กรรมไล่ล่า ตอน เรื่องของอุ้ม - กรรมไล่ล่า ตอน เรื่องของอุ้ม นิยาย กรรมไล่ล่า ตอน เรื่องของอุ้ม : Dek-D.com - Writer

    กรรมไล่ล่า ตอน เรื่องของอุ้ม

    ผู้เข้าชมรวม

    15

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    15

    ผู้เข้าชมรวม


    15

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 พ.ย. 67 / 11:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เสียงลมพัดเอื่อยๆ หน้าบ้านหลังใหญ่ อุ้มนั่งมองหาที่พักในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่โซนรับแขกหน้าบ้าน เพราะได้ลงเรียนต่อด้านภาษาไว้ อุ้มเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ทางบ้านมีฐานะดี ร่ำรวยมากในจังหวัด และด้วยความที่บ้านมีกิจการใหญ่โต อุ้มจึงได้มีโอกาสที่จะได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งอุ้มเป็นลูกคนโตของที่บ้าน แลยได้มีโอกาสในการตัดสินใจอะไรต่างๆ ด้วยตัวเอง 

     

                อุ้มเลือกที่จะเดินทางไปคนเดียว แต่ก็มีการตระเตรียมทุกอย่างไว้อย่างดีแล้ว ด้วยความที่มีเงินมาก ทุกอย่างเลยไม่ใช่ปัญหาสำหรับอุ้มและครอบครัว

                “แม่ พรุ่งนี้อุ้มจะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วนะ” อุ้มเอ่ยปากบอกผู้เป็นแม่

                “เดี๋ยวพ่อกับแม่ไปส่ง” แม่หันมามองที่ลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

                “จ๊ะ แม่” 

     

                แล้วทั้งครอบครัวประกกอบด้วย พ่อ แม่ น้องชายอีกสองคนก็ได้ไปส่งอุ้มในวันถัดมา 

                “เดินทางปลอดภัยนะลูก ถึงแล้วก็บอกแม่ด้วยแล้วกัน” ความเป็นห่วงลูกของผู้เป็นแม่แสดงออกมาทางคำพูด

                “ได้ แม่ อุ้มไปล่ะนะ” อุ้มลากกระเป๋าใบน้อยพรอ้มกับเดินทางไปขึ้นเครื่องเพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

     

                อุ้มนั้นได้เลือกลงเรียนภาษาไว้ก่อน เพราะตัวเองภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ รวมไปถึงการปรับตัวให้เข้ากับที่ที่ไปด้วย เพื่อรอการสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัย 

     

                โดยปกติแล้วนักเรียนที่ไปเรียนต่อนั้น เกือบทุกคนจะทำงานเสริมเพื่อหารายได้แบ่งเบาภาระที่บ้าน 

    แต่ด้วยความที่บ้านอุ้มมีฐานะดี อุ้มจึงหนึ่งในหลายร้อยคน ที่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานพิเศษเลย เพราะที่บ้านสามารถส่งเสียให้กินอยู่อย่างดี ได้แบบสบายๆ 

     

                หลังจากมาเรียนภาษาได้หนึ่งปี อุ้มก็ได้พบรักกับแฟนหนุ่มชื่อเป้ เป้นั้นมาที่ต่างประเทศ ด้วยความตั้งใจทำงานเพื่อหาเงิน แล้วตั้งหลักในชีวิตให้ได้ โดยพื้นฐานส่วนตัวของเป้นั้น เป็นคนที่ขยันมาก ทำงานได้เท่าไหร่ก็เก็บหมด ใช้จ่ายอย่าประหยัด เพื่อที่จะสร้างฐานะให้ได้เร็วที่สุด

     

                สองคนนี้พบรักกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อุ้มเข้ามาทาน ส่วนเป้นั้นทำงานที่ร้านแห่งนี้อยู่แล้ว 

    และหลังจากที่เป้เห็นอุ้มครั้งแรก เป้ก็ตกหลุมรักอุ้มทันที เลยได้ตัดสินใจเดินตามอุ้มไปหลังจากที่อุ้มทานอาหารเสร็จเพื่อขอเบอร์ของอุ้ม

                

                ตัวอุ้มเองก็สังเกตได้ตั้งแต่นั่งอยู่ในร้านแล้ว ว่าเป้นั้นคอยมองอยู่ไม่ห่าง และอุ้มก็เห็นว่าเป้หน้าตาดีใช้ได้ หลังจากที่เป้ตามอุ้มทัน ทั้งสองก็ได้พูดคุยกัน คุยกันได้สักพัก เป้ก็ตัดสินใจขอเบอร์อุ้ม ส่วนอุ้มก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจก็เลยให้เบอร์โทรกับเป้ไป

     

                หลังจากนั้นเป้ก็ตามจีบอุ้มอยู่พักใหญ่ แล้วทั้งคู่ก็ตกลงคบกันตามประสาของคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ

