[WF contest] Extremely White, Brightly Black - [WF contest] Extremely White, Brightly Black นิยาย [WF contest] Extremely White, Brightly Black : Dek-D.com - Writer

    [WF contest] Extremely White, Brightly Black

    ชายเลี้ยงม้าคนหนึ่งต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวของนางเงือกดำและพ่อมดขาว เรื่องราวที่ทำให้เขาเกือบจะเอาชีวิตแทบไม่รอด

    ผู้เข้าชมรวม

    813

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    27

    ผู้เข้าชมรวม


    813

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    18
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 ม.ค. 58 / 01:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    เรื่องสั้นเข้าร่วมประกวด WF Contest ของสนพ. 1168 ค่ะ
    เป็นเรื่องสั้นความยาว 30 หน้า 
    หัวข้อที่เลือกคือ 2การตามล่าหาวัตถุดิบทำอาหารในโลกแฟนตาซี 

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองที่เราส่งค่ะ ลองหาอ่านเรื่องแรกกันที่ http://my.dek-d.com/ald_aruza/writer/view.php?id=1283470 นะคะ เป็นธีมรถไฟค่ะ เราชอบทั้งสองเรื่องที่เราเขียนมากและคงดีใจถ้าเธอจะชอบเหมือนกันนะ


    สุดท้ายธีมเราเอามาจากบทความนี้น้า ขอบคุณมากๆ ค่า
     themy butter
    © themybutter
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เรื่องสั้นเข้าร่วมประกวด WF Contest ของสนพ. 1168 ค่ะ
      เป็นเรื่องสั้นความยาว 30 หน้า 

      หัวข้อที่เลือกคือ 2การตามล่าหาวัตถุดิบทำอาหารในโลกแฟนตาซี 


       

      Extremely White, Brightly Black

                      อนาคินจำได้ดี ตอนเขาอายุสิบสี่เกือบสิบห้า เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม เขาเจอเงือกสีดำตนหนึ่งที่ชายหาด

                      ตอนนั้นเขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มในหมู่บ้านชาวประมง พ่อของเขาเป็นชาวประมง และแม่ของเขามีลูกแปดคนให้ดูแล จึงไม่ยากที่หนึ่งในแปดจะเล็ดรอดสายตาและออกเดินท่องเที่ยวไปทั่วได้ จากการสำรวจไปทั่วเกาะ อนาคินได้พบว่ามีหาดเล็กๆ หาดหนึ่งซึ่งไม่มีใครเข้าไป เนื่องจากมันอยู่ระหว่างภูเขาสองลูก ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของมันจึงถูกกั้นจากส่วนอื่นๆ ของเกาะด้วยชะง่อนผาหินสูงชันที่ชะโงกหน้าลงในทะเล หินบนผาทั้งสองนี้แหลมคมขรุขระยากปีนข้าม ส่วนด้านหลังของหาดก็เป็นป่ารกที่น้อยคนนักจะอยากเข้าไป ชาวบ้านบนเกาะขนานนามมันว่าป่าดำ – ที่อยู่ของเหล่าภูตพรายเช่นเดียวกับป่าแห่งอื่นๆ - อนาคินออกสำรวจป่าแห่งนี้ด้วยความรักสนุกของเด็ก เขารู้จักวิธีการเป็นมิตรกับสัตว์ทุกชนิดแม้แต่ที่ดุร้ายที่สุด เขาออกตระเวนไปทั่ว จนในที่สุดเขาก็เดินเลยป่าออกไปพบชายหาดน้อยที่มีทรายขาวสะอาดแห่งนั้น

      เด็กหนุ่มจับจองที่นั่นเป็นที่ส่วนตัวของตน เขาเติบโตขึ้นในบ้านแคบๆ ที่มีคนอาศัยอยู่รวมกันสิบคน เขาจึงปรารถนาความเป็นส่วนตัว เงียบสงบ และโล่งกว้างเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง อนาคินแวะมาที่นี่ทุกวัน ไม่เกินเจ็ดครั้งเขาก็ได้พบเธอ

      นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่อนาคินได้เห็นเงือก ลูกชาวเลอย่างเขาเห็นพวกเงือกที่ขึ้นมาที่ชายหาดและพบปะกับมนุษย์จนเบื่อ แต่ตามปกติแล้วเงือกจะมีผมสีเดียวกับเกล็ดที่หาง ส่วนใหญ่เป็นสีเขียว ส้ม แดง หรือฟ้า อย่างที่แปลกที่สุดก็คงชมพูหรือม่วง เงือกตัวนั้นเป็นตัวแรกที่เขาเห็นว่ามีผมและเกล็ดที่หางสีดำสนิท

      เมื่ออนาคินก้าวไปที่ชายหาดและเห็นเธออยู่ที่นั่น เขารู้สึกเหมือนถูกดึงดูดด้วยพลังมหาศาลที่ตรึงสายตาของเขาจนไม่อาจมองไปทางอื่นได้ เธอนั่งอยู่ตรงนั้น เปลือยอกเช่นเดียวกับเงือกทั่วไป พับหางสีดำเหมือนนั่งพับเพียบ เท้าแขนซ้ายกับหาง ท่าทางสบายๆ เหมือนกำลังพักผ่อน มือขวาของเธอคีบบุหรี่มวนมือสีเทาตัวหนึ่งและกำลังพ่นควันโขมง รอยสักสีดำลายสามเหลี่ยมซ้อนกันไปมาพันอยู่ตรงต้นแขนซ้าย ท้องแขนขวาที่คีบบุหรี่ของเธอสลักถ้อยคำ “โลกนี้ไม่มีรักนิรันดร์”

      เธอรู้สึกตัวว่าอนาคินอยู่ที่นั่น เธอจึงหันมาหาเขา ใบหน้าของเธอไร้ความรู้สึก ดวงตาสีดำด้านจ้องเขาและทำให้เด็กหนุ่มประหม่า เขาหลบตาลงมองทรายแต่กลับห้ามใจไม่ได้จ้องมองเธออีกครั้ง ผมสีดำของเธอตัดสั้นระดับปลายคาง ระกับใบหน้าเล็กๆ และคางแหลม มันเปียกน้ำ ลู่ตามแก้ม... อนาคินกลืนน้ำลาย

      “สวัสดีเด็กมนุษย์” เธอเอ่ยทัก เสียงเบื่อหน่ายต่อโลก ใบหน้าสวยงามเหมือนรูปปั้น แต่ไร้ความรู้สึก

      “สวัสดี” เขาเอ่ยอย่างประหม่า “ผมอนาคิน”

      “อีวาลิลลี่” เธอตอบ

      “เป็นชื่อที่ดี” เขาเอ่ยตามที่คิด

      “พ่อฉันตั้งให้” เธอตอบไม่ยี่หระ พ่นควันบุหรี่อีกครั้ง “รีบไปก่อนที่หมอนั่นจะมาดีกว่า”

      “หมอนั่น” เขาถาม

      “นายไม่อยากรู้หรอก” อีวาตอบ จ้องตาเขา “ไปซะแล้วอย่ากลับมาที่หาดนี้อีกถ้านายไม่อยากมีปัญหา”

      น้ำเสียงของเธอดุจนทำให้เด็กอายุแค่สิบสี่อย่างเขาต้องหันหลังและเดินเข้าป่าไป ระหว่างทางกลับบ้านเขารู้สึกเจ็บปวดจนหายใจลำบาก เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น และเขาถูกปฏิเสธ ความเจ็บปวดที่เด็กหนุ่มไม่เคยพบมาก่อนทำให้เขาไม่กลับไปที่หาดแห่งนั้นอีกเลย

       

      สิบสี่ปีต่อมา อนาคินอายุยี่สิบแปด เขาเติบโตขึ้นและกลายเป็นคนฝึกม้า เขามีโรงฝึกม้าเป็นของตัวเอง ในโลกที่สัตว์วิเศษอยู่ร่วมกับคน ม้าในโรงเรียนของเขาจึงไม่ได้มีแค่ม้าธรรมดา มันรวมกันระหว่างม้ามีเขา ม้ามีปีก ม้ามีปีกและมีเขา และม้าที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากที่ม้าธรรมดาตัวหนึ่งควรมี

      อนาคินเข้ากับสัตว์ได้ดีอยู่แล้ว เขาทำงานในโรงฝึกม้าได้ดีเยี่ยม โดยมีน้องๆ ช่วยงานดูแลม้าในโรงฝึก พี่น้องส่วนหนึ่งและพ่อของเขายังคงเป็นชาวประมง  ส่วนแม่ของเขาจากไปเพราะสุขภาพย่ำแย่เนื่องจากมีลูกมากเกินไป ชีวิตของชายหนุ่มดำเนินไปอย่างไม่สบายและไม่ลำบากเกินไปนัก แต่เขาก็ไม่เคยลืมนางเงือกสีดำตนนั้น

      เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนางเงือกสีดำอีกเลย ไม่เคยมีใครพบเห็นนางเงือกสีดำ หลายคนบอกเขาว่านางเงือกตนนั้นอาจจะเป็นปีศาจ เนื่องจากมีประกาศจากพวกพ่อมดให้ระวังนางเงือกสีดำที่เป็นอันตราย แต่ในเมื่อเธอไม่ได้ทำอันตรายเขา หลายคนจึงสรุปกับเขาว่าสิ่งที่เขาเห็นวันนั้นอาจเป็นเพียงความฝันของวัยแตกเนื้อหนุ่ม

      แต่ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ยินข่าวเรื่องบางสิ่งที่ไม่น่าจะมีสีดำได้แต่มันเป็นสีดำ

      สิ่งนั้นคือยูนิคอร์น

      ได้ยินว่าขุนนางตระกูลฟลานากันผู้ดูแลเกาะแห่งนี้พบมันในป่าดำทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งเป็นป่าที่เขาเคยเข้าไปสำรวจและพบชายหาดนางเงือกนั่นเอง ขุนนางเอายูนิคอร์นมาเลี้ยงไว้ในคฤหาสน์ เมื่อแรกได้ยินข่าว อนาคินคิดว่าเขาอาจจะไปตีสนิทกับเด็กเฝ้าประตูของคฤหาสต์ฟลานากันและขอเข้าไปดูม้าสีดำตัวนั้นได้ เขามีความสนใจในบรรดาสัตว์สีดำเป็นพิเศษ ซึ่งสาเหตุก็คงเกี่ยวข้องกับการพบกันระหว่างเขาและอีวาลิลลี่

      ชายหนุ่มเริ่มต้นวางแผนเดินทางไปยังคฤหาสน์ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเกาะได้แค่วันเดียว ข่าวอีกข่าวก็มาถึงเขา

      เจ้าตระกูลฟลานากันถูกฆ่าเมื่อวานนี้ และลูกชายคนเดียวของตระกูลก็ต้องขึ้นรับยศขุนนางแทนตั้งแต่อายุยังน้อยโดยไม่คาดฝัน อนาคินรู้ได้ทันทีว่าเวลานี้ตระกูลฟลานากันยังไม่พร้อมจะรับคนนอกเข้าไปดูม้า แผนการของเขาจึงยุติลง

      ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ายูนิคอร์นสีดำจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาไวกว่าที่เขาคิดมากนัก

       

      ขณะเดียวกันทางด้านตระกูลฟลานากัน ราอุล ฟลานากัน ชายหนุ่มอายุสิบเก้าตกอยู่ในภาวะจิตใจถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงหลังการตายของบิดา เด็กหนุ่มพูดไม่รู้เรื่อง เบิกตากว้างมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัวตลอดเวลา ตัวสั่น และไม่สามารถนอนหลับได้ เมื่อได้รับยาให้หลับ เขาก็ฝันร้ายจนตื่นมาและกรีดร้อง เขาครองสติไม่อยู่จนข้ารับใช้ในคฤหาสน์ต้องเป็นผู้จัดการงานศพของอดีตเจ้าตระกูลฟลานากันแทนทั้งหมด และในวันที่ต้องเดินทางออกจากเกาะไปรับตำแหน่งขุนนาง ข้ารับใช้ก็แทบจะต้องประคองเด็กหนุ่มที่ตาเบิกกว้างและตัวสั่นงันงกไปจนถึงด้านหน้าบัลลังก์ของกษัตริย์เพื่อรับตำแหน่ง ชุดเสื้อผ้าทางการที่งดงามไร้ราศีไปเมื่อผู้ใส่มีสภาพแทบดูไม่ได้ คทาที่ควรยกชูสูงกลายเป็นไม้เท้า และลูกกลมประดับทับทิมสีแดงในมือก็แทบจะกลิ้งร่วงจากมือ จนต้องให้ผู้อื่นช่วยจับมือของเขาให้มั่นไว้

      ไม่มีใครกล่าวโทษเขาได้ ผู้ส่งสารเล่าว่า จากคำบอกเล่าไม่ประติดปะต่อของราอุล เด็กหนุ่มและบิดาออกไปเดินเล่นในป่าด้วยกันสองของโดยปราศจากผู้ติดตาม

