ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #23 : เข้าห้องหอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 422
      2
      10 ก.ย. 47

    **** เนื้อเรื่องในตอนนี้ไม่เหมาะสมกับเด็กนะครับ *****



    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๒๓ เข้าห้องหอ



        บ้านเกิดอยู่ในขุนเขาที่ลี้ลับ เหล่าทายาทสวมใส่สายสังวาลประดับยศ สืบทอดรุ่นต่อรุนจนบรรจบ ถึงคราวพบผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูล ตระกูลเทวะเป็นเหล่าเทพที่รับใช้เบื้องบาทพระนารายณ์มานับครั้งตั้งแต่โบราณกาล สืบทอดพลังอำนาจมารุ่นต่อรุ่น จนมาถึงรุ่นปัจจุบันซึ่งใกล้จะถึงเวลาที่ผู้นำตระกูลจะสละตำแหน่งให้กับเหล่าทายาทของเขา  ด้วยเหตุนี้เพื่อกันความบาดหมางระหว่างพี่น้องจึงมีกฎข้อบังคับให้ ผู้นำตระกูลคนก่อนเป็นผู้เลือกผู้นำตระกูลคนต่อไปด้วยตนเอง มาถึงรุ่นนี้ ทายาทตระกูลเทวะ มีด้วยกันทั้งหมด ๔ คน คือ หมาป่าสวรรค์ หงส์ฟ้าเหนือเมฆ สิงห์เทวราช และ พยัคฆ์มุงกฎ  สิงห์เทวราช นั้นกำเนิดในเดือนที่ ๑๑ ของปี เมื่อคำนวณตามจักรราศีเขาเป็นผู้เดียวในรอบหลายพันปีที่จะบรรลุพลังขั้นสูงสุดของตระกูลเทวะได้ ดังนั้นเขาจึงถูกเลือกให้รับตำแหน่ง น้ำทิพย์ที่สาม ตั้งแต่ยังเล็กเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเขาคือผู้นำตระกูลคนต่อไปนั้นเอง ( บิดา คือ น้ำทิพย์ที่หนึ่ง มารดา คือ น้ำทิพย์ที่สอง เพราะฉะนั้นตำแหน่งสืบทอดรุ่นต่อไปจึงมีชื่อเรียกว่า น้ำทิพย์ที่สาม ) แต่อยู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อ สิงห์เทวราช ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และต่อมา หงส์ฟ้าเหนือเมฆ ก็หนีออกจากที่พำนักของตระกูลเทวะอย่างมีเลศนัย หรือว่านี้จะเป็นลางร้ายบอกเหตุการล้มสลายของตระกูลเทวะที่ดำรงอยู่คู่พิภพนี้มานานแสนนาน



    ------------------------------------



        …ไกลจากนครเตมินทร์ออกมาไม่มากนัก ในป่าแห่งแห่งหนึ่งมีน้ำตกใหญ่อยู่สายหนึ่งไหลตกลงมาตลอดทั้งปี  น้ำตกสายนี้ก่อให้เกิดสายลำธารขึ้นในป่านับสิบสาย บริเวณใกล้ๆกับน้ำตกแห่งนี้มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอยู่มากมายหลายต้น ใบไม้ของต้นไม้เหล่านั้นมีคราบละอองน้ำตกที่ลอยมากระทบกับใบไม้ ประพรมอยู่โดยทั่ว มองไปที่โขดหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ เห็นคราบสีเขียวของตะไคร่น้ำและต้นหญ้าเล็กๆ เติบโตอยู่บนหินเหล่านั้น แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นป่าที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ฝูงปลาต่างพากันแหวกว่ายไปมาอยู่ในลำธาร เสียงน้ำตกที่กระทบกับโขดหินดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งป่า เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างออกหากินตาม อัตราวิถีของแต่ละชีวิต เก้ง กวาง เมื่อออกหาอาหารจนเหนื่อยต่างพากันแวะมาดื่มน้ำที่น้ำตก แม้แต่เหล่านกน้อยที่บินว่อนไปทั่วท้องฟ้า ก็ยังไม่วายที่จะโผบินเข้ามาในเขตป่า เพื่อหยุดพักให้หายเหนื่อยก่อนจะออก โผผินสู่ท้องนภาอีกครั้ง ทุกสิ่งไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เป็นอยู่มาช้านาน หากแต่สิ่งที่ดูแปลกตาและขัดแย้งกับสภาพของป่าแห่งนี้ก็คือบ้านไม้ไผ่หลังหนึ่งซึ่งถูกปลูกขึ้นมาได้ไม่นานนี้เอง ตัวบ้านดูเรียบง่าย แต่หลังคากลับมุงด้วยกระเบื้องดินเผาสีน้ำตาล แทนที่จะเป็นหญ้าคาธรรมดาเฉกเช่นบ้านไม้ไผ่ทั่วๆไป รอบๆ บ้านไม้ไผ่มีดอกไม้นานาพรรณปลูกเรียงรายอยู่โดยรอบต่างผลิดอกเบ่งบาน แย้มกลีบรับแสงตะวันที่สาดส่องลงมา กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยไปไกลถึงป่าอีกด้านหนึ่งนำพาเหล่าแมลงมาดอมดมเกสรที่หวานหอม เหลือบมองไปอีกนิดก็มองเห็นลำธารใหญ่ที่ไหลมาจากน้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้น ตัดผ่านด้านหลังของตัวบ้านไป น้ำในลำธารใสและเย็นจนน่าลงไปอาบเล่นเพื่อผ่อนคลายความร้อนในวันแดดจัด ใครกันหนอที่มีความรักสันโดษเช่นนี้ ถึงมาปลูกบ้านหลังน้อยที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน เสมือนหนึ่งว่าต้องการสร้างวิมานของตัวเอง เมื่อมองลอดผ่านหน้าต่างของบ้านหลังนั้น ก็พบชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งผมยาวสยายถึงกลางหลัง กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่สวมใส่สายสังวาลอัญมณีสีเหลือง ชายหนุ่มทั้งสองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ซึ่งวางเรียงอยู่ข้างๆ กัน เก้าอี้ไม้ไผ่ มีทั้งหมด ๔ ตัว ล้อมรอบอยู่กับโต๊ะไม้ไผ่ตัวหนึ่ง ถัดจากนั้นไปก็เป็นห้องนอน มีเตียงนอนไม้ไผ่วางตั้งอยู่เตียงเดียวแต่มีขนาดใหญ่โต พอให้คนหลายคนนอนได้สบาย บนเตียงไม้ไผ่มีเครื่องนอนครบทุกชิ้น ถึงแม้จะเป็นเครื่องนอนที่ดูพื้นๆ แต่หากใครได้นอนไปแล้วก็คงเผลอหลับไปได้โดยง่ายกับบรรยากาศ และความนุ่มของฟูกที่อยู่บนเตียงนั้น แต่ดูเหมือนว่า น้ำทิพย์ที่สาม จะไม่ได้สนใจที่จะเข้ามาพักผ่อนในบ้านหลังนี้เลย หากแต่เขาถูกบังคับให้มาอยู่ที่นี้เสียมากกว่า