    คบกันได้ไม่นานก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ห้องพักของเป้ ซึ่งการคบกันของทั้งคู่นั้น ทางบ้านไม่ได้รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่เลย ทางบ้านอุ้มก็คิดแค่ว่าส่งอุ้มมาเรียนเพื่อเอาความรู้กลับไปช่วยงานครอบครัวที่เมืองไทย ไม่ได้คิดว่าอุ้มจะมีแฟนอยู่ต่างประเทศ

     

                โดยตัวอุ้มนั้นหลังจากย้ายไปอยู่กับเป้ก็ใช้ชีวิตปกติทั่วไป ตอนเช้าอุ้มจะไปเรียนภาษา หลังจากเรียนเสร็จก็เอาเวลาที่เหลือไปนั่งเฝ้าเป้ทำงาน โดยเป้ทำงานเป็นพนักงานส่งอาหารที่ร้านอาหารหลายร้าน ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด แล้วทุกที่ที่เป้ไปก็จะมีอุ้มอยู่ด้วย พอใครๆเห็นแบบนี้ ก็จะรู้ได้ว่าอุ้มกับเป้นั้นตัวติดกันเลยตลอดเวลาเลยทีเดียว ไม่ว่าเป้อยู่ที่ไหนเป็นต้องเห็นอุ้มอยู่ที่นั่นเสมอ ซึ่งคนไทยทั้งเมืองก็รับรู้เป็นอย่างดีว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน

     

                จนกระทั่งวันหนึ่งร้านทีเป้ทำงานก็รับพนักงานเข้ามาทำงานใหม่ เป็นพนักงานในครัวที่ชื่อว่าสา

    สาเป็นรุ่นพี่ อายุ 30 ต้น ๆ เมื่อเทียบกับอุ้มแล้ว อุ้มอายุเพียง 20 ต้นๆ เท่านั้น สามาเรียนต่อที่ต่างประเทศโดยใช้เงินเก็บของตัวเอง และก็ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเพื่อส่งเสียตัวเอง โดยไม่รบกวนเงินที่บ้านเลย หลังจากที่สาเข้ามาทำงานที่ร้านก็ได้รู้จักกับเป้ และก็พลอยได้รู้จักกับอุ้มไปด้วย

     

                สากับอุ้มนั้นพอได้เจอกัน ก็คุยกันถูกคอ เพราะสาเป็นคนจิตใจดี มองโลกในแง่ดี และรักทุกคนที่ผ่านเข้ามา ทำให้อุ้มนั้นชอบคุยด้วย แต่ในขณะที่คนอื่นๆ รอบตัวนั้น กลับไม่ค่อยชอบอุ้มสักเท่าไหร่ เพราะอุ้มเป็นคนพูดจาโผงผาง จิตใจคับแคบ ทั้งสองคนพูดคุยกันและรุ้จักกันได้สองเดือน สาก็ตัดสินใจที่จะเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย และได้ชักชวนอุ้มให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน ซึ่งอุ้มก็ตอบตกลง เพราะลงเรียนภาษามาได้ก็หลายปีแล้ว น่าจะถึงเวลาที่จะเข้ามหาวิทยาลัยสักที

     

                ในส่วนของสานั้นได้มาเรียนที่ต่างประเทศพร้อมๆ กับสามีที่คบกันมาได้ 5 ปี และแต่งงานได้ 2 ปี ซึ่งหลังจากที่สาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งเป็นเวลาสองเดือนหลังจากมาใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ 

     

                ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง ในขณะที่สานอนอยู่กับสามีในห้องนอน อยู่ๆ สาก็ตื่นขึ้นมาเร็วกว่าปกติ แต่สามียังคงหลับสนิทอยู่ ตอนนั้นเป็นช่วงที่สามีขอสากลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ แต่สานั้นไม่อยากให้ไป เพราะเพิ่งมาอยู่ต่างประเทศได้แค่สองเดือน ยังไม่ค่อยมีเพื่อน หรือคนรู้จัก แต่สามีของสาก็ยืนยันที่จะกลับให้ได้ สาจนใจ เลยตอบตกลงให้สามีกลับไปเยี่ยมบ้านได้ 1 เดือน

     

                ในเช้าวันนั้นไม่รู้คิดอย่างไร จู่ ๆ สาก็คว้าโทรศัพท์มือถือของสามีขึ้นมาดู ซึ่งโดยปกติแล้วสาจะไม่ยุ่งกับโทรศัพท์ของสามีเลย แต่ไม่รู้เกิดลางสังหรณ์อะไร เลยหยิบมาดู ทันทีที่เห็นข้อความหน้าจอ ก็ต้องตกใจเป็นที่สุด เพราะเป็นข้อความที่สามีคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นข้อความทำนองว่าจะกลับไปหาผู้หญิงคนนี้ สาตกใจเลยรีบปลุกสามี

     

                “แจ็ค แจ็ค ตื่นเดี๋ยวนี้!” เสียงปลุกดังลั่นห้อง ทำให้แจ็คต้องตื่นในทันที ในสภาพงัวเงียมาก

                “มีอะไร สา” แจ็คยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

                “นี่ อะไรหมายความว่ายังไง” สาหยิบโทรศัพท์ของแจ็ค พร้อมกับหันให้แจ็คดู 

     

