ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #27 : อินทรนาคราช พบ แก้วกุสุมาลย์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 368
      1
      14 ต.ค. 47

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๒๗ อินทรนาคราช พบ แก้วกุสุมาลย์



        ณ ปราสาทเทพปักษา ที่อยู่ของสุบรรณ เหล่าทหารวิหคกำลังตรวจดูเวรยามกันอย่างขันแข็ง สุบรรณและเหล่าทหารคู่ใจคนอื่นๆ ต่างไม่ได้อยู่ในปราสาทเทพปักษาแต่ทั้งหมดออกไปตรวจดูค่ายที่ตั้งรอบๆ บริเวณเขาไกรลาส ข่าวการเคลื่อนไหวของเหล่าขุนพลมารที่แยกย้ายออกจากกองทัพของตนเพื่อไปช่วยกองทัพประตูมนุษย์ ทำให้สถานการณ์รอบๆ บริเวณเขาไกรลาสลดความตึงเครียดลง แต่ถึงกระนั้นสุบรรณก็ยังออกคำสั่งให้เหล่าทหารวิหค มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามกันอยู่ตลอดเวลาและยังเพิ่มจำนวนทหารมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ขณะที่เหล่าทหารกำลังตรวจตราดูบริเวณรอบๆ ปราสาทเทพปักษา ก็เหลือบมองเห็นสัตว์ใหญ่ขนาดยักษ์มุ่งหน้าตรงเข้ายังปราสาทเทพปักษาแต่ไกล



    “ ท่านวิมันเยณ์ มีตัวอะไรก็ไม่รู้ตรงมาที่ปราสาทเทพปักษาของเราขอรับ “ ทหารวิหคตนหนึ่งบอกขุนศึกวิหคที่เป็นผู้เฝ้าดูแลปราสาทเทพปักษาแทนสุบรรณ



    วิมันเยณ์ ใช้สายตาที่คมกริบมองสัตว์ใหญ่ตัวนั้นจากบนกำแพง “ นั้นมันพญานาคราชนี้น่า ใครกันที่รีบร้อนมายังปราสาทเทพปักษาขนาดนี้? “



    ว่าแล้วก็ฉงนใจไม่น้อยทางนครบาดาลต้องมีเรื่องด่วนอะไรซักอย่างแน่ถึงทำให้เชื้อพระวงค์นาคาต้องเสด็จมาด้วยตนเอง



    “ ข้าจะลงไปดูที่หน้าประตูเอง พวกเจ้ารีบไปรายงานให้ สมิงปักษี รู้และให้เขาเตรียมกำลังทหารไว้ให้พร้อม “



    หลังสั่งการเสร็จ วิมันเยณ์ ก็กระพือปีกลงมาจากกำแพง  ลงมาที่หน้าประตูปราสาทเทพปักษา เหล่าทหารวิหคที่รักษาการณ์ตรงนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาสมทบกับ วิมันเยณ์ ด้วย พญานาคราชเกล็ดสีมรกตเคลื่อนตัวมาจนถึงหน้าปราสาท แล้วจึงค่อยเอ่ยวาจาขึ้นทักทาย



    “ วิมันเยณ์ สบายดีหรือ? “  



    เสียงนี้ช่างคุ้นหูวิมันเยณ์ ยิ่งนัก



    “ ท่านอินทรนาคราช!!!! “ เมื่อ วิมันเยณ์ รู้ว่าผู้มาเป็นใครรีบสั่งให้ทหารเปิดประตูปราสาทในทันที



    “ ทหาร เปิดประตูเร็วเข้า ท่านอินทรนาคราชเสด็จมา “



    หลังออกคำสั่ง วิมันเยณ์ ก็กลายร่างเป็นมนุษย์หนุ่มคนหนึ่ง ลักษณะการแต่งกายสวมใส่ชุดสีแดงและใส่กำไลมือทั้งสองข้าง ส่วน อินทรนาคราช เองก็กลายร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักเท่าไร อินทรนาคราช ก็ดูไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย จนทำให้ วิมันเยณ์ มักคิดอยู่เสมอว่า อินทรนาคราช เป็นนาคหนุ่มที่ไม่มีวันแก่หรือนาคหนุ่มที่เป็นหนุ่มอมตะตลอดกาล



    “ อภัยให้ข้าด้วย ท่านอินทรนาคราช ข้าไม่รู้ว่าเป็นท่าน “ วิมันเยณ์ กล่าวขออภัย



    “ ไม่เป็นไรหรอก วิมันเยณ์ ต้องโทษข้าเองที่รีบร้อนมา  เลยไม่ได้แจ้งข่าวให้เจ้ารู้ล่วงหน้า แล้วนี้สุบรรณอยู่หรือเปล่าล่ะ? “



    “ ท่านสุบรรณทรงเสด็จออกไปนอกปราสาทเทพปักษา  อีกสักครู่ก็คงกลับ เชิญท่านอินทรนาคราช เสด็จเข้าไปด้านในก่อนเถอะ พระเจ้าข้า “



    วิมันเยณ์ พาอินทรนาคราชเข้าไปภายในปราสาทเทพปักษา ไปยังตำหนักรับรองของเหล่าเผ่าพันธุ์วิหค ระหว่างทางก็ถามถึงเรื่องที่อินทรนาคราช มาพบกับสุบรรณ



    “ ท่านอินทรนาคราช คงมีเรื่องสำคัญถึงรีบร้อนมาหาท่านสุบรรณในเวลานี้ “



    “ ใช่แล้ว ข้ามีข่าวด่วนที่ได้จาก มันทยนาคา หลานชายของข้าที่นครตรีสุวรรณ  เลยอยากจะมาถามสุบรรณให้แน่ใจก่อนที่ข้าจะเดินทางไปยังนครตรีสุวรรณ “