    “ อุ๊บบ “ อนันตวาโย ใช้สองมือปิดปากตัวเองหลังจากที่คิดถึงเรื่องราวที่ น้ำทิพย์ที่สาม เล่าให้เขาฟังตั้งแต่เมื่อคืน โดยมีสายตาของ น้ำทิพย์ที่สาม จ้องมองดูอยู่อย่างขัดใจ ต่างฝ่ายต่างประลองสายตากันอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายความอดทนของ อนันตวาโย ก็สิ้นสุดลง



    “ ฮ่าๆๆๆ “ อนันตวาโย พยายามแล้ว จริงๆ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว



    “ หัวเราะอะไร? “ สิงห์ปริศนา ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ ความหงุดหงิดที่มีอยู่ก่อนแล้วเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิม



    “ ขอโทษที น้ำทิพย์ที่สาม ข้าเผลอไปนะ “ ถึง อนันตวาโย จะพูดแก้ตัว แต่ก็จะยังอดหัวเราะท้องคักท้องแข็งไม่ได้



    “ กรอดๆๆ “ น้ำทิพย์ที่สาม กัดฟันจนเกิดเสียงกระทบรอดผ่านไรฟันออกมา



    “ ไม่ต้องทำหน้าตาซีเรียสแบบนี้ก็ได้ เรื่องไม่ได้เลวร้ายซะกะหน่อย “



    “ นี้นะหรือไม่เลวร้าย เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรกัน? “



    อนันตวาโย ยักไหล่แบบไม่ใส่ใจก่อนจะพูดกับเขาว่า



    “ เจ้านี้คิดมากเกินไปหรือเปล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายหนุ่มครึ่งค่อนโลกใฝ่ฝันที่จะได้ภรรยาที่งดงามอย่างเช่นนางทั้งสอง หากเจ้าได้นางคนหนึ่งคนใดมาเป็นภรรยาก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว แต่นี้เจ้ากลับได้พวกนางมาทั้งสองคนอย่างนี้ควรเรียกว่ายิ่งกว่าโชคดีเสียอีก แล้วเหตุไฉนถึงทำท่าทางยังกับว่าตัวเองพลัดตกจากสวรรค์ ลงมาสู่ขุมนรก อย่างนั้นเล่า “



    น้ำทิพย์ที่สาม ไม่รู้จะพูดอย่างไร ให้ อนันตวาโย เข้าใจดี หากกลับกันให้ อนันตวาโย เป็นเขาแทน ก็คงไม่ต้องนั่งลำบากใจอยู่อย่างนี้



    “ เจ้าไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า นางสองคนร้ายกาจจะตายไป แม้ข้าระวังตัวไม่ให้ติดกับพวกนางแล้ว ข้าก็ยังหลงกลพวกนางจนได้ “



    เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว อนันตวาโย ก็อดขำ น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้นมาอีกรอบไม่ได้



    “ ก็เพราะเจ้ามันอ่อนหัดนะสิ นี้ถ้าข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าไม่ประสีประสาเช่นนี้ ข้าคงสอนวิธีให้เจ้าเอาตัวรอดจากพวกนางไปได้แล้ว  ถือเสียว่าเจ้ามีบุพเพสันนิวาส กับพวกนางก็แล้วกัน “



    “ หึ บุพเพสันนิวาส อะไรกัน เป็นเวรเป็นกรรมมากกว่าละมั๊ง “ น้ำทิพย์ที่สาม บ่นพลางเบือนหน้าหนี



    “ นั้นก็แล้วแต่เจ้าจะคิด แต่อย่างน้อยข้าว่าเมียเจ้าสองคนนี้ก็ไม่เลวนะ แอบมาสร้างเรือนหอไว้รอเจ้าตั้งแต่เมื่อไรไม่ยักกะรู้ ดูๆ ไปบรรยากาศแถวนี้ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน เหมาะแก่การอยู่ด้วยกันสองต่อสอง อุ้ย! ไม่ใช่สิ สามต่อสาม ต่างหาก “ อนันตวาโย พูดพลางยกนิ้วประกอบ



    น้ำทิพย์ที่สาม หันหน้ากลับมาจ้องเขาเขม็ง หน้าตาบึ้งตึงยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก



    “ นี้ เจ้าอยู่ข้างข้า หรือข้างพวกนางกันแน่? “



    วายุหนุ่ม ชะโงกหน้าเข้าไปหา ก่อนตอบเข้าว่า



    “ ถามได้ข้าก็อยู่ข้างเจ้านะสิ  ข้าถึงได้ขอพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวโดยไม่ให้พวกนางอยู่ฟังด้วยไงล่ะ “



    พอได้ฟังที่ อนันตวาโย พูดสีหน้าของ น้ำทิพย์ที่สาม ค่อยดีขึ้นหน่อย



    “ ถ้างั้นก็แสดงว่าเจ้ามีแผนการช่วยข้าแล้วใช่ไหม? “ เขาถามแววตาเป็นประกายเหมือนมองเห็นความหวังที่เริ่มฉายแสงออกมา



