ลำดับตอนที่ #27
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : อินทรนาคราช พบ แก้วกุสุมาลย์
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๒๗ อินทรนาคราช พบ แก้วกุสุมาลย์
    ณ ปราสาทเทพปักษา ที่อยู่ของสุบรรณ เหล่าทหารวิหคกำลังตรวจดูเวรยามกันอย่างขันแข็ง สุบรรณและเหล่าทหารคู่ใจคนอื่นๆ ต่างไม่ได้อยู่ในปราสาทเทพปักษาแต่ทั้งหมดออกไปตรวจดูค่ายที่ตั้งรอบๆ บริเวณเขาไกรลาส ข่าวการเคลื่อนไหวของเหล่าขุนพลมารที่แยกย้ายออกจากกองทัพของตนเพื่อไปช่วยกองทัพประตูมนุษย์ ทำให้สถานการณ์รอบๆ บริเวณเขาไกรลาสลดความตึงเครียดลง แต่ถึงกระนั้นสุบรรณก็ยังออกคำสั่งให้เหล่าทหารวิหค มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามกันอยู่ตลอดเวลาและยังเพิ่มจำนวนทหารมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ขณะที่เหล่าทหารกำลังตรวจตราดูบริเวณรอบๆ ปราสาทเทพปักษา ก็เหลือบมองเห็นสัตว์ใหญ่ขนาดยักษ์มุ่งหน้าตรงเข้ายังปราสาทเทพปักษาแต่ไกล
“ ท่านวิมันเยณ์ มีตัวอะไรก็ไม่รู้ตรงมาที่ปราสาทเทพปักษาของเราขอรับ “ ทหารวิหคตนหนึ่งบอกขุนศึกวิหคที่เป็นผู้เฝ้าดูแลปราสาทเทพปักษาแทนสุบรรณ
วิมันเยณ์ ใช้สายตาที่คมกริบมองสัตว์ใหญ่ตัวนั้นจากบนกำแพง “ นั้นมันพญานาคราชนี้น่า ใครกันที่รีบร้อนมายังปราสาทเทพปักษาขนาดนี้? “
ว่าแล้วก็ฉงนใจไม่น้อยทางนครบาดาลต้องมีเรื่องด่วนอะไรซักอย่างแน่ถึงทำให้เชื้อพระวงค์นาคาต้องเสด็จมาด้วยตนเอง
“ ข้าจะลงไปดูที่หน้าประตูเอง พวกเจ้ารีบไปรายงานให้ สมิงปักษี รู้และให้เขาเตรียมกำลังทหารไว้ให้พร้อม “
หลังสั่งการเสร็จ วิมันเยณ์ ก็กระพือปีกลงมาจากกำแพง  ลงมาที่หน้าประตูปราสาทเทพปักษา เหล่าทหารวิหคที่รักษาการณ์ตรงนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาสมทบกับ วิมันเยณ์ ด้วย พญานาคราชเกล็ดสีมรกตเคลื่อนตัวมาจนถึงหน้าปราสาท แล้วจึงค่อยเอ่ยวาจาขึ้นทักทาย
“ วิมันเยณ์ สบายดีหรือ? “ 
เสียงนี้ช่างคุ้นหูวิมันเยณ์ ยิ่งนัก
“ ท่านอินทรนาคราช!!!! “ เมื่อ วิมันเยณ์ รู้ว่าผู้มาเป็นใครรีบสั่งให้ทหารเปิดประตูปราสาทในทันที
“ ทหาร เปิดประตูเร็วเข้า ท่านอินทรนาคราชเสด็จมา “
หลังออกคำสั่ง วิมันเยณ์ ก็กลายร่างเป็นมนุษย์หนุ่มคนหนึ่ง ลักษณะการแต่งกายสวมใส่ชุดสีแดงและใส่กำไลมือทั้งสองข้าง ส่วน อินทรนาคราช เองก็กลายร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักเท่าไร อินทรนาคราช ก็ดูไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย จนทำให้ วิมันเยณ์ มักคิดอยู่เสมอว่า อินทรนาคราช เป็นนาคหนุ่มที่ไม่มีวันแก่หรือนาคหนุ่มที่เป็นหนุ่มอมตะตลอดกาล
“ อภัยให้ข้าด้วย ท่านอินทรนาคราช ข้าไม่รู้ว่าเป็นท่าน “ วิมันเยณ์ กล่าวขออภัย
“ ไม่เป็นไรหรอก วิมันเยณ์ ต้องโทษข้าเองที่รีบร้อนมา  เลยไม่ได้แจ้งข่าวให้เจ้ารู้ล่วงหน้า แล้วนี้สุบรรณอยู่หรือเปล่าล่ะ? “
“ ท่านสุบรรณทรงเสด็จออกไปนอกปราสาทเทพปักษา  อีกสักครู่ก็คงกลับ เชิญท่านอินทรนาคราช เสด็จเข้าไปด้านในก่อนเถอะ พระเจ้าข้า “
วิมันเยณ์ พาอินทรนาคราชเข้าไปภายในปราสาทเทพปักษา ไปยังตำหนักรับรองของเหล่าเผ่าพันธุ์วิหค ระหว่างทางก็ถามถึงเรื่องที่อินทรนาคราช มาพบกับสุบรรณ
“ ท่านอินทรนาคราช คงมีเรื่องสำคัญถึงรีบร้อนมาหาท่านสุบรรณในเวลานี้ “
“ ใช่แล้ว ข้ามีข่าวด่วนที่ได้จาก มันทยนาคา หลานชายของข้าที่นครตรีสุวรรณ  เลยอยากจะมาถามสุบรรณให้แน่ใจก่อนที่ข้าจะเดินทางไปยังนครตรีสุวรรณ “
ระหว่างทางไปตำหนักนั้น สมิงปักษี ก็ตามมาพบกับทั้งสองพอดี
“ คาราวะ ท่านอินทรนาคราช “
“ สมิงปักษี นั้นเองข้านึกว่าใครที่ไหนเสียอีก “ อินทรนาคราชเอ่ยทักทายอีกฝ่าย
“ ข้ายินดียิ่งนักที่ได้พบท่านอินทรนาคราชอีก “ สมิงปักษีว่า
“ ข้าก็เช่นกัน “
อินทรนาคราช ก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่ได้พบกับสมิงปักษี ลึกๆแล้วในปราสาทเทพปักษาคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยากจะต้อนรับนาคอย่างเขา สมิงปักษี เป็นหนึ่งในจำนวนที่ว่า เพราะตัวของสมิงปักษีเป็นพวกลูกครึ่งระหว่างพยัคฆ์กับวิหค ไม่ได้เป็นวิหคโดยสมบูรณ์จึงไม่ได้นึกรังเกียจนาคอย่างเขาเหมือนกับเหล่าวิหคคนอื่นๆ แต่ก่อนนั้นในปราสาทเทพปักษาแบ่งกลุ่มอำนาจออกเป็น ๓ กลุ่มคือ กลุ่มของเชื้อพระวงค์ กลุ่มของเหล่าวิหคโดยแท้ และกลุ่มของเหล่าลูกครึ่งวิหค ซึ่งการแยกกลุ่มทั้ง ๓ ออกมาดังนี้ทำให้เหมือนกับเป็นการสร้างระบบวรรณะขึ้นมากลายๆ กลุ่มลูกครึ่งวิหคนั้นถูกกลุ่มวิหคโดยแท้ ดูถูกดูแคลนเป็นอย่างมาก ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่เหล่าเชื้อพระวงค์วิหคได้ย้ายถิ่นฐานที่อยู่จากวิมานฉิมพลีของเทพสุบรรณ ( พญาครุฑผู้เป็นพาหนะของพระนารายณ์ ) ลงมาก่อสร้างปราสาทเทพปักษาที่เขาไกรลาส กลุ่มวิหคโดยแท้และกลุ่มลูกครึ่งวิหคมักต่อสู้กันเองอยู่เสมอจนเกิดสงครามการเมืองย่อยๆขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงยุคของสุบรรณที่รับสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองปราสาทเทพปักษาต่อจากสุบรรณคนก่อนเหตุการณ์ต่างๆจึงค่อยดีขึ้น เพราะเขาให้ความสำคัญแก่กลุ่มลูกครึ่งวิหคและพยายามทำความเข้าใจกับกลุ่มวิหคโดยแท้ว่า กลุ่มลูกครึ่งวิหคนั้นต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันและเป็นหมู่วิหคเช่นเดียวกันกับพวกเขา ดังนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเป็นวิหคเหมือนกันจึงไม่สมควรที่จะมารบราฆ่าฟันกันเองให้เสียเลือดกันเปล่าๆ แต่ใช่ว่าสุบรรณจะให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกครึ่งวิหคทุกกลุ่ม ยังมีกลุ่มลูกครึ่งวิหคอีกกลุ่มหนึ่งที่สุบรรณรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่ได้พบเห็น นั้นก็คือกลุ่มลูกครึ่งระหว่างนาคกับวิหค โชคยังดีที่ว่าพระนางแก้วกุสุมาลย์ทรงออกหน้ารับดูแลเหล่าลูกครึ่งวิหคกลุ่มนี้เลยทำให้พวกเขาไม่ได้ถูกขับออกจากปราสาทเทพปักษาเหมือนอย่างที่ใครๆคิดเอาไว้ อีกทั้งสุบรรณเองก็ยังเกรงว่าตัวเองถูกติฉันนินทาจากเหล่าเทพได้ว่าไม่มีความยุติธรรมที่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาจัดการกับเรื่องส่วนรวมจึงทรงยอมทำตามที่พระนางแก้วกุสุมาลย์ขอร้อง ( ปัจจุบันนี้ เทพสุบรรณก็ยังอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี เหมือนกันกับที่ อนันตนาคราช อาศัยอยู่ที่เกษียรสมุทร และเป็นบัลลังก์นาคให้พระนารายณ์ทรงประทับ โดยไม่คิดเข้ามาก้าวก่ายและยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของลูกหลานตัวเอง )
ทั้งอินทรนาคราช วิมันเยณ์ และสมิงปักษี ต่างพากันเข้าไปในตำหนักรับรองและพูดคุยกันระหว่างรอให้สุบรรณกลับมา ขณะนั้นพระนางแก้วกุสุมาลย์ที่อยู่ในตำหนักใกล้ๆกัน ทรงได้ยินเสียงเหล่าทหารส่งเสียงร้องเอะอะ จึงทรงตรัสถามเหล่านางกำนัลว่า
“ นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมข้างนอกถึงมีเสียงดังเอะอะ เช่นนี้ “
“ เดี๋ยวหม่อมฉันจะออกไปถามพวกทหารเองเพคะ “
หนึ่งในเหล่านางกำนัลออกไปถามเหล่าทหารแล้วจึงกลับเข้ามาในพระตำหนักทูลตอบพระนางแก้วกุสุมาลย์ว่า
“ พระนางเพคะ เหตุที่มีเสียงดังเอะอะอยู่ด้านนอก ก็เพราะมีแขกจากนครบาดาล มาขอพบท่านสุบรรณเพคะ “
“ แขกจากนครบาดาลอย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าพี่สุบรรณทรงอยู่ที่ไหน? “
“ พระองค์ทรงเสด็จออกไปนอกปราสาทเทพปักษา ยังไม่ทรงกลับมาเลยเพคะ “
เมื่อพระนางรู้เช่นนั้นก็ไม่อยากให้เสียมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี
“ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจงไปจัดเตรียมน้ำสุธารสและนำไปที่ตำหนักรับรองก่อน เดี๋ยวข้าจะตามพวกเจ้าไปทีหลัง “
“ เพคะ “ เหล่านางกำนัลรับพระกระแสรับสั่งของพระนางแก้วกุสุมาลย์
เหล่านางกำนัลทั้งหลายต่างรีบไปที่ห้องเครื่องจัดสำหรับตามรับสั่งและนำเข้าไปยังภายในตำหนักรับรอง และถวายน้ำสุธารสนั้นต่อ อินทรนาคราช หลายนางแอบชะเง้อมองพระพักตร์ของนาคหนุ่มผู้รูปงามก่อน ถวายบังคมลาออกมาจากตำหนักรับรอง
“ ต๊าย คนอะไรก็ไม่รู้หล่อเหลือเกินนะเธอ “
“ นั้นสิ อิจฉาพวกนางกำนัลนาค ที่อยู่ใต้นครบาดาลจัง ในปราสาทเทพปักษาน่าจะมีคนหล่อๆแบบนี้บ้าง จะได้เจริญหูเจริญตา คนหน้าตาดีๆ ออกไปอยู่ข้างนอกกันหมด เหลือแต่พวกหน้าตาไม่เอาถ่านท่านั้นที่เอาไว้ให้พวกเรามอง “  เพื่อนนางกำนัลอีกคนพูดอย่างเห็นด้วย
“ จุ๊ๆ อย่าพูดดังไปเดี๋ยวใครได้ยิน พวกเราก็หัวขาดกันหมดหรอก “
เหล่านางกำนัลรออยู่ที่ด้านนอกตำหนักรับรองเพื่อรอรับเสด็จพระนางแก้วกุสุมาลย์ ส่วนภายในตำหนักรับรอง วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี กำลังพูดคุยอยู่กับ อินทรนาคราช
