กิ่ง
เรื่องสั้นรอบ 10 คนสุดท้ายจากการประกวด เรื่องสั้นของเวปเด็กดีครั้งที่ 3 ครับ
ผู้เข้าชมรวม
260
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
กิ่ง
มองดูต้นไม้สูงใหญ่แตกกิ่งก้านสีดำกลิ่นเหม็นเน่ามากมาย เคียงข้างกิ่งบุปผาสีสดกลิ่นหอมหวนและเต็มไปด้วยใบเขียวเพียงหนึ่งกิ่ง ทุกกิ่งก้านล้วนแตกมาจากต้นใหญ่ต้นเดียวกันแต่กลับให้ความแตกต่างที่ดูน่าอิจฉาริษยา เหตุใดเล่าจึงมีเพียงมันที่สวยสด เหตุใดเล่าบุปผาจึงไม่ยอมช่วยเหลือกิ่งเน่าที่เหลือให้งดงามเช่นมัน บุปผานั้นไม่อาจตอบเพราะมันก็สุดแล้วที่จะรู้
ความงดงาม ความอัปลักษณ์ ความต่างชั้นที่สุดทน บรรดากิ่งเน่าจึงเริ่มสูบเลือดเนื้อของบุปผาหมายจะให้มันเน่าลงตามตน และยามเมื่อบุปผานั้นเน่าสิ้นกลายเป็นธุลี กิ่งที่เคยเน่าเหม็นจึงเริ่มกลับมามีชีวิตอีกครา หากแต่ก็ยังไม่อาจสวยงามได้เท่า
พวกมันดีใจ พวกมันภูมิใจที่มันสามารถเอาชนะสิ่งที่เรียกว่าความแตกต่างของชนชั้นได้ ตอนนี้กิ่งก้านของต้นไม้ไร้ซึ่งดอกแล้ว คงเหลือแต่กิ่งเน่าที่พึ่งรอดจากความตาย อะไรคือเหตุผลของการกระทำนี้นั้นกิ่งเน่าไม่สนใจอีกต่อไป มันต้องการสิทธิของมันคืน มันต้องการจะให้ใครก็ได้มาสนใจมัน แต่หารู้ไม่ว่าดอกงามที่เคยเติบใหญ่เคียงข้างมันนั้นต้องเคยผ่านอะไรมาบ้าง
จะร้อนหนาวก็คอยสู้ยืนหยัดเพียงเพื่อให้ถึงความฝันที่อยากจะงดงาม สิ่งที่เรียกว่าความพยายามและความตั้งใจจริง กลับสามารถมองได้อีกทางว่ามันคือความเห็นแก่ตัวและไม่ห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน สิ่งที่มันพยายามทำถูกมองว่าทะเยอทะยานและเป็นเพียงกิ่งอ่อนที่ลอยตามกระแสเท่านั้น
“ดูสิ ดูฉันสิ ฉันจะแตกต่างให้ดู เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอก เหนื่อยเปล่าไปทำไมในตอนนี้ อีกไม่นานน้ำปุ๋ยก็จะมา อีกไม่นานอากาศและอุณหภูมิที่เหมาะสมก็จะมาถึง ตอนนี้เราก็แค่อยู่เฉยๆก็พอ ทำตามที่ใจต้องการก็พอ จะเร่งเร้าให้เติบใหญ่ไปทำไม”
“เพราะนั่นคือฝันของฉัน” กิ่งอ่อนเคียงข้างมันตอบกลับมา แต่สิ่งที่มันได้รับกลับมีเพียงเสียงหัวเราะ เสียงเย้ยหยัน และเสียงขับไล่ไสส่งหาว่ามันนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ไหลตามกระแส มันนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้ พวกเราต่างหากที่จะเปลี่ยนแปลงมันและเมื่อถึงวันนั้นเจ้าอย่าได้เสียใจ
หากส่ายหน้าได้มันคงทำ เพราะมันอยากจะบอกเหลือเกินว่ามันไม่เสียใจ เพราะนั่นคือความฝันของมัน หากเจ้าอยากทำความฝันของเจ้าต่อไปก็จงอย่าเสียใจ โอกาสบนโลกใบนี้นั้นมันมีน้อยนัก น้อยเหลือเกินที่จะถึงฝัน แต่จงอย่าเสียใจที่จะได้ทำมันลงไป
