(เกย์ละมั้ง) เรื่องของผมกับมัน...
ผมไม่ใช่เกย์... ไม่ใช่... ไม่ใช่โว้ย! มันเป็นเรื่องงี่เง่าของผมกับมันเท่านั้น... เท่านั้นเอง
ผู้เข้าชมรวม
1,959
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ส่วนผมเป็นคนอารมณ์ร้อน
2 คน 2 ขั้ว
อยู่ด้วยกันคงบรรลัย
“หรี่เสียงหน่อยสิ” ผมบอกมันที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา ขายาวเก้งก้างพาดบนโต๊ะรับแขกซึ่งมีกองกระป๋องเบียร์วางอยู่ระเกะระกะ
“อือ
” มันรับ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะคว้ารีโมทขึ้นมาเบาเสียง
ผมถอนหายใจ เดินไปหยิบรีโมทขึ้นมากดเสียเอง ก่อนจะกว้านกระป๋องเบียร์ทั้งหลายลงถุงขยะ
“กินเสร็จแล้วก็ทิ้งด้วยสิ
” ผมเก็บไป บ่นไป
“อือ
” มันส่งเสียงอืออาเหมือนว่าเข้าใจ แต่ก็อีก
ตาของมันยังคงจ้องจอโทรทัศน์นิ่ง ใจจดใจจ่อกับรายการฟุตบอลรอบดึก
“นี่
” ผมชักจะหมดความอดทน
มันไม่สนใจผมแม้แต่น้อย แถมกระดิกเท้าอย่างสบายใจ
“นี่
” ผมขบกรามอยู่ด้านหลังของมัน
เมินเหรอ! เมินใช่มั้ย!
“นี่!!” ผมขึ้นเสียง
ได้ผลแฮะ
มันหันมา แต่หันมาด้วยใบหน้าที่กวนอารมณ์ที่สุดในโลก
“อะไร” มันถามเสียงห้วน คิ้วขมวดจนหน้าผากย่น ตาที่ดุอยู่แล้วยิ่งดุเข้าไปใหญ่
“เราบอกว่าอะไรบ้าง ได้ยินเราหรือเปล่า” ผมพูด ข่มอารมณ์จนถึงที่สุด ได้ยินเสียงฟิวส์ความอดทนของตัวเองร้าวดังเปรี๊ยะ
“ได้ยิน” มันตอบ พลางหันกลับไปดูฟุตบอลต่อ
“นี่!”
“อะไรอีก” มันทำเสียงต่ำ จ้องผมด้วยสายตาแววเค้ารำคาญ
เท่านั้นแหละ
ฟิวส์อารมณ์ของผมขาดยับ พร้อมตะโกนใส่มันอย่างเหลืออด “เฮ้ย! นี่กูพูดดีๆแล้วนะ!”
มันมองผมอย่างตำหนิ “
มึงอย่าเริ่ม”
“แล้วจะทำไมวะ!”
มันกลอกตาขึ้นด้านบน นั่นเป็นกริยาที่ผมเกลียดที่สุดตั้งแต่ผมมาอยู่กับมัน ขอบตาของผมร้อนผะผ่าว น้ำตาทำท่าจะทะลักออกจากทำนบ ให้ตายสิ! พอความโกรธทะลุปรอททีไร น้ำตาพาลจะไหลทุกที ผมไม่ชอบนิสัยนี้เอาเสียเลย
“มีเหตุผลหน่อยสิ” มันพูด โดยที่สายตาไม่ได้ละออกจากหน้าจอ
พอกันที!
“เออ! กูมันเจ้าอารมณ์! ไม่มีเหตุผล! แล้วมึงเอากูมาอยู่ด้วยทำไม!!” ผมตะคอก
“กูอุตส่าห์พูดดีๆ ทำตัวดีๆ อย่างที่ตกลงกันไว้ แถมเก็บนู่นเก็บนี่ให้! แล้วมึงทำอะไรบ้างวะ!”
มันหันขวับกลับมาซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมเอื้อมมือไปผลักหัวมันอย่างแรง ผมหันหลังวิ่งออกจากห้องไป ก่อนที่มันจะทัน
คว้าคอเสื้อของผมอย่างที่เคยทำ
ผมปิดประตูดังปัง!
ช่างมันแล้ว!
ผมโบกแท็กซี่ บอกจุดหมายปลายทาง รถโดยสารสีเขียวเหลืองตะบึงออกสู่ถนนใหญ่ในยามราตรี
อะไรของมันวะ!