    “ ใช่ เพราะฉะนั้นข้าถึงต้องติวเจ้าอย่างเต็มที่ไงล่ะ “



    “ ติว? ติวอะไร? “ น้ำทิพย์ที่สาม ทั้งงงและสงสัย



    “ ก็คืนนี้เจ้าจะต้องรับศึกจากพวกนางตั้ง ๒ คน เพราะฉะนั้นข้าถึงเตรียมนี้มาให้ไง “



    อนันตวาโย ยกห่อผ้าขึ้นมาห่อหนึ่งก่อนแกะห่อผ้า ห่อนั้นออกมา ในนั้นมีใบไม้ รากไม้ และใบหญ้าแห้งอยู่ หลายห่อ แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคงเป็นรากไม้หรือหัวอะไรสักอย่างซึ่งอยู่ในโถแก้วเล็กๆ ใบหนึ่ง



    “ เจ้าเอาของพวกนี้ออกมาให้ข้าดูทำไม? “ น้ำทิพย์ที่สาม ถาม มองดูแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะเป็นวิธีที่ช่วยให้เขารอดพ้นจากพวกนางในคืนนี้ได้อย่างไร?



    “ อ้าว!! เจ้าไม่รู้จักหรอกหรือ นี้ข้าจะบอกให้ ข้าไปเอามาจากหมอที่อยู่ภายในนครเตมินทร์ เชียวนะ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าชาว นครเตมินทร์ เชียวชาญด้านสมุนไพรรักษาโรคและสมุนไพรบำรุงร่างกาย “



    “ เดี๋ยวๆ ข้าก็ไม่เห็นจะเข้าใจอยู่ดีนั้นแหละว่าสมุนไพรพวกนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้า? “



    “ เจ้านี้ถามแปลกๆ ก็ต้องเกี่ยวสิ ที่ข้าหาสมุนไพรเหล่านี้ก็เพื่อให้เจ้าใช้บำรุงร่างกาย ก่อนออกศึกคืนนี้อย่างไรเล่า นี้ๆ อันนี้เขาเรียกว่า หญ้าคชสาร กินแล้วจะมีเรี่ยวแรงเหมือนช้างนับสิบ นี้ก็รากไม้นนทรีย์ ใช้บำรุงโลหิตแก้อ่อนเพลีย นี้ก็ใบตะพาบใช้ช่วยระบบขับถ่ายและการหมุนเวียนของเลือด ส่วนนี้เด็ดสุด ก็จะหามาได้ข้าเสียเวลาครึ่งค่อนวัน “ อนันตวาโย ยกโถแก้วใบนั้นขึ้นมา



    “ โสมแดนตะวันออก ช่วยบำรุงหัวใจและเพิ่มความกระชุ่มกระชวย “



    น้ำทิพย์ที่สาม ทนฟัง อนันตวาโย บรรยายสรรพคุณต่อไม่ไหว โมโหจนหน้าเขียวหน้าแดง



    “ เวร!!! ข้าก็นึกว่าเจ้าจะช่วยหาวิธีให้ข้ารอดพ้นจากคืนนี้ไปได้ กลับไปหาสมุนไพรบ้าๆ นี้มาให้ “ ว่าแล้วก็ทำท่าจะรวบห่อผ้านั้นโยนทิ้งจน อนันตวาโย ต้องรีบมัดห่อผ้าเก็บเอาไว้



    “ เฮ้ย!! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ของพวกนี้มันหลายอัฐนะ คนเขาอุตสาห์หวังดีหามาให้ “



    “ หวังดี หรือ หวังร้าย กับข้ากันแน่? “ นิ้วของ สิงห์ปริศนา กดลึกเข้าไปที่โต๊ะ หากไม่เกรงความลำบากในอนาคต เขาคงพังบ้านหลังนี้ไปแล้ว



    “ ก็หวังดีสิ เจ้าก็รู้ว่าข้าเคยหวังร้ายกับเจ้าเสียเมื่อไรกัน เห็นข้าอย่างนี้ก็เถอะอย่าคิดว่าข้าเอาแต่เล่นไปวันๆนะ “ อนันตวาโย พูดเสียงเข้มและขึงขัง จน น้ำทิพย์ที่สาม ต้องหยุดต่อว่า



    “ เจ้าก็ต้องทำใจหน่อย ตอนนี้ข้าวสารก็เกือบจะกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ข้าเองก็ห่วงเจ้าเหมือนกัน หากเจ้ายังเห็นว่าข้าเป็นเพื่อนของเจ้าอยู่ อย่างน้อยก็ขอให้เจ้าฟังคำเตือนจากข้าสักประโยคหนึ่ง “



    “ ว่ามาสิ “ น้ำทิพย์ที่สาม บอก



    “ ฟังให้ดีนะ “ อนันตวาโย เหลียวมองดูซ้ายขวากลัวใครแอบได้ยิน ก่อนหันกลับมากระซิบที่ข้างหูเขา



    “ อย่างไรคืนนี้ก็อย่าหักโหมให้มากนักล่ะเข้าใจไหม? “



    “ เจ้า…. “ นิ้วของ สิงห์ปริศนา กระตุกเป็นช่วงๆ ก่อนที่จะ



    “ โครมๆๆๆ “



    มีสิ่งของหลายชิ้นถูกขว้างปาออกมาจากบ้านหลังน้อย ตามมาด้วย อนันตวาโย ที่รีบวิ่งออกมาจากบ้านหลังนั้นแบบชนิดไม่เหลียวหลัง



    “ เจ้าบ้า อนันตวาโย นี้นะหรือคำเตือนของเจ้า คำเตือนบ้าบออะไรกัน? ไม่ช่วยแล้วยังมาพูดแบบนี้อีก ไอ้…… “ เสียงของ น้ำทิพย์ที่สาม ตะโกนด่าไล่หลังเขามาติดๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ออกวิ่งไล่ตามเขามาอย่างที่คิดคงแต่โมโหกระฟัดกระเฟียดอยู่ในนั้นแทน