ผู้ดูถูกดูแคลนยิ้มกริ่มด้วยความเหิมเกริม
“ข้านั้นไม่มีโอกาส กิ่งของข้าอยู่ไกลจากรากไม้ยิ่งนัก คงไม่มีโอกาสได้แตกกิ่ง ซ้ำรอบข้างของข้ายังมีกิ่งอื่นอีกมากมายที่กำลังรอวันเติบโต ข้าคงทำได้แค่นั่งรอความตายตรงนี้”
“โอกาสมีอยู่ทุกแห่ง หากแต่เราต้องไขว่คว้ามันให้ได้” กิ่งอ่อนผู้เร่งรีบเอ่ยตอบกลับ
“ไม่หรอกพวกเรานั้นไร้ซึ่งโอกาสอีกแล้ว”
กิ่งอ่อนผู้เร่งรีบไม่อาจเข้าใจได้ถึงความหมายนั้น อะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างได้มากมายขนาดนี้ โชคชะตา เวรกรรม หรือเป็นเพียงสิ่งที่เรียกว่าความโชคร้าย แต่ในสายตาของมันโชคร้ายนั้นยังไม่ใช่โชคร้ายที่สุด อย่างน้อยกิ่งก้านที่อยู่เบื้องบนก็ยังได้มีโอกาสแตกกิ่งออกมา ยังได้มีโอกาสที่จะเข้าแย่งชิงน้ำและอาหาร กิ่งอ่อนผู้เร่งรีบจึงได้สั่งสอนวิธีการแย่งน้ำและอาหารไปให้พวกเขาเหล่านั้น ทว่าสิ่งที่ได้รับตอบกลับมานั้นช่างเย็นชายิ่งนัก
“เราทำไม่ได้หรอก เราอ่อนแอเกินไป ดูสิแค่ลำเลียงน้ำง่ายๆแค่นี้เรายังทำไมได้เลย” ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ใช้แรงที่เจ้าพร่ำบ่นลงมือทำให้มากกว่านี้เล่า?
“ใช่แล้ว เพราะเจ้านั่นแหละ เจ้าที่อยู่ข้างล่างคอยแย่งน้ำพวกข้า เจ้าจะรีบไปไหน ทำไมไม่เหลือเผื่อแผ่น้ำและอาหารเหล่านั้นให้พวกข้าบ้าง ทำไมไม่เอาแรงที่เจ้าสูบน้ำตลอดเวลานั่น แบ่งมาสูบน้ำให้ข้าบ้าง”
ความพยายามกลับกลายเป็นความอวดดี ความขยันขันแข็งกลับกลายเป็นเห็นแก่ตัวไม่เห็นหัวใคร ข้านั้นเห็นแก่ตัวหรือเจ้าเกียจคร้านนั่นคือสิ่งที่มันอยากจะพูดออกไป หากแต่มันก็สุดที่จะกล้าเอ่ย เสียงก่นด่ายังคงดังมาจากเบื้องบนเรื่อยๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้ามันยังเป็นเสียงอ้อนวอนและขอความเห็นใจ
ผู้ไร้โอกาสเฝ้ากุมมือภาวนาขอโอกาส
“พวกเราจะต้องเปลี่ยน ระบบการลำเลียงอาหารและน้ำเช่นนี้นั้นไม่ยุติธรรม” ความยุติธรรมคืออะไร หรือเป็นเพียงคำพูดที่กิ่งไม้เหล่านั้นต้องการใช้เพื่อแอบอ้างคุณงามความดี
“เราว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา วิวัฒนาการกับการกลายพันธุ์นั้นแตกต่างกัน” กิ่งอ่อนผู้เร่งรีบตอบ
“ใช่สิ ก็เจ้ามันกำลังจะได้ดีแล้วนี่ ตำแหน่งก็ดี น้ำที่มาเลี้ยงก็มากมาย เจ้าจะยังต้องการอะไรอีก ไม่คิดถึงกิ่งอื่นบ้างรึไง” คิด คิดสิ ถึงอยากจะให้พวกเจ้าพยายามให้มากขึ้น เจ้ากิ่งอ่อนพยายามพูดออกไปแต่นั่นก็ไร้ผล มันถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัว เป็นจุดตกต่ำของระบบที่กำลังทำให้กิ่งไม้ทั้งหมดต้องตายลงไป จริงหรือ เป็นอย่างนั้นจริงหรือ มันคิดอย่างถี่ถ้วนในสังคมกิ่งไม้ที่มีมันเป็นเพียงแกะดำ