    ระหว่างทางไปตำหนักนั้น สมิงปักษี ก็ตามมาพบกับทั้งสองพอดี



    “ คาราวะ ท่านอินทรนาคราช “



    “ สมิงปักษี นั้นเองข้านึกว่าใครที่ไหนเสียอีก “ อินทรนาคราชเอ่ยทักทายอีกฝ่าย



    “ ข้ายินดียิ่งนักที่ได้พบท่านอินทรนาคราชอีก “ สมิงปักษีว่า



    “ ข้าก็เช่นกัน “



    อินทรนาคราช ก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่ได้พบกับสมิงปักษี ลึกๆแล้วในปราสาทเทพปักษาคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยากจะต้อนรับนาคอย่างเขา สมิงปักษี เป็นหนึ่งในจำนวนที่ว่า เพราะตัวของสมิงปักษีเป็นพวกลูกครึ่งระหว่างพยัคฆ์กับวิหค ไม่ได้เป็นวิหคโดยสมบูรณ์จึงไม่ได้นึกรังเกียจนาคอย่างเขาเหมือนกับเหล่าวิหคคนอื่นๆ แต่ก่อนนั้นในปราสาทเทพปักษาแบ่งกลุ่มอำนาจออกเป็น ๓ กลุ่มคือ กลุ่มของเชื้อพระวงค์ กลุ่มของเหล่าวิหคโดยแท้ และกลุ่มของเหล่าลูกครึ่งวิหค ซึ่งการแยกกลุ่มทั้ง ๓ ออกมาดังนี้ทำให้เหมือนกับเป็นการสร้างระบบวรรณะขึ้นมากลายๆ กลุ่มลูกครึ่งวิหคนั้นถูกกลุ่มวิหคโดยแท้ ดูถูกดูแคลนเป็นอย่างมาก ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่เหล่าเชื้อพระวงค์วิหคได้ย้ายถิ่นฐานที่อยู่จากวิมานฉิมพลีของเทพสุบรรณ ( พญาครุฑผู้เป็นพาหนะของพระนารายณ์ ) ลงมาก่อสร้างปราสาทเทพปักษาที่เขาไกรลาส กลุ่มวิหคโดยแท้และกลุ่มลูกครึ่งวิหคมักต่อสู้กันเองอยู่เสมอจนเกิดสงครามการเมืองย่อยๆขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงยุคของสุบรรณที่รับสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองปราสาทเทพปักษาต่อจากสุบรรณคนก่อนเหตุการณ์ต่างๆจึงค่อยดีขึ้น เพราะเขาให้ความสำคัญแก่กลุ่มลูกครึ่งวิหคและพยายามทำความเข้าใจกับกลุ่มวิหคโดยแท้ว่า กลุ่มลูกครึ่งวิหคนั้นต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันและเป็นหมู่วิหคเช่นเดียวกันกับพวกเขา ดังนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเป็นวิหคเหมือนกันจึงไม่สมควรที่จะมารบราฆ่าฟันกันเองให้เสียเลือดกันเปล่าๆ แต่ใช่ว่าสุบรรณจะให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกครึ่งวิหคทุกกลุ่ม ยังมีกลุ่มลูกครึ่งวิหคอีกกลุ่มหนึ่งที่สุบรรณรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่ได้พบเห็น นั้นก็คือกลุ่มลูกครึ่งระหว่างนาคกับวิหค โชคยังดีที่ว่าพระนางแก้วกุสุมาลย์ทรงออกหน้ารับดูแลเหล่าลูกครึ่งวิหคกลุ่มนี้เลยทำให้พวกเขาไม่ได้ถูกขับออกจากปราสาทเทพปักษาเหมือนอย่างที่ใครๆคิดเอาไว้ อีกทั้งสุบรรณเองก็ยังเกรงว่าตัวเองถูกติฉันนินทาจากเหล่าเทพได้ว่าไม่มีความยุติธรรมที่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาจัดการกับเรื่องส่วนรวมจึงทรงยอมทำตามที่พระนางแก้วกุสุมาลย์ขอร้อง ( ปัจจุบันนี้ เทพสุบรรณก็ยังอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี เหมือนกันกับที่ อนันตนาคราช อาศัยอยู่ที่เกษียรสมุทร และเป็นบัลลังก์นาคให้พระนารายณ์ทรงประทับ โดยไม่คิดเข้ามาก้าวก่ายและยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของลูกหลานตัวเอง )



    ทั้งอินทรนาคราช วิมันเยณ์ และสมิงปักษี ต่างพากันเข้าไปในตำหนักรับรองและพูดคุยกันระหว่างรอให้สุบรรณกลับมา ขณะนั้นพระนางแก้วกุสุมาลย์ที่อยู่ในตำหนักใกล้ๆกัน ทรงได้ยินเสียงเหล่าทหารส่งเสียงร้องเอะอะ จึงทรงตรัสถามเหล่านางกำนัลว่า



    “ นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมข้างนอกถึงมีเสียงดังเอะอะ เช่นนี้ “



    “ เดี๋ยวหม่อมฉันจะออกไปถามพวกทหารเองเพคะ “



    หนึ่งในเหล่านางกำนัลออกไปถามเหล่าทหารแล้วจึงกลับเข้ามาในพระตำหนักทูลตอบพระนางแก้วกุสุมาลย์ว่า



    “ พระนางเพคะ เหตุที่มีเสียงดังเอะอะอยู่ด้านนอก ก็เพราะมีแขกจากนครบาดาล มาขอพบท่านสุบรรณเพคะ “



    “ แขกจากนครบาดาลอย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าพี่สุบรรณทรงอยู่ที่ไหน? “



    “ พระองค์ทรงเสด็จออกไปนอกปราสาทเทพปักษา ยังไม่ทรงกลับมาเลยเพคะ “



    เมื่อพระนางรู้เช่นนั้นก็ไม่อยากให้เสียมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี



    “ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจงไปจัดเตรียมน้ำสุธารสและนำไปที่ตำหนักรับรองก่อน เดี๋ยวข้าจะตามพวกเจ้าไปทีหลัง “



    “ เพคะ “ เหล่านางกำนัลรับพระกระแสรับสั่งของพระนางแก้วกุสุมาลย์



    เหล่านางกำนัลทั้งหลายต่างรีบไปที่ห้องเครื่องจัดสำหรับตามรับสั่งและนำเข้าไปยังภายในตำหนักรับรอง และถวายน้ำสุธารสนั้นต่อ อินทรนาคราช หลายนางแอบชะเง้อมองพระพักตร์ของนาคหนุ่มผู้รูปงามก่อน ถวายบังคมลาออกมาจากตำหนักรับรอง