                ทันทีที่แจ็คเห็นแบบนี้ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด

                “ทำไม ทำไมทำกับสาแบบนี้ สาไม่ดีตรงไหน” สาพูดไปร้องไห้ไป เสียสติเหมือนคนบ้า แล้วก็หุนหันพลันแล่นออกจากห้องไปร้องไห้ที่ห้องครัว แจ็คนั้นนึกในใจว่างานเข้าก็ทีนี้ แล้วจะทำยังไง 

     

                “ฮือ ๆ​” สาร้องไห้เสียงดัง จนคนในบ้านที่เป็นรูมเมทต้องเดินออกมาถามว่าเป็นอะไร สาจึงบอกทุกคนว่าแจ็คนอกใจสา พอสาร้องไห้จนพอแล้ว ก็เข้าไปเก็บข้าวของแล้วออกไปอาศัยบ้านน้องที่รู้จักอยู่ด้วย 

                วินาทีนั้นสานั้นอยากกลับบ้านใจจะขาด เพราะคิดว่าที่บ้านมีแม่ที่รักสา แต่ด้วยความที่เข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว จึงทำให้สานั้นเสียดาย จ่ายเงินค่าเทอมไปแล้วเสียด้วย ย้ำคิดย้ำทำอยู่อย่างนั้น พลางคิดในใจว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ลำบากเหลือเกิน 

     

                แต่กระนั้นสาก็ยังกลั้นใจอยู่ต่อ เพื่อเรียนมหาวิทยาลัยให้สำเร็จสมความตั้งใจ ซึ่งสานั้นก็ได้ไปเรียนพร้อมกับอุ้ม ลงวิชาเหมือนกัน รวมไปถึงเลือกเรียนทุกวิชาด้วยกัน เวลาไปเรียนก็จะนัดหมายกันไปถึงพร้อมกัน ทำการบ้านก็ปรึกษากัน จนกลายเป็นน้องที่สนิทคนหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งพอสามีปัญหาอะไร ก็จะปรึกษาอุ้มอยู่ตลอดเวลา

     

                หลังจากเวลาผ่านไปได้สองปี ทั้งคู่ก็เรียนจบ สาก็ยังคงทำงานที่ร้านอาหารเหมือนเดิม แต่ตั้งใจทำงานเก็บเงินอย่างหนัก เพื่อที่จะได้มีเงินเก็บไว้ให้ตัวเองใช้จ่ายและส่งเสียให้ครอบครัวอีกด้วย ส่วนอุ้มก็ตัดสินใจไปลงเรียนภาษาต่อเพื่อจะได้อยู่ที่ต่างประเทศต่อไปได้

     

                ถัดมาที่เป้แฟนหนุ่มของอุ้มนั้น หลังจากทำงานได้หลายปีก็สามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง จึงได้หุ้นกับรุ่นพี่ที่สนิทกันและเป็นเจ้านายกันมาก่อน เพื่อที่จะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ซึ่งเป้ก็ได้เป็นหุ้นส่วนสำคัญ และได้โอกาสดึงอุ้มมาทำงานที่ร้าน 

     

                อุ้มพอได้ทำงานที่ร้านที่เป้มีหุ้นส่วน ก็ทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่ก็ไม่ได้ทำงานเกินกำลังหรือค่าจ้างที่ได้มา เรียกได้ว่าทำงานแค่ตามหน้าปกติทั่วไป แต่สิ่งที่อุ้มภูมิใจก็คือ สามารถแสดงให้ทุกคนเห็นว่า

    ฉันคือแฟนเจ้าของร้านนั่นเอง และทุกคนต้องฟังฉัน และถึงแม้บ้านจะร่ำรวย แต่อุ้มก็ไม่ได้บอกที่บ้านว่ามีงานทำและมีรายได้เพิ่มขึ้น ยังคงอาศัยเอาเงินจากที่บ้านเหมือนเดิม เรียกได้ว่ารับเงินสองทาง และก็ใช้เงินซื้อของอย่างสบายใจ

     

                แต่ในทางกลับกันอุ้มกลับบอกเป้ว่า งานที่ได้นั้นเงินน้อยเหลือเกิน แทบไม่มีเงินเหลือเก็บ ด้วยความที่เป้รักอุ้มมากก็คอยปันเงินให้อุ้มเพิ่ม เพื่อจะได้จับจ่ายใช้สอยอย่างสะดวกสบาย

     

                ซึ่งหลังจากร้านแรกเปิดมาได้สามปี ร้านก็ทำกำไรได้อย่างมาก จนทำให้เป้เก็บเงินจนสามารถที่จะซื้อบ้านได้หนึ่งหลัง แต่ก็อาศัยเอาชื่อของอุ้มเป็นคนกู้ เพราะว่าอุ้มทำงานถูกกฎหมาย ในขณะที่เป้นั้นทำงาน แต่ไม่ได้ถูกกฎหมายอย่างชัดเจน

                

