Sword Of Avalon(ดาบแห่งอวาลอน)
ที่นี่คือ แพนดอร่า กล่องที่บรรจุสิ่งมีชีวิตแบบพวกเธอไว้ สถานที่ที่มีแต่สีเทา เธอไม่ได้เกิดที่นี่ แต่เธอก็ชอบที่นี่เหมือนที่เธอชอบห้องของเธอ เธอไม่ได้เรียกมันว่า ห้อง อย่างคนอื่นเขาเรียกกัน เธอเรียกมันว่า กรง เพราะอย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่ คุก ที่เธอ
ผู้เข้าชมรวม
503
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ
‘To stay with you always.You are the world to me, and dreaming on~’
เสียงเพลงที่ได้ยินเป็นประจำทำให้เธอลืมตาตื่นในเวลาเดิมเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ‘เธอ’ ไม่มีชื่อ และทุกคนก็ไม่เรียกเรียกเธอด้วยชื่อเช่นกัน เธอเดินไปเข้าห้องน้ำและออกมาพร้อมเสื้อผ้าที่แสนเรียบง่าย เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงยีนขาสามส่วนและรองเทาผ้าใบเปื่อยๆหนึ่งคู่ เธอคว้าเสื้อแจ๊กเก็ตสีแดงตัวโปรดของเธอและเดินออกจากห้องอย่างที่เธอทำเป็นประจำ
ที่นี่คือ ‘แพนดอร่า’ กล่องที่บรรจุสิ่งมีชีวิตแบบพวกเธอไว้ สถานที่ที่มีแต่สีเทา เธอไม่ได้เกิดที่นี่ แต่เธอก็ชอบที่นี่เหมือนที่เธอชอบห้องของเธอ เธอไม่ได้เรียกมันว่า ‘ห้อง’ อย่างคนอื่นเขาเรียกกัน เธอเรียกมันว่า ‘กรง’ เพราะอย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่ ‘คุก’ ที่เธอเคยอยู่ แพนดอร่าคือหนึ่งในเขตนิคมชั้นล่างสุดของ ‘คาเมล็อต’ เมือง นคร อาณาจักร หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถบรรจุคนสี่ร้อยล้านคนไว้ได้ เมื่อนานมาแล้วที่พื้นพิภพถูกรุกรานด้วยโรคร้ายที่ได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมด โรคร้ายที่เกิดจากกัมมันตภาพรังสี ซึ่งในตอนนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหรืออะไรสามารถต่อกรกับมัน นั่นคือเหตุผลที่คาเมล็อตได้เกิดขึ้นมา
เธอคือหนึ่งในโคลนที่ผิดพลาด เปล่าหรอก เธอไม่ได้ผิดพลาด เพียงแต่เธอไม่อาจทนที่จะทนอยู่ใน ‘คุก’ แห่งนั้นได้อีกต่อไป เธอคือหนึ่งในตัวเลือกแห่งอนาคตที่สามารถกลายไปเป็นอะไหล่ของคนอื่น และก็กลายไปเป็นอาวุธทางการทหารที่สามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อื่นได้เช่นกัน แต่เธอเลือกที่จะเป็นตัวเองและหนีออกมาจาก ‘คุก’ ที่เธอเรียกมันอย่างเย้ยหยันว่า ‘คุกสวรรค์’
เธอจำไม่ได้ว่าเธอหนีมานานเท่าไหร่แล้ว แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ มีตัวเลือกมากมายที่พร้อมจะแทนที่เธอเสมออยู่แล้ว หลังจากที่เธอหนีมา เธอก็ได้หลายคนช่วยเหลือไว้และให้ที่พักซึ่งห่างจากที่ทำงานสิบกิโลเมตร และในตอนนี้เธอต้องไปให้ถึงที่ทำงานภายในสามนาทีไม่อย่างนั้นเธอจะสาย และถ้าเธอสาย เงินค่าแรงวันนี้ก็จะไม่พอซื้ออาหารในวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน
เธอเดินลงบันไดของห้องพักชั้นสามอย่างไม่รีบเร่ง
“อรุณสวัสดิ์”เสียงทักจากเจ้าของห้องพักทำให้เธอต้องหันไปโบกมือตอบ เธอเดินไปตามถนนที่ตอนนี้ผู้คนกำลังออกมาทำงานเหมือนอย่างเธอ เธอมองดูนาฬิกาข้อมือ
เหลืออีกสองนาทีสี่สิบสามวินาที
เธอมองไปที่ยอดตึกของถนนฝั่งตรงข้าม และเพียงพริบตาเดียวเธอก็มาอยู่บนนี้ คราวนี้เธอมองไปที่ถนนใกล้ๆกับจัตุรัสที่มีอ่างน้ำพุสีเทา เธอเพ่งสายตาไปที่ร้านขายขนมปัง ตรงหน้าร้านมีคนยืนต่อแถวประมาณสองสามคน และเธอก็ปรากฏกายไปเป็นคนที่สี่ของแถวที่ต่อซื้อขนมปัง