ถ้าอย่างนั้นใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัวเล่า ไม่ใช่พวกเขาหรือที่ต้องการจะให้เราเสียสละ ต้องการที่จะให้เราปล่อยทุกอย่างที่สร้างมากับมือ ถ้าอย่างนั้นอะไรเล่าคือความแตกต่างของทั้งสองสิ่ง ความนึกสงเคราะห์สงสารต้องการยุติธรรมและความพร่ำเพ้อรำพึงรำพันเพียงต้องการจะสบาย สองสิ่งสองที่แตกต่างช่างห่างกันเพียงยาแดงผ่ากลาง
ต้องเปลี่ยนแปลงไม่อย่างนั้นเราจะไม่รอด
“อย่าไปฟังพวกมัน เรารีบแตกดอกแล้วปล่อยเกสรหนีไปจากที่นี่กัน” เพื่อนผู้มุมานะอีกกิ่งเอ่ยขึ้น แต่มันไม่เห็นด้วย
“ถ้าอย่างนั้นแล้วใครกันเล่าที่จะคอยค้ำจุนไม้ใหญ่ให้ยังอยู่ต่อไป พวกเราสองคนต่างมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายหน้าแล้วไม่ใช่รึ”
“ใครจะไปสนใจ เกสรของข้าจะสร้างไม้ที่ใหญ่กว่านี้ขึ้นมา ไม้ที่สมบูรณ์กว่านี้ ที่ๆไม่มีกิ่งเน่าเหม็นที่เอาแต่บ่นคร่ำครวญต่อโชคชะตาไปวันๆ” มันตอบพลางเร่งสูบฉีดน้ำและอาหาร บางครั้งก็ถึงขั้นแย่งจากแกนกลางที่คอยค้ำจุนไม้ใหญ่เอาไว้ เพียงเพื่อให้มันออกดอกได้มากกว่า มีเกสรที่มากกว่า แล้วมันก็จะได้ไปจากที่นี่เสียที ทว่ากิ่งอ่อนอีกกิ่งนั้นกกลับลังเลที่จะทำ อาจเป็นเพราะมันคุ้นเคยกับกิ่งอื่นๆมากกว่าและพยายามที่จะทำตัวเป็นแบบอย่าง
แบบอย่างอย่างนั้นรึ? เมื่อไหร่กันที่มันคิดเห็นเป็นเช่นนี้ มันคิดที่จะแตกดอกออกใบให้สวยงามเพียงเพื่อจะเป็นแบบอย่างจริงๆรึ หรือว่ามันทำเพียงเพื่อจะค้ำจุนไม้ใหญ่เอาไว้ ด้วยความหวัง... หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่มันทำ จะเป็นสิ่งที่ช่วยรั้งชีวิตของไม้ใหญ่เอาไว้ รอวันที่กิ่งอื่นๆจะเข้าใจและยอมที่จะทำตามมัน
“หากเจ้าไม่เร่งก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” นั่นคือคำพูดสุดท้ายของกิ่งแกร่ง ผู้ไม่ยอมที่จะตายคาบ้านของมันอย่างไร้ค่า
ตัวข้านั้นจะโบยบินไปและจะเติบใหญ่ยิ่งกว่าใครๆ
กาลเวลาผ่านไป เจ้ากิ่งอ่อนผู้เร่งรีบก็ได้กลายเป็นกิ่งไม้ที่สมบูรณ์พร้อม ใบอ่อนมากมายช่วยสังเคราะห์แสงสร้างอาหารให้แก่ไม้ใหญ่ ดอกไม้งดงามที่เบ่งบานช่วยสร้างสีสันอันสดใส แต่นั่นก็มีเพียงแค่มันเท่านั้น กิ่งไม้กิ่งอื่นบ้างก็แห้งเหี่ยว บ้างก็เน่าเหม็นเต็มไปด้วยแมลงเกาะกิน แต่อย่างน้อยพวกมันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ทว่า...