    “ อืม คึกคักอย่างนี้คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง “ วายุหนุ่มคิดไปพลางวิ่งไปพลาง



    อนันตวาโย วิ่งออกมาได้ไม่ทันไรก็เจอกับพวกนางทั้งสองคน



    “ ท่านหมดธุระกับสามีของข้าแล้วหรือ? “ มณีมรกต เอ่ยถามเป็นคนแรก



    อนันตวาโย หยุดฝีเท้า ฝืนยิ้ม และเดินเข้ามาใกล้สาวงามทั้งสอง



    “ ข้ากับเขายังมีอะไรต้องพูดคุยกันอีกมากมาย แต่เกรงใจศรีภรรยาอย่างเจ้าสองคน ก็เลยไม่กล้าอยู่นาน ก่อนอื่นข้าขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าสองคนก่อนที่จะได้เข้าห้องหอในคืนนี้ “



    ชมพูมุกดา ทำเป็นไม่ใส่ใจ พูดเหน็บอีกฝ่าย



    “ ข้าก็ต้องขอแสดงความยินดีล่วงหน้าต่อราชบุตรเขยของนครเตมินทร์ในอนาคตเช่นกัน “



    ถึงจะโดนเข้าแบบนี้ แต่เขาก็ยังทำสีหน้ายิ้มแย้ม



    “ นับว่าภรรยาเพื่อนข้าหูตากว้างไกลนัก นับถือ นับถือ “



    ฝ่าย มณีมรกต พูดแบบไม่เกรงใจ



    “ ขอเตือนไว้ก่อน หากท่านคิดขัดขวาง ข้ากับ ชมพูมุกดา ในคืนนี้ ท่านกับข้าสองคนได้เห็นดีกันแน่ “



    “ จุ๊ๆๆ พูดออกมาได้ ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น “



    “ งั้นก็ดี “ สาวงามทั้งสอง พูดแค่นั้นก็เดินจากไป



    “ เดี๋ยวก่อน “ อนันตวาโย เรียก



    “ มีอะไรอีก? “ ชมพูมุกดา ถาม



    “ ข้าเองก็มีคำเตือนให้พวกเจ้าสองคนรับรู้ไว้เช่นกัน หากพวกเจ้าคิดร้ายกับเพื่อนข้าแม้แต่เพียงนิดละก็ “ อนันตวาโย แผ่รังสีเข่นฆ่าออกมาอย่างฉับพลันจนไม้ใบไม้บินว่อนก่อนถูกลมเฉือนจนตัดขาดเป็นชิ้นๆ ร่วงหล่นลงบนพื้น



    “ ข้าจะสับพวกเจ้าให้เป็นอย่างใบไม้เหล่านี้ ต่อให้พวกเจ้ามีร้อยชีวิต ก็หวังว่าจะรอดพ้นจากมือข้าไปได้ “



    สองสาวงาม ไม่ได้มีสีหน้าหวาดหวั่น เพียงแค่มีรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อน ที่จะเดินจากไปโดยไม่พูดตอบโต้ใดๆ ปล่อยให้ อนันตวาโย ให้นิ้วเคาะที่ข้างแก้มตัวเอง อย่างครุ่นคิด



    “ นางตัวดีสองคนนี้ร้ายกาจน่าดู เจอขนาดนี้แล้วยังไม่สะทกสะท้านอีก หวังว่า น้ำทิพย์ที่สาม คงเอาตัวรอดได้นะ “



    คิดไปคิดมาก็เฉไปอีกเรื่อง



    “ เอ แต่จะว่าไป ผัวเมีย เขาจะจู๋จี๋กัน จะให้แอบดูก็คงไม่เหมาะ “



    เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็ไม่รอช้าอีกต่อไป



    “ ถ้างั้นแวะไปหาดอกบัวน้อยดีกว่า “



    ร่างของ อนันตวาโย สลายกลายเป็นสายลม หายไปจากที่ตรงนั้นโดยปล่อยให้ น้ำทิพย์ที่สาม เผชิญชะตากรรมเพียงลำพังด้วยตนเอง



    ------------------------------------



    …ในคืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง มองดูสวยงามยิ่งนัก แสงจากพระจันทร์สาดส่องลงกระทบกับน้ำในลำธาร แลเห็นเป็นเงาระยิบระยับ เสียงของแมลงในป่าขับขานบทเพลงแห่งราตรีให้ยิน บรรยากาศน่าอภิรมย์ ให้ชายหนุ่มและหญิงสาวได้มาพบปะกัน แต่คนภายในบ้านไม้ไผ่ กลับเดินไปเดินมาอย่างกระสับกระส่ายและกังวล



    “ จะเอาไงดี? นี้ก็มืดแล้วด้วย “ เดินไปเดินมาก็ไม่ได้วิธี พอนั่งลงก็รุกรี้รุกรน หากใครได้เห็นท่าทางเขาในเวลานี้คงปวดหัวแทน



    “ หรือข้าจะหนีพวกนางดี? “



    พอจะทำตามที่คิดก็มีปัญหาให้หนักใจอีก



    “ ถ้าข้าหนีไป พวกนางต้องพลิกทั่วนครเตมินทร์เพื่อตามหาข้าแน่ แล้วทุกคนก็จะต้องเดือนร้อนกันไปหมด เฮ้อ! นี้ถ้า ดวงใจมาร อยู่ด้วยก็ดีสิ นางอาจจะคิดหาวิธีช่วยข้าได้ “ น้ำทิพย์ที่สาม เอากำปั้นใหญ่ทุบลงบนโต๊ะไม้ไผ่อย่างหนักใจ



    “ อะไรกัน ข้าสองคนมาช้านิดช้าหน่อยก็ทนไม่ไหว จนท่านคิดจะพังเรือนหอเลยเชียวหรือ? “