“เหมือนเดิม”เธอสั่งและยื่นกระดาษสีเหลืองขุ่นๆให้ ไม่นานเธอก็ได้ขนมปังหนึ่งก้อนกับนมร้อนอีกหนึ่งแก้ว เธอรับมาและโค้งขอบคุณ คนขายไม่ได้ใส่ใจเพราะมัวแต่บริการลูกค้า แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ เธอมองนาฬิกาอีกครั้ง
เหลืออีกหนึ่งนาทีสามสิบสี่วินาที
สงสัยการที่ต่อเป็นคนที่สี่จะเสียเวลาไปไม่น้อยเลย เธอคิดพลางมองไปที่ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในบริเวณนั้น ตอนนี้เธอกำลังมองดูแพนดอร่าจากความสูงสามร้อยเมตร เมฆไม่มากอย่างที่เธอคิด ดวงอาทิตย์ยังคงสีเหลืองอ่อนเหมือนเช่นทุกวันที่เธอเห็น เธอแกะกระดาษห่อขนมปังและเริ่มกินมัน ระหว่างที่กินร่างของเธอก็ไปปรากฏบนถนนบ้าง หลังคาตึกบ้าง ยอดตึกบ้าง เมื่อขนมปังหมดเธอก็ดื่มนมร้อนที่ตอนนี้น่าจะกลายเป็นนมอุ่นไปแล้ว เธอดื่มมันรวดเดียวและไปปรากฏหน้าอาคารสีเทาที่เขียนว่า ‘separate’
เธอเดินผ่านประตูกระจกใสและยักคิ้วให้กับพนักงานหน้าเคาเตอร์
“สายไหม?”เธอถามเป็นเชิงทักทายมากกว่าจะถามจริงๆ
“เหมือนเดิม”พนักงานก็เลิกคิ้วตอบเธอ เธอเหยียดยิ้มเล็กน้อยและเดินไปขึ้นลิฟท์ เมื่อลิฟท์สแกนม่านตาก็พาเธอลงไปยังชั้นใต้ดินของอาคาร ที่จริงมันไม่ได้อยู่ใต้ดิน แค่อยู่ระดับต่ำว่าพื้นที่สิ่งปลูกสร้างทั่วไปเท่านั้น เมื่อประตูลิฟท์เปิดเธอก็เดินตรงไปยังตู้ล็อคเกอร์ตู้ประจำของเธอ เพียงแค่เธอทาบมือลงไประบบรักษาความปลอดภัยก็ปลดออกเผยให้เห็นของที่อยู่ภายในโดยไม่ต้องดึงบานพับ เธอถอดเสื้อแจ๊กเก็ตตัวเก่งยัดเข้าข้างในล็อคเกอร์และหยิบเข็มขัดเครื่องมือของช่างออกมา เธอใส่เข็มขัดและหมวกนิรภัยสีเหลือง เมื่อเธอเดินจากไปล็อคเกอร์ก็เข้าสู่ระบบรักษาความปลอดภัยเหมือนเดิม
ระหว่างทางเธอก็ทักทายคนที่มาทำงานเหมือนกันกับเธอ เธอหยิบประแจเบอร์ยี่สิบออกมาจากเข็มขัดเครื่องมือและเดินตรงไปยังเครื่องจักรขนาดยักษ์ที่เธอต้องแยกชิ้นส่วนมันเพื่อที่โรงงานจะนำไปขายต่อหรือรีไซเคิลเป็นอย่างอื่น เธอค่อยๆทำงานอย่างช้าๆแต่ได้ประสิทธิภาพเหมือนที่ทำเป็นประจำ เวลาผ่านไปเธอเริ่มรู้สึกว่าลมพัดแรงขึ้น
ไม่สิ? ในโซลนี้ไม่มีลม!!!
สายไปเสียแล้ว เมื่อเธอหันหลังกลับไปมองก็เห็นเครื่องจักรรูปวงแหวนขนาดใหญ่กำลังทำงานอยู่ และตอนนี้มันก็กำลังจะพัดดูดเธอเข้าไป เพราะเธอดันไปอยู่ตรงหน้ามันพอดี
“ใครเปิด!?”เธอตะโกนถามเสียงกับเสียงลมที่กระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่มีใคร! มันเดินเครื่องเอง!”หัวหน้าคนงานที่ตอนนี้กำลังฝ่าลมที่กรรโชกเข้าปิดเครื่อง
“จะบ้าเรอะ ถ้าไม่มีใครเปิดมันจะทำงานเองได้ไงเล่า!”เธอสบถเล็กน้อยเมื่อเธอเริ่มยึดเกาะไม่ได้
“รีโมตไง เราหามันไม่เจอ”คนงานคนอื่นเองก็พยายามหารีโมตและฝ่าลมเข้ามา “เกาะไว้”
“ก็ทำอยู่เนี่ย!”เธอกำลังลังเลระหว่างยึดเกาะไว้ หรือจะหายตัวไปปรากฏที่อื่นดี ไม่ได้ ถึงเธอจะหายไปแต่ระหว่างที่เธอปล่อยมือจากเครื่องจักรร่างของเธอก็ต้องถูกพัดเข้าอยู่ดี และในขณะที่เธอกำลังลังเลอยู่นั้นอะไรบางอย่างก็พุ่งเข้ากระแทกตัวเธอจากด้านหน้าแรง
“โอ๊ย~~~!!!”เธอร้องลั่นและนั่นทำให้เธอต้องละมือจากการยึดเกาะเพราะความเจ็บปวดที่ถูกกระแทกมันเกินกว่าที่เธอจะรับไหว ร่างของเธอลอยละลิ่วผ่านเครื่องจักรวงแหวนนั้นพร้อมๆกับซากเศษเหล็กที่ชนกับหน้าผากของเธอด้วยเช่นกัน
เวร! ลืมมองข้างหน้า
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอคิดได้ก่อนที่สติจะหลุดลอยไป
ผลงานอื่นๆ ของ Eve Fantasia ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Eve Fantasia
ความคิดเห็น