“ พอจะบอกข้าได้หรือไม่ท่านอินทรนาคราช ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นครตรีสุวรรณ “ วิมันเยณ์ ถามในใจนึกห่วงว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับพระธิดามยุราเทวี หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะได้รีบดำเนินการช่วยเหลือได้ทันท่วงที
“ ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไรหรอก เพียงแต่มันทยนาคาส่งข่าวมาบอกข้าว่า สามมหาเทพทรงส่งเทพอีก ๑ คนมาช่วยพวกมยุราเทวีกับอัคคีนาคาในการทำศึกกับกัลย์ปาอสูร “
“ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ทำไมพวกข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย? “ สมิงปักษี รู้สึกกังขาเสียเหลือเกิน
“ นั้นสิ “ วิมันเยณ์ ขานรับกับคำพูดของ สมิงปักษีด้วย
“ อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย แม้แต่ข้าเองในตอนแรกก็ยังไม่อยากจะเชื่อแต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เทพองค์นี้อาจเป็นคนของตระกูลเทวะก็ได้ “
“ อะไรนะ....คนจากตระกูลเทวะอย่างนั้นหรือ? “ ทั้งสองทำสีหน้าเหมือนได้ยินเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต
“ จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้มาว่านับตั้งแต่ก่อนสงครามไตรดายุค ก็ยังไม่มีใครเคยพบเห็นคนของตระกูลเทวะมาก่อน จนเดี๋ยวนี้ข้าก็ยังคิดเลยว่าที่เขาเล่าต่อกันมามันเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น แล้วทำไมจู่ๆพวกเขาทั้งได้ปรากฏตัวออกมาล่ะ? “ วิมันเยณ์ไม่อยากจะเชื่อว่าที่ อินทรนาคราช พูดมาจะเป็นความจริง
“ ข้าก็คิดอย่างเจ้านี้แหละ วิมันเยณ์ ข้าถึงได้มาขอความเห็นจากสุบรรณไงละ เผื่อสุบรรณอาจจะพอรู้คำตอบบ้างก็ได้ “
วิมันเยณ์ กำลังจะพูดต่อก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ สุบรรณท่านกลับมาแล้วหรือ? ข้ากำลังรอท่านอยู่พอดี “
อินทรนาคราช พูดกับสุบรรณก่อนหันหน้ากลับมามอง แต่อีกฝ่ายหาใช่สุบรรณไม่และเพียงแค่เขามองเห็นอีกฝ่ายก็ถึงกับตกตะลึง ส่วนอีกฝ่ายนั้นเล่าก็ยืนนิ่งเหมือนดั่งต้องมนต์
“ แก้ว...แก้วกุสุมาลย์!! “ อินทรนาคราช ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนมองนางโดยลืมไปว่ามี วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี อยู่ในห้องนั้นด้วย
“ เสด็จพี่อินทรนาคราช!! “ พระนางแก้วกุสุมาลย์เองก็ทรงตรัสชื่อพระสวามีออกมาโดยไม่ตั้งพระทัย
อินทรนาคราช  ไม่สนใจใครหรืออะไรอีกเลยตรงเข้าไปกอดแก้วกุสุมาลย์เอาไว้
“ นี้พี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? แก้วกุสุมาลย์ นี้เจ้าจริงๆ ใช่ไหม? “ อินทรนาคราช ละลักถามอย่างไม่แน่ใจ
“ เสด็จพี่อินทรนาคราชของหม่อมฉัน ใช่เสด็จพี่จริงๆด้วย “ แก้วกุสุมาลย์ หลั่งน้ำตาออกมาอย่างดีพระทัยที่ได้พบพระสวามีสุดที่รักอีกครั้งหลังจากพลัดพรากจากกันมาเป็นเวลานาน
วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี ต่างมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าในขณะนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ความรักของอินทรนาคราช และ แก้วกุสุมาลย์ นั้นช่างเป็นรักที่ทรมานยิ่งนัก นับตั้งแต่ อินทรนาคราช ออกจากนครบาดาลและหลบไปบำเพ็ญตบะบารีนั้น มีอยู่วันหนึ่งที่เขากำลังนั่งบำเพ็ญตบะบารีอยู่แต่เกิดรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูกไม่ว่าจะรวบรวมสามาธิอย่างไรก็ไม่สามารถทำจิตให้แน่วแน่ได้ จึงตัดสินใจออกจากถ้ำที่พำนักมาอาบน้ำในลำธารเพื่อให้รู้สึกสบายตัว ในตอนนั้นๆเองเขาก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องขอความช่วยเหลืออยู่ในป่า เขาจึงรีบตามเสียงนั้นมาก็พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งถูกวิหคยักษ์ใจร้ายฉุดคร่าอยู่ เขาจึงเข้าช่วยเหลือนางให้พ้นจากอันตราย และนั้นก็เป็นบ่อเกิดความรักของเขา ครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นหน้าของนางเขาก็เหมือนถูกศรรักปักอกในทันที ถึงเขาจะช่วยเหลือนางจากวิหคยักษ์ตัวนั้นได้แต่นางก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขาจึงต้องคอยเฝ้าดูแลนางอยู่อย่างใกล้ชิด ในตอนนั้นเขาเพียงแค่รู้ชื่อของนางเท่านั้นว่า นางชื่อแก้วกุสุมาลย์ โดยไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน จากความใกล้ชิดของทั้งสองทำให้แก้วกุสุมาลย์มีใจรักตอบเขาเช่นกัน จนในที่สุดเขาและนางก็ได้มีสัมพันธ์รักกันในป่าแห่งนั้น นั้นเป็นช่วงเวลาที่เขาและนางมีความสุขมากที่สุด แต่แล้วพอแก้วกุสุมาลย์รู้ว่าอินทรนาคราชเป็นนาค ก็กลัวว่าสุบรรณผู้เป็นพี่ชายอาจตามมาราวีคนรักของนางได้ นางจึงหักใจแอบหนีอินทรนาคราช กลับมาที่ปราสาทปักษาโดยไม่รู้ว่าตัวนางกำลังตั้งครรภ์ลูกของอินทรนาคราชอยู่ และยิ่งต้องตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อมารู้ในภายหลังว่า อินทรนาคราช เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเจ้าพี่นาง ดังนั้นเมื่อแก้วกุสุมาลย์คลอดมยุราเทวีออกมาจึงไม่ยอมบอกให้สุบรรณได้ล่วงรู้ว่าใครคือพ่อของมยุราเทวี อินทรนาคราช เองเมื่อรู้ว่าแก้วกุสุมาลย์ หายไปก็ออกตามหาไปทุกที่ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้พบกับแก้วกุสุมาลย์เลย อินทรนาคราช แทบจะตรอมใจตายในขณะนั้น ร้อนถึงเวทิศดาบส อาจารย์ของอินทรนาคราช ที่ล่วงรู้โดยญาณ ต้องมาตักเตือนศิษย์ให้ทำใจยอมรับในโชคชะตา แต่พอเขาถามอาจารย์ถึงเรื่องของแก้วกุสุมาลย์ อาจารย์ของเขาก็ไม่ตอบ บอกแต่เพียงว่า สักวันเขาจะได้พบกับนางเอง และแล้ววันที่เขาเฝ้ารอคอยก็มาถึง นั้นก็คือวันนี้ๆเอง
“ พี่คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าเจ้าเสียแล้ว แก้วกุสุมาลย์ “
“ หม่อมฉันก็เหมือนกันเพคะเสด็จพี่ “
อินทรนาคราช ดันตัวของแก้วกุสุมาลย์ออกมาจากอ้อมอกพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของนาง หน้าของหญิงสาวที่เขารักมากที่สุดในชีวิต
“ ทำไม เจ้าถึงหนีพี่มา แก้วกุสุมาลย์ บอกพี่สิ พี่ทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ? “
แก้วกุสุมาลย์ไม่รู้ว่าจะตอบว่ากระไรดี
“ หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เจ้าพี่ฟังอย่างไรดี “ นางว่าแล้วก็ร้องไห้
“ ท่านอินทรนาคราช พระนางแก้วกุสุมาลย์ นี้มันเรื่องอะไรกัน? บอกข้าหน่อยเถอะ “ สมิงปักษี ร้อนใจยิ่งนักกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเขาและนางแสดงกิริยาอาการเช่นนี้
“ พระนางแก้วกุสุมาลย์ นี้เจ้าเรียกแก้วกุสุมาลย์ว่า พระนางอย่างนั้นหรือ? “
สมิงปักษีตอบ
“ ใช่แล้วท่านอินทรนาคราช พระนางแก้วกุสุมาลย์ทรงเป็นพระขนิษฐาของท่านสุบรรณ และเป็นผู้ดูแลเขตพระราชฐานฝ่ายในทั้งหมดของปราสาทเทพปักษา “
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อินทรนาคราช ทั้งตกใจและตกตะลึง
“ นี้เจ้าเป็นน้องของสุบรรณจริงๆอย่างนั้นหรือ? “
แก้วกุสุมาลย์ ร้องไห้ไม่หยุดพร้อมกับตอบอินทรนาคราชว่า
“ เพคะเสด็จพี่ หม่อมฉันเป็นน้องของเจ้าพี่สุบรรณเพคะ “
ถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไม แก้วกุสุมาลย์ ถึงได้หนีเขาไป
“ ทำไมเจ้าไม่บอกพี่แต่แรก แก้วกุสุมาลย์  “
“ หม่อมฉัน ไม่อยากให้เจ้าพี่ทรงเป็นอะไรเพคะ และไม่อยากให้ลูกของเราต้องลำบากด้วย “
ใจของอินทรนาคราช แทบจะร้อนดังไฟเมื่อได้ยินแก้วกุสุมาลย์พูดถึงลูก
“ ลูก.....เจ้ามีกับพี่ด้วยหรือ? แล้วตอนนี้ลูกของเราอยู่ไหน? “
แก้วกุสุมาลย์ตอบ
“ ตอนนี้ลูกเราไม่ได้อยู่ที่ปราสาทเทพปักษาเพคะเสด็จพี่ มยุราเทวี ลูกเราอยู่ในระหว่างเดินทางปราบกัลย์ปาอสูรอยู่เพคะ “
“ อะไรนะ มยุราเทวี เป็นลูกพี่อย่างนั้นหรือ “
อินทรนาคราช ทั้งตกใจและดีใจที่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดและดีใจมากขึ้นอีกเท่าตัวที่รู้ว่าเขากับแก้วกุสุมาลย์มีลูกด้วยกัน แต่นั้นก็ทำให้ฉากรักฉากนี้จบลงอย่างรวดเร็ว
“ ผัวะ “  หมัดหนักๆของใครคนหนึ่ง ซัด อินทรนาคราช จนเซถลา พร้อมกับไล่ตามติดเขาเหมือนเงาตามตัว น้ำหนักหมัดนี้เขารู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร
“ เจ้างูเขียว  เจ้าเองที่ทำให้น้องข้าท้องไม่มีพ่อ “  หน้าตาของสุบรรณในยามนี้หากใครได้มองก็รู้ว่าทั้งโกรธทั้งแค้นเพียงไหน
“ สุ.....บรรณ “ อินทรนาคราชค่อยๆหันหน้ากลับมาและส่งสายตาเข้าปะทะกับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
สองมือของ แก้วกุสุมาลย์ ยกขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ เป็นห่วงอินทรนาคราชก็เป็นห่วง กลัวพี่ชายหรือก็กลัว เรื่องที่นางปกปิดมานาน มันได้เปิดเผยให้คนที่นางไม่อยากให้ล่วงรู้มากที่สุด รู้จนได้ ไม่ใช่แค่แก้วกุสุมาลย์เท่านั้นที่ตกใจคนอื่นๆรวมทั้งนิลบุตรปักษีและนิลกาลหัสดายุ ที่เข้ามาในตำหนักรับรองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน
“ เจ้าว่าไงนิลบุตรปักษี ระหว่างเสด็จลุงของนกยูงกับว่าที่พ่อตา เจ้าจะเลือกช่วยใคร?