    “ ต๊าย คนอะไรก็ไม่รู้หล่อเหลือเกินนะเธอ “



    “ นั้นสิ อิจฉาพวกนางกำนัลนาค ที่อยู่ใต้นครบาดาลจัง ในปราสาทเทพปักษาน่าจะมีคนหล่อๆแบบนี้บ้าง จะได้เจริญหูเจริญตา คนหน้าตาดีๆ ออกไปอยู่ข้างนอกกันหมด เหลือแต่พวกหน้าตาไม่เอาถ่านท่านั้นที่เอาไว้ให้พวกเรามอง “  เพื่อนนางกำนัลอีกคนพูดอย่างเห็นด้วย



    “ จุ๊ๆ อย่าพูดดังไปเดี๋ยวใครได้ยิน พวกเราก็หัวขาดกันหมดหรอก “



    เหล่านางกำนัลรออยู่ที่ด้านนอกตำหนักรับรองเพื่อรอรับเสด็จพระนางแก้วกุสุมาลย์ ส่วนภายในตำหนักรับรอง วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี กำลังพูดคุยอยู่กับ อินทรนาคราช



    “ พอจะบอกข้าได้หรือไม่ท่านอินทรนาคราช ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นครตรีสุวรรณ “ วิมันเยณ์ ถามในใจนึกห่วงว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับพระธิดามยุราเทวี หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะได้รีบดำเนินการช่วยเหลือได้ทันท่วงที



    “ ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไรหรอก เพียงแต่มันทยนาคาส่งข่าวมาบอกข้าว่า สามมหาเทพทรงส่งเทพอีก ๑ คนมาช่วยพวกมยุราเทวีกับอัคคีนาคาในการทำศึกกับกัลย์ปาอสูร “



    “ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ทำไมพวกข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย? “ สมิงปักษี รู้สึกกังขาเสียเหลือเกิน



    “ นั้นสิ “ วิมันเยณ์ ขานรับกับคำพูดของ สมิงปักษีด้วย



    “ อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย แม้แต่ข้าเองในตอนแรกก็ยังไม่อยากจะเชื่อแต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เทพองค์นี้อาจเป็นคนของตระกูลเทวะก็ได้ “



    “ อะไรนะ....คนจากตระกูลเทวะอย่างนั้นหรือ? “ ทั้งสองทำสีหน้าเหมือนได้ยินเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต



    “ จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้มาว่านับตั้งแต่ก่อนสงครามไตรดายุค ก็ยังไม่มีใครเคยพบเห็นคนของตระกูลเทวะมาก่อน จนเดี๋ยวนี้ข้าก็ยังคิดเลยว่าที่เขาเล่าต่อกันมามันเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น แล้วทำไมจู่ๆพวกเขาทั้งได้ปรากฏตัวออกมาล่ะ? “ วิมันเยณ์ไม่อยากจะเชื่อว่าที่ อินทรนาคราช พูดมาจะเป็นความจริง



    “ ข้าก็คิดอย่างเจ้านี้แหละ วิมันเยณ์ ข้าถึงได้มาขอความเห็นจากสุบรรณไงละ เผื่อสุบรรณอาจจะพอรู้คำตอบบ้างก็ได้ “



    วิมันเยณ์ กำลังจะพูดต่อก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน



    “ สุบรรณท่านกลับมาแล้วหรือ? ข้ากำลังรอท่านอยู่พอดี “



    อินทรนาคราช พูดกับสุบรรณก่อนหันหน้ากลับมามอง แต่อีกฝ่ายหาใช่สุบรรณไม่และเพียงแค่เขามองเห็นอีกฝ่ายก็ถึงกับตกตะลึง ส่วนอีกฝ่ายนั้นเล่าก็ยืนนิ่งเหมือนดั่งต้องมนต์



    “ แก้ว...แก้วกุสุมาลย์!! “ อินทรนาคราช ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนมองนางโดยลืมไปว่ามี วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี อยู่ในห้องนั้นด้วย



    “ เสด็จพี่อินทรนาคราช!! “ พระนางแก้วกุสุมาลย์เองก็ทรงตรัสชื่อพระสวามีออกมาโดยไม่ตั้งพระทัย



    อินทรนาคราช  ไม่สนใจใครหรืออะไรอีกเลยตรงเข้าไปกอดแก้วกุสุมาลย์เอาไว้



    “ นี้พี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? แก้วกุสุมาลย์ นี้เจ้าจริงๆ ใช่ไหม? “ อินทรนาคราช ละลักถามอย่างไม่แน่ใจ



    “ เสด็จพี่อินทรนาคราชของหม่อมฉัน ใช่เสด็จพี่จริงๆด้วย “ แก้วกุสุมาลย์ หลั่งน้ำตาออกมาอย่างดีพระทัยที่ได้พบพระสวามีสุดที่รักอีกครั้งหลังจากพลัดพรากจากกันมาเป็นเวลานาน



    วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี ต่างมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าในขณะนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ความรักของอินทรนาคราช และ แก้วกุสุมาลย์ นั้นช่างเป็นรักที่ทรมานยิ่งนัก นับตั้งแต่ อินทรนาคราช ออกจากนครบาดาลและหลบไปบำเพ็ญตบะบารีนั้น มีอยู่วันหนึ่งที่เขากำลังนั่งบำเพ็ญตบะบารีอยู่แต่เกิดรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูกไม่ว่าจะรวบรวมสามาธิอย่างไรก็ไม่สามารถทำจิตให้แน่วแน่ได้ จึงตัดสินใจออกจากถ้ำที่พำนักมาอาบน้ำในลำธารเพื่อให้รู้สึกสบายตัว ในตอนนั้นๆเองเขาก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องขอความช่วยเหลืออยู่ในป่า เขาจึงรีบตามเสียงนั้นมาก็พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งถูกวิหคยักษ์ใจร้ายฉุดคร่าอยู่ เขาจึงเข้าช่วยเหลือนางให้พ้นจากอันตราย และนั้นก็เป็นบ่อเกิดความรักของเขา ครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นหน้าของนางเขาก็เหมือนถูกศรรักปักอกในทันที ถึงเขาจะช่วยเหลือนางจากวิหคยักษ์ตัวนั้นได้แต่นางก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขาจึงต้องคอยเฝ้าดูแลนางอยู่อย่างใกล้ชิด ในตอนนั้นเขาเพียงแค่รู้ชื่อของนางเท่านั้นว่า นางชื่อแก้วกุสุมาลย์ โดยไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน จากความใกล้ชิดของทั้งสองทำให้แก้วกุสุมาลย์มีใจรักตอบเขาเช่นกัน จนในที่สุดเขาและนางก็ได้มีสัมพันธ์รักกันในป่าแห่งนั้น นั้นเป็นช่วงเวลาที่เขาและนางมีความสุขมากที่สุด แต่แล้วพอแก้วกุสุมาลย์รู้ว่าอินทรนาคราชเป็นนาค ก็กลัวว่าสุบรรณผู้เป็นพี่ชายอาจตามมาราวีคนรักของนางได้ นางจึงหักใจแอบหนีอินทรนาคราช กลับมาที่ปราสาทปักษาโดยไม่รู้ว่าตัวนางกำลังตั้งครรภ์ลูกของอินทรนาคราชอยู่ และยิ่งต้องตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อมารู้ในภายหลังว่า อินทรนาคราช เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเจ้าพี่นาง ดังนั้นเมื่อแก้วกุสุมาลย์คลอดมยุราเทวีออกมาจึงไม่ยอมบอกให้สุบรรณได้ล่วงรู้ว่าใครคือพ่อของมยุราเทวี อินทรนาคราช เองเมื่อรู้ว่าแก้วกุสุมาลย์ หายไปก็ออกตามหาไปทุกที่ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้พบกับแก้วกุสุมาลย์เลย อินทรนาคราช แทบจะตรอมใจตายในขณะนั้น ร้อนถึงเวทิศดาบส อาจารย์ของอินทรนาคราช ที่ล่วงรู้โดยญาณ ต้องมาตักเตือนศิษย์ให้ทำใจยอมรับในโชคชะตา แต่พอเขาถามอาจารย์ถึงเรื่องของแก้วกุสุมาลย์ อาจารย์ของเขาก็ไม่ตอบ บอกแต่เพียงว่า สักวันเขาจะได้พบกับนางเอง และแล้ววันที่เขาเฝ้ารอคอยก็มาถึง นั้นก็คือวันนี้ๆเอง



    “ พี่คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าเจ้าเสียแล้ว แก้วกุสุมาลย์ “



    “ หม่อมฉันก็เหมือนกันเพคะเสด็จพี่ “



    อินทรนาคราช ดันตัวของแก้วกุสุมาลย์ออกมาจากอ้อมอกพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของนาง หน้าของหญิงสาวที่เขารักมากที่สุดในชีวิต



    “ ทำไม เจ้าถึงหนีพี่มา แก้วกุสุมาลย์ บอกพี่สิ พี่ทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ? “



    แก้วกุสุมาลย์ไม่รู้ว่าจะตอบว่ากระไรดี



    “ หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เจ้าพี่ฟังอย่างไรดี “ นางว่าแล้วก็ร้องไห้



    “ ท่านอินทรนาคราช พระนางแก้วกุสุมาลย์ นี้มันเรื่องอะไรกัน? บอกข้าหน่อยเถอะ “ สมิงปักษี ร้อนใจยิ่งนักกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเขาและนางแสดงกิริยาอาการเช่นนี้



    “ พระนางแก้วกุสุมาลย์ นี้เจ้าเรียกแก้วกุสุมาลย์ว่า พระนางอย่างนั้นหรือ? “



    สมิงปักษีตอบ



    “ ใช่แล้วท่านอินทรนาคราช พระนางแก้วกุสุมาลย์ทรงเป็นพระขนิษฐาของท่านสุบรรณ และเป็นผู้ดูแลเขตพระราชฐานฝ่ายในทั้งหมดของปราสาทเทพปักษา “



    เมื่อได้ยินเช่นนั้น อินทรนาคราช ทั้งตกใจและตกตะลึง



    “ นี้เจ้าเป็นน้องของสุบรรณจริงๆอย่างนั้นหรือ? “



    แก้วกุสุมาลย์ ร้องไห้ไม่หยุดพร้อมกับตอบอินทรนาคราชว่า



    “ เพคะเสด็จพี่ หม่อมฉันเป็นน้องของเจ้าพี่สุบรรณเพคะ “



    ถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไม แก้วกุสุมาลย์ ถึงได้หนีเขาไป



    “ ทำไมเจ้าไม่บอกพี่แต่แรก แก้วกุสุมาลย์  “



    “ หม่อมฉัน ไม่อยากให้เจ้าพี่ทรงเป็นอะไรเพคะ และไม่อยากให้ลูกของเราต้องลำบากด้วย “



    ใจของอินทรนาคราช แทบจะร้อนดังไฟเมื่อได้ยินแก้วกุสุมาลย์พูดถึงลูก



    “ ลูก.....เจ้ามีกับพี่ด้วยหรือ? แล้วตอนนี้ลูกของเราอยู่ไหน? “



    แก้วกุสุมาลย์ตอบ



    “ ตอนนี้ลูกเราไม่ได้อยู่ที่ปราสาทเทพปักษาเพคะเสด็จพี่ มยุราเทวี ลูกเราอยู่ในระหว่างเดินทางปราบกัลย์ปาอสูรอยู่เพคะ “



    “ อะไรนะ มยุราเทวี เป็นลูกพี่อย่างนั้นหรือ “



    อินทรนาคราช ทั้งตกใจและดีใจที่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดและดีใจมากขึ้นอีกเท่าตัวที่รู้ว่าเขากับแก้วกุสุมาลย์มีลูกด้วยกัน แต่นั้นก็ทำให้ฉากรักฉากนี้จบลงอย่างรวดเร็ว



    “ ผัวะ “  หมัดหนักๆของใครคนหนึ่ง ซัด อินทรนาคราช จนเซถลา พร้อมกับไล่ตามติดเขาเหมือนเงาตามตัว น้ำหนักหมัดนี้เขารู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร



    “ เจ้างูเขียว  เจ้าเองที่ทำให้น้องข้าท้องไม่มีพ่อ “  หน้าตาของสุบรรณในยามนี้หากใครได้มองก็รู้ว่าทั้งโกรธทั้งแค้นเพียงไหน



    “ สุ.....บรรณ “ อินทรนาคราชค่อยๆหันหน้ากลับมาและส่งสายตาเข้าปะทะกับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว



    สองมือของ แก้วกุสุมาลย์ ยกขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ เป็นห่วงอินทรนาคราชก็เป็นห่วง กลัวพี่ชายหรือก็กลัว เรื่องที่นางปกปิดมานาน มันได้เปิดเผยให้คนที่นางไม่อยากให้ล่วงรู้มากที่สุด รู้จนได้ ไม่ใช่แค่แก้วกุสุมาลย์เท่านั้นที่ตกใจคนอื่นๆรวมทั้งนิลบุตรปักษีและนิลกาลหัสดายุ ที่เข้ามาในตำหนักรับรองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน



    “ เจ้าว่าไงนิลบุตรปักษี ระหว่างเสด็จลุงของนกยูงกับว่าที่พ่อตา เจ้าจะเลือกช่วยใคร?