“เฮ้ย! เร่งผลิตอาหารเร็วๆเข้าสิวะ”
“น้ำไม่จำเป็นกับแกแล้วไม่ใช่รึไง แบ่งมาให้กันบ้างสิ!”
“ไอ้บ้าเอ้ย มันเห็นแก่ตัว แตกหน่อสวยอยู่คนเดียว มันไม่ห่วงเพื่อนพ้องของมันเลย!”
เสียงตะโกนด่าทอเหล่านั้นทำให้มันพูดอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันตันอยู่ในคอ เมื่อตอนนี้มันเป็นเพียงกิ่งเดียวที่สามารถเลี้ยงดูไม้ใหญ่ได้ เมื่อในยามนี้มันเป็นเป้าสายตาแห่งความริษยาและการสาปแช่ง คำพูดทุกคำที่มันเคยพูดให้กำลังใจเมื่อกาลก่อนสูญสลายไปหมด เหลือเพียงถ้อยคำเติมแต่งที่ใช้เพื่อปลุกปั่นและด่าทอด้วยความสะใจ
กิ่งเพียงกิ่งเดียวนั้นไม่อาจต้านทาน กิ่งเพียงกิ่งเดียวไม่อาจทำอะไร กิ่งไม้กิ่งอื่นขานเรียกความยุติธรรม ขานเรียกสิ่งที่เรียกกว่าเมตตา ก่อนจะลงมือสูบชีวิตไปจากกิ่งบุปผาเพื่อเติมเต็มความบ้าคลั่งเหล่านั้น
พวกมันดีใจ พวกมันเหิมเกริมอย่างผู้ชนะ อย่างวีรบุรุษ อย่างผู้ถูกต้อง เมื่อกิ่งบุปผาร่วงโรยเพราะขาดน้ำและอาหาร ใบเขียวที่เคยมีแห้งกรอบและร่วงโรย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเคยทำถูกกระจายไปสู่กิ่งทุกกิ่งเติมชีวิตให้กับพวกมันเหล่านั้น บนพื้นฐานของคำว่ายุติธรรมและเท่าเทียม
อดีตบุปผางามไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดๆออกมา ไม่อาจโต้เถียงความต้องการหมู่มากของทุกคน เมื่อมันเป็นเพียงแกะดำ เมื่ออุดมการณ์ของมันพูดไปก็ไม่มีใครฟัง มันจึงได้แต่น้อมกิ่งลงอย่างหมดแรงหากแต่มันก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนที่เริ่มลามไปทั่วทั้งไม้ใหญ่
ได้ยิน? หากสิ่งที่มันรู้สึกได้จะเรียกว่าอย่างนั้น มันเป็นเสียงของอะไรบางอย่างครูดไปมาเป็นจังหวะจะโคลง คู่ไปกับไม้ใหญ่ที่กำลังสั่นไหวอย่างน่ากลัว แล้วในบัดดลโลกทั้งโลกก็กลับตละปัด เมื่อไม้ใหญ่ล้มลงไปฟาดกับพื้นอย่างรุนแรง
เห็น? หากสิ่งที่มันรู้สึกได้จะเรียกว่าอย่างนั้น ชายสองคนกำลังถือใบเลื่อยขนาดใหญ่คู่กัน พวกเขามองมาทางไม้ใหญ่ที่ล้มลงไปอย่างเหนื่อยใจก่อนที่จะวางใบเลื่อยนั้นไว้กับพื้น แล้วเริ่มลงมือใช้จอบเสียมขุดดินเพื่อถอนเอาโคนที่เหลือออก
“เฮ้อ... น่าเสียดาย อุตส่าห์พยายามรักษามันมาตั้งนาน ไอ้มีชีวิตมันก็ยังมีชีวิตอยู่หรอกน่ะนะ แต่ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไปมีหวังเจ้านายได้ด่ากระเจิงแน่ ก็เจ้าต้นนี้มันสวยเทียบต้นอื่นในสวนไม่ได้ซักนิด”
