สารวัด สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา - สารวัด สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา นิยาย สารวัด สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา : Dek-D.com - Writer

    สารวัด สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา

    สารวัดนับุญเปาโลกลับใจ และวัดแม่พระนิจจานุเคราะห์ จังหวัดระยอง

    ผู้เข้าชมรวม

    344

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    344

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 พ.ค. 50 / 22:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ข้อคิดจากพระวรสาร
       ______________________________________________________

      คนเลี้ยงแกะ

       คนเลี้ยงแกะ...เร่ร่อนไปนอกชายขอบความศิวิไลซ์
      ...ผ่านความร้ายกาจ  และอันตรายของผืนทรายระอุร้าง
      ...สวมใส่เสื้อแห่งความมีมลทิน  ก้าวเดินในความโดดเดี่ยว
      ...กินนอนกับฝูงแกะมากกว่าฝูงคน
      และ...ไม่เคยพบที่แห่งศักดิ์ศรีในสังคมร่วมสมัย
      เขาก้มหน้าเดินวนเวียนอยู่ในหุบเหวสังคมอันต่ำต้อย
      ชายหนุ่มจากนาซาเร็ธ  มองตน..เป็นคนเลี้ยงแกะ
      ทรงพเนจรไปกับสังคมเร่ร่อน
      ...จิ้งจอกยังมีโพรง นกยังมีรัง
      แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศรีษะ

      เขาคือประกาศกพเนจรที่ถูกขับไล่จากบ้านเกิด
      เขาก้าวเดินต่อไปยังเป้าหมายใหม่...ไม่ท้อแท้ หรือหมดหวัง
      ...แม้แต่สลัดฝุ่นที่เท้ามากมายหลายหน
      เขาไม่เคยหลงใหล...แม้ฝูงชนรอบข้างจะโห่ร้องชื่นชม
      เขาไม่เคยถูกผูกมัด...เว้นแต่เมื่อต้องขึ้นเขากัลวารีโอ
      ในวันนั้น...เขาถูกนำไปยังแดนประหาร
      ถูกจับมัดอยู่บนกางเขน...และถูกกักขังอยู่ในคูหา
      แต่..นั่นเป็นเพียงที่พำนักชั่วคราว
      เพราะ...แม้กางเขนและคูหาจะสามารถหยุดยั้งทุกผู้คนที่ผ่านมา
      แต่...
      ไม่อาจหยุดยังคนเลี้ยงแกะจากนาซาเร็ธ  


      ก้อนหินก้อนนั้น

              กองคาราวานคณะหนึ่ง   เตรียมตัวเดินทางข้ามทะเลทรายตอนกลางคืน หัวหน้ากองคาราวานสั่งคณะเดินทางให้พักทุกชั่วโมง และระหว่างที่หยุดพักให้เก็บก้อนหินติดตัวไปด้วยทุกครั้ง หนุ่มอาหรับผู้ร่วมเดินทางไม่เข้าใจถึงเหตุผล แต่เขาก็ทำตามคำสั่ง  ชั่วโมงแรกๆเขาก็เก็บก้อนหิน โดยเขามองไม่เห็นก้อนหินเลย เพราะมันมืดมาก จึงได้แต่ใช้มือคลำบนพื้นทราย เมื่อแตะต้องก้อนหินที่มีขนาดที่พอเหมาะ เขาก็เก็บก้อนหินใส่กระเป๋ากางเกง เมื่อกระเป๋ากางเกงเต็มแล้ว เขาจึงนำก้อนหินใส่กระเป๋าเสื้อทั้งสองข้าง
       