                หลังจากที่ร้านแรกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เป้ก็อยากที่จะขยายกิจการร้านอาหาร จึงได้ชักชวนพี่เอที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ให้เปิดร้านอีกหนึ่งสาขา ในตอนแรกพี่เอก็ไม่ได้อยากจะเปิดสักเท่าไหร่ เพราะว่าที่บ้านของพี่เอนั้นต้องการให้เอนั้น กลับมาดูแลกิจการที่บ้านในเมืองไทย 

     

                “พี่เอครับ ผมว่าทำเลที่ผมบอกดีมากนะครับ ถ้าเปิดได้รับรองเรามีรายได้ดีมากกว่าเดินอีกครับพี่”

                “แต่พี่ไม่ค่อยพร้อมเป้ พี่อาจจะต้องกลับไทยนะ” พี่เอพูดด้วยน้ำเสียงขึงขึง

                “พี่ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากเปิดอีกสาขา ถ้าไม่มีพี่ ผมคงทำไม่สำเร็จแน่เลยครับ” เป้อ้อนวอนพี่เอ อ้อนวอนอยู่นานหลายวัน จนพี่เอใจอ่อน ยอมที่จะช่วยเปิดร้านอีกสาขาให้ แต่ตัวพี่เอเองจะค่อยๆ ถอนหุ้นออกเพื่อกลับไปอยู่ไทยถาวรแทน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เปิดร้านสาขาที่สองขึ้นในทำเลแห่งใหม่

     

                จนถึงตอนนี้เป้กับพี่เอก็มีร้านอาหารรวมแล้วทั้งหมด 2 สาขา ครั้นพอถึงเวลาใกล้จะเปิดร้านที่สอง

    เป้ก็ต้องพยายามหาคนมาช่วยดูแลร้านสาขาที่สอง เพราะจะให้อุ้มนั้นดูแลสาขาแรก จนในที่สุดแล้วอุ้มกับเป้ก็นึกถึงสา เพราะเคยเห็นการทำงานว่าสาเป็นคนทำงานเก่งและขยันมาก น่าจะมาช่วยดูแลร้านได้เป็นอย่างดี

     

                เมื่อคิดได้แบบนี้ ทั้งคู่จึงได้ชักชวนสา มาเป็นผู้จัดการร้าน แต่ตอนนั้นตัวสาเอง ก็มีงานทำอยู่แล้วถึงหกวัน อุ้มนั้นค่อยๆ ตะล่อมและเกลี้ยกล่อมสาอยู่เรื่อยๆ ในระหว่างตกแต่งร้านใหม่ไปด้วย จนในที่สุดสาก็เห็นแก่อุ้ม เพราะคิดว่าตัวเองสนิทกันฉันท์พี่น้องจริงๆ เลยตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานอื่นๆทั้งหมดมาช่วยงานที่ร้านของอุ้มแทน

     

                โดยก่อนที่จะได้ลาออกจากร้านๆหนึ่งที่ทำงานมาด้วยเป็นเวลาช่วงหนึ่ง สาก็ได้รับการตักเตือนจากรุ่นน้องคนหนึ่ง

                “พี่ ผมไม่ได้อะไรนะ แต่ผมว่าอุ้มเป็นคนไม่ค่อยโอเคนะพี่” เจรุ่นน้องที่สาทำงานด้วยนั้นได้เตือนสาด้วยความเป็นห่วง

                “เฮ้ย ไม่มีอะไรหรอกมั้งเจ พี่รู้จักอุ้มมานานแล้ว”

                “ผมก็แค่เตือนพี่เฉยๆ อันนี้ก็แล้วแต่พี่นะ”

                “ไม่เป็นไร เจ ถึงแม้ว่าอุ้มเค้าจะไม่ดีกับคนอื่น แต่อุ้มมันดีกับพี่นะ” สาตอบกลับเจไปตามสิ่งที่คิด ส่วนเจก็มองหน้าพี่สาด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้แค่เตือนรุ่นพี่ด้วยความห่วงใย ที่เหลือคงจะแล้วแต่ชะตาชีวิตลิขิต

     

                หลังจากลาออกจากทุกร้านแล้ว สาก็ได้มาช่วยงานที่ร้านอย่างขยัน ขันแข็ง เรียกได้ว่าความสามารถล้นเหลือจนพี่เอเจ้าของร้านหุ้นส่วนใหญ่ ถึงขั้นเอ่ยปากชมไม่ขาด และนี่ก็ทำให้อุ้มนั้นเกิดความอิจฉาอยู่ในใจลึกๆ แต่ก็ยังคงเก็บอารมณ์ไว้ไม่เปิดเผยออกมาในช่วงแรกๆ เพราะต้องการความช่วยเหลือจากสาให้ดูร้านให้ 

     

                ซึ่งตอนที่เปิดร้านแรกๆนั้น ลูกค้าค่อนข้างมาก แต่ด้วยความสามารถของสาที่ทำงานมาหลายร้าน

    จึงทำให้ควบคุมงานในร้านได้เป็นอย่างดีและไม่มีปัญหาตามมา

     

                จนกระทั่งวันหนึ่งน้องที่ร้านสาขาแรกก็ได้ส่งข้อความมาหาสา

                “พี่สา หนูมีเรื่องอะไรจะบอกพี่”