“ ยังจะมาพูดเล่นอีก “ นิลบุตรปักษี เอ็ดเพื่อนรักใจคอรู้สึกไม่ดีเหลือเกิน
ทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งสายตาเข้ามากันอย่างรุนแรงในตอนนี้เรื่องอื่นๆแทบจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
“ หมัดของท่านยังคงหนักเหมือนเดิมเลยนะพี่เขย “
คำพูดนี้ของอินทรนาคราช แทบทำให้ลูกตาของสุบรรณทะลุออกมา
“ เจ้างูเขียว “ สุบรรณร้องลั่นพร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมายังที่ปราสาทเทพปักษานับร้อยสาย ความรุนแรงนั้นรุนแรงยิ่งกว่ามีมยุราเทวีสิบคนรวมกันใช้พระเวทย์อัสนีบาตเสียอีก ปราสาทเทพปักษาสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง เห็นได้ชัดว่าความโกรธของสุบรรณรุนแรงเพียงไหน สุบรรณระบายความโกรธแค้นกับอินทรนาคราชอย่างบ้าคลั่ง
“ เจ้างูเขียว เจ้าสัตว์นรกไปตายซะ “
สุบรรณ ผนึกพลังสายฟ้ามาที่หมัดสองข้างอย่างเต็มที่พร้อมกับพุ่งหมัดอัดอินทรนาคราชแบบไม่ยั้ง โดยที่อินทรนาคราช ไม่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ทุกคนที่ได้มองต่างขนพองสยองเกล้า แก้วกุสุมาลย์เองถึงกับทรุดตัวลงไปกอดขาของพี่ชายเอาไว้
“ เจ้าพี่พอเถอะเพคะ อย่าทำอะไรเสด็จพี่อินทรนาคราชเลยเพคะ “
แต่ไม่ว่าแก้วกุสุมาลย์จะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะตอนนี้สุบรรณกำลังหน้ามืดไม่สนใจอะไรทั้งนั้นทั้งใช้พลังขับแก้วกุสุมาลย์จนกระเด็นออกมา
“ ฆ่าๆๆๆ “
หมัดแล้วหมัดเล่าที่ประเคนใส่ อินทรนาคราช ทั้งหนักหน่วงและรุนแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบโต้แต่อย่างใด จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ แววตาของสุบรรณถึงค่อยกลับมาเป็นอย่างเดิม ส่วนอินทรนาคราช นั้นไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด เพราะเขาใช่พระเวทย์เพชรมหากาฬต้านทานหมัดที่พุ่งเข้ามาและแอบขับพลังสายฟ้าที่กระจายอยู่ในร่างให้ผ่านลงสู่ปลายเท้าและไหลลงสู่พื้นปฐพีจนหมด
“ พอใจหรือยังพี่เขย? “ อินทรนาคราช ถาม ถึงแม้เขาจะไม่รับบาดเจ็ดจากหมัดของสุบรรณ แต่การตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวก็ทำให้เขาเองสูญเสียพลังไปไม่น้อย
แก้วกุสุมาลาย์ คิดพยุงตัวสุบรรณเอาไว้แต่สุบรรณยกมือห้ามแล้วค่อยๆ เดินไปนั่งพักที่เก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด ส่วนเก้าอี้ตัวอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ต่างก็กระจายกันออกมา บ้างก็ล้มระเนระนาดเพราะฝีมือของเขา
“ แสบจริงๆ อินทรนาคราช เจ้าทำข้าแสบมาก “
แก้วกุสุมาลย์รีบเข้ามาพยุง อินทรนาคราช เอาไว้ นางคิดไว้ว่าหากเจ้าพี่ของนางคิดจะฆ่าอินทรนาคราช จริงๆ นางก็ขอตายพร้อมกับเขาด้วย สุบรรณสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงก่อนปล่อยออก และออกคำสั่งกับนิลบุตรปักษี และ นิลกาลหัสดายุ
“ นิลบุตรปักษี นิลกาลหัสดายุ “  สุบรรณ พูดด้วยน้ำเสียแข็งกร้าวจนทั้งสองต้องรีบขานรับ
“ พระเจ้าข้า “
“ จัดที่นั่งให้เรียบร้อย “
ทั้งสองรู้สึกแปลกใจอยู่ๆสุบรรณก็เปลี่ยนท่าทีแต่ก็รีบทำตามเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังเมื่อครู่ขึ้นอีก วิมันเยณ์และสมิงปักษี ก็รีบช่วยทั้งสองอีกแรง แก้วกุสุมาลย์ค่อยๆประคองอินทรนาคราชนั่งลง ส่วนสุบรรณ มองดูทั้งสองคนไปหัวเราะไป
“ ฮะๆๆๆ พรหม....พรหมลิขิต ชัดๆ ข้ากับเจ้าเคยสู้กันแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายหลานสาวที่ข้ารักมากที่สุด ก็คือลูกของเจ้า แก้วกุสุมาลย์เจ้าทำอย่างนี้กับพี่ได้อย่างไร? “
“ หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ “ แก้วกุสุมาลย์ไม่มีคำพูดอื่นใดที่จะแก้ตัวอีก
“ อย่าโทษนาง นางไม่ใช่คนผิด คนที่ผิดคือข้าเอง หากท่านยังคิดแค้นเคืองอยู่ก็ขอให้ลงมือกับข้าเถอะอย่าทำอะไรแก้วกุสุมาลย์เลย “ อินทรนาคราชพูดขอร้องสุบรรณ
“ หึ พูดง่ายดีนิ เจ้างูเขียว หากข้าฆ่าเจ้าจริง นกยูง คงโกรธข้าชั่วชีวิต หากจะโทษต้องโทษข้าเองที่เดินหมากไม่ดูตาม้าตาเรือสุดท้ายก็โดนตัวขุนอย่างเจ้ากินเรียบจนหมดกระดาน “
“ พูดไปพูดมา จะบอกข้าว่าท่านรู้สึกเสียหน้าที่ได้ข้ามาเป็นน้องเขยใช่ไหม? “ อินทรนาคราชพูดจี้ใจดำอีกฝ่าย
“ อย่าทำมาเป็นรู้ดี อินทรนาคราช เดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนใจจากที่จะให้เจ้ามาเป็นน้องเขยข้า เปลี่ยนให้เจ้ามาเป็นอาหารมื้อเย็นของข้าแทน “ อินทรนาคราชพูดแทงใจดำได้ตรงเผง สุบรรณ แค่รู้สึกเสียหน้าเท่านั้น จริงๆแล้วยังคงรักและเป็นห่วงมยุราเทวีผู้เป็นหลานสาวอยู่ถึงไม่กล้าลงไม้ลงมือกับอินทรนาคราชมากกว่านี้
“ เราต่างก็ศรัทธากันและกันมานาน ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ “
สุบรรณรู้ดีว่า อินทรนาคราช เป็นคนเช่นไร
“ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นพ่อของนกยูง ข้าจะยอมละเว้นเจ้าสักครั้งหนึ่ง แต่ข้าบอกไว้ก่อนหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นห้ามเรียกข้าว่าพี่เขยอีก มันทำให้ข้ารู้สึกแสลงใจเข้าใจไหม? “
“ เข้าใจสิ “ อินทรนาคราช ยิ้มกวนๆก่อนเอ่ยวาจา ออกมา
“ พี่เขย “
“ เปรี้ยง “ เสาตำหนักรับรองที่อยู่ใกล้สุบรรณมากที่สุดแหลกในทันที
“ เมื่อก่อนข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด แต่จริงๆแล้วเจ้าเป็นคนที่โง่และดื้อด้านมากกว่า “
“ ข้ากับท่านมันก็คนประเภทเดียวกันนั้นแหละ “ อินทรนาคราช ตอบกลับ
“ อย่าพูดให้มากความเลย อินทรนาคราช มาพูดเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร? “
เมื่อได้ยินที่สุบรรณถาม อินทรนาคราช จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้สุบรรณฟัง พออินทรนาคราชเล่าจบ สุบรรณก็พูดขึ้นว่า
“ ตั้งแต่ก่อนนกยูงและเหล่าเทพคนอื่นๆจะแยกย้ายไปยังนครต่างๆ ทหารสอดแนบของข้าก็เคยรายงานให้ข้าฟังว่าตอนที่เขียนแผนที่นครต่างๆให้ นกยูง นั้นก็มีชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักร่วมอยู่ด้วยแล้ว น่าจะใช่คนที่เจ้าพูดถึง “
สุบรรณนิ่งคิดอยู่พักใหญ่
“ สุร...เทวะ วารีศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเทวะผู้ลึกลับ ประโยคนี้ข้าเกือบไปแล้วด้วยซ้ำ “
อินทรนาคราช ถามแบบไม่อ้อมค้อม
“ ท่านว่า เหตุใดตระกูลเทวะถึงได้ปรากฏตัวขึ้น? “
“ คำสั่งมหาเทพ “ สุบรรณตอบ
“ คำสั่งมหาเทพอย่างนั้นหรือ? “ คำตอบของสุบรรณยังไม่คลายความสงสัยให้อินทรนาคราชได้
สุบรรณพยักหน้าและพูดต่อว่า
“ เดิมที ตระกูลเทวะมีหน้าที่เฝ้ารับใช้พระนารายณ์คล้ายๆกับพวกเหล่าสาวก แม้กระทั่งตอนเกิดสงครามครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ หลายๆคนต่างก็คิดว่าพวกเขาคงจะเข้าร่วมในศึกสงครามครั้งนั้นด้วย แต่เปล่าเลยตระกูลเทวะไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอย่างที่ใครๆคิดไว้ทั้งยังปกปิดร่องรอยตัวเองไม่ให้ใครพบเจออีกต่างหาก มีเรื่องเล่าลือต่อกันมาหลายต่อหลายปากว่าเป็นคำสั่งห้ามจากมหาเทพไม่ให้ตระกูลเทวะเข้ามายุ่งและเกี่ยวข้องในสงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ “
“ เพราะเหตุใด? “ อินทรนาคราชถาม
“ เพราะว่าตระกูลเทวะไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเข้าร่วมในศึกสงครามครั้งนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องปรากฏตัวขึ้นมา “ คำตอบที่ได้รับเหมือนไม่ใช่คำตอบ
“ ทำไมเหตุผลที่ท่านยกมามันง่ายขนาดนี้ ถ้าหากเพราะเหตุผลเพียงแค่นี้ข้าคงไม่สู้ลำบากมาถึงปราสาทเทพปักษาแห่งนี้หรอก “ ด้วยเหตุผลแค่นี้อินทรนาคราชเองก็คิดได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็ไม่น่ามาหาสุบรรณให้ยุ่งยากตั้งแต่แรก แต่ถ้าทำเช่นนั้นเขาก็จะไม่มีวันได้พบเจอกับแก้วกุสุมาลย์เลย
“ อย่าใจร้อนสิ อินทรนาคราช ข้ายังเล่าต่อไม่จบ ที่ว่าตระกูลเทวะไม่เกี่ยวข้องกับศึกสงครามครั้งนั้นก็เพราะว่ามหาเทพมีคำสั่งให้พวกเขาเฝ้ารอคอยและทำสงครามครั้งนี้ต่างหาก “
“ ถ้างั้นก็หมายความว่า......... “
“ ใช่ ...มหาเทพทรงรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่พระองค์จะทรงอวตาลมาปราบยุคเข็ญด้วยพระองค์เองจึงทรงให้ตระกูลเทวะทำหน้าที่รับผิดชอบในการทำศึกสงครามครั้งนี้แทน “
“ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม จึงจดจำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้? “ อินทรนาคราช ยังข้องใจในเรื่องนี้อยู่นับตั้งแต่รู้ข่าวจาก มันทยานาคา
“ หากจะให้ข้าเดา .....ข้าคิดว่าคงมีคนลบความทรงจำของเขาทิ้งไป “ สุบรรณตอบ
คำตอบนี้สร้างคำถามใหม่อีกมากมายให้กับ อินทรนาคราช
“ ลบความทรงจำ? จะลบความทรงจำของเขาทำไมเพื่อประโยชน์อะไร? “
“ ข้าไม่รู้แต่หากความทรงจำของ น้ำทิพย์ที่สาม กลับคืนมาเราอาจได้คำตอบบ้าง “ สุบรรณว่า
“ ถ้าเช่นนั้น ท่านกับข้าควรร่วมมือกัน เพื่อช่วยกันดึงความทรงจำของเขากลับคืนมา ท่านเห็นด้วยหรือไม่? “
สุบรรณส่ายหน้า
“ ไม่มีประโยชน์หรอก อินทรนาคราช คนที่สามารถลบความทรงจำคนของตระกูลเทวะได้นั้น จะต้องมีพลังมหาศาลมาก บางทีแม้แต่เจ้ากับข้าก็ยังช่วยอะไรเขาไม่ได้ นอกเสียจากว่า......”