               เวลาผ่านไปจนเลยเที่ยงคืน เขารู้สึกว่ามันหนักขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำร้ายก้อนหินในกระเป๋าเสื้อยังทิ่มแทงหน้าอกของเขา   เขาเริ่มนำก้อนหินออกจากกระเป๋าแล้วแอบโยนทิ้ง โดยไม่ให้หัวหน้ากองคาราวานรู้ และเขาทำเช่นนี้อีกเป็นระยะๆจนตัวเองรู้สึกเบาตัวขึ้น
                เมื่อถึงรุ่งสางกองคาราวานก็ถึงที่หมาย  หัวหน้ากองคาราวานบอกให้ทุกคนนำก้อนหินออกจากกระเป๋า แล้วนำไปให้ช่างเจียระไนที่กำลังรออยู่ เขานำก้อนหินที่ตนเก็บเมื่อคืนไปเจียระไนให้เป็นเพชรพลอยที่สวยงามต่อไป
                หนุ่มอาหรับคนนี้ เมื่อรู้เช่นนี้ก็นึกเสียดายที่ตนเองโยนก้อนพลอยดิบทิ้งเมื่อคืนนี้ เขาน่าจะอดทนมากกว่านี้ ถ้าเขาไม่โยนทิ้ง เขาจะได้พลอยที่สวยงามมากกว่านี้
       


      Wouldn't this be Christ?

      What better description of Christianity could there be than this one from a Sikh of India?
       
      There was once a man who owned several hundred sheep. His servants used to
      thake these sheep out for feeding, and each evening as they brought them back,
      they would find two or three sheep missing. The owner asked the servants to go and look
      for them, but the were afraid of wild beastes and would not dare to do.
       
      The owner loved those sheep and wanted to save them. So he said to himself: "If I myself go out in search of those sheep, they will not recognize my servants,But the servants won't go. So the only thing I can do is become one of them"
       
      So he got inside a sheepskin and went out. Thinking he was a sheep like themselves, they readily followed him.  He brought them back and sat with them and fed them. When he had saved all the sheep and brougt them home, then he took off his sheepskin.
       
      He was not sheep,but man. He became a sheep in order to save those lost sheep. So God is not man. He became man in order to save men..
      .
       
      -Sadhu Sundar Singh-
      _______________________________________________________

      Bible
      From the book of Revelation (7:9,14-17)
       
      I John,saw be fore me a huge crowd which no one could count from every nation and race, people and tongue. They stood before the throne the Lamb, dressed in long white robes and holding palm branches in their hands.
       
      Then one of the elders said to me: "These are the ones who have survived the great period of trial; they have washed their robes and made them white in the blood of the Lamb.
       
      "It was this that brought them before God's throne; day and night they minister to him in his temple; he who sits on the throne will give them shelter. Never again shall they know hunger or thirst, Nor shall the sun or its heat beat down on them, for the Lamb on the throne will shepherd them. He will lead them to springs of live-giving water, and God will wipe every
      tear from their eyes."

       

      พระคัมภีร์
      บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น  (ยน.10:14)
       
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า "แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะเหล่านั้นย่อมตามเรามา  เราให้ชีวิตนิรันดรแก่แกะพวกนั้น  และมันจะไม่พินาศไปเลยตลอดนิรันดร  ไม่มีใครจะมาช่วงชิงเอาพวกแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้ สิ่งที่พระบิดาของเราประทานให้เรานั้นใหญ่กว่าทุกสิ่ง  และไม่มีใครสามารถช่วงชิงเอาไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้ เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

      ข้อคิด  ::  อาศัยภาพพระชุมพาบาลและฝูงแกะ พระเยซูเจ้าทรงทำให้เราเข้าใจสารเดียวกันกับบทอ่านที่สอง....เมื่อท่านรู้สึกท้อแท้ จงกล้าหาญไว้  พระเยซูเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ ไม่มีใครจะแย่งชิงท่านไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ นอกเสียจากว่า ท่านเองจะหนีจากพระองค์  พระเยซูเจ้าทรงรู้จักท่านและรู้ปัญหาของท่าน...

       _______________________________________________________
      สารวัดนักบุญเปาโลกลับใจ และวัดแม่พระนิจจานุเคราะห์ ระยอง

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×