                “เรื่องอะไรเหรอนิ่ม” นิ่มนั้นได้เข้ามาทำงานที่ร้านสาขาแรกได้สักพัก ก่อนที่สาจะเข้ามาดูแลร้านสาขาที่สอง ซึ่งทำให้นิ่มนั้นก็ได้เจอกับอุ้ม เพราะอุ้มกับเป้ต้องเข้ามาดูร้านอยู่เป็นพักๆ และนิ่มก็ได้ยินการพูดคุยกันของอุ้มกับคนที่ร้านคนอื่นๆ

     

                “คือพี่… พี่อุ้มอ่ะ เค้าเอาพี่ไปพูดกับคนที่ร้านน่ะพี่”

                “พูดว่าอะไรเหรอนิ่ม”

                “ก็พูดว่าพี่น่ะทำงานเอาแต่เงินๆ”

                “อ้าว ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”

                “ยังมีอีกเยอะเลยพี่” ว่าแล้วนิ่มก็เล่าให้สาฟังจนหมดเปลือก ว่าลับหลังนั้นอุ้มเอาสาไปพูดที่ร้านสาขาแรกในแบบเสียๆหายๆ นี่ยังไม่รวมถึงเอาพี่เอ หุ้นส่วนใหญ่ของร้านที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าของร้านไปนินทาแบบเสียๆหายๆ อีก อุ้มกับเป้นั้นว่าพี่เอว่าวันๆ พี่เอไม่เห็นทำอะไรเลย นั่งรอแต่เงินปันผล

     

                พอสาได้ยินดังนี้แล้วก็ตกใจและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงร้องไห้ออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว ใจก็คิดว่าทำไมน้องที่ตัวเองอุตส่าห์มาช่วยทำงานให้นั้น เอาสาไปนินทาแบบเสียๆหายๆ 

     

                นึกไปนึกมา สาก็นึกถึงคำพูดของรุ่นน้องชื่อเจ ที่เคยเตือนสาไว้แล้ว แต่สาก็เชื่อในตัวอุ้มมากกว่า และเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว สาจึงได้ตัดสินใจลาออกจากร้านในทันที โดยได้บอกกับพี่เอผู้เป็นเจ้าของร้านว่า

     

                “พี่เอ หนูมีอะไรอยากปรึกษาพี่”

                “จร้า มีอะไรหรือเปล่า”

                “สาว่าสาอยากลาออกน่ะพี่”

                “เอ้า ทำไมล่ะ” เอถามด้วยความประหลาดใจ

                “คือหนูมีปัญหานิดหน่อยน่ะค่ะ พี่”

                “ปัญหาอะไร บอกพี่ได้ไหม”

                “เอ่อ หนูยังไม่พร้อมบอกพี่ตอนนี้น่ะค่ะ”

                “อ้าว ได้ๆๆ งั้นไม่เป็นไร ไว้พร้อมก็บอกพี่นะ แล้วพี่ก็อยากให้เราลองเอาไปคิดดูอีกทีนะ พี่ยังให้เวลาเราก่อนแล้วกัน”

                “คือ หนูมั่นใจว่าหนูขอลาออกน่ะพี่ หนูขออนุญาตพี่เป็นการบอกล่วงหน้าสองสัปดาห์นะคะ” พี่เอได้แต่นิ่งเงียบไป แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

                “ขอบคุณนะคะพี่เอ” สาพูดจบก็ยกมือไหว้พี่เอแล้วก็เดินจากมา

     

                หลังจากนั้นพี่เอจึงได้ไปปรึกษากับเป้ ว่าสาอยากลาออกจากการเป็นผุ้จัดการร้าน ซึ่งเป้ก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไม เลยให้อุ้มแฟนตัวดีนั้นโทรมาพูดคุยกับสา เพื่อให้สาอยู่ทำงานต่อ อุ้มจึงได้ตัดสินใจโทรหาสา ซึ่งพอสาเห็นอุ้มโทรมาก็รับสาย แต่น้ำตาแห่งความเสียใจไม่อาจกลั้นไว้ได้ สาร้องไห้โฮออกมา แล้วก็บอกอุ้มว่า

     

                “ทำไมอุ้มทำกับพี่แบบนี้ ไม่ชอบอะไรพี่ ทำไมไม่บอกพี่ตรงๆ ทำไมเอาพี่ไปนินทากับคนอื่น” พออุ้มได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปสักพักหนึ่ง แล้วก็บอกสากลับไปว่า

                “พี่ หนูไม่ได้ตั้งใจ หนูขอโทษ พี่ไม่ร้องไห้นะ” ปากของอุ้มก็บอกขอโทษพี่สา แต่ใจนั้นกลับกระหยิ่มยิ้มย่องที่ทำให้คนๆหนึ่ง เสียใจได้มากมาย