    น้ำทิพย์ที่สาม สะดุ้งสุดตัว พวกนางเหมือนภูติผีนึกจะมาก็มาจะไปก็ไป โดยไม่ให้เขาได้ทันตั้งตัวเสมอ



    “ พวก…นาง มาตั้งแต่เมื่อไรกัน? “ น้ำทิพย์ที่สาม แอบเหลียวมอง เห็นพวกนางทั้งสองนั่งอยู่บนเตียงแล้ว อีกทั้งชุดที่สวมใส่เนื้อผ้าก็ดูบางและยังมีน้อยชิ้นอีกด้วย



    “ เวรจริงๆ ล่ะคราวนี้ คิดจะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว ตอนนี้ข้าควรจะทำอย่างไรดี? “ สถานการณ์ตรงหน้าสร้างความหนักใจให้กับ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่น้อย ทำให้เขาต้องใจเย็นและหนักแน่น เพื่อฝ่าพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ขณะที่ยังคิดหาทางออกให้กับตัวเอง พวกนางก็เริ่มเข้าประชิดตัวเขาแล้ว



    “ นี้ท่านยังไม่ได้อาบน้ำอีกหรือ? “ มณีมรกต ถาม พลางมองดูเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่



    “ เอ้อ ใช่ ข้ายังไม่ได้อาบน้ำเลย ทุกทีข้าจะชอบอาบน้ำตอนดึกๆนะ “ น้ำทิพย์ที่สามตอบแบบขอไปที แต่เม็ดเหงื่อกลับเริ่มซึมออกมาจนพวกนางสังเกตเห็น



    “ งั้นก็ดีเลย ข้าสองคนช่วยอาบน้ำให้ท่านดีกว่า “



    “ หา “ น้ำทิพย์ที่สาม ร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าพวกนางจะทำอย่างนี้



    “ ไม่ต้องก็ได้ ข้าอาบเองได้ พวกเจ้าไม่ต้องอาบให้ข้าหรอก “ น้ำทิพย์ที่สาม ปฏิเสธ



    พวกนางต่างไม่ฟังเขา ตรงเข้าไปฉุดกระชากลากถู พา น้ำทิพย์ที่สาม ไปยังทางด้านหลังของบ้านไม้ไผ่ ซึ่งมีสะพานไม้ไผ่ทอดยาวจนถึงลำธารสายนั้น ก่อนจะช่วยกันถอดเสื้อผ้าของเขาออกจากตัว



    “ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง ข้าอาบเองได้ “ สิงห์หนุ่ม ปัดมือของพวกนางเป็นพัลวัน



    “ ไม่เห็นเป็นไรเลย ท่านเป็นสามีข้า ข้าอาบน้ำให้ท่านก็ไม่เห็นแปลก เอ๊ะ!! หรือว่า.. “ มณีมรกต เอียงคอถาม



    “ ท่านอายพวกข้าสองคน? “



    น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ได้ตอบคำถาม แต่รีบวิ่งลงไปแช่ตัวในน้ำแทน ปล่อยให้สองสาวยืนมองเขาด้วยแววตาที่มีเลศนัย



    “ พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รอข้าหรอก ไว้ข้าอาบน้ำเสร็จ แล้วจะขึ้นไปเอง “



    ไม่มีเสียงตอบจากพวกนาง ทำให้ น้ำทิพย์ที่สาม อดสงสัยไม่ได้จึงหันหลังกลับไปมองดู



    “ พวกเจ้า… “ น้ำทิพย์ที่สาม หันหน้ากลับมาอย่างเร็วก่อนเอามือปิดตา ชมพูมุกดาและมณีมรกต ตามน้ำทิพย์ที่สามลงมาอาบน้ำด้วย ถ้าพวกนางลงมาแบบธรรมดาเขาก็คงไม่ต้องทำแบบนี้ แต่นี้พวกนางถอดเสื้อผ้ากองลงที่พื้นก่อนตามลงมาอาบน้ำพร้อมกับเขาด้วย



    “ พวกเจ้า ทำ.. ทำอะไรนะ “ เขาถามทั้งๆที่ยังเอามือปิดสองตาอยู่



    สองสาว แอบหัวเราะคิก ก่อนค่อยๆเดินลงมาในลำธาร พลางขยับตัวเข้ามาใกล้หนุ่มขี้อาย



    “ พวกข้าก็ลงมาอาบน้ำกับท่านนะสิ  “



    “ แล้วทำไมต้องถอดเสื้อผ้าออกด้วยล่ะ? “



    “ ท่านนี้แปลกคนจริงๆ ถ้าไม่ถอดเสื้อแล้วจะให้พวกข้าสองคนอาบน้ำกันยังไง? “ มณีมรกตตอบ ก่อนดึงมือของเขาลงแต่ น้ำทิพย์ที่สาม ก็ยังคงหลับตาปี๋



    “ คิกๆ ข้าเชื่อแล้วว่าท่านอายพวกข้าสองคนจริงๆ “ ชมพูมุกดา ขำเขาเสียเหลือเกิน เห็นท่าทางเก่งๆแบบนี้แต่ทำไมถึงดูหวงเนื้อหวงตัวนัก



    น้ำทิพย์ที่สาม พูดทั้งๆ ที่หลับตาอยู่



    “ ถ้าอาบเสร็จแล้วก็รีบแต่งตัวเสีย ข้าจะรอให้พวกเจ้าอาบน้ำจนเสร็จก่อนถึงค่อย.......อุ๊บ “ พูดยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดชะงักไปโดยปริยาย ปากของเขาในตอนนี้กำลังถูกลิ้นของ ชมพูมุกดา เบียดเข้าไปแทน ความซาบซ่านที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเริ่มสะกิดตะกอนกิเลสในใจของเขาขึ้นมา ก่อนจะรวบรวมกำลังผลักนางออกห่างจากตัวเพราะเขากลัวว่าจะอดใจไว้ไม่ไหว