      พ่อบอกว่าไม่ให้ใครตามไป ราอุลเล่า มือกระตุกหงิกงอ และเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นทันที หัวพ่อยังลืมตาอยู่ หัวพ่อยังลืมตาอยู่ กลิ้งมาที่เท้า เท้านี่ กลิ้งมาชนนิ้วโป้ง ตรงนี้ พวกมันฟันคอพ่อขาด หัวพ่อ ฉันหิ้ว หิ้วหัวพ่อกลับมา มันอยู่นั่นไง ฉันให้พวกเธอไปแล้ว ฉันวิ่งหนีมันจับฉันได้ มันถามฉัน มันถามฉัน มันถามฉันร้อยครั้ง พันครั้ง มันบอกว่าฉันโง่ ฉันไม่รู้เรื่อง มันเลยกลับไป ทิ้งฉันไว้กับหัวของพ่อ พ่อยังมองอยู่ ยังลืมตาอยู่

      ตามการสันนิษฐาน จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนไม่ทราบที่มาเข้าจู่โจมไมให้ตั้งตัว เด็กหนุ่มเห็นบิดาถูกฟันคอขาดต่อหน้าต่อตาตน หัวของพ่อบังเกิดเกล้ากระเด็นมาที่เท้า ยังลืมตาอยู่ เด็กหนุ่มกรีดร้อง วิ่งเอาชีวิตรอด แต่ชายสามคนนั้นจับเขาไว้ได้ และขู่เข็ญเขาด้วยคำพูดรุนแรง พวกเขาถามคำถามราอุลอยู่หลายชั่วโมง และกลับจากไปหลังจากผู้ที่ดูเหมือนจะหัวหน้าเอ่ยว่า “นี่มันก็แค่เด็กโง่คนหนึ่งเท่านั้น มันคงไม่รู้อะไรหรอก” ราอุลจึงกระเสือกกระสนกลับมาจนถึงคฤหาสน์ ถือหัวที่ยังลืมตาของพ่อมาด้วย และจับไข้สูงไปอีกสิบวันจนงานศพของพ่อเสร็จสิ้น

      ไม่มีใครรู้ว่าคนเหล่านี้ต้องการอะไรจากตระกูลฟลานากัน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ทุกคนในตระกูลอยู่ในสถานะที่ไม่ปลอดภัย การเสียผู้นำ และมีทายาทที่ไม่เข้มแข็งทำให้ฐานะของตระกูลคลอนแคลนลง กษัตริย์ต้องการคนดูแลเกาะที่เข้มแข็งกว่าราอุลแห่งฟลานากัน และในเมื่อบนเกาะมีตระกูลขุนนางเพียงตระกูลเดียวคอยดูแลอาณาบริเวณมาช้านาน หน้าที่ปกครองจึงถูกถ่ายโอนชั่วคราวไปให้วิวาลดิ นักเวทระดับสูงคนหนึ่งซึ่งพำนักอยู่ที่เกาะนั้น และเคยเป็นที่ปรึกษาให้กษัตริย์ในยามศึกมาแล้วหลายครั้ง

      สิบห้าวันหลังเจ้าตระกูลตาย วิวาลดิมาเยี่ยมราอุลที่คฤหาสน์ เขาเป็นชายที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มกำดัด แต่เส้นผมยาวเปลี่ยนเป็นสีขาวจนหมดหัว ผิวหนังของวิวาลดิขาวซีด ริมฝีปากของเขาดูดั่งจะเป็นสีขาว แม้แต่ตาดำก็สีซีดจาง ท่าทางการเดินใต้ผ้าคลุมสีขาวสว่างดูดั่งล่องลอย วิวาลดิพ่อมดขาวคือนามที่ทุกคนใช้เรียกเขา

      วิวาลดิประคองใบหน้าราอุล เด็กหนุ่มสั่นระริก “เด็กชายที่น่าสงสาร” วิวาลดิพูด

      ราอุลมองวิวาลดิตาตั้ง และเริ่มกระตุกไปมาน้ำลายฟูมปาก เขาเคยเป็นคุณชายผู้สง่างามแห่งคฤหาสน์ฟลานากัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นเพียงอดีตไปเสียแล้ว

      “น่าสงสารจริงๆ” พ่อมดขาวเอ่ยอย่างเวทนาและลูบผมของราอุลช้าๆ วิวาลดิใช้นิ้วชี้แตะที่หว่างคิ้วของราอุล และฉับพลันนั้นเด็กหนุ่มก็หลับไปด้วยท่าทางสงบ วิวาลดิสั่งให้พาเขาไปพัก

      “มีอำนาจที่มืดดำอยู่ในป่าดำแห่งนั้น ครอบครองป่าแห่งนั้นอยู่” พ่อมดขาวเอ่ย “หัวหน้าตระกูลคนเก่าได้รุกล้ำสิ่งนั้นโดยไม่รู้ตัว พวกมันจึงมาล้างแค้น”

      “แต่ท่านก็พำนักอยู่ที่ชายป่าดำไม่ใช่หรือ” หัวหน้าคนรับใช้ถาม “พ่อมดที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านไม่สามารถต่อกรกับสิ่งนั้นได้หรือ ทำไมจึงปล่อยให้มันเหิมเกริมใกล้ที่พักของท่าน”

      “สีขาวไม่อาจต่อกรสีดำได้” วิวาลดิบอก หลุบตาลงต่ำด้วยความเสียใจ แพขนตาสีขาวปิดเหนือดวงตาสีซีด พ่อมดมีท่าทีครุ่นคิด

      “ว่าแต่ ยูนิคอร์นสีดำจากป่าตัวนั้น มันอยู่ไหน” พ่อมดเอ่ยถาม

      “อยู่ที่โรงฝึกม้า เพราะช่วงก่อนทุกคนยุ่งมากเรื่องงานศพ จึงนำไปฝากไว้น่ะครับ” หัวหน้าคนรับใช้ตอบ

      วิวาลดิมองหน้าเขา และขมวดคิ้วราวกับนั่นคือเรื่องสำคัญ จากนั้นจึงขอตัวกลับไป

      และหลังจากนั้น ราอุลผู้น่าสงสารก็หลับไปสามวันสามคืน เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาดูไม่หวาดกลัวอะไรอีก ไม่สั่น ไม่เบิกตากว้าง เขาดูสงบเงียบ แต่ที่สำคัญคือ เขาไม่พูดอะไรอีกเลย และดูเหมือนจะไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอะไร หรือต่อให้โบกมืออยู่ต่อหน้าเขา ราอุลก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ราวกับกำลังละเมออยู่ในความฝันอันแสนไกล

       

      อนาคินดีใจแทบเนื้อเต้นตอนที่คนของตระกูลฟลานากันเอายูนิคอร์นสีดำมาฝากไว้ที่โรงฝึกของเขา ช่วงนั้นตระกูลฟลานากันกำลังจัดงานศพ และขอให้เขาช่วยดูแลม้าจนกว่าสถานการณ์จะกลับเป็นปกติ อนาคินตรวจสอบเจ้าม้าและนำมันไปรวมฝูงกับม้าตัวอื่นๆ เจ้าดำเข้ากับตัวอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเติมแอปเปิ้ลในถาดอาหารและกลับเข้าบ้านอย่างวางใจ

      เจ้าดำมาอยู่กับเขาได้แค่สิบกว่าวัน ก็มีคนมาเยี่ยมเขาที่บ้าน คนๆ นั้นคือวิวาลดิพ่อมดขาวพร้อมผู้ติดตามอีกสองคน

      “เราคิดว่ายูนิคอร์นสีดำอาจเป็นต้นเหตุการตายของหัวหน้าตระกูลคนก่อน” วิวาลดิอธิบาย “จึงอยากจะขอม้าตัวนั้นไปไว้ที่บ้านของเราจะดีกว่า”

      “แต่ทางฟลานากันฝากไว้กับผม ผมคงไม่สามารถให้มันกับคุณได้ถ้าหากไม่มีใบอนุญาตจากทางฟลานากันเอง” ชายหนุ่มกล่าวอย่างลำบากใจที่ต้องโต้เถียงกับคนใหญ่โตอย่างวิวาลดิ

      “อย่ามีข้อสงสัยในตัวเราเลย ตอนนี้เราดูแลทุกอย่างแทนฟลานากันแล้ว อีกอย่างการเก็บม้าตัวนั้นไว้ที่นี่อาจจะทำให้ภัยมาถึงตัวได้” วิวาลดิบอก

      คำอธิบายของพ่อมดขาวทำให้อนาคินยอมรับ เขาพาพ่อมดไปยังโรงฝึกม้า ระหว่างนั้นพ่อมดถามเขาว่า “ตรวจสอบม้าตัวนี้แล้วหรือยัง”

      “แน่นอนครับ” อนาคินตอบยิ้มแย้มแจ่มใส

      “แล้วรู้อะไรบ้าง” เสียงนั้นถามอย่างสงบ          

      “ผมก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน” ชายหนุ่มตอบ เขาหมายถึงอายุ สุขภาพ ขนาด ความแข็งแรง การดูแลที่มันได้รับมาก่อนหน้า ทุกอย่างตามประสาคนฝึกม้า...ไม่ใช่ตามประสาพ่อมด พอพูดจบ เขาก็หันไปหาพ่อมด ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

      ผู้ติดตามคนหนึ่งสะกิดข้อศอกของพ่อมด วิวาลดิหยุดเดิน จ้องมองรอยยิ้มของเขาและถามเสียงเย็น “คนอื่นๆ ในบ้านเจ้าก็รู้เรื่องเหล่านี้ด้วยรึ”

      อนาคินหันกลับไปมองพ่อมดและผู้ติดตาม เขายิ้ม “มีผมคนเดียวแหละที่รู้เรื่องม้า คนอื่นๆ แค่ช่วยทำงานทั่วไป โดยปกติพวกเขาเป็นชาวประมง วันนี้ก็ออกทะเลกันหมดล่ะครับ ช่วงนี้ปลาชุม ทะเลสงบ”

      “งั้นเจ้าก็น่าจะออกทะเลไปด้วยนะ” วิวาลดิพูด และอยู่ๆ ชายสองคนที่ติดตามมาก็เข้าโจมตีเขา อนาคินพยายามป้องกันตนเองแต่เขาไม่อาจสู้จำนวนที่มากกว่าได้ อีกอย่างชาวประมงและคนเลี้ยงม้าคงไม่อาจสู้นักรบที่ฝึกมาอย่างดี พวกนั้นซ้อมเขาจนลืมตาไม่ขึ้น อนาคินได้ยินเสียงใครสักคนพูดเป็นคำสุดท้ายก่อนที่เขาจะสลบไป

      “เอามันไปทิ้งทะเล จะได้ไม่มีใครพบศพ ส่วนม้าเอากลับไปกลับเรา”

       

      อนาคินลืมตาอีกครั้งที่ชายหาดสีขาวสะอาด เขานอนคว่ำ ตัวเปียกน้ำเค็ม หน้าเลอะทราย วูบแรกเขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำไมเขาจึงมาอยู่ที่นี่ และเมื่อเขาจำได้ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ที่นี่ได้โดยยังหายใจ

      “ตื่นแล้วเหรอมนุษย์” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านขวา อนาคินยันตัวขึ้นมอง นางเงือกสีดำที่เขาเคยเห็นเมื่อตอนยังเป็นเด็กนั่งอยู่ตรงนั้น เธอยังดูเหมือนเคย รอยสัก ผมเปียก เพียงแต่วันนี้ไม่มีบุหรี่เท่านั้นเอง

      เขาเริ่มจำได้ว่าที่นี่คือชายหาดที่เขาชอบมาเล่นเมื่อวัยเด็ก และเธอคือ...

      “อีวาลิลลี่” เขาพูดเสียงแหบ

      “ใช่ ฉันยังจำชื่อนายได้ อนาคิน” อีวาตอบและยิ้มให้เขา

      “ฉันถูกทิ้งลงทะเลนี่นา” เขาถามเสียงแหบแห้ง

      “ฉันงมนายขึ้นมา นายมีกลิ่นของหมอนั่นหึ่งเลย ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นศพของหมอนั่นที่ถูกเอามาทิ้งเลยอดแวะเข้าไปดูไม่ได้ แต่กลับไม่ใช่ นายถูกหมอนั่นโจมตีมาล่ะสิ”

      “หมอนั่น”

      “วิวาลดิ” เธอพูดและพยักหน้า

      อนาคินลุกขึ้นนั่งและรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว เขางอตัวและร้องคราง “ใช่ พ่อมดขาวนั่นแหละ แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”

      “เกิดอะไรขึ้นล่ะ” อีวาถาม อนาคินจึงเล่าให้เธอฟังเรื่องยูนิคอร์นสีดำ เล่าให้เธอฟังว่ามันมาจากไหน และเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของคนก่อนหน้านี้

      “อา เขามีเหยื่อใหม่แล้ว” อีวาเอ่ย แววตาของเธอดูสร้อยเศร้า

      “หมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มสงสัย

      อีวาเอนกายลงนอนเล่นบนหาด เธอเริ่มเล่าให้เขาฟังช้าๆ “วิวาลดิพ่อมดขาว คนเดียวในโลกที่ไม่มีความมืดดำใดๆ เจือปน ทุกคนต่างชื่นชมในพลังที่ขาวบริสุทธิ์ของเขา นายคิดจริงๆ เหรอว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีดำมีแต่ขาวแบบนั้นจริงๆ ทุกสิ่งต้องมีการผสมของขาวและดำ แต่วิวาลดิกลับไม่มีสิ่งนั้น เพราะเขาแอบถ่ายโอนความมืดดำของเขาไปใส่สิ่งมีชีวิตอื่น จากนั้นก็แอบอ้างว่าตัวเองขาวสะอาด”

      “ฉันรู้จักเขาในตอนที่เขาเป็นเด็กหนุ่ม เขาสำรวจป่าจนเข้ามาพบฉันที่นี่ และ... อันที่จริงแล้วฉันกับเขาตอนเด็กๆ มีความคิดต่อโลกคล้ายกัน โดดเดี่ยว รู้สึกตัวเองแตกต่างจากคนอื่น คงเพราะพลังของเขามากเหลือเกิน เราอาจเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อเขาเติบโต เขาก็เปลี่ยนแปลง และฉันก็กลายเป็นเหยื่อของเขา...”