                “พี่กลับมาทำงานให้หนูเหมือนเดิมนะ หนูขอโทษแล้วจะไม่ทำอีกนะพี่” ที่อุ้มพูดแบบนี้เพียงเพราะแค่ขี้เกียจหาคนทำงานใหม่ อุ้มเลยแสร้งทำเป็นอ้อนวอนให้สากลับมาทำงานเหมือนเดิม

     

                ส่วนสาด้วยความเป็นคนใจอ่อนเลยตกปากรับคำว่าจะกลับไปช่วยงานต่อ และหลังจากกลับมาทำงานอีกครั้ง ก็ไม่ได้ยินข่าวเรื่องการถูกอุ้มนินทาอีกเลย

                

                จนกระทั่งถึงวันที่สาต้องตัดสินใจกลับบ้าน ในวันนั้นเป็นวันที่แม่ขอให้สานั้นกลับบ้านเกิดที่เมืองไทย

    เพราะแม่แก่มากแล้ว แล้วตัวสาเองก็อยู่เมืองนอกมานานหลายปี สาบอกลาทุกๆคนแล้วก็กลับบ้านเกิดที่เมืองไทยและเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พี่เอตัดสินใจกลับไทย และขายหุ้นให้กับเป้และพี่อีกคนหนึ่งที่สนใจ

    โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องทำการผ่อนค่าขายร้านให้กับพี่เป้ทุกเดือนจนกว่าจะครบ

     

                ในตัวของอุ้มเองก็ต้องหาคนมาทำงานแทนสา โดยก่อนกลับอุ้มได้ส่งข้อความไปขอโทษสาถึงสิ่งที่เคยทำกับสาไว้ และหลังจากนั้นทางร้านก็ได้ทำการยื่นเอกสารขอให้อุ้มได้เป็นพลเมืองที่อยู่อย่างถูกกฎหมาย

    ซึ่งมีพี่เอก็เป็นผู้สนับสนุนให้อุ้มได้ใบอนุญาตถูกกฎหมาย เพื่อที่อุ้มจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น

     

                พอหลังจากทำเรื่องเสร็จ อุ้มก็ได้เป็นพลเมืองอย่างถูกกฎหมาย ตัวของอุ้มกับเป้ก็ทำการซื้อบ้านหลังใหม่อีกหนึ่งหลังในชื่อของอุ้ม หลังจากผ่านไปได้ 2 ปี นับจากวันที่สาและพี่เอเดินทางกลับไทย

                เวลาผ่านไปได้หนึ่งหลังจากวันทีสาเดินทางกลับบ้านเกิดที่ไทย อยู่ๆ สาก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ๆที่อยู่ที่ต่างประเทศ

     

                “นี่แก แกได้ยินข่าวเรื่องเป้กับอุ้มไหม”

                “เรื่องอะไรเหรอพี่”

                “เอ้า ก็มันสองคนน่ะโกงเงินร้านน่ะสิ”

                “หา โกงเงินร้านตัวเองน่ะนะพี่” สาถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ 

                “ก็ใช่น่ะสิ”

                “หือ รวยอยู่แล้ว ยังจะโกงอีกเหรอพี่”

                “ก็ใช่น่ะสิ แล้วนี่พี่เอเค้าจับได้”

                “เหรอพี่”

                “โกงแบบกดเงินสดออกไปจากบัญชีร้านเลยนะ แล้วรู้ไหม โกงไปเท่าไหร่”

                “เท่าไหร่เหรอพี่”

                “เป็นสิบๆล้าน ถ้านับเป็นเงินไทยนะ”

                “โห! พี่”

                “แล้วพี่เอเค้าทำไงอ่ะ”

                “เค้าบินมาจัดการน่ะสิ แต่สองคนนั้นไม่คืนเงินทั้งหมดนะ พี่เอาเค้าให้ถอนหุ้นให้หมด”

                “โห ทำกับพี่เอได้เนอะ พี่เอเค้าเป็นคนดีนะพี่”

                “ใช่ เรื่องนี้ดังมากที่นี่เลยแก”

                “ก็น่าจะดังนะพี่ ทำกันขนาดนี้”

     

                หลังจากวางสายไป สาก็นึกในใจว่า เวรกรรมคงกำลังทำงานของมันอยู่ แล้วยิ่งทำชั่วมากกว่าเดิมก็คงส่งผลให้แย่กว่าเดิม

     

                ในส่วนของอุ้มกับเป้นั้น พอโดนพี่เอจับได้ว่ายักยอกเงินร้านไปหลายล้านบาท พี่เอก็บินมาเพื่อจัดการสะสางปัญหา ด้วยการทำเรื่องฟ้องร้องเพื่อให้ทั้งสองถอนหุ้นแล้วทำการคืนเงินบางส่วน ที่ไม่ฟ้องเอาเงินทั้งหมด เพราะทั้งสองคนบอกว่าใช้เงินไปหมดแล้วทำให้คืนได้ไม่หมด แต่ในความเป็นจริงคือทั้งสองคนนั้นเอาเงินไปซื้อบ้า ซื้อรถ และเรือ เพื่อแปลงเงินเป็นสินทรัพย์นั่นเอง

     