“ นอกเสียจากอะไร? “
“ มหาเทพทั้งสามจะเป็นผู้ดึงความทรงจำของเขากลับมาเอง หรือไม่ก็ได้ดอกปาริชาตในสวนสวรรค์มาให้เขาดมเพื่อดึงความทรงจำของเขากลับคืนมาอีกครั้ง แต่เจ้ากล้าบุกเข้าไปเอาดอกปาริชาตในสวนสวรรค์หรือเปล่าล่ะ? “
ความเป็นไปได้ไม่มีเลย
“ หากท่านเป็นเทพสุบรรณ แล้วข้าเป็นอนันตนาคราช ยังจะพอมีทางเป็นไปได้บ้าง “
“ ถ้าเช่นนั้นก็เลิกคิดเสียเถอะ “  สุบรรณบอกก่อนค่อยๆลุกขึ้นและมองออกไปข้างนอกตำหนักรับรอง
“ เจ้าจะไปนครตรีสุวรรณจริงๆหรือ? “
อินทรนาคราช พยักหน้ารับ
“ ไหนๆ ก็จะไปแล้ว พา แก้วกุสุมาลย์ ไปด้วยกันสิ เจ้าจะได้พบกับ นกยูง พ่อแม่ลูกจะได้อยู่กันพร้อมหน้า “
“ ท่านใจดีกับข้าขนาดนี้เชียว? “ อินทรนาคราชถามสีหน้าของเขาดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อที่สุบรรณพูดสักเท่าไร
“ หากเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เขย ข้าก็จะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย “
ไปๆมาๆก็วกเข้าหาเรื่องเก่าจนได้
“ ข้ารู้หรอกน่าว่าท่านไม่อยากรับข้าเป็นน้องเขยมากเท่าไร เอาเถอะข้าจะพยายามไม่พูดให้ท่านได้ยินบ่อยๆ ก็แล้วกัน ..พี่เขย “
สุบรรณเหลียวมอง อินทรนาคราช ในทันที
“ น้องเขยอย่างเจ้านี้ น่าจะให้ข้าฉีกออกเป็นชิ้นเสียเหลือเกิน “ สุบรรณคำรามเบาๆในลำคอและไม่พูดคุยกับอินทรนาคราชอีก หันกลับมาสั่งนิลบุตรปักษี
“ นิลบุตรปักษี เจ้าตามไปอารักขา แก้วกุสุมาลย์ด้วย ฝีมืออย่างเจ้างูเขียวนี้ ช่วยเหลือใครไม่ได้หรอกนอกจากตัวเอง “
ได้ฟังดังนั้นแก้วกุสุมาลย์ค่อยเบาใจได้หน่อยที่ทั้งสองคนยอมเลิกลากันได้
“ ขอบพระทัยเพคะ เจ้าพี่ “
สุบรรณแบบมือออกมาทั้งสองพลันปรากฏกล่องไม้ขึ้นมาสองใบ
“ กล่องใบนี้เสด็จแม่บอกพี่ว่าหากวันใดที่เจ้าออกเรือนไปก็ยกให้เจ้าเมื่อนั้น “
แก้วกุสุมาลย์ รับกล่องใบนั้นจากสุบรรณมา เมื่อเปิดออกก็พบว่าข้างในเป็นเครื่องเพชรพลอยและอัญมณีมากมายหลายชิ้น ส่วนกล่องอีกใบหนึ่งสุบรรณพูดว่า
“ ส่วนใบนี้เจ้าเอาไปด้วยเผื่อว่าหลานสาวของ อินทรนาคราช เกิดเป็นฝั่งเป็นฝาขึ้นมาจริงๆจะได้ใช้เป็นของขวัญให้กับหลานของเขาได้ “
“ เพคะ “
เมื่อพูดกับแก้วกุสุมาลย์จบแล้วก็หันมาพูดคุยกับ อินทรนาคราช ต่อ
“ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง อินทรนาคราช เพราะข้าไม่มีวันอภัยให้เจ้าเป็นครั้งที่สองแน่ “
อินทรนาคราช ก็รับปากอย่างหนักแน่น
“ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลแก้วกุสุมาลย์เป็นอย่างดี “
“ ถ้าเจ้าพร้อมเมื่อไร ก็ส่งข่าวมาบอกข้า ข้าจะพาแก้วกุสุมาลย์ ไปส่งเจ้าด้วยตัวเอง “
“ ได้ เมื่อข้าพร้อมเมื่อไรจะส่งข่าวมาบอกท่าน “
อินทรนาคราช เดินเข้ามาหาแก้วกุสุมาลย์และจับมือของนางไว้
“ อีกไม่นานแล้วแก้วกุสุมาลย์ เราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้อยู่ด้วยกัน “
“ เพคะเสด็จพี่ “
อินทรนาคราช เดินออกจากตำหนักรับรองไป พร้อมกับแก้วกุสุมาลย์ที่เดินตามไปส่ง พระสวามี
“ นิลบุตรปักษี เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อมนำทหารของเราไปด้วย อารักขา แก้วกุสุมาลย์ ให้ดี “
“ พระเจ้าข้า “ นิลบุตรปักษี รับพระกระแสรับสั่งและรีบออกไปดำเนินการในทันที ด้วยหัวใจที่ร่ำร้องอยากจะพบมยุราเทวี แต่นิลกาลหัสดายุ ยังคงครางแคลงใจว่าเหตุใดท่านสุบรรณ ถึงทรงยอมอภัยให้ท่านอินทรนาคราช ได้ง่ายดายเช่นนี้
‘ ท่านสุบรรณต้องไม่ทรงยอมง่ายๆเช่นนี้แน่ พระองค์คิดจะทำอะไรกันแน่นะ? ‘
ระหว่างที่ นิลกาลหัสดายุ คิดอยู่นั้น สุบรรณ ให้ สมิงปักษี ออกไปดูแลรอบๆปราสาทเทพปักษาตามเดิมและเรียกให้ วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุเข้ามาใกล้ๆ
“ อินทรนาคราช ทำข้าแสบนัก ข้าจะต้องทำให้เขารู้สึกสำนึกเสียบ้างว่า ไม่ใช่แค่เขาคนที่ทำได้ ข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน “
นิลกาลหัสดายุ นึกไว้แล้วไม่มีผิดว่าท่านสุบรรณ ต้องไม่ทรงยอมง่ายแน่ๆ สุบรรณนิ่งคิดตรึงตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนสั่งพวกเขาว่า
“ เจ้าสองคนไปตาม โภคินันท์  มาหาข้า “
พอได้ยินชื่อ โภคินันท์ เท่านั้น ทั้งสองถึงกับมีสีหน้าตกใจความกังวลปรากฏชัดอยู่ในแววตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังขานรับพระบัญชา
“ พระเจ้าข้า “
-----------------------------------------------
ในป่าละแวกใกล้ๆกันกับปราสาทเทพปักษาเป็นสถานที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างรูปร่างวิหคยักษ์ตัวหนึ่ง ลักษณะคล้ายหงส์แต่กำลังทำท่าทางรำแพนหางเพื่ออวดโฉมลวดลายของขน ปีกและหางของตัวเอง  วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุ ร่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า ก่อนลงมายืนที่พื้น มองดูอาณาบริเวณรอบๆ สิ่งก่อสร้างประหลาดแห่งนี้อย่างตั้งใจ ทางเข้าของสถานที่แห่งนี้มีซุ่มบารายแบบแปลกๆที่สลักลวดลายของวิหคนาๆพันธุ์ เมื่อมองเข้าไปข้างในแลเห็นสระดอกบัวสระใหญ่อยู่สระหนึ่ง น้ำทั้งใสและสะอาดราวกับกระจกชั้นดี ฝูงปลาต่างแวกว่ายกันไปมาอยู่ในสระบัวแห่งนั้น ดอกบัวในสระกำลังบานสะพรั่งส่งกลิ่นเกสรให้เหล่าแมลงมาดอดดม ข้างๆสระใหญ่มีโต๊ะศิลาใหญ่อยู่โต๊ะหนึ่งล้อมรอบไปด้วยที่นั่งศิลาอยู่ทั้งหมด ๖ ตัว สายลมพัดผ่านมาพาให้ใบไม้ปลิวว่อน จนกระทบกับซุ่มบารายที่สลักเขียนตัวอักษรเอาไว้
“ ระบำหงส์วิหคเหิน “
วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวังสายตาก็สอดส่องหาผู้ที่ต้องการจะพบเจอ
“ เอ หรือว่าวันนี้จะไม่อยู่ที่นี้ “ วิมันเยณ์ ออกความเห็น
ฉับพลันมีเงาร่างที่ปราดเปรียวและว่องไวสุดที่จะมองเห็นพุ่งผ่านพวกเขาไป ทั้งสองใช้สายตาไล่ตามก็ยังไม่ทัน สุดท้ายเงาร่างนั้นก็หยุดลงที่สระใหญ่ แลเห็นบุรษหนุ่มในชุดอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งกำลังใช้พัดรูปนกยูงรำแพนหางพัดหวี่เพื่อคลายความร้อนให้กับตนเอง ปลายเท้าของเขาเตะอยู่ที่ดอกบัวบานดอกหนึ่ง และหันหลังให้กับคนทั้งสอง
“ เอื้อก “
สองขุนศึกวิหคกลืนน้ำลายเข้าไปในลำคอ ก่อนที่ นิลกาลหัสดายุ จะเป็นผู้พูดขึ้นว่า
“ โภคินันท์ ท่านสุบรรณ ให้พวกข้ามาตามเจ้าไปพบ “
บุรุษหนุ่มผู้นั้นยังคงใช้พัดโบกหวี่ให้กับตัวเองต่อไปก่อนค่อยๆ หันหน้ามองพวกเขา และเผยอริมฝีปากให้กับทั้งสอง บุรุษหนุ่มรูปงาม ใบหน้าคมคาย คิ้วเรียวยาว ดวงตาดังดวงตะวัน ท่าท่างเยื้องย่างดุจพญาหงส์ บุรุษหนุ่มที่เหล่าวิหครุ่นเยาว์ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี
“ หนุ่มรูปงามรุ่นเยาว์แห่งวิหค            คิ้วจรดโค้งปลายดั่งคันศร
เทพนิมิตดวงเนตรจิตกร                    งามอัปสรสถิตรักแห่งเทวา
ครั้นมองพักตร์เย้ายวนสตรีนัก          เสกสลักปั้นแต่งทรงสง่า
กิริยาท่าทางและวาจา                      ช่างอ่อนหวานเพลินตาผู้ยินยล         
อาภรณ์ขาวสวมใส่เด่นจำรัส          พลิ้วสะบัดพัดผ่านพาสุขสม
ดั่งนกน้อยกระเรียนล้อเล่นลม          ในสายชลเชี่ยวกราดลำเนาไพร
ระบำพัดเป็นอาวุธคู่ถนัด              เทพพิทักษ์สถานสุดสดใส
วิหคน้อยผ่านภพผู้เกรียงไกร          นามนั้นไซร้คือเจ้าโภคินันท์ ”
“ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ ของเผ่าพันธุ์วิหค ผู้มีชื่อเคียงคู่กับ มยุราเทวี  ระบำมยุรา โภคินันท์ “
จบตอนที่ ๒๗ ครับ เย้ๆๆ ในที่สุด โภคินันท์ ก็ออกมาซะที หลังจากที่ถูกดองไว้จนขี้เกลือจับหมดแล้ว นี้คืออาวุธร้ายของ สุบรรณ ที่ส่งมาแก้แค้น อินทรนาคราช โดยเฉพาะ
ตอนที่ ๒๗ อินทรนาคราช พบ แก้วกุสุมาลย์
    ณ ปราสาทเทพปักษา ที่อยู่ของสุบรรณ เหล่าทหารวิหคกำลังตรวจดูเวรยามกันอย่างขันแข็ง สุบรรณและเหล่าทหารคู่ใจคนอื่นๆ ต่างไม่ได้อยู่ในปราสาทเทพปักษาแต่ทั้งหมดออกไปตรวจดูค่ายที่ตั้งรอบๆ บริเวณเขาไกรลาส ข่าวการเคลื่อนไหวของเหล่าขุนพลมารที่แยกย้ายออกจากกองทัพของตนเพื่อไปช่วยกองทัพประตูมนุษย์ ทำให้สถานการณ์รอบๆ บริเวณเขาไกรลาสลดความตึงเครียดลง แต่ถึงกระนั้นสุบรรณก็ยังออกคำสั่งให้เหล่าทหารวิหค มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามกันอยู่ตลอดเวลาและยังเพิ่มจำนวนทหารมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ขณะที่เหล่าทหารกำลังตรวจตราดูบริเวณรอบๆ ปราสาทเทพปักษา ก็เหลือบมองเห็นสัตว์ใหญ่ขนาดยักษ์มุ่งหน้าตรงเข้ายังปราสาทเทพปักษาแต่ไกล