    “ ยังจะมาพูดเล่นอีก “ นิลบุตรปักษี เอ็ดเพื่อนรักใจคอรู้สึกไม่ดีเหลือเกิน



    ทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งสายตาเข้ามากันอย่างรุนแรงในตอนนี้เรื่องอื่นๆแทบจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย



    “ หมัดของท่านยังคงหนักเหมือนเดิมเลยนะพี่เขย “



    คำพูดนี้ของอินทรนาคราช แทบทำให้ลูกตาของสุบรรณทะลุออกมา



    “ เจ้างูเขียว “ สุบรรณร้องลั่นพร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมายังที่ปราสาทเทพปักษานับร้อยสาย ความรุนแรงนั้นรุนแรงยิ่งกว่ามีมยุราเทวีสิบคนรวมกันใช้พระเวทย์อัสนีบาตเสียอีก ปราสาทเทพปักษาสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง เห็นได้ชัดว่าความโกรธของสุบรรณรุนแรงเพียงไหน สุบรรณระบายความโกรธแค้นกับอินทรนาคราชอย่างบ้าคลั่ง



    “ เจ้างูเขียว เจ้าสัตว์นรกไปตายซะ “



    สุบรรณ ผนึกพลังสายฟ้ามาที่หมัดสองข้างอย่างเต็มที่พร้อมกับพุ่งหมัดอัดอินทรนาคราชแบบไม่ยั้ง โดยที่อินทรนาคราช ไม่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ทุกคนที่ได้มองต่างขนพองสยองเกล้า แก้วกุสุมาลย์เองถึงกับทรุดตัวลงไปกอดขาของพี่ชายเอาไว้



    “ เจ้าพี่พอเถอะเพคะ อย่าทำอะไรเสด็จพี่อินทรนาคราชเลยเพคะ “



    แต่ไม่ว่าแก้วกุสุมาลย์จะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะตอนนี้สุบรรณกำลังหน้ามืดไม่สนใจอะไรทั้งนั้นทั้งใช้พลังขับแก้วกุสุมาลย์จนกระเด็นออกมา



    “ ฆ่าๆๆๆ “



    หมัดแล้วหมัดเล่าที่ประเคนใส่ อินทรนาคราช ทั้งหนักหน่วงและรุนแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบโต้แต่อย่างใด จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ แววตาของสุบรรณถึงค่อยกลับมาเป็นอย่างเดิม ส่วนอินทรนาคราช นั้นไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด เพราะเขาใช่พระเวทย์เพชรมหากาฬต้านทานหมัดที่พุ่งเข้ามาและแอบขับพลังสายฟ้าที่กระจายอยู่ในร่างให้ผ่านลงสู่ปลายเท้าและไหลลงสู่พื้นปฐพีจนหมด



    “ พอใจหรือยังพี่เขย? “ อินทรนาคราช ถาม ถึงแม้เขาจะไม่รับบาดเจ็ดจากหมัดของสุบรรณ แต่การตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวก็ทำให้เขาเองสูญเสียพลังไปไม่น้อย



    แก้วกุสุมาลาย์ คิดพยุงตัวสุบรรณเอาไว้แต่สุบรรณยกมือห้ามแล้วค่อยๆ เดินไปนั่งพักที่เก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด ส่วนเก้าอี้ตัวอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ต่างก็กระจายกันออกมา บ้างก็ล้มระเนระนาดเพราะฝีมือของเขา



    “ แสบจริงๆ อินทรนาคราช เจ้าทำข้าแสบมาก “



    แก้วกุสุมาลย์รีบเข้ามาพยุง อินทรนาคราช เอาไว้ นางคิดไว้ว่าหากเจ้าพี่ของนางคิดจะฆ่าอินทรนาคราช จริงๆ นางก็ขอตายพร้อมกับเขาด้วย สุบรรณสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงก่อนปล่อยออก และออกคำสั่งกับนิลบุตรปักษี และ นิลกาลหัสดายุ



    “ นิลบุตรปักษี นิลกาลหัสดายุ “  สุบรรณ พูดด้วยน้ำเสียแข็งกร้าวจนทั้งสองต้องรีบขานรับ



    “ พระเจ้าข้า “



    “ จัดที่นั่งให้เรียบร้อย “



    ทั้งสองรู้สึกแปลกใจอยู่ๆสุบรรณก็เปลี่ยนท่าทีแต่ก็รีบทำตามเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังเมื่อครู่ขึ้นอีก วิมันเยณ์และสมิงปักษี ก็รีบช่วยทั้งสองอีกแรง แก้วกุสุมาลย์ค่อยๆประคองอินทรนาคราชนั่งลง ส่วนสุบรรณ มองดูทั้งสองคนไปหัวเราะไป



    “ ฮะๆๆๆ พรหม....พรหมลิขิต ชัดๆ ข้ากับเจ้าเคยสู้กันแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายหลานสาวที่ข้ารักมากที่สุด ก็คือลูกของเจ้า แก้วกุสุมาลย์เจ้าทำอย่างนี้กับพี่ได้อย่างไร? “



    “ หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ “ แก้วกุสุมาลย์ไม่มีคำพูดอื่นใดที่จะแก้ตัวอีก



    “ อย่าโทษนาง นางไม่ใช่คนผิด คนที่ผิดคือข้าเอง หากท่านยังคิดแค้นเคืองอยู่ก็ขอให้ลงมือกับข้าเถอะอย่าทำอะไรแก้วกุสุมาลย์เลย “ อินทรนาคราชพูดขอร้องสุบรรณ



    “ หึ พูดง่ายดีนิ เจ้างูเขียว หากข้าฆ่าเจ้าจริง นกยูง คงโกรธข้าชั่วชีวิต หากจะโทษต้องโทษข้าเองที่เดินหมากไม่ดูตาม้าตาเรือสุดท้ายก็โดนตัวขุนอย่างเจ้ากินเรียบจนหมดกระดาน “