    “ เจ้าทำอะไรนะ “ น้ำทิพย์ที่สาม ลืมตาขึ้น คิดถามนางให้รู้เรื่อง ภาพของนางและ มณีมรกต ยังเลือนลางอยู่ในสายตา แต่พอสักครู่ความแจ่มชัดก็ปรากฏให้เห็น เขาพูดอะไรแทบไม่ออก เหมือนมีอะไรจุกในลำคอ ร่างของพวกนางที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆอยู่เลย ชวนให้น่ามองยิ่งนัก ถึงแม้ตัวพวกนางครึ่งหนึ่งจะอยู่ในน้ำเช่นเดียวกับเขาแต่ก็ไม่ได้ลดความงดงามของพวกนางให้น้อยลงเลย ผิวขาวๆยิ่งเปล่งปลั่งยามต้องแสงจันทร์ ดวงตากลมโตที่น่าใฝ่หา ปทุมคู่ที่ดูกลมกลึง เพียงแค่นี้ยังจะมีชายใดสักกี่คนที่ห้ามใจตัวเองไว้ได้ น้ำทิพย์ที่สาม อึ้งมองพวกนาง เผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว



    “ พวกเจ้า งาม... งามจริง ๆ “



    มณีมรกต และชมพูมุกดา ว่ายน้ำเข้ามาใกล้เขา พลางพูดว่า



    “ ท่านก็ปากหวานเป็นกับเขาด้วยหรือ? “



    เขาไม่ได้ตอบพวกนางว่ากระไร และก็ไม่ได้เบือนสายตาหนีไปเหมือนอย่างเคย



    “ ให้ข้าถูหลังให้ท่านดีกว่า “ มณีมรกต อ้อมตัวไปทางด้านหลัง ลูบไล้ แผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบา เนินอกของนางแนบชิดชิดกับเขาอย่างจงใจ ด้านหลังที่ว่าแย่ ยังไม่เท่าด้านหน้า ชมพูมุกดา กอดรัดเขาเอาไว้ ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองเขา ดวงตาที่หยาดเยิ้มคู่นั้นสะกดเขาไม่ให้ขยับตัวไปไหน



    “ พอ..เถอะ พวกเจ้าจะทำให้ข้าอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้วนะ หากคิดจะแกล้งข้าก็พอแค่นี้เถอะ “



    มณีมรกต หัวเราะเสียงใสกระซิบกับเขาเบาๆ



    “ แล้วใครบอกให้ท่านต้องทนล่ะ ท่านอยากจะทำอะไรก็ทำไปสิ ใช่ว่าข้าสองคนจะขัดขืนเสียเมื่อไร “



    “ พวกเจ้าไม่ขัดขืนข้าหรอก แต่พอข้าทนไม่ไหวก็จะหนีจากไปต่างหากใช่ไหม? “ สิงห์ปริศนา ถามอย่างรู้ทัน



    “ เมื่อก่อนอาจใช่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ “ ชมพูมุกดา ตอบแทน



    “ หมายความว่าไง? “



    “ ก็หมายความข้า ในเมื่อพวกข้าเป็นภรรยาของท่านแล้ว ท่านก็มีสิทธ์ชอบในตัวพวกข้าสองคน อีกอย่างหนึ่งก็คือ



    “ อะไร? “



    ชมพูมุกดา ยิ้มอย่างอายๆ ก่อนตอบเขาว่า



    “ พวกข้ารักท่านจริงๆแล้วนะสิ “



    น้ำทิพย์ที่สาม คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะรักเขาจริงๆ ในตอนแรกคิดว่านางอยากจะต้องการแกล้งเขาเท่านั้น



    “ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยรักข้าสองคนเลยก็ตาม “ มณีมรกต ทำท่างอนใส่เขา



    “ เอ้อ... ข้า........ “



    “ เห็นไหมท่านเองก็ยังพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ารักพวกข้าหรือเปล่า “ ชมพูมุกดา ทำท่าเง้างอนอีกคนจนเขารับมือพวกนางไม่ถูก



    “ เลิกพูดเรื่องนี้แล้ว รีบอาบน้ำกันดีกว่า ถ้าดึกไปกว่านี้ พวกเจ้าอาจจะไม่สบายก็ได้ “



    “ ท่านห่วงพวกข้าด้วยหรือ? “ ชมพูมุกดา เงยหน้าขึ้นมาถาม



    “ ก็ใครใช้ให้พวกเจ้าสองคนเป็นเมียข้าล่ะ “



    “ ก็เพราะอย่างนี้แหละ ข้าสองคนถึงได้รักท่านอย่างไรล่ะ “ มณีมรกตว่า



    พอได้พูดคุยกับพวกนางนานเข้า เขาก็ค่อยๆผ่อนคลายความกังวลลง มือทั้งสองก็ค่อยๆรวบร่างของพวกนางเข้ามาใกล้ ยิ่งมองพวกนางก็ยิ่งงดงาม เสน่ห์ของสาวน้อยทั้งสองกำลังมัดใจ หนุ่มวัยฉกรรจ์ เช่นเขา