      อีวาลูบเกล็ดของตัวเอง “เดิมหางฉันสีแดง แต่วิวาลดิขอให้ฉันเป็นภาชนะรับความมืดของเขา มันก็เลยกลายเป็นสีดำแบบนี้ และเงือกตัวอื่นๆ ก็ไม่สุงสิงกับฉันอีกต่อไป พวกเขาคิดว่าฉันต้องสาป แต่ฉันไม่สนอยู่แล้ว ฉันชอบปลีกวิเวกมาตั้งแต่เด็ก เบื่อสังคมและเรื่องโง่ๆ พวกนั้น...”

      “การรับความมืดของวิวาลดินั้น ในตอนแรกมันเป็นเรื่องของมิตรภาพ แต่ต่อมาเขาห่างเหินขึ้น และมันกลายเป็นธุรกิจ ฉันรับความมืดที่งอกเงยขึ้นในตัวเขาทุกๆ เดือนโดยแลกกับบางสิ่ง และฉันสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายความลับนี้ การตกลงกันแบบเด็กๆ มีรากฐานอยู่บนความเชื่อใจ ตอนนั้นวิวาลดิยังคงไร้เดียงสามาก แต่ไม่มากพอที่จะไม่คิดแผนหลอกคนอื่นเรื่องความขาวบริสุทธิ์ เขาตัดสินใจว่าในเมื่อเขาถูกกันออก ก็ขอออกมาเป็นเทพเจ้าเสียเลยดีกว่าจะออกในฐานะปีศาจ”

      “ตอนนั้นเขาอาจทะเยอะทะยานมากแต่เขาก็ทำเพราะความเจ็บปวด เขายังเห็นใจคนอื่นเป็น แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนไป อำนาจที่เขาเริ่มได้รับจากพลังของเขาเปลี่ยนแปลงเขา เขาเห็นฉันเป็นแค่ทาส และไม่หาสิ่งนั้นมาให้ฉันอีก ฉันจึงหลบหนี ไม่มารอรับความมืดที่หาดนี้ตามนัด”

      อีวามองหน้าอนาคิน “เขาไล่ล่าฉัน เขากลัวว่าฉันจะแพร่งพรายความลับ แต่เขาตามหาฉันไม่พบ” เธอเหม่อมองไปไกล “เมื่อลงทะเล จะไม่มีใครหาฉันพบ”

      “ความมืดดำในตัววิวาลดิมีมากกว่าคนทั่วไปเสียอีก เขาจำเป็นต้องนำมันออกไปจากตัว เขาคงหาเหยื่อใหม่ สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนใกล้เคียงมนุษย์พอจะรับความมืดของเขาได้ แต่เขาคงไม่เสี่ยงเลือกสิ่งที่มีสามัญสำนึกแบบคนอีก เขาคงเลือกม้าตัวนั้น และขุนนางคนนั้นคงรู้บางสิ่งเข้า จึงนำมันออกมาจากป่า วิวาลดิเลยต้องปิดปากคนๆ นี้”

      “นายเล่าเรื่องลูกของเขาใช่ไหม เด็กคนนั้นเสียสติไปแล้วสินะ โชคดี เพราะวิวาลดิคงไม่ต้องฆ่าเขาอีกในเมื่อเป็นเช่นนั้น” อีวาเอ่ยและถอนหายใจอย่างสงสาร “ยังคงมีเหยื่อมากมายเหลือเกิน”

      “แล้วทำไมต้องโจมตีฉัน ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับม้าตัวนั้นสักนิด ฉันคิดว่ามันเป็นม้าสีดำธรรมดาๆ ฉันไม่ได้รู้ความลับของเขา”

      “เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่านายรู้ แต่เคราะห์ดีคือตอนนี้เขาคิดว่านายตายไปแล้ว” อีวาจิ้มอกอนาคิน “ถ้าเขารู้ว่านายยังอยู่ เขาจะมาฆ่านาย ดังนั้นต่อจากนี้นายต้องหนีเหมือนฉัน หนีตลอดไป นายจะกลับไปหาครอบครัวไม่ได้อีก บอกลาภรรยาและลูกน้อยในใจซะ”

      “ฉันมีแค่พ่อกับพี่น้องเท่านั้นแหละ” อนาคินตอบ ชายเลี้ยงม้าหวนนึกถึงน้องๆ ของเขา ในตอนนั้นชายหนุ่มยังไม่เข้าใจนักว่าจะไม่ได้เจอเด็กชายหญิงเหล่านั้นอีกแล้วจริงๆ

      อีวาพยักหน้า “ก็ยังน่าเศร้าอยู่ดี”

      เธอเหม่อมองฟ้า “ถ้านายเป็นเงือกก็ดี นายคงหนีไปไหนง่ายกว่านี้ ฉันจะพานายไปด้วยกัน”

      อนาคินมองตาม เขาเอ่ยถามขึ้น หวังจะทำให้บรรยากาศไม่แย่เกินไปนัก “ไม่มีบุหรี่แล้วเหรอคราวนี้”

      อีวาหัวเราะ “นายคิดว่าฉันหาบุหรี่มาจากไหน ในเมืองใต้น้ำเหรอ มันก็จุดไม่ติดสิ ฉันได้มันมาจากหมู่บ้าน  สิ่งที่วิวาลดิให้ฉันคือของที่ทำให้เงือกกลายเป็นมนุษย์ได้ ฉันกินมัน เปลี่ยนหางเป็นขาสองขา แล้วก็ไปซื้อบุหรี่ นายคิดว่าฉันได้รอยสักนี่มาจากไหนล่ะ”

      “ร้านสักของซอเยอร์เหรอ” อนาคินถามถึงร้านสักร้านเดียวบนเกาะแห่งนี้ และอีวาก็พยักหน้าหัวเราะ “เขาฝีมือดีที่หนึ่งเลย” เงือกสาวร้องเสียงใส รอยยิ้มของเธอทำให้อนาคินรู้สึกคล้ายเรื่องยุ่งยากทั้งหมดอยู่ไกลออกไป และพวกเขาก็แค่มานั่งตรงนี้ คุยเรื่องสัพเพเหระกันเล่น

      “มันทำให้ฉันมีขาได้สามวัน” อีวาบอก

      “ไม่เคยรู้เลยว่ามีของแบบนี้ด้วย มันคงเป็นของหายากมากเลยสินะ”

      “ไม่ขนาดนั้น” เงือกสาวยิ้มขี้เล่น “ไม่งั้นวิวาลดิจะหามาได้ทุกเดือนเหรอ นายแค่ต้องไปหาดอกหญ้าในป่าดำมา เลือกดอกที่มีสีเหมือนแสงจันทร์และขึ้นในรอยเท้าของสัตว์ป่า จากนั้นก็นำมาสับให้ละเอียด ผสมกับขาของเห็ด”

      “ขาของเห็ด” อนาคินงง

      “ส่วนลำต้นของเห็ด โคนของมัน ที่อยู่ใต้ปีกหมวก ที่มันใช้ยืนน่ะ” เงือกพยายามอธิบาย

      “อ๋อ เข้าใจแล้ว” อนาคินหัวเราะออกมา แม้ว่าการหัวเราะจะทำให้เขาเจ็บกระดูกก็ตาม

      “อืม ขาของเห็ดที่ขึ้นเป็นวงกลมรอบลานที่พวกนางฟ้าตัวเล็กๆ เต้นรำกันน่ะ สับให้ละเอียด ผสมกับแป้งแล้วทำเป็นคุกกี้รูปดาว จากนั้นเงือกจะกลายเป็นมนุษย์ได้สามวัน...”

      อนาคินนิ่งฟัง เพราะเวทมนตร์นั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้รับมาจากพวกภูต และอาหารของภูตก็คือขนมหวาน จึงเป็นธรรมดาของเวทมนตร์ทั้งหลายที่ต้องถูกปรุงออกมาในรูปของขนม ไม่ใช่ยาหม้อสีน่ากลัวอย่างที่เชื่อกันทั่วไป ชายหนุ่มฟังเงือกพูดไปเรื่อยๆ ทันใดนั้น อยู่ๆ อีวาก็จับมืออนาคิน เธอเบิ่งตาโตเหมือนเพิ่งนึกได้และร้องว่า “ต้องใช้เกล็ดของปลาที่ตัวสีเงิน”

      “อะไร” เขาถามด้วยความงุนงง

      “เงือกกลายเป็นคนต้องยืมขาของเห็ด คนกลายเป็นเงือกต้องใช้เกล็ดของปลา รวมกับดอกหญ้าแสงจันทร์แล้วจะมีเวลาในร่างใหม่สามวัน” อีวาพูด “ยาวนานพอที่ฉันจะพานายหนีไปจากน่านน้ำของเกาะนี้ ไปอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ และวิวาลดิคงไม่พบนายที่นั่น ถ้านายยังอยู่ในเกาะนี้มันอันตราย”

      “นายอยากหนีไปไหม แค่เราหาของพวกนี้มาและเปลี่ยนนายให้กลายเป็นเงือก” อีวาจับมือเขาแน่น

      อนาคินมองตาเธอ เขาคิดว่าเขาคงไม่มีทางเลือกอื่น

       

      “เราต้องมีดอกไม้กับเกล็ดปลา ฉันเดินไม่ได้ เพราะงั้นนายต้องเข้าไปหาดอกไม้ในป่า และฉันจะไปหาปลามาให้” นางเงือกบอก ดึงแขนอนาคิน “แต่ก่อนอื่น นายคงต้องนอนพักอยู่อย่างนี้จนกว่าร่างกายจะดีขึ้น”

      คืนนั้นอนาคินนอนนิ่งบนหาดทรายสีขาว มองฟ้าที่มีดวงดาวนับพัน เขารู้สึกเจ็บและปวดไปทั้งตัว แต่เขารู้ว่าความเจ็บปวดย่อมมีวันสลายไปในไม่ช้า อีวาอยู่ใกล้ๆบนชายหาด คลานไปมา บางคราก็ลงไปว่ายน้ำเล่นในทะเล และเอาน้ำเค็มเย็นๆ มาลูบตามแขนขาที่บวมช้ำให้เขา “น้ำเค็มเป็นยา” เธอบอก แต่อนาคินไม่รู้ว่าจริงหรือไม่

      “พวกเธอไม่สามารถหาของที่นำมาทำคุกกี้กลายร่างได้เองใช่ไหม” อนาคินถามเมื่ออีวาเหนื่อยและนอนลงใกล้ๆ เขา “เงือกเดินเข้าไปในป่าไม่ได้นี่”

      “ใช่” อีวาตอบ “ยกเว้นว่าจะได้คุกกี้อันแรกมาก่อน แล้วกลายเป็นคน แล้วค่อยไปเก็บวัตถุดิบมาสะสมไว้ เราต้องได้คุกกี้อันแรกมาจากพวกมีขาก่อน มันเป็นกฎ บังคับให้เราต้องรู้จักกับมนุษย์สักคนหนึ่งก่อนที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ การขึ้นบกทั้งที่ยังไม่เคยรู้จักมนุษย์สักคนมันอันตราย เคยมีบางตนที่กลายร่างด้วยเวทมนตร์ขนานอื่น แลกเสียงของตนกับขา ขึ้นบกไปและพบจุดจบน่าเศร้าเนื่องจากพวกเขายังรู้จักมนุษย์ไม่ดีพอ เกล็ดของปลาสีเงินก็เหมือนกัน มันถูกจับได้โดยเงือกเท่านั้น พวกเธอต้องรู้จักเงือกสักตนก่อนเป็นอย่างแรก...”