    “ พูดไปพูดมา จะบอกข้าว่าท่านรู้สึกเสียหน้าที่ได้ข้ามาเป็นน้องเขยใช่ไหม? “ อินทรนาคราชพูดจี้ใจดำอีกฝ่าย



    “ อย่าทำมาเป็นรู้ดี อินทรนาคราช เดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนใจจากที่จะให้เจ้ามาเป็นน้องเขยข้า เปลี่ยนให้เจ้ามาเป็นอาหารมื้อเย็นของข้าแทน “ อินทรนาคราชพูดแทงใจดำได้ตรงเผง สุบรรณ แค่รู้สึกเสียหน้าเท่านั้น จริงๆแล้วยังคงรักและเป็นห่วงมยุราเทวีผู้เป็นหลานสาวอยู่ถึงไม่กล้าลงไม้ลงมือกับอินทรนาคราชมากกว่านี้



    “ เราต่างก็ศรัทธากันและกันมานาน ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ “



    สุบรรณรู้ดีว่า อินทรนาคราช เป็นคนเช่นไร



    “ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นพ่อของนกยูง ข้าจะยอมละเว้นเจ้าสักครั้งหนึ่ง แต่ข้าบอกไว้ก่อนหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นห้ามเรียกข้าว่าพี่เขยอีก มันทำให้ข้ารู้สึกแสลงใจเข้าใจไหม? “



    “ เข้าใจสิ “ อินทรนาคราช ยิ้มกวนๆก่อนเอ่ยวาจา ออกมา



    “ พี่เขย “



    “ เปรี้ยง “ เสาตำหนักรับรองที่อยู่ใกล้สุบรรณมากที่สุดแหลกในทันที



    “ เมื่อก่อนข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด แต่จริงๆแล้วเจ้าเป็นคนที่โง่และดื้อด้านมากกว่า “



    “ ข้ากับท่านมันก็คนประเภทเดียวกันนั้นแหละ “ อินทรนาคราช ตอบกลับ



    “ อย่าพูดให้มากความเลย อินทรนาคราช มาพูดเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร? “



    เมื่อได้ยินที่สุบรรณถาม อินทรนาคราช จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้สุบรรณฟัง พออินทรนาคราชเล่าจบ สุบรรณก็พูดขึ้นว่า



    “ ตั้งแต่ก่อนนกยูงและเหล่าเทพคนอื่นๆจะแยกย้ายไปยังนครต่างๆ ทหารสอดแนบของข้าก็เคยรายงานให้ข้าฟังว่าตอนที่เขียนแผนที่นครต่างๆให้ นกยูง นั้นก็มีชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักร่วมอยู่ด้วยแล้ว น่าจะใช่คนที่เจ้าพูดถึง “



    สุบรรณนิ่งคิดอยู่พักใหญ่



    “ สุร...เทวะ วารีศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเทวะผู้ลึกลับ ประโยคนี้ข้าเกือบไปแล้วด้วยซ้ำ “



    อินทรนาคราช ถามแบบไม่อ้อมค้อม



    “ ท่านว่า เหตุใดตระกูลเทวะถึงได้ปรากฏตัวขึ้น? “



    “ คำสั่งมหาเทพ “ สุบรรณตอบ



    “ คำสั่งมหาเทพอย่างนั้นหรือ? “ คำตอบของสุบรรณยังไม่คลายความสงสัยให้อินทรนาคราชได้



    สุบรรณพยักหน้าและพูดต่อว่า



    “ เดิมที ตระกูลเทวะมีหน้าที่เฝ้ารับใช้พระนารายณ์คล้ายๆกับพวกเหล่าสาวก แม้กระทั่งตอนเกิดสงครามครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ หลายๆคนต่างก็คิดว่าพวกเขาคงจะเข้าร่วมในศึกสงครามครั้งนั้นด้วย แต่เปล่าเลยตระกูลเทวะไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอย่างที่ใครๆคิดไว้ทั้งยังปกปิดร่องรอยตัวเองไม่ให้ใครพบเจออีกต่างหาก มีเรื่องเล่าลือต่อกันมาหลายต่อหลายปากว่าเป็นคำสั่งห้ามจากมหาเทพไม่ให้ตระกูลเทวะเข้ามายุ่งและเกี่ยวข้องในสงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ “



    “ เพราะเหตุใด? “ อินทรนาคราชถาม



    “ เพราะว่าตระกูลเทวะไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเข้าร่วมในศึกสงครามครั้งนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องปรากฏตัวขึ้นมา “ คำตอบที่ได้รับเหมือนไม่ใช่คำตอบ



    “ ทำไมเหตุผลที่ท่านยกมามันง่ายขนาดนี้ ถ้าหากเพราะเหตุผลเพียงแค่นี้ข้าคงไม่สู้ลำบากมาถึงปราสาทเทพปักษาแห่งนี้หรอก “ ด้วยเหตุผลแค่นี้อินทรนาคราชเองก็คิดได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็ไม่น่ามาหาสุบรรณให้ยุ่งยากตั้งแต่แรก แต่ถ้าทำเช่นนั้นเขาก็จะไม่มีวันได้พบเจอกับแก้วกุสุมาลย์เลย



    “ อย่าใจร้อนสิ อินทรนาคราช ข้ายังเล่าต่อไม่จบ ที่ว่าตระกูลเทวะไม่เกี่ยวข้องกับศึกสงครามครั้งนั้นก็เพราะว่ามหาเทพมีคำสั่งให้พวกเขาเฝ้ารอคอยและทำสงครามครั้งนี้ต่างหาก “



    “ ถ้างั้นก็หมายความว่า......... “



    “ ใช่ ...มหาเทพทรงรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่พระองค์จะทรงอวตาลมาปราบยุคเข็ญด้วยพระองค์เองจึงทรงให้ตระกูลเทวะทำหน้าที่รับผิดชอบในการทำศึกสงครามครั้งนี้แทน “



    “ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม จึงจดจำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้? “ อินทรนาคราช ยังข้องใจในเรื่องนี้อยู่นับตั้งแต่รู้ข่าวจาก มันทยานาคา



    “ หากจะให้ข้าเดา .....ข้าคิดว่าคงมีคนลบความทรงจำของเขาทิ้งไป “ สุบรรณตอบ



    คำตอบนี้สร้างคำถามใหม่อีกมากมายให้กับ อินทรนาคราช



    “ ลบความทรงจำ? จะลบความทรงจำของเขาทำไมเพื่อประโยชน์อะไร? “



    “ ข้าไม่รู้แต่หากความทรงจำของ น้ำทิพย์ที่สาม กลับคืนมาเราอาจได้คำตอบบ้าง “ สุบรรณว่า



    “ ถ้าเช่นนั้น ท่านกับข้าควรร่วมมือกัน เพื่อช่วยกันดึงความทรงจำของเขากลับคืนมา ท่านเห็นด้วยหรือไม่? “



    สุบรรณส่ายหน้า



    “ ไม่มีประโยชน์หรอก อินทรนาคราช คนที่สามารถลบความทรงจำคนของตระกูลเทวะได้นั้น จะต้องมีพลังมหาศาลมาก บางทีแม้แต่เจ้ากับข้าก็ยังช่วยอะไรเขาไม่ได้ นอกเสียจากว่า......”