    “ อย่าทำแบบนี้กับข้าบ่อยๆรู้ไหม? “



    “ ทำไม? “ สองสาวเขยื้อนริมฝีปากถาม จนเห็นฟันขาวดั่งไข่มุก



    “ เพราะข้ากลัวจะห้ามใจตัวเองไว้ไม่ได้ “



    “ ท่านจะห้ามก็ห้ามไป แต่ข้าไม่คิดจะห้าม “



    มณีมรกต ใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดคอเขาไว้ ก่อนโน้มหน้าเขาให้ลงมาหานาง ริมฝีปากของ มณีมรกต ค่อยๆแตะกับปากของเขา เหมือนกับที่ ชมพูมุกดา ทำเมื่อครู่นี้ กลิ่นกายที่หอมรัญจวนใจ เย้ายวน น้ำทิพย์ที่สาม จนทนไม่ไหว ความพยายามที่ผ่านมา มลายหายไปสิ้นแล้ว ลิ้นของเขาชอนไช เข้าหาลิ้นของนางอย่างเร่าร้อน มืออีกข้างก็ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของนาง เพียงชั่วครู่เนินอกอิ่มของ มณีมรกต ก็ถูกมือของเขาเกาะกุมเอาไว้ง่ายดาย น้ำทิพย์ที่สาม พลิกตัวนางไปยันกับขอบสะพาน ก่อนจูบไซร้ไปที่เนินอกอิ่ม ซึ่งไร้อาภรณ์ใดๆ มณีมรกต หายใจเข้าออกอย่างเหนื่อยหอบ ร้อนผ่าวไปทั่วทั้งตัว ชมพูมุกดา เองก็รั้งตัวเขาให้เข้าหานางเช่นกัน ปากของนางบดอยู่กับเขาอย่างแนบแน่น  ฉับพลันร่างของนางทั้งสองก็ค่อยๆ เลื่อนเข้ามาหากันต่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  ที่หน้าผากของนางปรากฏสัญลักษณ์รูปกลีบดอกไม้ขึ้นมา บัดนี้เหลือเพียงเขาและนางอยู่ด้วยกันเพียงสองคนเท่านั้น



    “ พวกเจ้า... “



    นางเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากของเขา พลางพูดกับเขาว่า



    “ ไม่ว่าจะเป็น มณีมรกต หรือ ชมพูมุกดา ข้าก็คือพวกนาง และพวกนางก็คือข้า “



    น้ำทิพย์ที่สาม ยื่นมือแตะใบหน้าของนางอย่างทะนุถนอม



    “ ถ้าเช่นนั้นเจ้าคือใคร? “



    “ ชมพูมรกต “



    “ ชมพูมรกต “



    เขาทวนชื่อนางอีกครั้ง ก่อนจูบไปที่แก้มนวลปลั่งที่แดงระเรื่อ ซุกไซร้จนถึงปากของนางแล้วค่อยๆตวัดลิ้นเข้าไปหารสรักที่นางมอบให้ สองมือของเขาโอบอุ้มร่างน้อยขึ้นจากลำธาร ก้าวเดินไปบนสะพานอย่างช้าๆ  พานางเข้าไปยังห้องหอ ก่อนค่อยๆ วางตัวนางนอนลงบนเตียงไม้ไผ่หลังนั้น ชมพูมรกต โอบกอดร่างกำยำของชายที่นางรัก เลื่อนมือไปมาอยู่บนแผ่นหลังของเขา ปล่อยให้ น้ำทิพย์ที่สาม ชิมความหอมหวานจากเกสรดอกไม้ ก่อนจะพานางไปสู่จุดหมายแห่งวิมานในแดนสวรรค์ ค่ำคืนนั้นนางและเขากอดกระหวัดรัดกันครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะหลับไปด้วยกันทั้งคู่เมื่อดวงจันทร์หายลับเข้าไปในเงาเมฆ



    .......จวบจนรุ่งเช้าของวันใหม่ แสงอาทิตย์สาดส่องลงต้องร่างที่นอนหลับใหลอยู่ น้ำทิพย์ที่สาม สะดุ้งตื่นขึ้นมองหา ภรรยา ของตัวเอง นางไม่ได้อยู่ เตียงไม้ไผ่หลังนั้นแล้ว เขาเหลียวมองดูซ้ายขวาก็ไม่พบ รู้ใจหายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่พอจมูกได้กลิ่นหอมของอาหารค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้น ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง เดินเข้าไปภายในห้องครัว เห็นนางยืนหันหลังให้เขากำลังจัดเตรียมอาหารเช้าอยู่ น้ำทิพย์ที่สาม เดินเข้าไปหานางอย่างเงียบๆ ก่อนรวบตัวนางมากอดจากด้านหลัง



    “ ทำไมตื่นเช้าจัง? “



    ชมพูมรกต ไม่ได้ตกใจในการมาของเขา หันหน้ากลับมาตอบ และยิ้มให้



    “ ก็มาเตรียมอาหารเช้าให้กับท่านไงล่ะ “



    “ ไม่ต้องทำให้ข้าก็ได้ ดูซิ เหงื่อท่วมตัวเลย ให้ข้าอาบน้ำให้เอาไหม? “



    นางอายจนหน้าแดง เอามือตีอกเขาเบาๆ



    “ อาบน้ำ หรือว่า ทำอย่างอื่นกันแน่ เมื่อคืนนี้ข้ายังเพลียอยู่เลยนะ “



    น้ำทิพย์ที่สาม ยิ้มตอบ จูบลงที่นางผากของนางและค่อยๆเลื่อนลงมาเรื่อยๆจนถึงพวงแก้ม แต่ ชมพูมรกต ห้ามเขาไว้เพราะรู้ว่ามีคนมาหา



    “ พอได้แล้ว รู้ไหมว่ามีคนมาหา? “



    ใช่ว่านางจะรู้เพียงแค่คนเดียวเสียเมื่อไร เขาเองก็รู้เช่นกันว่าเป็นใคร



    “ เพื่อนบ้า เมื่อวานข้าต้องการให้อยู่ก็ไม่อยู่ วันนี้ยังไม่อยากให้มาก็มาหาข้าซะเช้าเชียว “



    “ รีบไปพบเพื่อนท่านก่อนเถอะ ชวนเขากินข้าวเช้าด้วยกัน “



    น้ำทิพย์ที่สาม ปล่อยมือออกจากตัวนางอย่างแสนเสียดาย หยิบขันน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา ก่อนออกมาพบ อนันตวาโย ที่นั่งรอเขาอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม



    “ มีอะไรหรือเปล่า? ถึงมาหาข้าแต่เช้า “ น้ำทิพย์ที่สาม ถาม สีหน้าของ อนันตวาโย ไม่ทะเล้นเหมือนอย่างเคย



    “ มีข่าวมาบอกเจ้า แผนที่เราวางไว้ได้ผล ตอนนี้ เสด็จพ่อของดอกบัวน้อย สั่งให้เหล่าทหารคู่พระทัย ตรวจดูภายในพระนครอย่างกวดขัน เมื่อก่อนย่ำรุ่งพวกทหารฝีมือดี เพิ่งจะปะทะกับพวกอสูรสืบข่าวมา “