      ทันใดนั้นอีวาเบิกตากว้าง “เราขาดวัตถุดิบไปอย่างหนึ่ง”

      “อะไรล่ะ” อนาคินถาม

      “แป้งสาลี” นางเงือกตอบ “เนย น้ำตาล ผงฟู ส่วนผสมทำคุกกี้ทั่วไปน่ะ และก็เตา เราต้องพึ่งพามนุษย์ในการใช้มนตร์บทนี้ เราต้องพึ่งพาเตาไฟจากบ้านของมนุษย์ แต่เราไม่มีเตา และถ้านายเข้าไปในหมู่บ้านอีกครั้งก็เสี่ยงเกินไป”

      “ไม่เสี่ยงเกินไปหรอก ฉันจะไปที่บ้านของฉัน พ่อกับน้องๆ ต้องยินดีปกป้องฉันแน่ๆ”

      “เสี่ยงเกินไป วิวาลดิลักพานายออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้ เขาทำให้นายเหมือนหายสาบสูญไปซะเฉยๆ ครอบครัวต้องกำลังตามหานาย ทุกคนในเมืองรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไร ถ้านายปรากฏตัวขึ้นและบอกว่านายจำเป็นต้องจากไปล่ะก็ พวกเขาจะเลิกตามหานาย ถ้าหากพวกเขาหยุดการตามหา วิวาลดิก็จะรู้ว่ามีอะไรผิดปกติ”

      “มันเสี่ยงมากที่จะกลับเข้าเมือง ที่ซึ่งทุกคนกำลังตามหานายอยู่ นายเป็นคนหายนะอนาคิน และในความคิดของวิวาลดิ นายตายไปแล้ อย่าทำให้หมอนั่นรู้ว่านายยังอยู่” อีวาเอ่ยเสียงเครียด

      “อาจมีใครสักคนที่ฉันจะแอบไปหาได้ คนที่ไว้ใจได้ คนที่จะไม่พูด ฉันจะกลับเข้าเมืองตอนกลางคืน ไปรบกวนใช้เตาของเขา แล้วหนีไปตอนรุ่งเช้า”

      “นายนึกออกไหมว่าจะมีใครบ้าง”

      “อาจเป็น...” อนาคินพยายามใช้ความคิด “น้องชายของฉันมักจะไปช่วยงานยายมารีที่ตาบอดอยู่ประจำ แต่ฉันหายไปอย่างนี้น้องคงไม่มีเวลาว่างไปคิดถึงคนอื่น ฉันสามารถปลอมเสียงเป็นน้องไปหายายมารีได้ เราขอยืมเตากับแป้งนิดหน่อยจากแกได้ ต่อให้แกเล่าเรื่องนี้ให้น้องฟังวันหลัง น้องก็เดาไม่ออกหรอกว่าใครมาสวมรอยแทนเขา”

      “เป็นความคิดที่ใช้ได้ทีเดียว” อีวาเห็นชอบ “งั้นนายลุกไหวเมื่อไหร่ก็เอาตามแผนนี้แล้วกันนะ”

      อนาคินตอบรับเบาๆ พวกเขาเงียบกันไปพักหนึ่ง อนาคินมองดวงดาวสีเงินที่พร่างพรายเต็มท้องฟ้า เขาเริ่มหวนคิดถึงน้องๆ และพี่ๆ น้องสาวตัวเล็กผู้อ่อนโยนและมีหน้าที่คัดปลาที่หามาได้อย่างไม่พร่ำบ่น น้องชายอีกคนยังตื่นทะเลตื่นคลื่นลมอยู่มากนัก เมาเรือทุกครั้งที่กลับมาฝั่ง พี่ชายคนโตที่เข้มแข็งและแบกภาระไว้หนักหนา พี่ชายดื่มเหล้าหนักขึ้นทุกวันสวนทางกับปลาในทะเลที่น้อยลง เขาหวนคิดถึงพี่สาวที่ทำงานหนักแทนแม่โดยไม่พร่ำบ่น เธอไม่ได้ออกเรือน งานหนักทำให้เธอขี้ริ้วเกินกว่าจะเป็นที่สนใจของหนุ่มๆ บนเกาะ แล้วยังพ่อแก่ของเขาอีกเล่า พ่อที่ทั้งแก่และดื้อรั้น เสียงดังและชอบตีเขาด้วยไม้เท้าเมื่อเขาเกียจคร้าน อนาคินกะพริบตาถี่เมื่อเขาคิดถึงพ่อ คนเหล่านี้จะต้องลำบากขึ้นมาหากไม่มีเขา เขาเลี้ยงม้าได้และเงินจากการเลี้ยงม้าก๋มากพอดู แต่เมื่อไม่มีเขาเสียแล้วกิจการโรงฝึกม้าคงลำบาก ปลาก็ไม่ชุมเอาเสียเลย และครอบครัวของเขาจะต้องห่วงหาเขาเป็นแน่

      ในที่สุดชายหนุ่มก็ถามขึ้นว่า “ฉันต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้งั้นเหรอ ไปจากครอบครัวของฉัน ทิ้งให้พวกเขากังวลเรื่องฉันโดยไม่รู้อะไรเลยเช่นนั้น”

      “ถ้าพวกเขารู้จะเป็นภัยสำหรับพวกเขา” นางเงือกสาวตอบ

      “ฉันไม่อยากปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” อนาคินเอ่ยอย่างหมองหม่น คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงแววตาสีเกือบขาวเย็นชาของวิวาลดิ

      “มันเป็นทางเดียวที่นายจะรักษาชีวิตของนายไว้” อีวาเตือน

      “ไม่ ไม่เกี่ยวกับชีวิตของฉัน แต่เกี่ยวกับเกาะของเรา ถ้าวิวาลดิเป็นคนเลว ตอนนี้เกาะนี้ก็ตกอยู่ในการปกครองของเขา ชาวเกาะและครอบครัวของฉันจะตกอยู่ในอันตรายไหมถ้าเป็นเช่นนั้น เราต้องปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้งั้นหรือ ยอมให้คนผิดมีอำนาจ และจำนนต่ออำนาจเพราะหวาดกลัวว่าจะต้องตาย ต้องหลบหนีตลอดชีวิตราวกับคนผิด และคนผิดก็ลอยนวลอยู่บนที่อันสูงสง่า”

      อนาคินพรั่งพรูความรู้สึกออกมา และอีวาก็ลุกขึ้นนั่ง เอามือปิดปากเขาในที่สุด

      “เด็กมนุษย์” อีวาพูดและยิ้มออกมา “โลกใบนี้มันเป็นเช่นนั้นแหละ นางเงือกอายุหนึ่งร้อยยี่สิบแปดปีขอแนะนำให้เลือกจะเอาชีวิตรอดแทนที่จะต่อสู้เพียงเพื่อจะตายและแก้ไขอะไรไม่ได้เลย”

      อนาคินมองเข้าไปในแววตาของเธอ และเขาก็รู้สึกหมดแรง เขารู้ว่าเธอพูดความจริง นางเงือกเอ่ยต่อไปช้าๆ

      “นายแตกต่างจากคนอื่น ไม่งั้นคงไม่เจอหาดแห่งนี้ ไม่มีเด็กที่ไหนเล่นคนเดียวมาจนถึงที่ห่างไกลปลีกวิเวกเช่นนี้ถ้าไม่ใช่เด็กที่แตกต่าง และเด็กที่แตกต่างย่อมพบความขมขื่นเสมอ ส่วนหนึ่งเพราะจะเกิดความคิดเช่นนั้น รักผู้อื่นมากกว่าตนเอง... และอีกส่วนเพราะโลกใบนี้มันขรุขระนัก”

      อนาคินมองหน้าอีวา เขาปัดมือเธอออกจากปาก “แล้วทำไมเธอถึงมาที่หาดนี้ล่ะ หาดที่ไม่มีใคร เงือกส่วนใหญ่ชอบไปเล่นกับชาวประมงที่หาดใหญ่ทางโน้น”

      เงือกมองหน้าเขา จ้องเขาไปในดวงตาของเขา ก่อนจะยิ้มออกมา มันเป็นยิ้มที่เย้ยหยันและแสนเศร้า “คงเพราะฉันเองก็เป็นพวกแตกต่างล่ะมั้ง”

      “ยังไงล่ะ” เขาอยากรู้

      “ฉันอยากเป็นมนุษย์...” เธอตอบและหลับตาลง “สำหรับพวกเงือก เรื่องนี้น่าอับอาย ฉันถูกห้ามไม่ให้เข้าหาดใหญ่ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ให้ไปพบมนุษย์อีกเพื่อจะได้เปลี่ยนความคิด ถ้าฉันไป พวกเงือกอื่นจะไล่ฉันต่อหน้ามนุษย์ทุกคน นั่นมันเรื่องตอนเด็กที่ทำให้ฉันมาหาดนี้ครั้งแรก แต่ตอนนี้ พวกเงือกเชื่อว่าฉันถูกสาปตั้งแต่ผมฉันเปลี่ยนสี และพวกมนุษย์ก็คิดว่าฉันเป็นปีศาจ วิวาลดิน่าจะเป็นคนเป่าหูพวกเขาเรื่องนี้ ฉันเลยไปสังคมกับใครไม่ได้อีกแล้ว...”

      อนาคินลุกขึ้น ใช้มือลูบผมสีดำของเธอเบาๆ

      อีวาลืมตา เอ่ยว่า “วิวาลดิเองก็เหมือนพวกเรา เขามาจนถึงหาดนี้ ถูกคนในหมู่บ้านทำร้ายเพราะเขามีพลังมากตั้งแต่เด็ก เขามาที่นี่อย่างเด็กถูกสังคมทิ้ง และเขาเจอฉัน น่าเสียดายที่อำนาจเปลี่ยนเขาจน...ไม่เหลือเค้าเดิม”

      “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาฆ่าคนได้ง่ายๆ” นางเงือกเอามือแตะปลายหางของตัวเอง และเธอก็ถอนหายใจ “ที่จริงแล้วเขาเคยเป็นเพื่อนคนเดียวของฉัน และเป็นคนคอยพาฉันไปเล่นในหมู่บ้านกับพวกมนุษย์...”

      อนาคินมองอีวางอตัว เธอเองก็ต้องทิ้งครอบครัวและหลบหนีเรื่อยไปเช่นกัน เขานึกสงสารเงือกตรงหน้าขึ้นมา จึงยกมือลูบหัวที่เปียกชื้นของเธออย่างเอ็นดูอีกครั้ง

      “ฉันหวังให้เด็กชายตัวเล็กที่หลงทางมาที่นี่คนนั้นยังอยู่ในตัวเขา” อีวาพูด “ฉันหวังให้เด็กหนุ่มที่จูงมือฉันในงานเทศกาลโคมไฟของเกาะยังอยู่ในตัวเขา”

      อนาคินนึกถึงแววตาสีเกือบขาวของวิวาลดิ และไม่กล้าพูดกับเธอว่า

      บางทีคนๆ นั้นอาจจะตายไปแล้ว

       

      เรือนไม้หลังใหญ่ติดชายป่าคือที่พำนักของวิวาลดิ มันมีขนาดเป็นรองแค่คฤหาสน์ตระกูลฟลานากันก็เท่านั้น แต่มันไม่หรูหราอย่างคฤหาสน์ขุนนาง เรือนหลังนี้สร้างจากไม้ดูเรียบๆ ไม่มีการตกแต่งมากนัก ตั้งอยู่ชายป่าเงียบสงบ ห่างจากหมู่บ้านเล็กน้อย เนื่องจากเจ้าของเก่าเคยมีปัญหาทางสุขภาพและต้องการอากาศบริสุทธิ์

      เดิมบ้านหลังนี้เป็นของพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง แต่ต่อมาพ่อค้าและภรรยาตายจากไป ด้วยเหตุผลบางประการวิวาลดิจึงเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้

      ผู้ติดตามของเขา อาเบลและคาอินเป็นพี่น้องฝาแฝด ลูกชายของพ่อค้าผู้นั้น คาอินมีผมดำและแววตาสีแดง ส่วนอาเบลมีผมทองและตาสีฟ้า ทั้งสองหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด ฝาแฝดหน้าคม ตัวสูงแข็งแรง และเป็นนักรบที่เก่งกาจ เมื่อกลับถึงบ้านในเย็นวันนั้น คาอินจูงยูนิคอร์นสีดำไปไว้ในโรงเก็บม้าหลังบ้าน ส่วนอาเบลพาวิวาลดิเข้าไปในบ้าน

      “ต่อไปคงต้องเลี้ยงเจ้าดำไว้ในบ้าน” อาเบลพูดกับวิวาลดิ “ตอนแรกคิดว่าทำอะไรในเมืองลำบากเลยให้ไปซ่อนในป่าแท้ๆ แต่ตอนนี้คงเอาไว้ห่างตัวไม่ได้แล้ว”

      วิวาลดิพยักหน้า “คนฝึกม้าคนนั้นคงลงทะเลไปแล้วสินะ”

      อาเบลแตะไหล่วิวาลดิ “ไม่เป็นไรหรอก เราต้องทำเพื่อรักษาที่อยู่ของเธอไว้”

      วิวาลดิกะพริบตา ขนตายาวสีขาวของเขาหลุบปิดดวงตาอย่างยากจะบอกว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ เมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง ลูกตาดำของเขาก็กลายเป็นสีดำสนิท