ผมขยี้หัวตัวเอง รู้สึกหงุดหงิดจนแทบอยากเขวี้ยงข้าวของเพื่อระบายอารมณ์แต่ยังยั้งมือไว้ทัน ถ้าเกิดผมปากรอบรูปของมันตอนนี้มีหวังได้เก็บกวาดคนเดียวแน่ๆ
คิดได้อย่างนั้นแล้ว ผมจึงวางกรอบรูปลงที่เดิม ผ่อนลมหายใจเพื่อให้ความโกรธทุเลาลง
มันเป็นคนอารมณ์ร้อน ร้อนยิ่งกว่าไฟนรกเสียอีก พอโกรธทีนี่หน้าอินทร์หน้าพรหมมันไม่เคยสน และเพราะความโกรธของมันเนี่ยแหละที่ทำให้ผมได้เจอกับมัน
ก่อนที่มันจะเละคาฝ่าเท้าของผมน่ะนะ
คิดถึงความหลังแล้วผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตัวเล็กอย่างกับจิ้งหรีดแต่ใจใหญ่เกินขนาดร่างกาย หน้าหวานๆกับตาโศกๆทำให้ผมนึกไม่ถึงว่ามันจะห้าวขนาดนี้ และพอผมได้รู้จักกับมันจริงๆผมก็เผลอตกหลุมที่ลึกเกินกว่าจะปีนขึ้นมาได้
ผมเอื้อมมือไปหยิบรีโมททีมันปาลงพื้นขึ้นมากดปิดโทรทัศน์ ห้องเงียบไปถนัดหูเมื่อไม่มีมันคอยบ่นหงุงหงิงเรื่องที่ผมทำข้าวของรก
เอาน่า
เดี๋ยวมันก็กลับมาเอง เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ
ผมลุกออกจากโซฟา ค่อยๆเก็บกระป๋องเบียร์ลงถุงขยะ อมยิ้มให้กับไม้ถูพื้นที่ด้ามบิดงอเพราะมันเอามาฟาดผนังเพื่อระบายอารมณ์เมื่อคราวก่อน
ว่าแต่
หิวจังแฮะ ลงไปกินมาม่าร้านข้างล่างดีกว่า
ไม่เคยจะสนใจกันเลย!
ผมถอดนาฬิกาที่มันเคยซื้อให้ขว้างลงแม่น้ำเจ้าพระยา นาฬิกาสายหนังโดนลมพัดปลิว ก่อนถูกแรงดึงดูดสูบให้จมลงก้นแม่น้ำ
ผมปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดเพราะความโกรธ ใช่! มันต้องเป็นความโกรธแน่ๆ ผมไม่ได้น้อยใจอะไรมันเลยสักนิด! แค่ความโกรธเท่านั้นจริงๆ
ผมผลุนผลันออกจากห้องมาด้วยสภาพโทรมสุดๆ ทว่าเสื้อร.ด.คอย้วยยังพอกล้อมแกล้มกับสถานที่อย่าง ‘สะพานพุทธ’ ผมรีบจนลืมหยิบแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือคู่กายมาด้วย เงินติดตัวก็เหลือแค่ขากลับเท่านั้น หมดโอกาสได้เขมือบขนมจีนน้ำยาแก้เซ็งไปเสียฉิบ
ผมเหม่อมองแม่น้ำสายใหญ่เบื้องล่าง เกาะราวสะพานเหล็กนิ่ง สะพานพุทธยามค่ำคืนทั้งมีเสน่ห์และอันตราย ซึ่งแล้วแต่ว่าคุณจะมองเห็นมันในมุมไหน ถ้ามองในแง่ร้ายหน่อย คุณคงสังเกตเห็นเพียงแค่เด็กไม่เอาถ่านนั่งสุมหัวกันดวดเหล้าดูดบุหรี่กันเป็นกลุ่มๆ แต่หากคุณมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป
สะพานพุทธก็ยังคงมีแสงไฟสวยงามให้คุณชักภาพเก็บไว้ในความทรงจำ
ผมแอบอมยิ้มอย่างเสียไม่ได้เมื่อคิดถึงเหตุการณ์สมัยก่อน
ผมเจอกับมันที่นี่
ที่ๆผมโดนรุมด้วยสหบาทาของนักเลงประจำถิ่น ตอนนั้นนึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว แต่พอตื่นมาผมกลับพบว่าผมยังไม่ตาย
ที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือ หัวหน้าของพวกมันนี่แหละที่เป็นคนช่วยผมเอาไว้
ผมลอบหัวเราะ ทั้งกระทืบทั้งช่วย
ไม่รู้มันคิดอะไรอยู่กันแน่
ลมพัดแรง ผมรู้สึกเย็นขึ้นโข อารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่ค่อยทุเลาลง ผมบอกแล้วว่าผมเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ผมก็พยายามจะปรับแล้วนะ ผมกับมันตกลงกันเอาไว้ว่าเราทั้งคู่จะเปลี่ยนตัวเอง
ไม่รู้จะไปรอดหรือเปล่านี่สิ
ผมคิด ก่อนเผลอยิ้มกว้าง
มันลืมมือถือ
แล้วมันจะไปรอดมั้ยเนี่ย?
ผมซื้อมาม่าถ้วยจากร้านพี่แว่น เดินไปกดน้ำร้อนจากที่ๆเตรียมไว้ ก่อนหาที่นั่งซดบะหมี่อย่างสบายอารมณ์
ผมนั่งอยู่หน้าร้าน สตูลตัวสูงทำให้ผมกินไม่ค่อยถนัดนัก ทำไมคนเราถึงชอบผลิตอะไรที่มันนั่งได้ลำบากอย่างนี้นะ หรือว่าผมสูงเกินไป?
