สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ - สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ นิยาย สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ : Dek-D.com - Writer

    สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ

    ผู้เข้าชมรวม

    412

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    412

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ก.ค. 56 / 16:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ดูเรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สุขภาพ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี อื่นๆได้ที่นี่ 
      http://megatopic.blogspot.com



      "ไม่มีอะไรจะใหญ่และอายุมากไปกว่าเอกภพ คำถามที่ผมจะพูดถึงในวันนี้คือ ข้อหนึ่ง เรามาจากไหน? เอกภพเกิดขึ้นได้อย่างไร เราโดดเดี่ยวในเอกภพหรือไม่ มีสิ่งมีชีวิตอื่นไหมในห้วงอวกาศ? อนาคตของมนุษยชาติจะเป็นอย่างไร? ก่อนช่วงทศวรรษ 1920 ทุกคนเชื่อว่าเอภพต้องคงที่และไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ภายหลังจึงพบว่าแท้จริงเอกภพกำลังขยายตัว แกแล็กซี่อื่นกำลังเคลื่อนตัวออกห่างเรา หากคิดย้อนกลับไป จะถึงจุดหนึ่งที่เราเคยอัดกันกว่าปลากระป๋องเมื่อ 15,000 ล้านปีที่แล้ว นั่นคือบิ๊กแบง จุดเริ่มต้นของเอกภพ ว่าแต่ มีอะไรก่อนบิ๊กแบงหรือไม่ หากไม่มี อะไรสร้างเอกภพขึ้นมา? ทำไมเอกภพจึงเกิดจากบิ๊กแบงในลักษณะนั้น? เราเคยคิดว่าทฤษำกำเนิดเอกภพ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ กฎฟิสิกส์ต่างๆ เช่น สมการแมกซ์เวลล์และสัมพันธภาพทั่วไปที่กำหนดวิวัฒนาการเอกภพกำหนดสภาวะให้ ทุกอณูเอกภพชั่วขณะพร้อมกัน และส่วนที่สองที่เลี่ยงไม่ได้เลยก็คือสภาวะแรกเริ่มของเอกภพ

      เราก้าวหน้าไปได้ดีในส่วนแรก เราเข้าใจกฎวิวัฒนาการในทุกสภาพการณ์เว้นก็แต่ที่สุดโต่งที่สุด แต่สำหรับสภาวะแรกเริ่มของเอกภพนั้น เราเคยเข้าใจมันน้อยมาก อย่างไรก็ตาม การแบ่งทฤษฎีออกเป็นสองส่วนคือ กฎวิวัมนาการ และ สภาวะตั้งต้นนั้นถือว่าเวลาและอวกาศเป็นคนละสิ่งที่แยกขาดกัน แต่ในสภาวะสุดโต่งนั้น อิทธิพลของสัมพันธภาพทั่วไปร่วมกับทฤษฎีควอนตัมส่งผลให้เวลาเสมือนเป็นมิติ หนึ่งของอวกาศ แปลว่าวลาและอวกาศมิใช่สิ่งที่แยกขาดจากกันอีกต่อไป ทำให้กฎวิวัฒนาการสามารถระบุสภาวะแรกเริ่มของเอกภพได้ หมายความว่าเอกภพสามารถสร้างตัวขึ้นมาโดยไม่ต้องมีอะไรอยู่ก่อน เรายังคำนวณความน่าจะเป็นได้ว่าเมื่อแรกกำเนิดนั้นเอกภพมีสภาพต่างจากนี้ ซึ่งผลคำนวณนี้สอดคล้องเป็นอย่างดีกับผลสังเกตการณ์จากดาวเทียม WMAP ในการตรวจวัดรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาลซึ่งเป็นภาพประทับของเอกภพช่วง แรกกำเนิด เราเชื่อว่าเราไขปริศนากำเนิดสรรพสิ่งงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางทีน่าจดสิทธิบัตรเอกภพไว้แล้วเก็บค่าธรรมเนียมทุกคนสำหรับการมีตัวตนนะ ครับ