                แต่หลังจากที่ต้องถอนหุ้นออกจากร้าน ทั้งคู่ก็เริ่มหาร้านเปิดใหม่ เพราะเงินที่ยักยอกมานั้นมากมายมหาศาลเลยทีเดียว และเป้นั้นก็เริ่มมองหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองนั้นอยู่อย่างถูกกฎหมาย โดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่เป้คิดนั้นกลับไม่เป็นไปตามแผน เมื่อถูกทางรัฐบาลจับได้แล้วก็ต้องขึ้นบัญชีดำไว้

     

                และนี่ทำให้เป้นั้นกลายเป็นคนวิตกจริตไปในทันที เพราะกลัวว่าจะถูกจับส่งกลับประเทศ

    รวมไปถึงกลัวที่จะโดนจับได้เรื่องโกงเงินอีก

     

                นอกจากนี้ในส่วนของอุ้มนั้น หลังจากได้เป็นพลเมืองของประเทศนี้อย่างสมบูรณ์แล้ว ก็ได้ขอเลิกกับเป้

    โดยอ้างว่าเข้ากับเป้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป้ชอบทำกิจกรรมข้างนอก แต่อุ้มชอบอยู่บ้าน ซึ่งเอาจริงๆแล้วเหตุผลนั้นก็มีแค่ว่าตอนนี้เป้กำลังเข้าตาจนจะถูกส่งกลับไทยเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ มิหน้ำซ้ำยังกลายเป็นคนขี้ระแวง อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว

     

                โดยทันทีที่อุ้มขอเลิก เป้ก็ถึงกับตกใจ หน้าเสียและใจสั่นแบบไม่รู้ตัว เพราะทั้งชีวิตที่อยู่เมืองนอกมา 10 ปี ก็มีรักเดียวคืออุ้ม และยอมให้อุ้มทุกอย่าง ส่งอุ้มถึงฝั่งโดยการเป็นพลเมืองอย่างสมบูรณ์ แต่อุ้มก็กำลังจะมาทิ้งไป ซึ่งอุ้มยังบอกเป้อีกด้วยว่า อุ้มจะกลับไทยแล้ว ส่วนบ้านที่เป็นชื่ออุ้ม ให้ทำการหาเงินมาให้อุ้ม แล้วอุ้มจะได้โอนบ้านคืนให้

     

                เป้นั้นถึงกับหลังชนฝา ไปไม่ถูก แต่ก็ต้องทำตามที่อุ้มบอก โดยการเอาเงินเก็บและเงินที่โกงมาให้อุ้มไป

    เพื่อที่จะเก็บบ้านเอาไว้

     

                หลังจากที่อุ้มได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ก็เดินทางกลับไทยอย่างภาคภูมิใจ เพราะตัวเองได้เป็นพลเมืองของที่นี่อย่างถูกต้อง จะทำกิจการอะไรในภายภาคหน้าก็ไม่เป็นปัญหา จะไป จะกลับเมื่อไหร่ก็ได้

    แถมยังได้เงินมาอีกก้อนมโหฬาร เรียกได้ว่าคุ้มกับการอยู่กับเป้มาเป็น 10 ปี

     

                ในส่วนของเป้ พออุ้มจากไปแล้ว ก็กึ่งๆ จะกลายเป็นคนเสียสติไปพักหนึ่ง เพราะความหวาดระแวง 

    กลัวว่าคนจะมาจับผิด และกลัวว่าจะถูกส่งกลับ ทำให้ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดชีวิต จะกลับเมืองไทยก็ไม่ได้ เพราะลงทุนไปเปิดร้านใหม่ไว้แล้ว แถมยังมีบ้านที่ยังเสียดาย ต้องทนอยู่แบบที่คนภายนอกดูว่ามีความสุข

    แต่แท้ที่จริงแล้ว ภายในนั้นทุกข์ทนเหลือเกิน

     

                ในส่วนของอุ้ม พอได้กลับมาเมืองไทยก็มีเงินใช้เหลือเฟือ อยากได้อะไรก็ได้ อยากซื้ออะไรก็ซื้อ แล้วก็กลับมาช่วยดูแลกิจการที่บ้าน เรียกได้ว่าชีวิตนั้นแสนสุขสบาย ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป

     

                แต่ความสุขอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ หลังจากกลับมาได้สองปี ทางบ้านของอุ้มก็เริ่มมีปัญหา กิจการที่เคยขายได้เป็นเทน้ำเทท่าเริ่มฝืดเคืองด้วยพิษเศรษฐกิจ พอเงินเริ่มลดลง ทางบ้านก็ต้องเอ่ยปากกับอุ้ม ให้นำเงินที่ทำงานมาได้มาช่วยเหลือกิจการของที่บ้าน

     

                อุ้มนั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอยู่เป็นทุนเดิม และไม่เคยเห็นแก่ใครก็ไม่ได้ให้เงินที่บ้าน แต่กลับเลือกที่จะกำเงินก้อนนั้น เพื่อมาเปิดกิจการร้านอาหารในต่างประเทศ และเลือกที่จะกลับมาที่เมืองเดิมที่เคยอยู่ เพราะคุ้นเคยเป็นอย่างดี