ร้านพี่แว่นวันนี้เงียบผิดปกติ ผมแอบจิ๊กกระเป๋าตังค์ของมันลงมาจ่ายค่ามาม่าชั่วคราว พี่แว่นส่งสายตาสอดรู้มาทางผมเป็นระยะ ผมมักมานั่งซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับมันทุกคืนแต่วันนี้คนเจ้าอารมณ์กลับหายไป พี่แว่นคงเป็นห่วงล่ะมั้ง?
ผมส่งเสียงซู้ดซ้าดอย่างไม่อายใคร ไม่มีอะไรต้องอายนี่ ผมเป็นคนเดียวที่อยู่ในร้าน
โอเค มีพี่แว่นด้วยอีกคน พี่แกทำท่าจะหลับสัปหงกอยู่ทุกเมื่อ ผมเลยถือวิสาสะเปิดทีวีในร้านเสียเลย เผื่อจะช่วยให้พี่แว่นตื่นขึ้นมาบ้าง
ผมสูดบะหมี่ไปพลาง ดูโทรทัศน์ไปพลาง ผู้ประกาศข่าวสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้วพร้อมอ่านสคริปต์ในมือ หน้าสวยๆนั่นไม่เข้ากับข่าวฆาตกรรมที่หล่อนพูดอยู่เลย
ผมยกถ้วยมาม่าขึ้นดื่ม
รู้สึกเล็กๆว่าทำไมวันนี้รสมันถึงไม่อร่อยเหมือนทุกๆวัน
ผมกลับมายืนอยู่หน้าห้อง ถอนหายใจหนักเป็นรอบที่ 5
ผมจะเข้าไปขอโทษมันยังไงดีหนอ? รู้สึกขนลุกชอบกล แต่ถ้าไม่ขอโทษ มันต้องไม่พูดกับผมเป็นอาทิตย์อีกแน่ๆ
ทำยังไงดีน้า
จู่ๆประตูก็เปิดผางออก พร้อมกับคนด้านในที่โถมเข้ามากอดผมอย่างรุนแรง มันใช้ร่างกายที่สูงเกิน 180 เซนติเมตรกับน้ำหนักอีกประมาณเกือบ 80 กิโลกรัมทิ้งลงมาบนตัวผมอย่างกะทันหันจนผมเกือบล้ม
ผมสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเบาๆจากคนตรงหน้า
สะอื้นเหรอ? ไม่จริงมั้ง
ไอ้ยักษ์สะอื้น?
“มึงหายไปไหนมา กูผิดไปแล้ว ต่อไปนี้กูจะเป็นคนเก็บขยะเอง กูจะซักผ้า กูจะถูพื้น” มันสูดน้ำมูก
“เมื่อกี้กูลงไปกินมาม่าร้านพี่แว่น แม่งมีแต่ข่าวฆาตกรรม นักข่าวสมัยนี้ทำไมโรคจิตกันจังวะ จะมีข่าวจรรโลงใจหน่อยไม่ได้หรือไง” มันพล่ามต่อ รัดผมแน่นขึ้นจนเกือบหายใจไม่ออก
“มึงลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง กูจะโทรก็โทรไม่ติด กระเป๋าตังค์มึงก็ลืมไว้ มึงไปไหนมาหา? ตอบกูสิ” น้ำตาของมันหยดแหมะลงบนเสื้อของผม
“มึงพูดคำหยาบ
” ผมเอ่ยเสียงเบา
มันผละออกจากตัวผมในที่สุด ก่อนยิ้มกว้างให้ผม “อืม
”
ผมยิ้มให้มัน ไม่มีคำขอโทษ
มันยิ้มตอบ ไม่มีคำขอโทษเช่นกัน
มันเดินนำผมเข้าไปในห้อง ก่อนปิดประตูตามอย่างเบามือ
ผมพบว่าห้องรกถูกเก็บกวาดเสียเรียบร้อย โทรทัศน์ที่เปิดข่าวรอบดึกซึ่งมีแต่ข่าวฆาตกรรมถูกหรี่เสียงลงจนแทบไม่ได้ยิน ผมสังเกตเห็นกรอบรูปที่มีรูปผมกับมันวางอยู่บนโซฟาและมีคราบน้ำตาอยู่จางๆ
มันจูงมือผมลงนั่งข้างๆ ก่อนกดเปลี่ยนช่องเป็นช่องภาพยนตร์รอบดึกซึ่งผมชอบดู
มันเป็นคนหัวดื้อ ส่วนผมเป็นคนอารมณ์ร้อน
2 คน 2 ขั้ว อยู่ด้วยกันคงบรรลัย
แต่หากเราเข้าใจกัน
แม้จะมีข้อแตกต่างจนสุดเหว
ความเข้าใจจะหล่อหลอมให้เราเข้ากันได้
เสมอมา
ผลงานอื่นๆ ของ ภวิล ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ภวิล
ความคิดเห็น