    “ พระราชาพิมุก ทรงรีบร้อนเกินไป เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น แล้วทางด้านเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? “ น้ำทิพย์ที่สาม ถาม



    “ ขุนศึกวายุ เพิ่งส่งข่าวมาถึงข้าว่า จะมาถึง นครเตมินทร์ ภายในเวลาไม่เกิน ๓ ราตรี “



    “ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร “



    “ เจ้าคิดผิดแล้ว “ อนันตวาโย บอก



    “ มีอะไรอย่างนั้นหรือ? “



    “ ข้าเพิ่งได้รับข่าวจากเทวาสื่อสารว่า ตอนนี้พวกขุนพลมารคนอื่นๆ จากสังกัด กองทัพประตูสวรรค์ และ กองทัพประตูนรก ต่างพากันแยกย้ายเข้ามาช่วยเหลือกองทัพประตูมนุษย์กันเกือบหมด หากข่าวที่ได้รับเป็นจริง พวกเราจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด “



    “ จริงอย่างที่เจ้าว่า ไหนจะนายกองอสูรทีมุน ไหนจะ พิณตะลาสูร ไหนจะขุนพลมาร ศึกนี้เห็นทีคงจะยืดเยื้อ “ น้ำทิพย์ที่สาม พูดอย่างเห็นด้วย



    “ ดอกบัวน้อยบอกข้าว่า เสด็จพ่อของนางส่งสาสน์ไปขอความช่วยเหลือจากพระสหายของพระองค์ ข้าคิดว่ากองทัพของพวกเขาคงยกทัพมาถึงในวันเดียวกันกับเหล่าขุนศึกวายุ “



    “ ถ้าเช่นนั้น เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป ควรเข้าไปพบกับเสด็จพ่อของนางได้แล้ว “ สิงห์ปริศนา ออกความเห็น สถานการณ์เช่นนี้ต้องรีบออกไปควบคุมการศึกอยู่ด้านหน้าแทนที่จะหลบซ่อนทำอยู่ด้านหลังเช่นนี้



    “ ข้าเองก็คิดเหมือนกันกับเจ้า “



    กำลังคุยกันออกรส ออกชาด อาหารเช้าก็ถูกยก ออกมาวางไว้แล้ว น้ำทิพย์ที่สาม ตะลึงเล็กน้อยที่ พวกนางออกมาหาเขาพร้อมกันทั้งสองคน แต่เพียงแค่มองสายตาของนางก็พอรู้แล้วว่านางยังไม่ต้องการให้ อนันตวาโย รู้ความจริงในตอนนี้



    “ กินข้าวเช้าด้วยกันสิ “ น้ำทิพย์ที่สาม ชวน



    อนันตวาโย มอง น้ำทิพย์ที่สาม ด้วยสายตาแปลกๆ เมื่อวานดูเหมือน น้ำทิพย์ที่สาม ยังไม่ค่อยสบายใจ แต่วันนี้กลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง



    “ เมื่อคืนนี้พวกนางคงไม่ได้ทำร้ายเจ้าใช่ไหม? “ อนันตวาโย แอบกระซิบถาม เมื่อเห็นพวกนางหันหลังให้ เพราะเขาคิดว่า น้ำทิพย์ที่สาม คงหนีพวกนางไป แต่ทำไมทุกอย่างกลับดูไม่เป็นอย่างที่คิด



    “ เปล่า เมื่อคืนพวกนางไม่ได้ทำอะไรข้าหรอก “ น้ำทิพย์ที่สาม ตอบก่อนกลืนน้ำลายคงคออย่างยากลำบาก แอบมองพวกนางสองคนอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆแอบกระซิบถาม อนันตวาโย ว่า



    “ เอ้อ... อนันตวาโย ข้ามีเรื่องอยากจะถาม “



    “ อะไรหรือ? “ อนันตวาโย สงสัยว่า น้ำทิพย์ที่สาม จะถามอะไรเขา



    สิงห์หนุ่ม มองเห็นพวกนางกลับเข้าไปในห้องครัวแล้ว จึงพูดกับ อนันตวาโย ว่า



    “ ...เอ้อ...คือ ข้าอยากจะถามว่า ห่อผ้าเมื่อวานนี้ยังอยู่หรือเปล่า? “



    อนันตวาโย เข้าใจในทันที ส่ายนิ้วไปมา



    “ นี้เจ้ากับพวกนาง... “



    น้ำทิพย์ที่สาม จับนิ้วเขาเอาไว้ พลางรีบพูดแก้ตัว



    “ อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าเพียงอยากให้พวกนางกินเพื่อบำรุงร่างกายเท่านั้น “



    ตอนนี้  อนันตวาโย ค่อยกลับเป็น อนันตวาโย คนเดิม ทำหน้าทะเล้นเหมือนอย่างเคย  



    “ เดี๋ยวข้าไปเอามาให้ “



    “ ขอบใจนะ “ น้ำทิพย์ที่สาม กล่าวขอบคุณเขา พลางตบมือบนโต๊ะไม้ไผ่เพื่อแก้เขิน



    “ เออ เมื่อคืนนี้............ “ อนันตวาโย แกล้งพูดเสียงดังให้พวกนางได้ยินจน น้ำทิพย์ที่สาม ต้องรีบพูดตัดบท



    “ กิน....กินข้าวเถอะ อนันตวาโย เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน “ น้ำทิพย์ที่สาม รู้สึกเขิน อนันตวาโย ขึ้นมากกว่าเดิม ส่วน มณีมรกต และ ชมพูมุกดา ออกมานั่งเคียงคู่สามีของนาง ต่างก็พากันนั่งก้มหน้าทานข้าวโดยไม่พูดไม่จาด้วยกันทั้งสามคน ปล่อยให้ อนันตวาโย นั่งยิ้มมองดูเขาและพวกนางอยู่เพียงแค่คนเดียว



    จบตอนที่ ๒๓ ครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×