    “ นอกเสียจากอะไร? “



    “ มหาเทพทั้งสามจะเป็นผู้ดึงความทรงจำของเขากลับมาเอง หรือไม่ก็ได้ดอกปาริชาตในสวนสวรรค์มาให้เขาดมเพื่อดึงความทรงจำของเขากลับคืนมาอีกครั้ง แต่เจ้ากล้าบุกเข้าไปเอาดอกปาริชาตในสวนสวรรค์หรือเปล่าล่ะ? “



    ความเป็นไปได้ไม่มีเลย



    “ หากท่านเป็นเทพสุบรรณ แล้วข้าเป็นอนันตนาคราช ยังจะพอมีทางเป็นไปได้บ้าง “



    “ ถ้าเช่นนั้นก็เลิกคิดเสียเถอะ “  สุบรรณบอกก่อนค่อยๆลุกขึ้นและมองออกไปข้างนอกตำหนักรับรอง



    “ เจ้าจะไปนครตรีสุวรรณจริงๆหรือ? “



    อินทรนาคราช พยักหน้ารับ



    “ ไหนๆ ก็จะไปแล้ว พา แก้วกุสุมาลย์ ไปด้วยกันสิ เจ้าจะได้พบกับ นกยูง พ่อแม่ลูกจะได้อยู่กันพร้อมหน้า “



    “ ท่านใจดีกับข้าขนาดนี้เชียว? “ อินทรนาคราชถามสีหน้าของเขาดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อที่สุบรรณพูดสักเท่าไร



    “ หากเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เขย ข้าก็จะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย “



    ไปๆมาๆก็วกเข้าหาเรื่องเก่าจนได้



    “ ข้ารู้หรอกน่าว่าท่านไม่อยากรับข้าเป็นน้องเขยมากเท่าไร เอาเถอะข้าจะพยายามไม่พูดให้ท่านได้ยินบ่อยๆ ก็แล้วกัน…..พี่เขย “



    สุบรรณเหลียวมอง อินทรนาคราช ในทันที



    “ น้องเขยอย่างเจ้านี้ น่าจะให้ข้าฉีกออกเป็นชิ้นเสียเหลือเกิน “ สุบรรณคำรามเบาๆในลำคอและไม่พูดคุยกับอินทรนาคราชอีก หันกลับมาสั่งนิลบุตรปักษี



    “ นิลบุตรปักษี เจ้าตามไปอารักขา แก้วกุสุมาลย์ด้วย ฝีมืออย่างเจ้างูเขียวนี้ ช่วยเหลือใครไม่ได้หรอกนอกจากตัวเอง “



    ได้ฟังดังนั้นแก้วกุสุมาลย์ค่อยเบาใจได้หน่อยที่ทั้งสองคนยอมเลิกลากันได้



    “ ขอบพระทัยเพคะ เจ้าพี่ “



    สุบรรณแบบมือออกมาทั้งสองพลันปรากฏกล่องไม้ขึ้นมาสองใบ



    “ กล่องใบนี้เสด็จแม่บอกพี่ว่าหากวันใดที่เจ้าออกเรือนไปก็ยกให้เจ้าเมื่อนั้น “



    แก้วกุสุมาลย์ รับกล่องใบนั้นจากสุบรรณมา เมื่อเปิดออกก็พบว่าข้างในเป็นเครื่องเพชรพลอยและอัญมณีมากมายหลายชิ้น ส่วนกล่องอีกใบหนึ่งสุบรรณพูดว่า



    “ ส่วนใบนี้เจ้าเอาไปด้วยเผื่อว่าหลานสาวของ อินทรนาคราช เกิดเป็นฝั่งเป็นฝาขึ้นมาจริงๆจะได้ใช้เป็นของขวัญให้กับหลานของเขาได้ “



    “ เพคะ “



    เมื่อพูดกับแก้วกุสุมาลย์จบแล้วก็หันมาพูดคุยกับ อินทรนาคราช ต่อ



    “ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง อินทรนาคราช เพราะข้าไม่มีวันอภัยให้เจ้าเป็นครั้งที่สองแน่ “



    อินทรนาคราช ก็รับปากอย่างหนักแน่น



    “ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลแก้วกุสุมาลย์เป็นอย่างดี “



    “ ถ้าเจ้าพร้อมเมื่อไร ก็ส่งข่าวมาบอกข้า ข้าจะพาแก้วกุสุมาลย์ ไปส่งเจ้าด้วยตัวเอง “



    “ ได้ เมื่อข้าพร้อมเมื่อไรจะส่งข่าวมาบอกท่าน “



    อินทรนาคราช เดินเข้ามาหาแก้วกุสุมาลย์และจับมือของนางไว้



    “ อีกไม่นานแล้วแก้วกุสุมาลย์ เราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้อยู่ด้วยกัน “



    “ เพคะเสด็จพี่ “



    อินทรนาคราช เดินออกจากตำหนักรับรองไป พร้อมกับแก้วกุสุมาลย์ที่เดินตามไปส่ง พระสวามี



    “ นิลบุตรปักษี เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อมนำทหารของเราไปด้วย อารักขา แก้วกุสุมาลย์ ให้ดี “



    “ พระเจ้าข้า “ นิลบุตรปักษี รับพระกระแสรับสั่งและรีบออกไปดำเนินการในทันที ด้วยหัวใจที่ร่ำร้องอยากจะพบมยุราเทวี แต่นิลกาลหัสดายุ ยังคงครางแคลงใจว่าเหตุใดท่านสุบรรณ ถึงทรงยอมอภัยให้ท่านอินทรนาคราช ได้ง่ายดายเช่นนี้