      “ตากลายเป็นสีดำแล้ว” อาเบลกล่าว “ม้าก็กลับมาแล้ว ไปเอาออกเสียให้เรียบร้อยดีกว่านะ”

      พ่อมดขาวพยักหน้าแต่เอ่ยว่า “คืนนี้แล้วกัน ตอนนี้ฉันอยากพัก”

      “อืม ไปนั่งพักเถอะ ฉันจะทำขนมให้เธอกิน” อาเบลรุนหลังวิวาลดิไปที่โซฟา พอ่มดทรุดตัวลงที่นั่น ม้วนเสื้อคลุมเข้าห่อตัว จ้องไปข้างหน้าราวไร้อารมณ์ความรู้สึก อาเบลแยกเข้าไปในครัว เริ่มต้นทำขนมด้วยแป้งที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า

      ตอนที่ยังเด็ก วิวาลดิถูกผู้คนในเมืองเรียกว่าเด็กปีศาจ เพราะเขามีพลังเวทมากจนน่ากลัวมาตั้งแต่เด็ก คนที่มีพลังเวทนั้นมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่จะเกิดกับคนชั้นสูงที่พร้อมจะจ้างอาจารย์ที่เป็นพ่อมดมาสอนให้ลูกควบคุมพลัง และเมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้น เขาก็จะกลายเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับเด็กชาวบ้าน พวกเขาจึงไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งนี้ ได้แต่ปล่อยให้วิวาลดิทำลายข้าวของและทำร้ายผู้คนโดยควบคุมไม่ได้ไปเรื่อยๆ จนถูกขับออกจากหมู่บ้าน เด็กชายไปใช้ชีวิตกับพวกภูตพรายในป่าดำ ลืมพ่อและแม่ ไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นมนุษย์ เขาใช้ชีวิตราวกับพรายตนหนึ่ง แต่ด้วยความเหงา เขาชอบที่จะแอบเข้าไปที่หมู่บ้าน มองดูเด็กๆ วิ่งเล่นกันที่ข้างหอนาฬิกา เฝ้าฝันว่าจะมีเพื่อน

      ต่อมาเขาพบนางเงือกตนหนึ่งซึ่งเป็นเช่นเดียวกับเขา แตกต่างและโดดเดี่ยว วิวาลดิจึงเป็นมิตรกับเธอ ในตอนนั้นเขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นและอยากกลับเข้าไปในหมู่บ้าน เขาเริ่มคิดว่า ทางเดียวที่เขาจะเปลี่ยนสถานะจากปีศาจไปเป็นที่ยอมรับได้ คือการกลายเป็นเทพเจ้า เพราะพลังจำนวนมหาศาลของเขาไม่มีทางทำให้เขาเป็นคนธรรมดาๆ ในสังคมได้

      เด็กหนุ่มคิดที่จะชะล้างภาพรอบปีศาจที่เคยถูกตีตราออกไปเสีย เขาจึงถ่ายเทพลังอันมืดดำออกไปจากร่างกาย “ต้องขาว ต้องสะอาด ต้องบริสุทธิ์ ต้องเป็นแบบนั้นถึงจะไม่ใช่ปีศาจอีก”

      การถ่ายเทพลังออกไปจำต้องอาศัยภาชนะรองรับ โลกของเขามีเพียงนางเงือก และโลกของนางเงือกตนนั้นก็มีเพียงเขา เธอยินดีที่จะรับพลังสีดำของเขามา “มันจะทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น แม้จะเป็นสีดำ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวหรอก”

      “เกลียดสีดำ” วิวาลดิเคยพูดเช่นนั้น แต่อีวาส่ายหน้า

      “เธอจะยอมรับเพียงด้านเดียวของชีวิตไม่ได้หรอก” เงือกสาวเอ่ยอย่างไม่หวังให้สหายเข้าใจ

      หลังจากนั้นวิวาลดิกลับเข้าไปในหมู่บ้าน เกือบทุกคนลืมเขาหรือคิดว่าเขาคงจะตายไปแล้ว เขาทำทีราวกับเป็นผู้ใช้เวทที่จรมา เขาใช้เวทต่างๆ และทำให้คนบนเกาะทึ่ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยขับไล่เขาเพราะเวทมนตร์ของเขานั่นเอง เขารักษาผู้คน และทำให้ดอกไม้เบ่งบาน ทำให้พืชที่เป็นโรคออกผลได้ เขาช่วยรักษาภรรยาของพ่อค้าคนหนึ่งจากโรคร้ายที่เป็นมาตลอดชีวิตจนต้องมาปลูกบ้านห่างไกลผู้คน ด้วยความสำนึกคุณพ่อค้าจึงเชิญเขาให้ไปพำนักอยู่ด้วยในเรือนไม้หลังโตใกล้ป่าดำนั้นเอง

      เมื่อมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น วิวาลดินึกอยากตอบแทนอีวา เขาจึงรวบรวมส่วนผสมในป่า และอบขนมที่ทำให้กลายเป็นคนได้ขึ้นมา เขานำไปมอบให้เธอด้วยรู้ดีว่ามันคือความปรารถนาที่สำคัญที่สุดของเธอ อีวารับไว้ด้วยความดีใจ พวกเขาเข้าไปเที่ยวในเมืองด้วยกัน อีวามีความสุขมาก ชายหนุ่มจึงนำมันมามอบให้ทุกครั้งที่เขากลับมาหาเธอเพื่อถ่ายพลังสีดำให้ วิวาลดิขอร้องเธอไม่ให้แพร่งพรายความลับนี้ เพราะเขาเริ่มจะมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว นางเงือกตกปากรับคำ แต่ต่อมา ทั้งเขาและอีวาต่างก็รู้สึกว่า เขาจำเป็นที่จะต้องนำขนมมาให้เธอ วิวาลดิเริ่มคิดว่ามันเป็นค่าจ้างที่จะทำให้เธอไม่บอกใคร ส่วนอีวาก็ปรารถนาสิ่งนั้นจนเธอคิดว่าเธอควรได้รับสิ่งตอบแทนในเมื่อเธอทำงานให้

      พ่อค้าที่ร่ำรวยดูแลวิวาลดิอย่างดีราวกับเทพเจ้า จนคนในเกาะเริ่มเชื่อว่าพ่อมดขาวคือเทพเจ้าจริงๆ และวันหนึ่งลูกชายฝาแฝดของพ่อค้าที่เรียนการทหารและการปกครองที่แผ่นดินใหญ่ก็ล่องเรือกลับมา คาอินและอาเบลมีความรู้มากพอจะเห็นพลังของวิวาลดิเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ สองพี่น้องตีสนิทกับพ่อมดขาว นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่วิวาลดิได้สนิทสนมกับมนุษย์ในวัยเดียวกัน เขารู้สึกราวกับว่าคาอินและอาเบลคือพี่ชายแท้ๆ จึงยอมเล่าเรื่องราวของตนให้ฟังทั้งหมด

      “เด็กที่โดดเดี่ยวน่าสงสารจัง แต่ต่อจากนี้ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ” อาเบลพูดและยิ้มอย่างอ่อนโยน “เราสองคนจะเป็นเพื่อนให้เธอเอง”

      “เราจะปกป้องเธอจากคนอื่นๆ เพราะเธอมีเพื่อนแค่พวกเราเท่านั้น” คาอินสัญญากับเขาเช่นนั้น

      วิวาลดิรักอาเบลกับคาอินมาก เขาทำทุกอย่างที่สองพี่น้องบอก พวกเขาพากันท่องเที่ยวไปทั่วและทำอะไรแผลงๆ ตามประสาคนหนุ่ม ทุกวันดูจะเป็นเรื่องสนุกเสมอ

      วันหนึ่งเขากำลังอบคุกกี้สำหรับอีวา คาอินสงสัยว่าเขาทำอะไรอยู่ เมื่อเขาเล่าให้ฟัง คาอินก็สังเกตว่าเรื่องค่าจ้างนี้ไม่ได้ตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร อีวารับพลังจากเขาในนามของมิตรภาพ เธอจึงไม่ควรเรียกร้องค่าตอบแทนในภายหลัง

      “แต่ฉันแค่ให้เธอเป็นของขวัญ” วิวาลดิเอ่ย

      “ของขวัญไม่ควรจะผูกมัดว่าต้องมีทุกครั้งสิ” คาอินบอก เขาไม่ต้องการให้อีวากลายเป็นคนและมาเที่ยวเล่นกับวิวาลดิ เขาไม่ต้องการให้เงือกที่เขาไม่รู้จักมาแย่งน้องชายไปจากเขา

      วิวาลดิจึงไม่ได้นำขนมไปให้อีวาอีก และเงือกสาวก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง เธอโหยหาชีวิตในเมืองยิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อเคยได้รับแต่ไม่ได้รับอีกจึงรู้สึกขาดและโกรธแค้น เธอคิดว่าตัวเองทำงานและไม่ได้รับค่าจ้าง หลังจากเป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า เธอจึงไม่มาที่ชายหาดอีก และทำให้วิวาลดิเป็นกังวลมาก

      “ถ้าเธอเอาเรื่องไปบอกใครล่ะ” อาเบลถาม

      “เราต้องปิดปากเธอเสีย” คาอินเสนอ

      “ปล่อยอีวาลิลลี่ไปเถอะ” พ่อมดขาวขอ “เธอจะไม่พูดหรอก เธอสัญญาว่าจะไม่พูด”

      “เธอสัญญาว่าจะมา แต่เธอก็ไม่มา อะไรทำให้มั่นใจได้ว่าเธอจะไม่พูด” คาอินกราดเกรี้ยวใส่เขา “ถ้าหากเธอพูด สถานะที่มีอยู่ตอนนี้ก็จะพังทลายไปหมด เทพเจ้าจะเป็นแค่ไอ้เด็กปีศาจ จะไม่มีที่อยู่สำหรับปีศาจอีกต่อไป วิวาลดิจะต้องกลับไปอยู่ในป่าอีกครั้ง”

      “ไม่เอา ฉันอยากอยู่ที่นี่ คาอินบอกว่าจะปกป้องฉันไม่ใช่เหรอ” วิวาลดิถาม

      “ต่อหน้าฝูงชนที่โกรธแค้น พวกเราจะปกป้องเธอไม่ได้ ต้องหนีไปหรือไม่งั้นคงถูกรุมฆ่า จะเอาอย่างนั้นเหรอ” คาอินตอบ

      “เราคงต้องตามล่าเธอ ต้องประกาศออกไปว่าเธอเป็นเงือกปีศาจ ชาวเรือที่พบเห็นจะได้ฆ่าเธอเสีย และเธอจะขึ้นฝั่งที่ไหนไม่ได้ จะไม่มีมนุษย์ที่ไหนช่วยให้เธอกลายร่างเป็นคน” อาเบลคิดหนทางแก้ปัญหา

      ริมฝีปากของวิวาลดิสั่น เขาไม่อยากสาดสีของคำว่าปีศาจใส่ใครก็ตามในโลกนี้ แต่...

      “ถ้าไม่ทำอย่างนั้น จะไม่มีที่อยู่สำหรับฉันใช่ไหม ฉันต้องกลับไปอยู่ในป่ากับพวกพรายใช่ไหม” เขาถามช้าๆ และพี่น้องฝาแฝดก็พยักหน้า

      หลังจากนั้นวิวาลดิจึงบอกกับคนในเมืองให้ระวังนางเงือกปีศาจ

      “หากพบเห็นให้ฆ่าเพื่อความปลอดภัย” เขาบอกด้วยหัวใจที่เสแสร้งว่ากลายเป็นหิน เขาหลับตานึกถึงรอยยิ้มของอีวาในคืนที่เขาพาเธอเข้าเมืองครั้งแรก แต่ลืมตาอีกครั้ง มองหน้าชาวบ้านที่รายล้อมเขาด้วยรอยยิ้ม หวนนึกถึงความทรงจำวัยเด็กที่ถูกขับไล่ออกจากเมืองด้วยก้อนหินและท่อนไม้ เขานึกถึงศีรษะที่แตกจากการโดนหินขว้าง ขาที่กระเผลกหลังโดนทุบด้วยท่อนไม้ การขับไล่ด้วยคบไฟ เสียงตะโกน เขาไม่อยากให้อีวาได้รับสิ่งนี้ แต่เขาไม่อยากรับสิ่งนั้นไว้เองยิ่งกว่า... เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น พ่อมดขาวจึงสะบัดผ้าคลุมและหันหลังจากมาโดยปราศจากน้ำตา

      หลังจากนั้น วิวาลดิออกตามหาภาชนะชิ้นใหม่ในป่าดำ และเขาก็พบยูนิคอร์นตัวนั้น เขาให้ความมืดของตนกับมัน ในแต่ละเดือนเขาจะไปยังหมู่ไม้ริมบึงน้ำที่มันพักอาศัย และทำให้ตนเองขาวขึ้น เจ้าม้าตัวนั้นไม่รู้เลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง มันมีฤทธิ์อำนาจมากขึ้น แต่มันไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจ

      ต่อมาพ่อค้าเจ้าของบ้านและภรรยาที่เริ่มชราภาพก็ตายจากไป ฝาแฝดครอบครองบ้านหลังนี้ และประกาศกับผู้คนในเมืองว่าเขาจะยกเรือนไม้ให้วิวาลดิ และทั้งสองจะคอยดูแลพ่อมด ชาวเมืองต่างก็สรรเสริญน้ำใจของคนหนุ่มทั้งสอง อาเบลและคาอินคอยสั่งสอนวิวาลดิด้วยความรู้ที่ได้จากสถาบันบนแผ่นดินใหญ่ ทั้งเรื่องการปกครอง เรื่องต่างๆ ในประเทศ และการวางตัวให้ดูไม่เหมือนคนธรรมดาๆ เขาลองให้วิวาลดิแทนตัวเองว่าเราเหมือนพวกกษัตริย์ ไม่นานชื่อเสียงของพ่อมดขาวที่หนุ่มแน่น ทรงพลัง และชาญฉลาดก็ขจรออกไป ฝาแฝดใช้เส้นสายจากเพื่อนพ้องโรงเรียนเก่าที่ปัจจุบันได้เป็นอัศวินในปราสาท พาวิวาลดิไปรู้จักกับคนชั้นสูงที่แผ่นดินใหญ่ วิวาลดินั้นแตกต่าง มีภาพลักษณ์ของเทพเจ้า ไม่นานจึงเข้าตาองค์กษัตริย์

      เมื่อพ่อมดขาวได้รับโอกาสให้แนะนำกษัตริย์ในเรื่องการรบ พวกเขาทั้งสามทำงานอย่างหนัก หาข้อมูลจากสายข่าว ใช้ความสัมพันธ์ที่ฝาแฝดมีต่อผู้คนต่างๆ รวบรวมข่าวสาร ศึกษากองกำลัง การจัดทัพ จุดอ่อนจุดแข็งของแม่ทัพ และภูมิศาสตร์ของสนามรบแต่ละแห่ง จนในที่สุดก็ได้คำตอบที่เหมาะสม พ่อมดขาวเข้าไปกราบทูลกลยุทธ์ในการรบครั้งนี้ และไม่ลืมตบท้ายว่า

      “นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกมาผ่านตัวข้า กำหนดไว้ให้ท่านทำ”

      ในวันนั้น พระราชาตกหลุมพรางเข้าอย่างจัง ท่านเกิดศรัทธาในภาพที่เห็น พ่อมดผมยาวในผ้าคลุมสีขาว ดวงหน้าอ่อนเยาว์และงดงาม แพขนตาหลุบลงครึ่งหนึ่งราวกำลังฝัน คำพูดที่เอ่ยออกมาชาญฉลาดจนแม่ทัพนายกองต่างตกตะลึงและคิดไม่ถึง ท่านสั่งให้จัดกองรบตามที่วิวาลดิต้องการในทันที

      เนื่องจากคำตอบเกิดจากการเตรียมการที่เข้มข้น การรบครั้งนั้นประสบชัยชนะอย่างงดงาม และวิวาลดิก็ถูกเรียกตัวเขาวังหลายครั้งเมื่อมีการศึกสำคัญๆ แน่นอนว่าทุกครั้งคำตอบมาโดยวิธีทางเดิมและยิ่งวันก็ยิ่งทำให้พระราชาทรงพอพระทัยมากขึ้น

      อำนาจของพ่อมดขาวในราชอาณาจักรมั่นคงขึ้นอย่างช้าๆ อาเบลและคาอินพอใจมากกับสิ่งนี้

      “ขอบคุณนะที่ช่วยเหลือเรา” คาอินลูบผมของวิวาลดิอย่างแผ่วเบา “เธอกำลังทำตอบแทนคุณพ่อกับแม่ที่รับเธอมา และแทนคุณพวกเราที่ให้ที่อยู่กับเธอ”

      “อย่าพูดอย่างนั้นเลยคาอิน” อาเบลหัวเราะ “วิวาลดิทำเพราะเราเป็นเพื่อนกัน”

      วิวาลดิได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะเบาๆ เขารักพวกพี่ชายมาก และเขาก็รู้ดีกว่าทั้งสองรักเขาเช่นเดียวกัน

       

      ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน อาเบลเอาจานใส่ขนมอบใหม่ๆ มาวางบนตักของพ่อมด “กินขนมกันเถอะจะได้หายเหนื่อย”

      วิวาลดิหยิบขนมปังก้อนกลมขึ้นมากัดด้วยความดีใจ อาเบลนั่งลงข้างๆ น้องและยิ้ม “วิวาลดิชอบขนมที่สุดเลยเนอะ”

      “อื้อ ชอบขนมที่สุดเลย” พ่อมดขาวยิ้มเต็มแก้ม แบบที่ถูกห้ามไม่ให้ทำเวลามีคนอื่นอยู่ด้วย

      “อย่างกับพวกภูตแน่ะ” อาเบลแซว

      “ก็ภูตนี่นา” วิวาลดิเอ่ยเช่นนั้น รู้สึกว่าตัวเองเป็นพรายในป่ามากกว่าคนเอาจริงๆ

      “กินอะไรกัน” คาอินกลับมาจากโรงม้า และหยิบขนมบนตักของวิวาลดิกินชิ้นหนึ่งและนั่งลงขนาบอีกข้าง ในบ้านไม่มีคนรับใช้นานแล้ว สองพี่น้องให้ออกไปหมดเพื่อจะได้ปิดบังความลับของวิวาลดิ หลังจากนั้นอาเบลก็รับหน้าที่เป็นคนทำอาหาร ส่วนคาอินทำความสะอาด ในเวลาว่าง อาเบลชอบอบขนมให้วิวาลดิผู้ชอบขนมที่สุดทาน วิวาลดิเองก็ทำขนมเก่งมาก แต่หลังๆ เขาถูกตามใจจนนั่งรอให้อาเบลทำอยู่ตลอด ส่วนคาอินนั้นเกลียดชังห้องครัว ถ้าเขาว่างเขาจะเล่นไวโอลินโดยให้พ่อมดขาวเป็นคนเลือกเพลงที่อยากฟัง

      “เด็กฟลานากันนั่น” วิวาลดิเอ่ยทั้งที่ยังมีขนมอยู่เต็มแก้ม “เราไม่ต้องฆ่าเขาแล้วใช่ไหม”

      “ตอนแรกคิดว่าจะยังอันตรายหรือเปล่า เกิดความจริงฟลานากันคนพ่อบอกอะไรไปแล้วขึ้นมา หรือเกิดเดาได้ว่าพวกเราเป็นใคร ก็คิดอยู่นะว่าจะไปจัดการ”คาอินกล่าวพลางเกาแก้มตัวเอง “แต่เธอทำให้เขาไม่พูดแล้วนี่”

      “ใช่ ไม่พูดแล้ว” วิวาลดิยิ้ม “เพราะงั้นไม่ต้องฆ่าเขานะ”

      ผู้ที่ลงมือฆ่าเจ้าตระกูลฟลานากันคืออาเบล เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน ขณะที่วิวาลดิกำลังถ่ายพลัง เขารู้สึกคล้ายมีใครมาเฝ้ามองอยู่ จึงยิงลำแสงสีเงินลอดแมกไม้ในป่าไป สองวันต่อมาฝาแฝดสืบทราบว่าเจ้าตระกูลฟลานากันถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์ในป่าลึก พวกเขาจึงรู้ว่าความลับถูกล่วงรู้เข้าแล้ว แต่จะโดยบังเอิญหรือโดยจงในนั้นไม่อาจทราบได้ คาอินและอาเบลครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรดี เพราะจะฆ่าผู้ครองเกาะเอาเสียดื้อๆ ก็คงไม่ง่ายนักพวก เขาจึงคิดจะเจรจาและยื่นข้อเสนอเพื่อแลกกับการปิดปากเงียบ ในหมู่ชนชั้นสูง การยื่นข้อเสนอที่ดีพอ หรือทำให้อับอายได้มากพอ เป็นแนวทางที่ดีเสมอ

      ระหว่างที่กำลังคิดข้อเสนอ ฟลานากันคนพ่อก็ได้ม้าไปไว้ในครอบครอง ข้อเสียของการเป็นผู้ปกครองเกาะคือไม่ว่าจะทำอะไร คนก็จะรู้กันทั่วทั้งเกาะ ข่าวการพบยูนิคอร์นสีดำจึงมาถึงหูของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ฝาแฝดเล็งเห็นว่าเจ้าผู้ครองเกาะคนนี้เริ่มกระทำการโจมตีพวกเขาก่อนด้วยการเอาม้าไป คนที่ทำเช่นนี้คงจะไม่ยอมรับข้อเสนอใดๆ เป็นแน่ เขาคงรู้สึกอิหลักอิเหลื่อกับอำนาจของวิวาลดิ และต้องการใช้เรื่องนี้โค่นล้มฐานอำนาจที่พ่อมดขาวมี เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นระดับผู้ครองที่ดินบนเกาะ เรื่องนี้อาจไปถึงพระราชาก็เป็นได้

      คาอินกับอาเบลตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในไม่กี่วันหลังจากทางฟลานากันได้ม้า พวกเขาซุ่มอยู่ใกล้คฤหาสน์รอโจมตีเจ้าตระกูล โชคดีที่ฟลานากันคนพ่อตัดสินใจพาลูกออกไปในป่าโดยไม่มีผู้ติดตาม การโจมตีจึงง่ายเข้า การออกเดินทางครั้งนั้นของฟลานากัน คาดว่าเป็นไปเพื่อบอกความลับของวิวาลดิให้ลูกชายในที่ปลอดคน เรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ หากต้องการใช้ประโยชน์ให้ได้ ต้องระวังอย่าให้ใครรู้มากไปกว่านี้ แม้แต่บ่าวในบ้านก็อาจเป็นหนอนนำไปบอกคนอื่น ฟลานากันจึงให้ลูกชายออกไปกับตนตามลำพัง

      แต่เขาลืมไปอย่างหนึ่ง เขาเห็นวิวาลดิเป็นเพียงเด็ก ท่าทางบอบบางเหมือนเทวดา เขาจึงไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะมีพิษสง...

      ทั้งสามอำพรางใบหน้าและตามสองพ่อลูกเข้าไป ไม่นานหัวคนพ่อก็กระเด็นออกจากบ่า คาอินกับอาเบลต้องการฆ่าราอุลเสีย แต่วิวาลดิบอกว่าเด็กคนนี้ไม่รู้อะไรจริงๆ และขอให้ปล่อยเด็กหนุ่มไปเสีย

      “อย่าฆ่าเขาเลย นี่มันแค่เด็กโง่เท่านั้น มันไม่รู้อะไรหรอก” วิวาลดิขอร้อง หลังพวกเขาสอบสวนราอุลจนแทบไม่เหลือสติอะไรอีก

      สีหน้าของวิวาลดิซีดเซียวไม่ต่างจากลูกเจ้าของหัวที่กระเด็นไป เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนตายต่อหน้า และยังถูกฆ่าเพื่อตัวเขาอีกด้วย วิวาลดิมีอาการเหมือนจะลมจับ พวกพี่ชายจึงตัดสินใจยอมตาม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าการปล่อยฟลานากันคนลูกไว้อาจเป็นอันตรายกว่าที่คิด

      แต่วิวาลดิจบปัญหาทั้งหมดด้วยการทำให้ราอุลพูดไม่ได้อีกต่อไป และเรื่องดีก็เกิดขึ้นกับพวกเขาโดยไม่ทันคาดคิด คือเกาะนี้ตกยู่ในการปกครองของพวกเขาไปโดยปริยาย

      “ถ้าหากฆ่าฟลานากันทิ้งทั้งสองคน” อาเบลเอ่ยช้าๆ “ป่านนี้พวกเราที่มีอำนาจรองลงมาคงถูกสงสัยว่าฆ่าตระกูลหลักเพื่ออยากได้อำนาจแทน และไม่ถูกสั่งให้ดูแลเกาะแน่ เรื่องนี้ต้องขอบใจวิวาลดิของเรานะ”

      พูดจบเขาก็หันไปยิ้มให้วิวาลดิ อีกฝ่ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ ไม่ได้ตอบอะไร

      วันนี้ความจริงแล้วพวกเขาคิดจะไปเจรจาขอม้าโดยไม่ต้องฆ่าฟันใคร แต่ในตอนที่อนาคินกล่าวว่าตนเองรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับม้า และหันมายิ้ม ทำให้คาอินกับอาเบลเข้าใจว่าอนาคินล่วงรู้สิ่งที่ไม่ควรรู้เข้าเสียแล้ว พวกเขาจึงให้สัญญาณกับวิวาลดิว่าจะต้องฆ่าอีกครั้ง

      พ่อมดไม่ได้อยากทำเช่นนั้น แต่เขาไม่ต้องการประสบเรื่องร้ายในวัยเยาว์อีกเป็นครั้งที่สอง เขาจึงยินยอมให้พี่ชายทั้งสองฆ่าอนาคินเสีย

      จากนั้นทั้งสามก็แอบเอาศพของอนาคินไปทิ้งทะเล ตามคำพูดของคาอินที่ว่า “เอามันไปทิ้งทะเล จะได้ไม่มีใครพบศพ ส่วนม้าเอากลับไปกลับเรา”

      แฝดคนน้องให้เหตุผลว่า หากปล่อยศพไว้ตรงนั้น คนอื่นจะเริ่มคิดว่ายูนิคอร์นตัวนี้เองที่นำความตายมาสู่เจ้าของ และการที่พวกเขาได้มันมาหลังอนาคินตาย ก็จะกลายเป็นพิรุธ แต่หากอนาคินแค่หายตัวไป พวกเขาก็สามารถบอกได้ง่ายๆ ว่าอนาคินยอมมอบม้าให้แก่พวกเขา เพราะมันอยู่ในความดูแลของพวกเขาเช่นเดียวกับเกาะแห่งนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลฟลานากัน...