ชายในหมวกปีกสานบ่นหงุบพลางขุดต่อไป เจ้าอดีตบุปผาที่ใกล้ตายได้ยินดังนั้นก็มองไปรอบๆ ก่อนที่มันจะหัวเราะออกมาในความโง่เขลาของตน ใช่สินะ... ที่นี่ไม่ได้มีแค่ไม้ใหญ่เพียงต้นเดียว มันยังมีไม้อีกนับสิบนับร้อยรอบๆที่นี่ ที่ใหญ่โตกว่า ที่สวยงามกว่าจนน่าหลงใหลและน่าอิจฉา
“แล้วที่ว่ารักษาน่ะแกทำดีแน่แล้วหรอวะ หรือเห็นมันเป็นแค่ต้นไม้ก็เลยปล่อยๆไป”
“ไอ้บ้าข้าทำดีแล้วโว้ย ทั้งให้ยา ทั้งให้ปุ๋ย ตัดแต่งกิ่งก็แล้วอะไรก็แล้ว ทำไมกันน้ามันถึงได้ไม่ดีขึ้นซักที....” ชายคนนั้นพูดพลางขุดต่อไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆตาของเขาก็ค้างตลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองเบาๆด้วยความรู้สึกเหมือนพึ่งโดนตบเข้าไปที่หน้าฉาดใหญ่ “...เฮ้ย ข้ารู้แล้วว่ะ ว่าทำไมถึงรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายซะที แกมาดูนี่สิ ก็มันเล่นเน่ามาตั้งแต่รากเลยนี่หว่า”
ได้ฟังดังนั้นบุปผาใกล้ตายก็อ้ำอึ้งพูดไม่ออก นึกแล้วก็ขำในตัวเองที่ไม่ยอมเชื่อคำพูดของเพื่อน ที่ว่าให้หนีไปจากที่นี่ซะ... อีกไม่นานพวกมันคงถูกกำจัดทิ้ง อย่างมากก็คงเป็นได้แค่ฟืนหุงหาอาหาร ซึ่งนั่นคงไม่ใช่สิ่งที่กิ่งก้านอื่นๆต้องการ แน่ล่ะพวกเขาร้องซะเสียงหลงขนาดนั้น บ้างก็เฝ้าภาวนาให้นี่เป็นเพียงแค่ฝัน บ้างก็พยายามจะส่งน้ำคืนมาที่มัน หวังจะให้มนุษย์ได้เห็นกิ่งอันสวยงามที่ยังคงเหลืออีกเพียงหนึ่งและไม่คิดจะตัดมันทิ้งไป
ตลกที่ดูจะขำกันไม่ออกนี่เป็นความผิดของใครกัน เพื่อนๆของมันที่ไม่ยอมเติบใหญ่ ไม่ยอมดิ้นรน ความผิดของมันที่พยายามจะทำตามฝัน ความผิดของเพื่อนมันที่หนีออกไป หรือเป็นความผิดของมนุษย์ที่ไม่ได้ดูแลรากมันให้ดี แต่จะยังไงก็ตาม มันคงไม่เสียใจที่ได้ทำตามความฝันของตน ใช่มั้ย? ไม่เสียใจใช่มั้ย... เจ้าบุปผายิ้มออกมาอย่างที่ดูไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือเสียใจกันแน่ ก่อนจะหัวเราะออกมาท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของกิ่งเน่ากิ่งอื่น และท่ามกลางเสียงแตกของเนื้อไม้ที่กำลังถูกไฟกาฬเผาผลาญจนวอดวาย จนทุกสิ่งทุกอย่างเหลือเพียงเศษขี้เถ้าของไม้เน่า...
ผลงานอื่นๆ ของ angel_thesis ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ angel_thesis
ความคิดเห็น