“ ท่านวิมันเยณ์ มีตัวอะไรก็ไม่รู้ตรงมาที่ปราสาทเทพปักษาของเราขอรับ “ ทหารวิหคตนหนึ่งบอกขุนศึกวิหคที่เป็นผู้เฝ้าดูแลปราสาทเทพปักษาแทนสุบรรณ
วิมันเยณ์ ใช้สายตาที่คมกริบมองสัตว์ใหญ่ตัวนั้นจากบนกำแพง “ นั้นมันพญานาคราชนี้น่า ใครกันที่รีบร้อนมายังปราสาทเทพปักษาขนาดนี้? “
ว่าแล้วก็ฉงนใจไม่น้อยทางนครบาดาลต้องมีเรื่องด่วนอะไรซักอย่างแน่ถึงทำให้เชื้อพระวงค์นาคาต้องเสด็จมาด้วยตนเอง
“ ข้าจะลงไปดูที่หน้าประตูเอง พวกเจ้ารีบไปรายงานให้ สมิงปักษี รู้และให้เขาเตรียมกำลังทหารไว้ให้พร้อม “
หลังสั่งการเสร็จ วิมันเยณ์ ก็กระพือปีกลงมาจากกำแพง  ลงมาที่หน้าประตูปราสาทเทพปักษา เหล่าทหารวิหคที่รักษาการณ์ตรงนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาสมทบกับ วิมันเยณ์ ด้วย พญานาคราชเกล็ดสีมรกตเคลื่อนตัวมาจนถึงหน้าปราสาท แล้วจึงค่อยเอ่ยวาจาขึ้นทักทาย
“ วิมันเยณ์ สบายดีหรือ? “ 
เสียงนี้ช่างคุ้นหูวิมันเยณ์ ยิ่งนัก
“ ท่านอินทรนาคราช!!!! “ เมื่อ วิมันเยณ์ รู้ว่าผู้มาเป็นใครรีบสั่งให้ทหารเปิดประตูปราสาทในทันที
“ ทหาร เปิดประตูเร็วเข้า ท่านอินทรนาคราชเสด็จมา “
หลังออกคำสั่ง วิมันเยณ์ ก็กลายร่างเป็นมนุษย์หนุ่มคนหนึ่ง ลักษณะการแต่งกายสวมใส่ชุดสีแดงและใส่กำไลมือทั้งสองข้าง ส่วน อินทรนาคราช เองก็กลายร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักเท่าไร อินทรนาคราช ก็ดูไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย จนทำให้ วิมันเยณ์ มักคิดอยู่เสมอว่า อินทรนาคราช เป็นนาคหนุ่มที่ไม่มีวันแก่หรือนาคหนุ่มที่เป็นหนุ่มอมตะตลอดกาล
“ อภัยให้ข้าด้วย ท่านอินทรนาคราช ข้าไม่รู้ว่าเป็นท่าน “ วิมันเยณ์ กล่าวขออภัย
“ ไม่เป็นไรหรอก วิมันเยณ์ ต้องโทษข้าเองที่รีบร้อนมา  เลยไม่ได้แจ้งข่าวให้เจ้ารู้ล่วงหน้า แล้วนี้สุบรรณอยู่หรือเปล่าล่ะ? “
“ ท่านสุบรรณทรงเสด็จออกไปนอกปราสาทเทพปักษา  อีกสักครู่ก็คงกลับ เชิญท่านอินทรนาคราช เสด็จเข้าไปด้านในก่อนเถอะ พระเจ้าข้า “
วิมันเยณ์ พาอินทรนาคราชเข้าไปภายในปราสาทเทพปักษา ไปยังตำหนักรับรองของเหล่าเผ่าพันธุ์วิหค ระหว่างทางก็ถามถึงเรื่องที่อินทรนาคราช มาพบกับสุบรรณ
“ ท่านอินทรนาคราช คงมีเรื่องสำคัญถึงรีบร้อนมาหาท่านสุบรรณในเวลานี้ “
“ ใช่แล้ว ข้ามีข่าวด่วนที่ได้จาก มันทยนาคา หลานชายของข้าที่นครตรีสุวรรณ  เลยอยากจะมาถามสุบรรณให้แน่ใจก่อนที่ข้าจะเดินทางไปยังนครตรีสุวรรณ “
ระหว่างทางไปตำหนักนั้น สมิงปักษี ก็ตามมาพบกับทั้งสองพอดี
“ คาราวะ ท่านอินทรนาคราช “
“ สมิงปักษี นั้นเองข้านึกว่าใครที่ไหนเสียอีก “ อินทรนาคราชเอ่ยทักทายอีกฝ่าย
“ ข้ายินดียิ่งนักที่ได้พบท่านอินทรนาคราชอีก “ สมิงปักษีว่า
“ ข้าก็เช่นกัน “
อินทรนาคราช ก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่ได้พบกับสมิงปักษี ลึกๆแล้วในปราสาทเทพปักษาคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยากจะต้อนรับนาคอย่างเขา สมิงปักษี เป็นหนึ่งในจำนวนที่ว่า เพราะตัวของสมิงปักษีเป็นพวกลูกครึ่งระหว่างพยัคฆ์กับวิหค ไม่ได้เป็นวิหคโดยสมบูรณ์จึงไม่ได้นึกรังเกียจนาคอย่างเขาเหมือนกับเหล่าวิหคคนอื่นๆ แต่ก่อนนั้นในปราสาทเทพปักษาแบ่งกลุ่มอำนาจออกเป็น ๓ กลุ่มคือ กลุ่มของเชื้อพระวงค์ กลุ่มของเหล่าวิหคโดยแท้ และกลุ่มของเหล่าลูกครึ่งวิหค ซึ่งการแยกกลุ่มทั้ง ๓ ออกมาดังนี้ทำให้เหมือนกับเป็นการสร้างระบบวรรณะขึ้นมากลายๆ กลุ่มลูกครึ่งวิหคนั้นถูกกลุ่มวิหคโดยแท้ ดูถูกดูแคลนเป็นอย่างมาก ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่เหล่าเชื้อพระวงค์วิหคได้ย้ายถิ่นฐานที่อยู่จากวิมานฉิมพลีของเทพสุบรรณ ( พญาครุฑผู้เป็นพาหนะของพระนารายณ์ ) ลงมาก่อสร้างปราสาทเทพปักษาที่เขาไกรลาส กลุ่มวิหคโดยแท้และกลุ่มลูกครึ่งวิหคมักต่อสู้กันเองอยู่เสมอจนเกิดสงครามการเมืองย่อยๆขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงยุคของสุบรรณที่รับสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองปราสาทเทพปักษาต่อจากสุบรรณคนก่อนเหตุการณ์ต่างๆจึงค่อยดีขึ้น เพราะเขาให้ความสำคัญแก่กลุ่มลูกครึ่งวิหคและพยายามทำความเข้าใจกับกลุ่มวิหคโดยแท้ว่า กลุ่มลูกครึ่งวิหคนั้นต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันและเป็นหมู่วิหคเช่นเดียวกันกับพวกเขา ดังนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเป็นวิหคเหมือนกันจึงไม่สมควรที่จะมารบราฆ่าฟันกันเองให้เสียเลือดกันเปล่าๆ แต่ใช่ว่าสุบรรณจะให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกครึ่งวิหคทุกกลุ่ม ยังมีกลุ่มลูกครึ่งวิหคอีกกลุ่มหนึ่งที่สุบรรณรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่ได้พบเห็น นั้นก็คือกลุ่มลูกครึ่งระหว่างนาคกับวิหค โชคยังดีที่ว่าพระนางแก้วกุสุมาลย์ทรงออกหน้ารับดูแลเหล่าลูกครึ่งวิหคกลุ่มนี้เลยทำให้พวกเขาไม่ได้ถูกขับออกจากปราสาทเทพปักษาเหมือนอย่างที่ใครๆคิดเอาไว้ อีกทั้งสุบรรณเองก็ยังเกรงว่าตัวเองถูกติฉันนินทาจากเหล่าเทพได้ว่าไม่มีความยุติธรรมที่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาจัดการกับเรื่องส่วนรวมจึงทรงยอมทำตามที่พระนางแก้วกุสุมาลย์ขอร้อง ( ปัจจุบันนี้ เทพสุบรรณก็ยังอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี เหมือนกันกับที่ อนันตนาคราช อาศัยอยู่ที่เกษียรสมุทร และเป็นบัลลังก์นาคให้พระนารายณ์ทรงประทับ โดยไม่คิดเข้ามาก้าวก่ายและยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของลูกหลานตัวเอง )
ทั้งอินทรนาคราช วิมันเยณ์ และสมิงปักษี ต่างพากันเข้าไปในตำหนักรับรองและพูดคุยกันระหว่างรอให้สุบรรณกลับมา ขณะนั้นพระนางแก้วกุสุมาลย์ที่อยู่ในตำหนักใกล้ๆกัน ทรงได้ยินเสียงเหล่าทหารส่งเสียงร้องเอะอะ จึงทรงตรัสถามเหล่านางกำนัลว่า
“ นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมข้างนอกถึงมีเสียงดังเอะอะ เช่นนี้ “
“ เดี๋ยวหม่อมฉันจะออกไปถามพวกทหารเองเพคะ “
หนึ่งในเหล่านางกำนัลออกไปถามเหล่าทหารแล้วจึงกลับเข้ามาในพระตำหนักทูลตอบพระนางแก้วกุสุมาลย์ว่า
“ พระนางเพคะ เหตุที่มีเสียงดังเอะอะอยู่ด้านนอก ก็เพราะมีแขกจากนครบาดาล มาขอพบท่านสุบรรณเพคะ “
“ แขกจากนครบาดาลอย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าพี่สุบรรณทรงอยู่ที่ไหน? “
“ พระองค์ทรงเสด็จออกไปนอกปราสาทเทพปักษา ยังไม่ทรงกลับมาเลยเพคะ “
เมื่อพระนางรู้เช่นนั้นก็ไม่อยากให้เสียมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี
“ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจงไปจัดเตรียมน้ำสุธารสและนำไปที่ตำหนักรับรองก่อน เดี๋ยวข้าจะตามพวกเจ้าไปทีหลัง “
“ เพคะ “ เหล่านางกำนัลรับพระกระแสรับสั่งของพระนางแก้วกุสุมาลย์
เหล่านางกำนัลทั้งหลายต่างรีบไปที่ห้องเครื่องจัดสำหรับตามรับสั่งและนำเข้าไปยังภายในตำหนักรับรอง และถวายน้ำสุธารสนั้นต่อ อินทรนาคราช หลายนางแอบชะเง้อมองพระพักตร์ของนาคหนุ่มผู้รูปงามก่อน ถวายบังคมลาออกมาจากตำหนักรับรอง
“ ต๊าย คนอะไรก็ไม่รู้หล่อเหลือเกินนะเธอ “
“ นั้นสิ อิจฉาพวกนางกำนัลนาค ที่อยู่ใต้นครบาดาลจัง ในปราสาทเทพปักษาน่าจะมีคนหล่อๆแบบนี้บ้าง จะได้เจริญหูเจริญตา คนหน้าตาดีๆ ออกไปอยู่ข้างนอกกันหมด เหลือแต่พวกหน้าตาไม่เอาถ่านท่านั้นที่เอาไว้ให้พวกเรามอง “  เพื่อนนางกำนัลอีกคนพูดอย่างเห็นด้วย
“ จุ๊ๆ อย่าพูดดังไปเดี๋ยวใครได้ยิน พวกเราก็หัวขาดกันหมดหรอก “
เหล่านางกำนัลรออยู่ที่ด้านนอกตำหนักรับรองเพื่อรอรับเสด็จพระนางแก้วกุสุมาลย์ ส่วนภายในตำหนักรับรอง วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี กำลังพูดคุยอยู่กับ อินทรนาคราช
“ พอจะบอกข้าได้หรือไม่ท่านอินทรนาคราช ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นครตรีสุวรรณ “ วิมันเยณ์ ถามในใจนึกห่วงว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับพระธิดามยุราเทวี หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะได้รีบดำเนินการช่วยเหลือได้ทันท่วงที
“ ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไรหรอก เพียงแต่มันทยนาคาส่งข่าวมาบอกข้าว่า สามมหาเทพทรงส่งเทพอีก ๑ คนมาช่วยพวกมยุราเทวีกับอัคคีนาคาในการทำศึกกับกัลย์ปาอสูร “
“ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ทำไมพวกข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย? “ สมิงปักษี รู้สึกกังขาเสียเหลือเกิน
“ นั้นสิ “ วิมันเยณ์ ขานรับกับคำพูดของ สมิงปักษีด้วย
“ อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย แม้แต่ข้าเองในตอนแรกก็ยังไม่อยากจะเชื่อแต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เทพองค์นี้อาจเป็นคนของตระกูลเทวะก็ได้ “
“ อะไรนะ....คนจากตระกูลเทวะอย่างนั้นหรือ? “ ทั้งสองทำสีหน้าเหมือนได้ยินเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต
“ จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้มาว่านับตั้งแต่ก่อนสงครามไตรดายุค ก็ยังไม่มีใครเคยพบเห็นคนของตระกูลเทวะมาก่อน จนเดี๋ยวนี้ข้าก็ยังคิดเลยว่าที่เขาเล่าต่อกันมามันเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น แล้วทำไมจู่ๆพวกเขาทั้งได้ปรากฏตัวออกมาล่ะ? “ วิมันเยณ์ไม่อยากจะเชื่อว่าที่ อินทรนาคราช พูดมาจะเป็นความจริง
“ ข้าก็คิดอย่างเจ้านี้แหละ วิมันเยณ์ ข้าถึงได้มาขอความเห็นจากสุบรรณไงละ เผื่อสุบรรณอาจจะพอรู้คำตอบบ้างก็ได้ “
วิมันเยณ์ กำลังจะพูดต่อก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ สุบรรณท่านกลับมาแล้วหรือ? ข้ากำลังรอท่านอยู่พอดี “
อินทรนาคราช พูดกับสุบรรณก่อนหันหน้ากลับมามอง แต่อีกฝ่ายหาใช่สุบรรณไม่และเพียงแค่เขามองเห็นอีกฝ่ายก็ถึงกับตกตะลึง ส่วนอีกฝ่ายนั้นเล่าก็ยืนนิ่งเหมือนดั่งต้องมนต์
“ แก้ว...แก้วกุสุมาลย์!! “ อินทรนาคราช ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนมองนางโดยลืมไปว่ามี วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี อยู่ในห้องนั้นด้วย
“ เสด็จพี่อินทรนาคราช!! “ พระนางแก้วกุสุมาลย์เองก็ทรงตรัสชื่อพระสวามีออกมาโดยไม่ตั้งพระทัย
อินทรนาคราช  ไม่สนใจใครหรืออะไรอีกเลยตรงเข้าไปกอดแก้วกุสุมาลย์เอาไว้
“ นี้พี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? แก้วกุสุมาลย์ นี้เจ้าจริงๆ ใช่ไหม? “ อินทรนาคราช ละลักถามอย่างไม่แน่ใจ
“ เสด็จพี่อินทรนาคราชของหม่อมฉัน ใช่เสด็จพี่จริงๆด้วย “ แก้วกุสุมาลย์ หลั่งน้ำตาออกมาอย่างดีพระทัยที่ได้พบพระสวามีสุดที่รักอีกครั้งหลังจากพลัดพรากจากกันมาเป็นเวลานาน
วิมันเยณ์ และ สมิงปักษี ต่างมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าในขณะนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ความรักของอินทรนาคราช และ แก้วกุสุมาลย์ นั้นช่างเป็นรักที่ทรมานยิ่งนัก นับตั้งแต่ อินทรนาคราช ออกจากนครบาดาลและหลบไปบำเพ็ญตบะบารีนั้น มีอยู่วันหนึ่งที่เขากำลังนั่งบำเพ็ญตบะบารีอยู่แต่เกิดรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูกไม่ว่าจะรวบรวมสามาธิอย่างไรก็ไม่สามารถทำจิตให้แน่วแน่ได้ จึงตัดสินใจออกจากถ้ำที่พำนักมาอาบน้ำในลำธารเพื่อให้รู้สึกสบายตัว ในตอนนั้นๆเองเขาก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องขอความช่วยเหลืออยู่ในป่า เขาจึงรีบตามเสียงนั้นมาก็พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งถูกวิหคยักษ์ใจร้ายฉุดคร่าอยู่ เขาจึงเข้าช่วยเหลือนางให้พ้นจากอันตราย และนั้นก็เป็นบ่อเกิดความรักของเขา ครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นหน้าของนางเขาก็เหมือนถูกศรรักปักอกในทันที ถึงเขาจะช่วยเหลือนางจากวิหคยักษ์ตัวนั้นได้แต่นางก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขาจึงต้องคอยเฝ้าดูแลนางอยู่อย่างใกล้ชิด ในตอนนั้นเขาเพียงแค่รู้ชื่อของนางเท่านั้นว่า นางชื่อแก้วกุสุมาลย์ โดยไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน จากความใกล้ชิดของทั้งสองทำให้แก้วกุสุมาลย์มีใจรักตอบเขาเช่นกัน จนในที่สุดเขาและนางก็ได้มีสัมพันธ์รักกันในป่าแห่งนั้น นั้นเป็นช่วงเวลาที่เขาและนางมีความสุขมากที่สุด แต่แล้วพอแก้วกุสุมาลย์รู้ว่าอินทรนาคราชเป็นนาค ก็กลัวว่าสุบรรณผู้เป็นพี่ชายอาจตามมาราวีคนรักของนางได้ นางจึงหักใจแอบหนีอินทรนาคราช กลับมาที่ปราสาทปักษาโดยไม่รู้ว่าตัวนางกำลังตั้งครรภ์ลูกของอินทรนาคราชอยู่ และยิ่งต้องตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อมารู้ในภายหลังว่า อินทรนาคราช เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเจ้าพี่นาง ดังนั้นเมื่อแก้วกุสุมาลย์คลอดมยุราเทวีออกมาจึงไม่ยอมบอกให้สุบรรณได้ล่วงรู้ว่าใครคือพ่อของมยุราเทวี อินทรนาคราช เองเมื่อรู้ว่าแก้วกุสุมาลย์ หายไปก็ออกตามหาไปทุกที่ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้พบกับแก้วกุสุมาลย์เลย อินทรนาคราช แทบจะตรอมใจตายในขณะนั้น ร้อนถึงเวทิศดาบส อาจารย์ของอินทรนาคราช ที่ล่วงรู้โดยญาณ ต้องมาตักเตือนศิษย์ให้ทำใจยอมรับในโชคชะตา แต่พอเขาถามอาจารย์ถึงเรื่องของแก้วกุสุมาลย์ อาจารย์ของเขาก็ไม่ตอบ บอกแต่เพียงว่า สักวันเขาจะได้พบกับนางเอง และแล้ววันที่เขาเฝ้ารอคอยก็มาถึง นั้นก็คือวันนี้ๆเอง
“ พี่คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าเจ้าเสียแล้ว แก้วกุสุมาลย์ “
“ หม่อมฉันก็เหมือนกันเพคะเสด็จพี่ “
อินทรนาคราช ดันตัวของแก้วกุสุมาลย์ออกมาจากอ้อมอกพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของนาง หน้าของหญิงสาวที่เขารักมากที่สุดในชีวิต
“ ทำไม เจ้าถึงหนีพี่มา แก้วกุสุมาลย์ บอกพี่สิ พี่ทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ? “
แก้วกุสุมาลย์ไม่รู้ว่าจะตอบว่ากระไรดี
“ หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เจ้าพี่ฟังอย่างไรดี “ นางว่าแล้วก็ร้องไห้
“ ท่านอินทรนาคราช พระนางแก้วกุสุมาลย์ นี้มันเรื่องอะไรกัน? บอกข้าหน่อยเถอะ “ สมิงปักษี ร้อนใจยิ่งนักกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเขาและนางแสดงกิริยาอาการเช่นนี้
“ พระนางแก้วกุสุมาลย์ นี้เจ้าเรียกแก้วกุสุมาลย์ว่า พระนางอย่างนั้นหรือ? “
สมิงปักษีตอบ
“ ใช่แล้วท่านอินทรนาคราช พระนางแก้วกุสุมาลย์ทรงเป็นพระขนิษฐาของท่านสุบรรณ และเป็นผู้ดูแลเขตพระราชฐานฝ่ายในทั้งหมดของปราสาทเทพปักษา “
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อินทรนาคราช ทั้งตกใจและตกตะลึง
“ นี้เจ้าเป็นน้องของสุบรรณจริงๆอย่างนั้นหรือ? “
แก้วกุสุมาลย์ ร้องไห้ไม่หยุดพร้อมกับตอบอินทรนาคราชว่า
“ เพคะเสด็จพี่ หม่อมฉันเป็นน้องของเจ้าพี่สุบรรณเพคะ “
ถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไม แก้วกุสุมาลย์ ถึงได้หนีเขาไป
“ ทำไมเจ้าไม่บอกพี่แต่แรก แก้วกุสุมาลย์  “
“ หม่อมฉัน ไม่อยากให้เจ้าพี่ทรงเป็นอะไรเพคะ และไม่อยากให้ลูกของเราต้องลำบากด้วย “
ใจของอินทรนาคราช แทบจะร้อนดังไฟเมื่อได้ยินแก้วกุสุมาลย์พูดถึงลูก
“ ลูก.....เจ้ามีกับพี่ด้วยหรือ? แล้วตอนนี้ลูกของเราอยู่ไหน? “
แก้วกุสุมาลย์ตอบ
“ ตอนนี้ลูกเราไม่ได้อยู่ที่ปราสาทเทพปักษาเพคะเสด็จพี่ มยุราเทวี ลูกเราอยู่ในระหว่างเดินทางปราบกัลย์ปาอสูรอยู่เพคะ “
“ อะไรนะ มยุราเทวี เป็นลูกพี่อย่างนั้นหรือ “
อินทรนาคราช ทั้งตกใจและดีใจที่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดและดีใจมากขึ้นอีกเท่าตัวที่รู้ว่าเขากับแก้วกุสุมาลย์มีลูกด้วยกัน แต่นั้นก็ทำให้ฉากรักฉากนี้จบลงอย่างรวดเร็ว
“ ผัวะ “  หมัดหนักๆของใครคนหนึ่ง ซัด อินทรนาคราช จนเซถลา พร้อมกับไล่ตามติดเขาเหมือนเงาตามตัว น้ำหนักหมัดนี้เขารู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร
“ เจ้างูเขียว  เจ้าเองที่ทำให้น้องข้าท้องไม่มีพ่อ “  หน้าตาของสุบรรณในยามนี้หากใครได้มองก็รู้ว่าทั้งโกรธทั้งแค้นเพียงไหน
“ สุ.....บรรณ “ อินทรนาคราชค่อยๆหันหน้ากลับมาและส่งสายตาเข้าปะทะกับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
สองมือของ แก้วกุสุมาลย์ ยกขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ เป็นห่วงอินทรนาคราชก็เป็นห่วง กลัวพี่ชายหรือก็กลัว เรื่องที่นางปกปิดมานาน มันได้เปิดเผยให้คนที่นางไม่อยากให้ล่วงรู้มากที่สุด รู้จนได้ ไม่ใช่แค่แก้วกุสุมาลย์เท่านั้นที่ตกใจคนอื่นๆรวมทั้งนิลบุตรปักษีและนิลกาลหัสดายุ ที่เข้ามาในตำหนักรับรองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน
“ เจ้าว่าไงนิลบุตรปักษี ระหว่างเสด็จลุงของนกยูงกับว่าที่พ่อตา เจ้าจะเลือกช่วยใคร?