      “เอ้อ เรื่องอัญมณีแห่งคัลเวล่าน่ะ” อาเบลพูดต่อ “ฉันส่งคนไปสืบ และอาจจะรู้ที่อยู่ของมันแล้ว”

      วิวาลดิหันไปมองหน้าอาเบลด้วยความดีใจ

      “อีกไม่นานวิวาลดิจะไม่ต้องลำบากแล้วนะ” คาอินบอกและยิ้มให้ วิวาลดิหันมายิ้มให้คาอิน และหันไปหาอาเบลอีกครั้ง

      “จะรอกินขนมจากคัลเวล่า” พ่อมดขาวพูด และปิดตาลงอย่างสุขใจ

      “ส่วนพวกเราจะรอจุมพิตหัวแหวนผู้ครองเกาะบนมือวิวาลดิ” อาเบลยกมือซ้ายของวิวาลดิขึ้น สวมแหวนหัวมุกสีขาวให้ที่นิ้วชี้ และจุมพิตหัวแหวนนั้น

      คาอินดึงมือขวาของวิวาลดิไปสวมแหวนประดับเพชร และจูบลงที่เพชรบ้าง “คำนับเทวดาแห่งอำนาจของพวกเรา ขออำนาจจงไหลมาเทมา”

      วิวาลดิมองพี่ชายสองคนที่ยังก้มหัวอยู่กับมือเขา และหรี่ตาลง ไม่ได้พูดอะไร ระหว่างที่คุยกันมา เส้นผมของเขาก็กลายเป็นสีดำเช่นเดียวกับนัยน์ตา และริมฝีปากก็เริ่มเจือสีแดงอย่างมนุษย์อีกครั้ง

       

      อนาคินลุกขึ้นยืนในตอนรุ่งสาง เขารู้สึกว่าตัวเองค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้างแล้ว แม้เขาจะไม่อาจสู้นักรบที่ฝึกมาดีได้ แต่ร่างกายที่อึดและทนต่อความลำบากได้มากจากครอบครัวชาวประมงที่ยากจนก็ทำให้เขาฟื้นตัวได้เร็ว เขาลองเดินไปรอบๆ หาดและรู้สึกไม่เจ็บปวดจนเกินไปนัก จึงตัดสินใจจะเข้าไปหาดอกไม้ในป่า อีวาบอกว่าจะไปจับปลามาในระหว่างที่เขาเข้าป่าไป จากนั้นเธอก็พลิกตัวกลับลงไปในทะเล

      อนาคินก้าวเข้าไปในป่า ป่ารกที่เขาคุ้นเคยดีมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้เข้ามาเหยียบย่างถึงสิบสี่ปีแล้ว เขาเคยสนิทสนมกับพวกสัตว์ในป่านี้ทั้งหมด และหลายครั้งที่พวกมันช่วยนำเขาให้ห่างจากทางของภูตพราย

      อนาคินตามรอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายไป เขารู้จักดอกหญ้าแสงจันทร์ดี แต่จะมีหรือดอกไม้ที่ขึ้นในรอยเท้าสัตว์ หากมันขึ้นก่อนจะมีรอยเท้ามาครอบทีหลัง ก็หมายความว่ามันถูกเหยียบบี้แบนไปแล้ว และหากมันขึ้นมาภายหลังมีรอยเท้าปรากฏบนผืนดิน ก็แปลว่ารอยเท้านั้นต้องได้รับการรักษาให้ห่างไกลจากลม ฝน และทางเดินของสัตว์อื่นๆ

      อนาคินนึกถึงเจ้าแพะจอมปีนต้นไม้ บางทีมันอาจฝากรอยเท้าไว้ในดินระหว่างรากไม้บางแห่งและมีดอกไม้ขึ้นมาบ้าง เขาเดินไปตามต้นไม้ใหญ่ พยายามหารอยเท้าที่ประทับอยู่ระหว่างราก และนึกถึงภาพแพะแปลกๆ ฝูงหนึ่งในป่านี้ อันที่จริงมันไม่ใช่แพะเสียทีเดียวหรอก แต่มันมีสี่ขา ขนปุย และเขาโง้งแบบนั้น แต่จะเอาอะไรมากกับเมืองที่นางเงือกมาซื้อเบียร์ที่ริมหาด แพะในป่าไม่ใช่ แค่แพะ หรอกแต่มันเป็น เอ่อ...รึว่าแกจะเป็นแพะ?  หรืออะไรเทือกนั้น

      ม้าป่าฝูงหนึ่งผ่านเขาไป จ่าฝูงคล้ายจะเป็นตัวเดิมที่จดจำเขาได้ มันจึงควบคุมฝูงไม่ให้ตกใจที่เจอเขา ไม่นานอนาคินก็เห็นนกครบทุกสี ทั้งที่เป็นนกจริงๆ และความจริงไม่ใช่นก นางฟ้าตัวจ้อยโผบินจากทางโน้นไปทางนี้ พรายบางตนแอบมองเขาจากในราวป่า เงาตะคุ่มเตี้ยๆ ของตัวโนมลับหายไปทางหลังต้นไม้ แต่เมื่อเดินไปทันก็จะพบว่ามันไม่มีอะไรที่หลังต้นไม้นั่น อนาคินอดรู้สึกใจชื้นขึ้นมาไม่ได้ ที่นี่ยังคงเป็นป่าดำผืนเดิมที่เขารัก แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานถึงสิบสี่ปี

      ในที่สุดอนาคินก็พบดอกไม้สีเงินขาวคล้ายแสงจันทร์สี่ห้าดอกงอกอยู่ในซอกของรากไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีรอยเท้าของหมูป่าที่มากินดินครอบเอาไว้อย่างสวยงามทั้งกอ เขาบรรจงเก็บมันขึ้นมาและเอาใส่กระเป๋าคาดเอวใบโตที่อยู่กับเข็มขัด ภายในนั้นค่อนข้างจะชื้นน้ำเค็ม และมีแครอทสำหรับม้าถูกทอดทิ้งอยู่ อนาคินเอาดอกไม้ห่อผ้าเช็ดหน้าที่เขาเจอในกระเป๋าเสื้อ (ผ้าเช็ดหน้าชาวประมงที่เพิ่งตกทะเล สีตุ่น เก่าและชื้นเช่นกัน) และโยนดอกไม้ลงกระเป๋าคาดเอว

      เขาออกเดินทางต่อไป เดินวนกลับหาดด้วยทางที่ใกล้กว่าเดิม และระหว่างทางกลับเขาก็ได้พบกับลานเต้นรำของพวกนางฟ้าตัวเล็กๆ อนาคินเคยเห็นพวกนี้บ่อยตอนเด็กๆ อยู่เป็นฝูงละสิบถึงสิบห้าตัว เหมือนคนตัวเล็กๆ มีปีกผีเสื้อ ชอบจับมือกันเป็นวงแล้วเต้นรำ พอพวกเขาบินจากไป วงกลมเมื่อครู่ก็จะมีดอกเห็ดจำนวนมากงอกขึ้นโดยรอบ เป็นเส้นกลมดิกทีเดียว

      อนาคินนึกถึงอีวา เขาเก็บเห็ดสิบดอกใส่ในกระเป่าไปด้วย และค่อยๆ เดินออกจากป่า

      ตลกดีที่เขามีวัตถุดิบเวทมนตร์แล้วทุกอย่าง แต่กลับไม่มีของบ้านๆ อย่างแป้งสาลี เนย น้ำตาล อนาคินคิดกับตัวเองขณะออกมาจากป่า อีวานอนนิ่งอยู่ที่นั่น โบกปลาที่ตายแล้วไปมา

      “ฉันเก็บเห็ดมาด้วย” อนาคินบอก เอาเห็ดออกมาให้เงือกดู “เราจะทำแบบที่ใส่เห็ดเพิ่มอีกหน่อย ฉันอยากให้เธอได้มันไว้”

      นางเงือกยิ้มให้เขา และพูดขำๆ ว่า “ฉันจะพานายว่ายน้ำข้ามทะเลไปได้ยังไง ถ้าฉันเป็นคน”

      “ก็เก็บไว้กินทีหลังสิ” อนาคินบอก

      “เก็บเหรอ ลงทะเลก็เปื่อยหมดแล้ว”

      “ฉันจะหากระปุกที่กันน้ำมาให้ หรือถุงหนังที่ใช้ใส่น้ำก็ได้ บ้านยายมารีต้องมีสักอันสิน่า เธอเก็บไว้กับตัวแล้วค่อยกินตอนกลับมาที่นี่ก็ได้” อนาคินแถ อีวาเลยหัวเราะคิกคัก “นายชักจะเริ่มขโมยของเยอะขึ้นทุกทีแล้ว จากแป้ง แล้วก็เตา แล้วทีนี้ก็ถุงหนังงั้นเหรอ”

      “เอาน่า ครอบครัวฉันช่วยเหลือยายมารีมาตลอดเลยนะ ฉันตายไปทั้งคน ของแค่นี้บริจาคให้คนตาย จะเป็นไรไปเล่า อย่าหวงเลยน่ายายมารี!” ชาวประมงหนุ่มร้อง เขาชกลมแก้ขัดเขินก่อนหันกลับมาพูดแก้เก้อว่า “คืนนี้ฉันจะแอบเข้าไปในเมือง รอพระอาทิตย์ตกก่อน”

      “ระวังตัวนะ” อีวาเอ่ย “นายทำคุกกี้เป็นไหม การทำของหวานเป็นความสามารถพิเศษของพวกพ่อมดทุกคนก็จริง แต่นายดูไม่เหมือนพ่อมดแม้แต่นิด...”

      “คนที่เกิดโดยมีพี่น้องเต็มบ้านทำได้ทุกอย่างแหละน่า” อนาคินตอบ ยิ้มเหนื่อยๆ เมื่อนึกถึงพี่น้องที่บ้าน เขายังทำใจไม่ได้มากนัก แต่ตอนนี้เขากำลังคิดเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้นในครัวเวลามีคนห้าคนช่วยกันขโมยกินอาหารที่กำลังปรุงมากกว่า และนั่นทำให้เขาสามารถจะร่าเริงขึ้นได้เล็กน้อย

       

      ในที่สุดยามกลางคืนก็มาถึง อนาคินลอบเข้าไปในเมือง ใช้เส้นทางด้านหลังตึก ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ อาศัยเงาของสิ่งปลูกสร้างกำบังกาย และคอยเอาหลังชิดผนังอยู่เสมอแม้ทั่วบริเวณจะอวลด้วยที่มีกลิ่นปัสสาวะของคนเมาก็ตาม

      ไม่มีกลิ่นอะไรแย่กว่ากลิ่นของเสียจากคนเมาที่หมกอยู่ในซอก โดยเฉพาะถ้าคนเมานั้นเป็นชาวประมง อนาคินนึกว่าตัวเองจะเสียจมูกไปเสียแล้วก่อนถึงบ้านยายมารี เขาเคาะประตูหลังบ้าน

      “ใครน่ะ” หญิงชราถาม

      อนาคินดัดเสียงสูงเล็กน้อย “เปเตลครับ”

      “โอ้ เปเตล” เธอเดินมาถอดกลอนให้เขา “ได้ยินว่าพี่ชายของเธอหายไป ฉันนึกว่าเธอคงไม่ว่างมา อันที่จริงฉันไม่อยากกวนเธอเวลายุ่งๆ อย่างนี้เลย นี่เจอเขาแล้วหรือยัง”

      “ไม่มีวี่แววเลยครับ” อนาคินตอบ เข้าไปในบ้านของหญิงชรา “ผมมาดูว่าคุณขาดเหลืออะไรบ้าง ผมจะไปซื้อให้พรุ่งนี้เช้า”

      “เธอไม่ต้องลำบากก็ได้ ฉันไม่ต้องการอะไร และไม่อยากรบกวนเธอเวลาลำบากอย่างนี้”

      อนาคินทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ไม้สามขาตัวหนึ่ง “ไม่หรอกครับ ที่จริงผมอยากออกจากบ้านบ้าง ที่นั่นเครียดมาก แย่จริง”