      ขอเข้าสู่คำถามสำคัญข้อที่สองนะครับ เราโดดเดี่ยว หรือมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกในเอกภพ? เราเชื่อว่าชีวิตกำเนิดขึ้นเองบนโลก ดังนั้นต้องเป็นไปได้ที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์อื่นที่อำนวยซึ่งมี อยู่ไม่น้อยในแกแล็กซี่นี้ แต่เราก็ไม่รู้ว่าชีวิตเริ่มปรากฎได้อย่างไร เราค้นพบหลักฐานอยู่สองชิ้นที่บ่งชี้ความน่าจะเป็นของการเกิดสิ่งมีชีวิต ชิ้นแรกคือฟอสซิลสาหร่ายอัลจี จากเมื่อ 3,500 ล้านปีที่แล้ว โลกถือกำเนิดเมื่อ 4,600 ล้านปีที่แล้ว ความร้อนน่าจะยังสูงไปในช่วง 500 ล้านปีแรก  ซึ่งหมายความว่าชีวิตแรก ปรากฎขึ้นภายในช่วง 500 ล้านปีถัดมา ถือว่าเร็วเมื่อเทียบอายุไข 10,000 ล้านปี ของดาวเคราะห์อย่างโลก แสดงให้เห็นความน่าจะเป็นในการเกิดสิ่งมีชีวิตค่อนข้างสูง หากความน่าจะเป็นต่ำแล้ว คงกินเวลาจนเกือบครบอายุขัย 10,000 ล้านปีของโลก กว่าชีวิตจะถือกำเนิด แต่อีกมุมหนึ่ง ก็ยังไม่เห็นมนุษย์ต่างดาวที่ไหนแวะมาเยือนโลก ไม่นับรายงานการพบเห็น UFO นะครับ ทำไมผู้พบเห็น UFO มักสติเฟื่องไม่เต็มบาท หากรัฐบาลสมรู้ร่วมคิดที่จะปิดข่าวและปกปิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มากับ มนุษย์ต่างดาวจริง ก็เป็นนโยบายที่ไร้ประสิทธิภาพเกินไป นอกจานี้ แม้โครงการ SETI จะค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกมายาวนาน เราก็ยังไม่เคยรับโทรทัศน์ช่องเกมโชว์ของมนุษย์ต่างดาวได้เลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะยังไม่มีดาวดวงใด มีอารยธรรมใกล้เคียงกับเราในรอบรัศมีสองสามร้อยปีแสงนี้  ใครมีประกันให้พวกที่กลัวมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป มั่นใจได้เลย ไม่มีขาดทุน

      มาสู่คำถามสำคัญข้อสุดท้าย อนาคตของมนุษยชาติ หากเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเดียวในแกแล็กซี่นี้ เราต้องแน่ใจว่าเราจะอยู่รอดและดำรงชีวิตต่อได้ นี่เรากำลังก้าวสู่ยุคที่อันตรายขึ้นเรื่อยในประวัตืศาสตร์มนุษยชาติ ปริมาณประชากรและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสูงขึ้นทวีคูณ ไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นหรือเลวลง ได้ทั้งนั้น แต่ในรหัสพันธุกรรม เรายังคงเห็นแก่ตัวและมีสัญชาตญาณความรุนแรงที่เคยเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ รอดในอดีต ยากพอควรที่จะหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้น ในอีกร้อยปีข้างหน้า ไม่ต้องกล่าวถึงอีกพันปีหรือล้านปี โอกาสเดียวที่เราจะอยู่รอดในระยะยาวคือเราต้องไม่ปิดกั้นตัวเองแค่บนโลก เราต้องเดินทางสู่ห้วงอวกาศ  การที่เราสามารถตอบคำถามสำคัญเหล่านี้ได้ แสดงถึงความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา แต่หากเราต้องการดำรงเผ่าพันธุ์ให้พ้นร้อยปีข้างหน้า ทางรอดคือห้วงอวกาศครับ

      ผมจึงสนับสนุนให้มนุษย์ออกเดินทางสู่อวกาศ หรือว่าต้องเรียกว่าประชากรอวกาศดีครับ ตลอดชีวิตผมแสวงหาที่จะเข้าใจเอกภพและพยายามที่จะตอบคำถามเหล่านี้ ผมโชคดีมากที่ความพิการของผมไม่รุนแรงมากนัก แท้จริงแล้ว อาจเป็นความพิการนี้เองที่ทำให้ผมมีเวลามากกว่าผู้อื่นในการแสวงหาความรู้ เป้าหมายที่สูงสุดคือทฤษฎีที่สมบูรณ์ของเอกภพ และเรากำลังก้าวหน้าไปได้ดี ขอบคุณที่ตั้งใจฟังครับ"

      ศาสตราจารย์ครับ หากต้องลองทายดู ศาสตราจารย์เชื่อไหมครับว่า เราอยู่โดดเดี่ยวบนทางช้างเผือก พูดถึงอารยธรรมที่ภูมิปัญญาเทียบเท่าหรือสูงกว่าเรานะครับ คำตอบใช้เวลา 7 นาทีนะครับ ยิ่งทำให้ผมตระหนักถึงความกรุณาที่ท่านมีให้ในการบรรยายสำหรับ TED ในครั้งนี้

      "ผมว่าค่อนข้างเป็นไปได้ที่เราจะเป็นอารยธรรมเดียวในรอบรัศมีหลายร้อยปีแสง  ไม่อย่างนั้นเราคงได้รับคลื่นวิทยุอะไรบ้างแล้ว  หรือเป็นไปได้อีทางก็คืออารยธรรมเหล่านั้นได้ล่มสลายไปเสียก่อน ด้วยน้ำมือตนเอง"

      ศาสตราจารย์ฮอว์คกิ้งครับ ขอบคุณครับ เป็นคำเตือนที่จะเป็นประโยชน์มากเลยครับ สำหรับการสัมมนาที่เหลือของเราในสัปดาห์นี้ ศาสตราจารย์ครับ พวกเราขอบคุณจริงๆครับสำหรับความอุตสาหะเอื้อเฟื้อทีได้มาร่วมแบ่งปันคำถาม ให้พวกเราทุกคนในวันนี้ ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