“ ยังจะมาพูดเล่นอีก “ นิลบุตรปักษี เอ็ดเพื่อนรักใจคอรู้สึกไม่ดีเหลือเกิน
ทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งสายตาเข้ามากันอย่างรุนแรงในตอนนี้เรื่องอื่นๆแทบจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
“ หมัดของท่านยังคงหนักเหมือนเดิมเลยนะพี่เขย “
คำพูดนี้ของอินทรนาคราช แทบทำให้ลูกตาของสุบรรณทะลุออกมา
“ เจ้างูเขียว “ สุบรรณร้องลั่นพร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงมายังที่ปราสาทเทพปักษานับร้อยสาย ความรุนแรงนั้นรุนแรงยิ่งกว่ามีมยุราเทวีสิบคนรวมกันใช้พระเวทย์อัสนีบาตเสียอีก ปราสาทเทพปักษาสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง เห็นได้ชัดว่าความโกรธของสุบรรณรุนแรงเพียงไหน สุบรรณระบายความโกรธแค้นกับอินทรนาคราชอย่างบ้าคลั่ง
“ เจ้างูเขียว เจ้าสัตว์นรกไปตายซะ “
สุบรรณ ผนึกพลังสายฟ้ามาที่หมัดสองข้างอย่างเต็มที่พร้อมกับพุ่งหมัดอัดอินทรนาคราชแบบไม่ยั้ง โดยที่อินทรนาคราช ไม่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ทุกคนที่ได้มองต่างขนพองสยองเกล้า แก้วกุสุมาลย์เองถึงกับทรุดตัวลงไปกอดขาของพี่ชายเอาไว้
“ เจ้าพี่พอเถอะเพคะ อย่าทำอะไรเสด็จพี่อินทรนาคราชเลยเพคะ “
แต่ไม่ว่าแก้วกุสุมาลย์จะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะตอนนี้สุบรรณกำลังหน้ามืดไม่สนใจอะไรทั้งนั้นทั้งใช้พลังขับแก้วกุสุมาลย์จนกระเด็นออกมา
“ ฆ่าๆๆๆ “
หมัดแล้วหมัดเล่าที่ประเคนใส่ อินทรนาคราช ทั้งหนักหน่วงและรุนแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบโต้แต่อย่างใด จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ แววตาของสุบรรณถึงค่อยกลับมาเป็นอย่างเดิม ส่วนอินทรนาคราช นั้นไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด เพราะเขาใช่พระเวทย์เพชรมหากาฬต้านทานหมัดที่พุ่งเข้ามาและแอบขับพลังสายฟ้าที่กระจายอยู่ในร่างให้ผ่านลงสู่ปลายเท้าและไหลลงสู่พื้นปฐพีจนหมด
“ พอใจหรือยังพี่เขย? “ อินทรนาคราช ถาม ถึงแม้เขาจะไม่รับบาดเจ็ดจากหมัดของสุบรรณ แต่การตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวก็ทำให้เขาเองสูญเสียพลังไปไม่น้อย
แก้วกุสุมาลาย์ คิดพยุงตัวสุบรรณเอาไว้แต่สุบรรณยกมือห้ามแล้วค่อยๆ เดินไปนั่งพักที่เก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด ส่วนเก้าอี้ตัวอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ต่างก็กระจายกันออกมา บ้างก็ล้มระเนระนาดเพราะฝีมือของเขา
“ แสบจริงๆ อินทรนาคราช เจ้าทำข้าแสบมาก “
แก้วกุสุมาลย์รีบเข้ามาพยุง อินทรนาคราช เอาไว้ นางคิดไว้ว่าหากเจ้าพี่ของนางคิดจะฆ่าอินทรนาคราช จริงๆ นางก็ขอตายพร้อมกับเขาด้วย สุบรรณสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงก่อนปล่อยออก และออกคำสั่งกับนิลบุตรปักษี และ นิลกาลหัสดายุ
“ นิลบุตรปักษี นิลกาลหัสดายุ “  สุบรรณ พูดด้วยน้ำเสียแข็งกร้าวจนทั้งสองต้องรีบขานรับ
“ พระเจ้าข้า “
“ จัดที่นั่งให้เรียบร้อย “
ทั้งสองรู้สึกแปลกใจอยู่ๆสุบรรณก็เปลี่ยนท่าทีแต่ก็รีบทำตามเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังเมื่อครู่ขึ้นอีก วิมันเยณ์และสมิงปักษี ก็รีบช่วยทั้งสองอีกแรง แก้วกุสุมาลย์ค่อยๆประคองอินทรนาคราชนั่งลง ส่วนสุบรรณ มองดูทั้งสองคนไปหัวเราะไป
“ ฮะๆๆๆ พรหม....พรหมลิขิต ชัดๆ ข้ากับเจ้าเคยสู้กันแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายหลานสาวที่ข้ารักมากที่สุด ก็คือลูกของเจ้า แก้วกุสุมาลย์เจ้าทำอย่างนี้กับพี่ได้อย่างไร? “
“ หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ “ แก้วกุสุมาลย์ไม่มีคำพูดอื่นใดที่จะแก้ตัวอีก
“ อย่าโทษนาง นางไม่ใช่คนผิด คนที่ผิดคือข้าเอง หากท่านยังคิดแค้นเคืองอยู่ก็ขอให้ลงมือกับข้าเถอะอย่าทำอะไรแก้วกุสุมาลย์เลย “ อินทรนาคราชพูดขอร้องสุบรรณ
“ หึ พูดง่ายดีนิ เจ้างูเขียว หากข้าฆ่าเจ้าจริง นกยูง คงโกรธข้าชั่วชีวิต หากจะโทษต้องโทษข้าเองที่เดินหมากไม่ดูตาม้าตาเรือสุดท้ายก็โดนตัวขุนอย่างเจ้ากินเรียบจนหมดกระดาน “
“ พูดไปพูดมา จะบอกข้าว่าท่านรู้สึกเสียหน้าที่ได้ข้ามาเป็นน้องเขยใช่ไหม? “ อินทรนาคราชพูดจี้ใจดำอีกฝ่าย
“ อย่าทำมาเป็นรู้ดี อินทรนาคราช เดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนใจจากที่จะให้เจ้ามาเป็นน้องเขยข้า เปลี่ยนให้เจ้ามาเป็นอาหารมื้อเย็นของข้าแทน “ อินทรนาคราชพูดแทงใจดำได้ตรงเผง สุบรรณ แค่รู้สึกเสียหน้าเท่านั้น จริงๆแล้วยังคงรักและเป็นห่วงมยุราเทวีผู้เป็นหลานสาวอยู่ถึงไม่กล้าลงไม้ลงมือกับอินทรนาคราชมากกว่านี้
“ เราต่างก็ศรัทธากันและกันมานาน ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ “
สุบรรณรู้ดีว่า อินทรนาคราช เป็นคนเช่นไร
“ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นพ่อของนกยูง ข้าจะยอมละเว้นเจ้าสักครั้งหนึ่ง แต่ข้าบอกไว้ก่อนหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นห้ามเรียกข้าว่าพี่เขยอีก มันทำให้ข้ารู้สึกแสลงใจเข้าใจไหม? “
“ เข้าใจสิ “ อินทรนาคราช ยิ้มกวนๆก่อนเอ่ยวาจา ออกมา
“ พี่เขย “
“ เปรี้ยง “ เสาตำหนักรับรองที่อยู่ใกล้สุบรรณมากที่สุดแหลกในทันที
“ เมื่อก่อนข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด แต่จริงๆแล้วเจ้าเป็นคนที่โง่และดื้อด้านมากกว่า “
“ ข้ากับท่านมันก็คนประเภทเดียวกันนั้นแหละ “ อินทรนาคราช ตอบกลับ
“ อย่าพูดให้มากความเลย อินทรนาคราช มาพูดเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร? “
เมื่อได้ยินที่สุบรรณถาม อินทรนาคราช จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้สุบรรณฟัง พออินทรนาคราชเล่าจบ สุบรรณก็พูดขึ้นว่า
“ ตั้งแต่ก่อนนกยูงและเหล่าเทพคนอื่นๆจะแยกย้ายไปยังนครต่างๆ ทหารสอดแนบของข้าก็เคยรายงานให้ข้าฟังว่าตอนที่เขียนแผนที่นครต่างๆให้ นกยูง นั้นก็มีชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักร่วมอยู่ด้วยแล้ว น่าจะใช่คนที่เจ้าพูดถึง “
สุบรรณนิ่งคิดอยู่พักใหญ่
“ สุร...เทวะ วารีศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเทวะผู้ลึกลับ ประโยคนี้ข้าเกือบไปแล้วด้วยซ้ำ “
อินทรนาคราช ถามแบบไม่อ้อมค้อม
“ ท่านว่า เหตุใดตระกูลเทวะถึงได้ปรากฏตัวขึ้น? “
“ คำสั่งมหาเทพ “ สุบรรณตอบ
“ คำสั่งมหาเทพอย่างนั้นหรือ? “ คำตอบของสุบรรณยังไม่คลายความสงสัยให้อินทรนาคราชได้
สุบรรณพยักหน้าและพูดต่อว่า
“ เดิมที ตระกูลเทวะมีหน้าที่เฝ้ารับใช้พระนารายณ์คล้ายๆกับพวกเหล่าสาวก แม้กระทั่งตอนเกิดสงครามครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ หลายๆคนต่างก็คิดว่าพวกเขาคงจะเข้าร่วมในศึกสงครามครั้งนั้นด้วย แต่เปล่าเลยตระกูลเทวะไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอย่างที่ใครๆคิดไว้ทั้งยังปกปิดร่องรอยตัวเองไม่ให้ใครพบเจออีกต่างหาก มีเรื่องเล่าลือต่อกันมาหลายต่อหลายปากว่าเป็นคำสั่งห้ามจากมหาเทพไม่ให้ตระกูลเทวะเข้ามายุ่งและเกี่ยวข้องในสงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ “
“ เพราะเหตุใด? “ อินทรนาคราชถาม
“ เพราะว่าตระกูลเทวะไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเข้าร่วมในศึกสงครามครั้งนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องปรากฏตัวขึ้นมา “ คำตอบที่ได้รับเหมือนไม่ใช่คำตอบ
“ ทำไมเหตุผลที่ท่านยกมามันง่ายขนาดนี้ ถ้าหากเพราะเหตุผลเพียงแค่นี้ข้าคงไม่สู้ลำบากมาถึงปราสาทเทพปักษาแห่งนี้หรอก “ ด้วยเหตุผลแค่นี้อินทรนาคราชเองก็คิดได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็ไม่น่ามาหาสุบรรณให้ยุ่งยากตั้งแต่แรก แต่ถ้าทำเช่นนั้นเขาก็จะไม่มีวันได้พบเจอกับแก้วกุสุมาลย์เลย
“ อย่าใจร้อนสิ อินทรนาคราช ข้ายังเล่าต่อไม่จบ ที่ว่าตระกูลเทวะไม่เกี่ยวข้องกับศึกสงครามครั้งนั้นก็เพราะว่ามหาเทพมีคำสั่งให้พวกเขาเฝ้ารอคอยและทำสงครามครั้งนี้ต่างหาก “
“ ถ้างั้นก็หมายความว่า......... “
“ ใช่ ...มหาเทพทรงรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่พระองค์จะทรงอวตาลมาปราบยุคเข็ญด้วยพระองค์เองจึงทรงให้ตระกูลเทวะทำหน้าที่รับผิดชอบในการทำศึกสงครามครั้งนี้แทน “
“ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม จึงจดจำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้? “ อินทรนาคราช ยังข้องใจในเรื่องนี้อยู่นับตั้งแต่รู้ข่าวจาก มันทยานาคา
“ หากจะให้ข้าเดา .....ข้าคิดว่าคงมีคนลบความทรงจำของเขาทิ้งไป “ สุบรรณตอบ
คำตอบนี้สร้างคำถามใหม่อีกมากมายให้กับ อินทรนาคราช
“ ลบความทรงจำ? จะลบความทรงจำของเขาทำไมเพื่อประโยชน์อะไร? “
“ ข้าไม่รู้แต่หากความทรงจำของ น้ำทิพย์ที่สาม กลับคืนมาเราอาจได้คำตอบบ้าง “ สุบรรณว่า
“ ถ้าเช่นนั้น ท่านกับข้าควรร่วมมือกัน เพื่อช่วยกันดึงความทรงจำของเขากลับคืนมา ท่านเห็นด้วยหรือไม่? “
สุบรรณส่ายหน้า
“ ไม่มีประโยชน์หรอก อินทรนาคราช คนที่สามารถลบความทรงจำคนของตระกูลเทวะได้นั้น จะต้องมีพลังมหาศาลมาก บางทีแม้แต่เจ้ากับข้าก็ยังช่วยอะไรเขาไม่ได้ นอกเสียจากว่า......”