    ‘ ท่านสุบรรณต้องไม่ทรงยอมง่ายๆเช่นนี้แน่ พระองค์คิดจะทำอะไรกันแน่นะ? ‘



    ระหว่างที่ นิลกาลหัสดายุ คิดอยู่นั้น สุบรรณ ให้ สมิงปักษี ออกไปดูแลรอบๆปราสาทเทพปักษาตามเดิมและเรียกให้ วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุเข้ามาใกล้ๆ



    “ อินทรนาคราช ทำข้าแสบนัก ข้าจะต้องทำให้เขารู้สึกสำนึกเสียบ้างว่า ไม่ใช่แค่เขาคนที่ทำได้ ข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน “



    นิลกาลหัสดายุ นึกไว้แล้วไม่มีผิดว่าท่านสุบรรณ ต้องไม่ทรงยอมง่ายแน่ๆ สุบรรณนิ่งคิดตรึงตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนสั่งพวกเขาว่า



    “ เจ้าสองคนไปตาม โภคินันท์  มาหาข้า “



    พอได้ยินชื่อ โภคินันท์ เท่านั้น ทั้งสองถึงกับมีสีหน้าตกใจความกังวลปรากฏชัดอยู่ในแววตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังขานรับพระบัญชา



    “ พระเจ้าข้า “



    -----------------------------------------------



    ในป่าละแวกใกล้ๆกันกับปราสาทเทพปักษาเป็นสถานที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างรูปร่างวิหคยักษ์ตัวหนึ่ง ลักษณะคล้ายหงส์แต่กำลังทำท่าทางรำแพนหางเพื่ออวดโฉมลวดลายของขน ปีกและหางของตัวเอง  วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุ ร่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า ก่อนลงมายืนที่พื้น มองดูอาณาบริเวณรอบๆ สิ่งก่อสร้างประหลาดแห่งนี้อย่างตั้งใจ ทางเข้าของสถานที่แห่งนี้มีซุ่มบารายแบบแปลกๆที่สลักลวดลายของวิหคนาๆพันธุ์ เมื่อมองเข้าไปข้างในแลเห็นสระดอกบัวสระใหญ่อยู่สระหนึ่ง น้ำทั้งใสและสะอาดราวกับกระจกชั้นดี ฝูงปลาต่างแวกว่ายกันไปมาอยู่ในสระบัวแห่งนั้น ดอกบัวในสระกำลังบานสะพรั่งส่งกลิ่นเกสรให้เหล่าแมลงมาดอดดม ข้างๆสระใหญ่มีโต๊ะศิลาใหญ่อยู่โต๊ะหนึ่งล้อมรอบไปด้วยที่นั่งศิลาอยู่ทั้งหมด ๖ ตัว สายลมพัดผ่านมาพาให้ใบไม้ปลิวว่อน จนกระทบกับซุ่มบารายที่สลักเขียนตัวอักษรเอาไว้



    “ ระบำหงส์วิหคเหิน “



    วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวังสายตาก็สอดส่องหาผู้ที่ต้องการจะพบเจอ



    “ เอ…หรือว่าวันนี้จะไม่อยู่ที่นี้ “ วิมันเยณ์ ออกความเห็น



    ฉับพลันมีเงาร่างที่ปราดเปรียวและว่องไวสุดที่จะมองเห็นพุ่งผ่านพวกเขาไป ทั้งสองใช้สายตาไล่ตามก็ยังไม่ทัน สุดท้ายเงาร่างนั้นก็หยุดลงที่สระใหญ่ แลเห็นบุรษหนุ่มในชุดอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งกำลังใช้พัดรูปนกยูงรำแพนหางพัดหวี่เพื่อคลายความร้อนให้กับตนเอง ปลายเท้าของเขาเตะอยู่ที่ดอกบัวบานดอกหนึ่ง และหันหลังให้กับคนทั้งสอง



    “ เอื้อก “



    สองขุนศึกวิหคกลืนน้ำลายเข้าไปในลำคอ ก่อนที่ นิลกาลหัสดายุ จะเป็นผู้พูดขึ้นว่า



    “ โภคินันท์ ท่านสุบรรณ ให้พวกข้ามาตามเจ้าไปพบ “



    บุรุษหนุ่มผู้นั้นยังคงใช้พัดโบกหวี่ให้กับตัวเองต่อไปก่อนค่อยๆ หันหน้ามองพวกเขา และเผยอริมฝีปากให้กับทั้งสอง บุรุษหนุ่มรูปงาม ใบหน้าคมคาย คิ้วเรียวยาว ดวงตาดังดวงตะวัน ท่าท่างเยื้องย่างดุจพญาหงส์ บุรุษหนุ่มที่เหล่าวิหครุ่นเยาว์ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี



    “ หนุ่มรูปงามรุ่นเยาว์แห่งวิหค             คิ้วจรดโค้งปลายดั่งคันศร

    เทพนิมิตดวงเนตรจิตกร                     งามอัปสรสถิตรักแห่งเทวา

    ครั้นมองพักตร์เย้ายวนสตรีนัก          เสกสลักปั้นแต่งทรงสง่า

    กิริยาท่าทางและวาจา                       ช่างอ่อนหวานเพลินตาผู้ยินยล          

    อาภรณ์ขาวสวมใส่เด่นจำรัส          พลิ้วสะบัดพัดผ่านพาสุขสม

    ดั่งนกน้อยกระเรียนล้อเล่นลม          ในสายชลเชี่ยวกราดลำเนาไพร

    ระบำพัดเป็นอาวุธคู่ถนัด               เทพพิทักษ์สถานสุดสดใส

    วิหคน้อยผ่านภพผู้เกรียงไกร           นามนั้นไซร้คือเจ้าโภคินันท์ ”



    “ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ ของเผ่าพันธุ์วิหค ผู้มีชื่อเคียงคู่กับ มยุราเทวี   ระบำมยุรา โภคินันท์ “



    จบตอนที่ ๒๗ ครับ เย้ๆๆ ในที่สุด โภคินันท์ ก็ออกมาซะที หลังจากที่ถูกดองไว้จนขี้เกลือจับหมดแล้ว นี้คืออาวุธร้ายของ สุบรรณ ที่ส่งมาแก้แค้น อินทรนาคราช โดยเฉพาะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×