     

                เมื่อตัดสินใจทิ้งคนที่บ้านมาแบบไม่ใยดีแล้ว อุ้มก็หาซื้อร้านอาหารที่กำลังบอกขาย ซึ่งก็หาได้ไม่ยากเพราะอุ้มนั้นมีเงินเยอะมาก อุ้มจึงได้จัดสรร ปันส่วน แล้วก็เอาเงินที่มีซื้อบ้านไว้ 1 หลัง รถอีก 1 คัน

    แล้วก็รับสมัครพนักงานมาดูแลร้าน

     

                ในส่วนตัวอุ้มนั้นก็จ้างพนักงานทำทั้งหมด ตัวเองได้แต่นั่งอยู่ยอดขายอยู่ที่บ้าน แล้วก็ช้อปปิ้งไปวันๆ ทำไปทำไมร้านกลับขาดทุน จนอุ้มต้องเข้ามาทำงานในร้านเอง งานที่ไม่เคยต้องทำก็ต้องทำเพื่อประคองร้านให้อยู่รอด

     

                จนสุดท้ายร้านที่เคยคิดว่าจะประสบความสำเร็จ กลับเจ๊งไม่เป็นท่า ด้วยความที่บริหารไม่เป็น และความมั่นใจในตัวเองที่มีมากจนเกินไป แต่อุ้มก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ก็ทำการขายร้านนี้ทิ้งเสีย แล้วซื้อร้านใหม่ แต่ทำไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องขาดทุนอีกเหมือนเดิม

     

                ตอนนี้อุ้มเริ่มคิดแล้วว่าจะทำอย่างไรดี เงินที่พอมีมาก็เริ่มหมดลงแล้ว ครั้นจะกลับไปหาเป้ก็คงจะไม่ง่ายนัก จะหันไปหาเพื่อนๆ ตอนนี้คนทั้งเมืองก็รู้แล้วว่าอุ้มเป็นคนเช่นไร จะเดินไปไหนก็ไม่มีใครอยากคุยด้วย

    ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม เพราะกลัวจะโดนโกงแล้วก็โดนแทงข้างหลังกันหมด

     

                อุ้มผู้เคยกำทุกอย่างไว้ในมือกลายเป็นผู้ที่สูญเเสียทุกกอย่าง แต่ด้วยความมั่นใจในตัวเอง ก็ทำการขายบ้านแล้วเอาเงินไปลงทุนกับร้านอาหารร้านสุดท้าย ซึ่งอุ้มคิดว่าร้านนี้มันจะต้องไปได้ด้วยดีสิ แต่ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร เมื่ออุ้มโดนลูกน้องในร้านโกงเงินร้านไป เหมือนกับที่อุ้มเคยโกงเงินร้านในอดีต ตอนนี้ร้านนี้กำลังขาดทุนและอุ้มก็เริ่มถอดใจแล้ว

     

                ในที่สุดอุ้มก็ขายร้านแล้วตัดสินใจกลับเมืองไทย เพื่อกลับมาหาครอบครัวตัวเอง เพราะใจก็คิดว่าที่บ้านร่ำรวย ถึงตอนนี้แม่จะบอกว่ากิจการไม่ดี ยังไงก็ต้องมีเงินบ้างล่ะ

     

                อุ้มบินกลับไทยแบบคนที่ไม่ได้คิดอะไรเลย คิดแค่ว่ากลับมาที่บ้านก็มีเงินให้เหลือเฟือเหมือนเดิม ทันทีที่อุ้มกลับมาถึงบ้านก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะบ้านที่เคยอยู่ กิจการที่เคยมี ตอนนี้เปลี่ยนมือเป็นของคนอื่นไปแล้ว

     

                อุ้มไม่ได้ติดต่อกับที่บ้านมาหลายปีตั้งแต่ตัดสินใจไปทำร้านอาหารที่เมืองนอก เลยคิดว่าการกลับมาทำให้ที่บ้านประหลาดใจ น่าจะทำให้พวกเค้าพอใจไม่น้อย

     

                แต่กลับกลายเป็นว่าอุ้มไม่เจอใครอีกเลย ถามหาคนที่ซื้อกิจการไป ก็บอกว่าตั้งแต่ซื้อกิจการไปก็ไม่ได้เจอกับครอบครัวอุ้มอีกเลย

     

                อุ้มพยายามติดต่อหาญาติพี่น้องที่เหลือ ทุกๆคนก็พยายามไม่คุยกับอุ้ม เพราะรู้ว่าอุ้มนั้นทิ้งบ้านไปในยามที่บ้านนั้นลำบาก

     

                ตอนนี้อุ้มไม่รู้จะทำอย่างไรอีกแล้ว อุ้มยืนอย่างโดดเดี่ยวบนถนนในเมืองใหญ่ จะหันไปทางไหนก็ไม่มีใครอีกแล้ว และนี่ก็คงเป็นเวรกรรมที่อุ้มได้ทำไว้กับทุกคนที่ผ่านมานั่นเอง

     

     

     

     

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×