“ นอกเสียจากอะไร? “
“ มหาเทพทั้งสามจะเป็นผู้ดึงความทรงจำของเขากลับมาเอง หรือไม่ก็ได้ดอกปาริชาตในสวนสวรรค์มาให้เขาดมเพื่อดึงความทรงจำของเขากลับคืนมาอีกครั้ง แต่เจ้ากล้าบุกเข้าไปเอาดอกปาริชาตในสวนสวรรค์หรือเปล่าล่ะ? “
ความเป็นไปได้ไม่มีเลย
“ หากท่านเป็นเทพสุบรรณ แล้วข้าเป็นอนันตนาคราช ยังจะพอมีทางเป็นไปได้บ้าง “
“ ถ้าเช่นนั้นก็เลิกคิดเสียเถอะ “  สุบรรณบอกก่อนค่อยๆลุกขึ้นและมองออกไปข้างนอกตำหนักรับรอง
“ เจ้าจะไปนครตรีสุวรรณจริงๆหรือ? “
อินทรนาคราช พยักหน้ารับ
“ ไหนๆ ก็จะไปแล้ว พา แก้วกุสุมาลย์ ไปด้วยกันสิ เจ้าจะได้พบกับ นกยูง พ่อแม่ลูกจะได้อยู่กันพร้อมหน้า “
“ ท่านใจดีกับข้าขนาดนี้เชียว? “ อินทรนาคราชถามสีหน้าของเขาดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อที่สุบรรณพูดสักเท่าไร
“ หากเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เขย ข้าก็จะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย “
ไปๆมาๆก็วกเข้าหาเรื่องเก่าจนได้
“ ข้ารู้หรอกน่าว่าท่านไม่อยากรับข้าเป็นน้องเขยมากเท่าไร เอาเถอะข้าจะพยายามไม่พูดให้ท่านได้ยินบ่อยๆ ก็แล้วกัน ..พี่เขย “
สุบรรณเหลียวมอง อินทรนาคราช ในทันที
“ น้องเขยอย่างเจ้านี้ น่าจะให้ข้าฉีกออกเป็นชิ้นเสียเหลือเกิน “ สุบรรณคำรามเบาๆในลำคอและไม่พูดคุยกับอินทรนาคราชอีก หันกลับมาสั่งนิลบุตรปักษี
“ นิลบุตรปักษี เจ้าตามไปอารักขา แก้วกุสุมาลย์ด้วย ฝีมืออย่างเจ้างูเขียวนี้ ช่วยเหลือใครไม่ได้หรอกนอกจากตัวเอง “
ได้ฟังดังนั้นแก้วกุสุมาลย์ค่อยเบาใจได้หน่อยที่ทั้งสองคนยอมเลิกลากันได้
“ ขอบพระทัยเพคะ เจ้าพี่ “
สุบรรณแบบมือออกมาทั้งสองพลันปรากฏกล่องไม้ขึ้นมาสองใบ
“ กล่องใบนี้เสด็จแม่บอกพี่ว่าหากวันใดที่เจ้าออกเรือนไปก็ยกให้เจ้าเมื่อนั้น “
แก้วกุสุมาลย์ รับกล่องใบนั้นจากสุบรรณมา เมื่อเปิดออกก็พบว่าข้างในเป็นเครื่องเพชรพลอยและอัญมณีมากมายหลายชิ้น ส่วนกล่องอีกใบหนึ่งสุบรรณพูดว่า
“ ส่วนใบนี้เจ้าเอาไปด้วยเผื่อว่าหลานสาวของ อินทรนาคราช เกิดเป็นฝั่งเป็นฝาขึ้นมาจริงๆจะได้ใช้เป็นของขวัญให้กับหลานของเขาได้ “
“ เพคะ “
เมื่อพูดกับแก้วกุสุมาลย์จบแล้วก็หันมาพูดคุยกับ อินทรนาคราช ต่อ
“ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง อินทรนาคราช เพราะข้าไม่มีวันอภัยให้เจ้าเป็นครั้งที่สองแน่ “
อินทรนาคราช ก็รับปากอย่างหนักแน่น
“ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลแก้วกุสุมาลย์เป็นอย่างดี “
“ ถ้าเจ้าพร้อมเมื่อไร ก็ส่งข่าวมาบอกข้า ข้าจะพาแก้วกุสุมาลย์ ไปส่งเจ้าด้วยตัวเอง “
“ ได้ เมื่อข้าพร้อมเมื่อไรจะส่งข่าวมาบอกท่าน “
อินทรนาคราช เดินเข้ามาหาแก้วกุสุมาลย์และจับมือของนางไว้
“ อีกไม่นานแล้วแก้วกุสุมาลย์ เราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้อยู่ด้วยกัน “
“ เพคะเสด็จพี่ “
อินทรนาคราช เดินออกจากตำหนักรับรองไป พร้อมกับแก้วกุสุมาลย์ที่เดินตามไปส่ง พระสวามี
“ นิลบุตรปักษี เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อมนำทหารของเราไปด้วย อารักขา แก้วกุสุมาลย์ ให้ดี “
“ พระเจ้าข้า “ นิลบุตรปักษี รับพระกระแสรับสั่งและรีบออกไปดำเนินการในทันที ด้วยหัวใจที่ร่ำร้องอยากจะพบมยุราเทวี แต่นิลกาลหัสดายุ ยังคงครางแคลงใจว่าเหตุใดท่านสุบรรณ ถึงทรงยอมอภัยให้ท่านอินทรนาคราช ได้ง่ายดายเช่นนี้
‘ ท่านสุบรรณต้องไม่ทรงยอมง่ายๆเช่นนี้แน่ พระองค์คิดจะทำอะไรกันแน่นะ? ‘
ระหว่างที่ นิลกาลหัสดายุ คิดอยู่นั้น สุบรรณ ให้ สมิงปักษี ออกไปดูแลรอบๆปราสาทเทพปักษาตามเดิมและเรียกให้ วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุเข้ามาใกล้ๆ
“ อินทรนาคราช ทำข้าแสบนัก ข้าจะต้องทำให้เขารู้สึกสำนึกเสียบ้างว่า ไม่ใช่แค่เขาคนที่ทำได้ ข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน “
นิลกาลหัสดายุ นึกไว้แล้วไม่มีผิดว่าท่านสุบรรณ ต้องไม่ทรงยอมง่ายแน่ๆ สุบรรณนิ่งคิดตรึงตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนสั่งพวกเขาว่า
“ เจ้าสองคนไปตาม โภคินันท์  มาหาข้า “
พอได้ยินชื่อ โภคินันท์ เท่านั้น ทั้งสองถึงกับมีสีหน้าตกใจความกังวลปรากฏชัดอยู่ในแววตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังขานรับพระบัญชา
“ พระเจ้าข้า “
-----------------------------------------------
ในป่าละแวกใกล้ๆกันกับปราสาทเทพปักษาเป็นสถานที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างรูปร่างวิหคยักษ์ตัวหนึ่ง ลักษณะคล้ายหงส์แต่กำลังทำท่าทางรำแพนหางเพื่ออวดโฉมลวดลายของขน ปีกและหางของตัวเอง  วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุ ร่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า ก่อนลงมายืนที่พื้น มองดูอาณาบริเวณรอบๆ สิ่งก่อสร้างประหลาดแห่งนี้อย่างตั้งใจ ทางเข้าของสถานที่แห่งนี้มีซุ่มบารายแบบแปลกๆที่สลักลวดลายของวิหคนาๆพันธุ์ เมื่อมองเข้าไปข้างในแลเห็นสระดอกบัวสระใหญ่อยู่สระหนึ่ง น้ำทั้งใสและสะอาดราวกับกระจกชั้นดี ฝูงปลาต่างแวกว่ายกันไปมาอยู่ในสระบัวแห่งนั้น ดอกบัวในสระกำลังบานสะพรั่งส่งกลิ่นเกสรให้เหล่าแมลงมาดอดดม ข้างๆสระใหญ่มีโต๊ะศิลาใหญ่อยู่โต๊ะหนึ่งล้อมรอบไปด้วยที่นั่งศิลาอยู่ทั้งหมด ๖ ตัว สายลมพัดผ่านมาพาให้ใบไม้ปลิวว่อน จนกระทบกับซุ่มบารายที่สลักเขียนตัวอักษรเอาไว้
“ ระบำหงส์วิหคเหิน “
วิมันเยณ์ และ นิลกาลหัสดายุ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวังสายตาก็สอดส่องหาผู้ที่ต้องการจะพบเจอ
“ เอ หรือว่าวันนี้จะไม่อยู่ที่นี้ “ วิมันเยณ์ ออกความเห็น
ฉับพลันมีเงาร่างที่ปราดเปรียวและว่องไวสุดที่จะมองเห็นพุ่งผ่านพวกเขาไป ทั้งสองใช้สายตาไล่ตามก็ยังไม่ทัน สุดท้ายเงาร่างนั้นก็หยุดลงที่สระใหญ่ แลเห็นบุรษหนุ่มในชุดอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งกำลังใช้พัดรูปนกยูงรำแพนหางพัดหวี่เพื่อคลายความร้อนให้กับตนเอง ปลายเท้าของเขาเตะอยู่ที่ดอกบัวบานดอกหนึ่ง และหันหลังให้กับคนทั้งสอง
“ เอื้อก “
สองขุนศึกวิหคกลืนน้ำลายเข้าไปในลำคอ ก่อนที่ นิลกาลหัสดายุ จะเป็นผู้พูดขึ้นว่า
“ โภคินันท์ ท่านสุบรรณ ให้พวกข้ามาตามเจ้าไปพบ “
บุรุษหนุ่มผู้นั้นยังคงใช้พัดโบกหวี่ให้กับตัวเองต่อไปก่อนค่อยๆ หันหน้ามองพวกเขา และเผยอริมฝีปากให้กับทั้งสอง บุรุษหนุ่มรูปงาม ใบหน้าคมคาย คิ้วเรียวยาว ดวงตาดังดวงตะวัน ท่าท่างเยื้องย่างดุจพญาหงส์ บุรุษหนุ่มที่เหล่าวิหครุ่นเยาว์ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี
“ หนุ่มรูปงามรุ่นเยาว์แห่งวิหค            คิ้วจรดโค้งปลายดั่งคันศร
เทพนิมิตดวงเนตรจิตกร                    งามอัปสรสถิตรักแห่งเทวา
ครั้นมองพักตร์เย้ายวนสตรีนัก          เสกสลักปั้นแต่งทรงสง่า
กิริยาท่าทางและวาจา                      ช่างอ่อนหวานเพลินตาผู้ยินยล         
อาภรณ์ขาวสวมใส่เด่นจำรัส          พลิ้วสะบัดพัดผ่านพาสุขสม
ดั่งนกน้อยกระเรียนล้อเล่นลม          ในสายชลเชี่ยวกราดลำเนาไพร
ระบำพัดเป็นอาวุธคู่ถนัด              เทพพิทักษ์สถานสุดสดใส
วิหคน้อยผ่านภพผู้เกรียงไกร          นามนั้นไซร้คือเจ้าโภคินันท์ ”
“ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ ของเผ่าพันธุ์วิหค ผู้มีชื่อเคียงคู่กับ มยุราเทวี  ระบำมยุรา โภคินันท์ “
จบตอนที่ ๒๗ ครับ เย้ๆๆ ในที่สุด โภคินันท์ ก็ออกมาซะที หลังจากที่ถูกดองไว้จนขี้เกลือจับหมดแล้ว นี้คืออาวุธร้ายของ สุบรรณ ที่ส่งมาแก้แค้น อินทรนาคราช โดยเฉพาะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น