      สตีเฟ่น ฮอว์คิง คือใคร
      ประธานาธิบดี กษัตริย์ พระราชินี คนหนุ่มสาว และคนเฒ่าคนแก่ ต่างก็ชื่นชอบเขา นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ต่างก็ตื่นเต้นและท้าทายทฤษฏีของเขา ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) วัย 70 ปี ยังคงเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีคนรู้จักและได้รับความชื่นชมมากที่สุด คนหนึ่งของโลก เขาได้ถอดรหัสปริศนาบางเรื่องของเอกภพ และเขาได้ทิ้งปริศนาเกี่ยวกับชีวิตของเขา นั่นก็คือ เขามีชีวิตยืนยาวนานขนาดนี้ได้อย่างไร จากการที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคที่เขาเป็นอยู่  สตีเฟ่น ฮอว์คิงเริ่มมีอาการของโรค amyotrophic lateral sclerosis (ALS) ซึ่งมีอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยมีผลกับประสาทสั่งการ (motor neurons) ทำให้เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต เขามีอาการของโรคนี้ตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  ปัญหาเรื่องการเดินและการพูดทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ทำให้เขาไม่สามารถปกปิดมันได้อีก ท้ายที่สุดหมอก็บอกเขาว่าเขามีเวลาอยู่บนโลกอีกเพียงแค่ 2 ปี แต่เขากลับอยู่มาได้อีกหลายสิบปี และสามารถทำงานทางวิชาการด้านจักรวาลหรือเอกภพได้อย่างดีเยี่ยม

      ผู้ที่ศึกษา DNA ของ ฮอว์คิง บอกว่ามีคนป่วยโรคนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีที่ความอ่อนแรงของกล้าม เนื้ออยู่ในระดับที่รุนแรงน้อย และในกรณีของฮอร์คิงถือว่าเป็นกรณีพิเศษเพราะเป็นโรคนี้มายาวนานถึง 50 ปี และไม่คิดว่าจะมีใครที่เป็นโรคนี้แล้วมีชีวิตยาวนานขนาดนี้  สตีเฟ่น ฮอว์คิงโด่งดังไปทั่วโลกจากหนังสือเรื่องประวัติย่อของกาลเวลาถูกตีพิมพ์ออก มาในปี พ.ศ.2531 และขายได้ 10 ล้านเล่ม หนังสือเล่มนี้พูดถึงเอกภพและการกำเนิดของมันในแบบง่ายๆ และนับตั้งแต่นั้นเขาก็สร้างทฤษฎีหลายๆเรื่องในการปรับความเข้าใจของคนทั่ว ไปเกี่ยวกับหลุมดำ และเพราะฮอว์คิงนี่เองที่ทำให้ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang) กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันโดยทั่วไป  ฮอว์คิงบอกว่าครอบครัวของเขาเป็นครอบตรัวประหลาด แม้แต่บนโต๊ะอาหารก็ไม่มีการพูดคุยกัน เพราะทุกคนมัวแต่ง้วนอยู่กับการอ่านหนังสือ

      หลังจากที่เขาป่วยเขาก็เริ่มไม่สนใจเรียนแล้ว เพราะหมดอาลัยตายอยาก และไม่คิดว่าจะจบในระดับปริญญาเอกได้  แต่ช่วงนั้นเขาพบรักกับ เจน ผู้ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกของเขา ทำให้เขาอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปและเริ่มมองว่าการทุ่มเทให้กับการทำงาน เป็นทางออกของปัญหาความเจ็บป่วย ต่อมาทั้งสองก็แยกทางกันในปี 2538 ฮอว์คิงก็แต่งงานใหม่กับ เอเลน เมสัน อดีตพยาบาลของเขา แต่ชีวิตรักในครั้งที่สองก็ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ช่วยของฮอว์คิงได้บอกว่า ปัจจุบันฮอว์คิงก็ยังคงคิดค้นทฤษฎีต่างๆ และเขาก็ยังมีอารมณ์สนุกสนานอยู่เสมอ เขามีความฝันที่จะได้บินในอวกาศ และก็มีการนำเขาขึ้นเครื่องบินที่มีสภาพไร้น้ำหนัก ทำให้เขาอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักอยู่นานราว 25 วินาที ซึ่งมันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับฮอว์คิง เพราะเขาได้เป็นอิสระจากรถเข็น หลังจากที่ต้องนั่งอยู่กับมันอยู่นานราว 40 ปี ฮอว์คิงทำสิ่งนี้สำเร็จแม้ว่าจะเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว เขาสื่อสารกับบุคคลอื่นด้วยการกระพริบตาเท่านั้น และต้องพูดผ่านคอมพิวเตอร์สังเคราะห์เสียง

      ดูเรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สุขภาพ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี อื่นๆได้ที่นี่ 
      http://megatopic.blogspot.com

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×