข้าใจ

                กฎเก่า...ของพระราชสำนึก?

                ดวงตาคู่โตเบิกโพลงเมื่อสิ่งที่เขาเคยรับรู้มันพุ่งชนความคิดในหัวสมองอย่างจัง! ไม่ทันจะได้โต้วาจากลับไปอย่างที่ต้องการ องค์รัชทายาทก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม...มันไม่ใช่รอยยิ้มน่ามอง แต่มันคือ รอยยิ้มเย้ยหยันต่างหาก...

                ความพยศเล่นงานโจ คยูฮยอนจนได้!

     

                สัปดาห์ถัดมามีพระราชโองการมาถึงท่านนายกรัฐมนตรีแห่งพยองอัน...เนื้อความในโองการไม่ได้กล่าวถึงใครนอกเสียจาก... ทายาทคนเล็กของตระกูล

                องค์รัชทายาทต้องการเครื่องบรรณาการอีกอย่าง นั่นคือ โจ คยูฮยอน


     

    Talk *

    อัพฟิคข้ามปี 55555555555 เนื้อหาหนักไปรึป่าวเนี่ย เรื่องราชาศัพท์ในเรื่องนี้เราไม่เน้นอะไรมากนะคะ เพราะด้วยตัวเรื่องก็ผสมผสานอะไรหลายๆ ไว้พอสมควร ตอนต่อจากนี้เราก็มาฟินองค์ชายกันดีกว่า ฮ่าๆๆๆ ยังไงก็ สุขสันต์วันปีใหม่นะคะท่านผู้อ่าน มีความสุขมากๆ เจอแต่คนดีๆ สิ่งดีๆ สมหวังทุกอย่าง และรักฟิคเรื่องนี้มากๆนะคะ รักท่านผู้อ่าน ชรุ๊บๆ >3<

     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×