      “โถ พ่อหนุ่มน้อยที่น่าสงสาร เธอจะมาพักที่บ้านของยายแก่คนนี้เมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการเลยนะ แต่อย่าละทิ้งครอบครัวของเธอนานนักล่ะ พวกเขาต้องการเธอในเวลาอย่างนี้” ยายมารีลูบผมของเขา ซึ่งอ่อนนุ่มเหมือนกับน้องชายไม่มีผิด เปเตลสูงเกือบเท่าเขาแล้ว ยายมารีคงไม่รู้สึกถึงความแตกต่างอะไร

      อนาคินย้อนคิดถึงเปเตลตัวจริงและพี่น้องคนอื่นๆ ป่านนี้ทุกคนคงเครียดกันแย่แล้วกระมัง แต่อีวาก็ห้ามเขาไม่ให้ติดต่อกับทางบ้านเพื่อความปลอดภัย... เขาถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ยายมารีเสนอว่าจะรินชาให้เขา หญิงชราพอจะทำอะไรต่างๆ ในบ้านของตนได้ เธอจำได้เสมอว่าอะไรอยู่ตรงไหน

      “อย่าลำบากเลยครับมารี” เขาเอ่ยกับหญิงผู้อ่อนหวาน “แต่ผมอยากทำขนมหวานไปให้พวกพี่ๆ ได้กิน เผื่อจะสดใสขึ้นบ้างในเวลาอย่างนี้ ผมขอยืมครัวของคุณได้ไหมครับ แล้วก็แป้งทำขนมอีกนิดหน่อยด้วย ผมสัญญาว่าจะซื้อมาคืน”

      “โอ ไม่จำเป็นหรอกจ้ะ เธอใช้ทุกอย่างได้เต็มที่เลย ฉันพึ่งพาพวกเธอมากกว่าแป้งทำขนมสามกระสอบและเนยอย่างดีที่เขาใช้ในพระราชวังเสียอีก” ยายมารีกล่าวอย่างใจดี และเสนอซุปที่เธอทำไว้เป็นอาหารเย็นแต่ยังมีเหลือในหม้อมากพอสำหรับสองคนให้เขา อนาคินที่ไม่ได้ทานอะไรมามากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วตอบรับด้วยความเต็มใจ มารีให้ขนมปังดำกับเขาอีกแผ่นหนึ่ง จากนั้นเธอก็ไอออกมากเพราะอากาศเย็นในตอนกลางคืน

      อนาคินเสนอจะพาเธอไปนอนเพราะดึกมากแล้ว หญิงชราตกลง และบอกเขาให้ใช้ครัวตามสบาย “และก่อนไปช่วยปิดประตูให้ดีด้วยนะจ๊ะหนุ่มน้อย”

       

      อนาคินออกจากบ้านก่อนพระจันทร์จะเอนลงเหนือยอดไม้ คุกกี้อบเสร็จและหอมกรุ่น เขาทิ้งคุกกี้ที่ไม่ได้ผสมของจากป่าเอาไว้ให้เธอได้ทานกับชาด้วยจำนวนหนึ่ง เขานึกขอบคุณยายมารีผู้มีน้ำใจงาม แต่เจ็บปวดเล็กน้อยที่ต้องหลอกลวงหญิงชราผู้แสนดี อย่างไรเสียถ้าเธอไม่รู้อะไรเธอจะปลอดภัยมากกว่า เขาย้อนนึกถึงแววตาสีขาวของวิวาลดิ และคิดว่าการที่เธอรู้จะทำให้ยายมารีเป็นอันตราย

      เขาเอาถุงหนังสำหรับเก็บน้ำของเธอมาด้วย มันตากอยู่ตรงมุมห้อง เป็นของเก่าสมัยยายมารียังมองเห็นอยู่ ตอนสาวๆ เธอเป็นพรานป่าล่าสัตว์ คันธนูและเครื่องมือสำหรับใช้ในป่าของเธอยังถูกเก็บไว้ที่มุมห้อง ถุงสำหรับใส่น้ำไปดื่มระหว่างออกล่านั้นถูกทิ้งไว้นานจนแห้งพอจะบรรจุคุกกี้ให้อีวา มันจะกันน้ำเข้าได้พอๆ กับกันไม่ให้น้ำออก อนาคินรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ขโมยหนึ่งในเครื่องมือล่าสัตว์ ซึ่งเป็นความทรงจำสมัยยังสาวของมารีมา แต่บางทีเธออาจจะไม่ได้สนใจพวกมันแล้วก็ได้

      อนาคินลอบกลับมาในตอนรุ่งสาง ชาวประมงส่วนใหญ่ออกทำงานกันแล้ว ตลาดปลาคึกคัก ชายหนุ่มต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ใครเห็นเขา แต่กระนั้นเขาก็ยังแอบหยุดในตรอกระหว่างตึก มองดูน้องสาวตัวเล็กของเขาเดินผ่านไป เธอต้องไปตลาดปลาเช้านี้ แต่นัยน์ตาของเธอบวมช้ำ เหมือนจะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เธอคงกังวลมากที่เขาหายไป เขาไม่เคยไม่กลับบ้านเลยสักคืน และน้องๆ ก็ติดเขากันมาก

      เขาสูดลมหายใจเพื่อระงับอาการเจ็บช้ำในอก และออกเดินอย่างช้าๆ ระแวดระวังไปจนถึงป่าดำ ในที่สุดเขาก็ทะลุป่าและพบกับนางเงือกสีดำที่รออยู่ ณ ชายหาดแห่งนั้น

      เขายื่นถุงหนังให้เธอ และทำให้เธอหัวเราะ อีวาเอาสายของถุงหนังห้อยคอไว้ ดูตลกสำหรับเงือกที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า แต่ก็กลับดูเข้ากับเธออย่างประหลาด อีวาลิลลี่ก็เป็นแบบนี้ มีชื่อที่ไม่เข้าทิศเท้าทางแต่เพราะดี มีสีที่ไม่เข้าพันธุ์แต่เข้ากับตัว มีรอยสักที่ไม่เข้ากับใบหน้าน่ารัก แต่ก็ทำให้ยิ่งมีเสน่ห์ เธอดูเหมือนการวมตัวกันของทุกอย่างที่ไม่เข้ากันในโลก และเธอสามารถทำให้มันดูน่ารักดีงามไปเสียหมด

      เธอมองหน้าเขาเหมือนจะถามว่าทำไม อนาคินเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาจ้องมองเธอนานไปแล้ว เขารีบละสายตาลงมองทรายและเอ่ยว่า “ขอโทษที ไม่มีเวลาขโมยบุหรี่”

      อีวาชกต้นแขนเขา “แค่นี้ก็พอแล้ว ขอบคุณๆ”

      “กินส่วนของนายสิ” อีวาเอ่ย อนาคินหยิบคุกกี้ที่ห่อกระดาษไว้ออกมาชิ้นหนึ่ง เขากินมันลงไป เขาทำแบบใส่เกล็ดปลามาสองสามชิ้น ที่เหลือเป็นของอีวา และทิ้งไว้ให้มารี

      นางเงือกทำท่าให้เขากินให้หมดทุกชิ้น อนาคินกลืนมันลงไป เขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายแทบจะในทันที เสื้อผ้าของเขาเลือนหายไป เผยให้เห็นรอยช้ำที่เกิดจากศอกและหมัดของอาเบลกับคาอิน ฉับพลันมีเกล็ดสีน้ำตาลอมทองเหมือนสีผมก็งอกขึ้นรอบสะโพก ขาของเขาติดกันจนแยกออกไม่ได้และถูกเกล็ดงอกห่อคลุมเอาไว้ ในที่สุดเขาก็ล้มลงกับพื้นทราย อีวาเอียงคอมองเขาคืบตัวอยู่ใกล้ๆ เธอพลิกตัวไหลลงไปในน้ำและว่ายออกไปลึกขึ้นๆ อนาคินว่ายตามไป เขาไม่แน่ใจบางอย่างนัก แต่อยู่ๆ อีวาก็ยื่นมือมากดหัวเขาลงไปในน้ำเค็ม เธอยิ้มขี้เล่น แต่อนาคินตกใจแทบแย่

      ชายหนุ่มเตรียมตัวสำลักจนแสบจมูก แต่เขากลับหายใจในน้ำได้อย่างสบาย แถมยังมองเห็นใต้น้ำได้ดีอีกด้วย อีวามุดลงใต้น้ำ จ้องตาเขา ยิ้ม และเริ่มว่ายน้ำออกไป อนาคินลากตัวตาม เขาเคลื่อนที่ในน้ำได้ราวกับอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เกิด ไม่กลัวจม ไม่รู้สึกกดดัน จะไปทางไหนก็ไปได้ดังใจ รวดเร็ว ตัวเบาหวิว

      “มันก็ดีเหมือนกันนะการเป็นเงือกนี่” เขารำพึงกับตัวเอง

      “กว่าจะถึงแผ่นดินใหญ่ต้องว่ายอีกหลายวันต่อกัน อีกสองวันนายอาจจะไม่พูดแบบนี้” ผู้นำทางของเขายิ้ม “รีบไปให้ไกลที่สุดตอนยังมีแรงเถอะ”

       

      พวกเขาว่ายน้ำไปเรื่อยๆ มุ่งตรงไปข้างหน้า ไปยังแผ่นดินใหญ่ บางคราเมื่อเหนื่อย อีวาก็หยุดลอยคลอในทะเล อนาคินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เธอ การลอยคลอนี้สำหรับเงือกแทบจะไม่เสียพลังงานเลย เมื่อเขากระหาย อีวาก็สั่งให้เขาดื่มน้ำเค็ม

      “น้ำเค็มเป็นยา” เธอบอกอีกครั้ง และคราวนี้อนาคินเห็นด้วย มันเป็นยาแต่ไม่ใช่สำหรับมนุษย์ บาดแผลภายนอกของเขาหายไวขึ้นเมื่อได้แช่ลงในน้ำเค็มในร่างเงือก และเขาดื่มน้ำเค็มได้โดยไม่รู้สึกเจ็บป่วยในร่างกายเลย มันดับกระหายได้ราวกับน้ำจืด

      เมื่อหิว อีวาลองให้เขากินเนื้อปลาดิบๆ อนาคินนึกว่ามันจะคาวแต่มันกลับคุ้นลิ้นมากกว่าที่คิด พวกเขาว่ายน้ำไปแบบนี้สามวันสองคืน ทะเลตอนกลางคืนงดงามมาก ท้องน้ำสีดำสนิท ท้องฟ้าก็สีดำ และเหนือหัวขึ้นไปมีดาวนับร้อยนับพัน อากาศก็สะอาดบริสุทธิ์ เพียงแค่เงยหน้ามองก็ราวกับกำลังจะจมลงไปในทะเลดาว

      “มีฉลามไหมที่นี่” อนาคินถามในวันแรกที่พวกเขาออกทะเล

      “มันไม่กินเงือกหรอก” อีวาหัวเราะ และอนาคินก็ได้รู้ด้วยตัวเองในวันที่สอง ฉลามตัวหนึ่งว่ายมาคลอเคลียพวกเขา อีวากอดหัวมันแน่น หัวเราะและร้องเพลงให้มันฟัง อนาคินหน้าซีด เคยมีชาวประมงบนเกาะถูกเจ้าสัตว์ชนิดนี้ทึ้งจนเป็นชิ้นๆ แต่อีวากับคลอเคลียว่ายน้ำเล่นกับมันและหัวเราะ เธอดึงอนาคินเข้าหามัน แต่ชายหนุ่มกลัวมันจะได้กลิ่นมนุษย์จากเขา จึงถอยหนีท่าเดียว และทำให้เงือกสาวหัวเราะเยาะ

      พวกเขาว่ายน้ำจนอาทิตย์ตก และก็ว่ายน้ำจนอาทิตย์ขึ้น ในที่สุดแผ่นดินใหญ่ก็ปรากฏตัวที่เส้นขอบฟ้า อนาคินมองมัน ด้วยความเร็วขนาดนี้เพียงตกเย็นพวกเขาก็จะไปถึงฝั่ง เขาเหลียวหลังกลับไปมองแผ่นดินที่จากมา เขาไม่เห็นเกาะของเขาอีกแล้ว และพี่น้องกับพ่อของเขาก็อยู่ไกลแสนไกล ทุกคนในครอบครัวจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างไม่มีทางหวนกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง

      อีวาลอยคลอนิ่งรอให้อนาคินมองเกาะแห่งนั้น เขาหันมาและเห็นสีหน้าของเธอ

      “เธอก็จากมาเหมือนกันใช่ไหม” เขาถาม

      “ไม่ทันได้กล่าวลา” เธอตอบ “พวกเขาไม่ยอมรับฉันอีกตั้งแต่ฉันกลายเป็นสีดำ เงือกตัวอื่นก็คิดว่าฉันถูกสาป จากเดิมที่แค่ถูกให้อยู่ห่างๆ จากฝูงและถูกจับตาเฝ้าระวังเพราะอยากเป็นมนุษย์ ฉันก็ถูกกันออกโดยสมบูรณ์”

      “พ่อมดขาวทำลายชีวิตเธอ” อนาคินกล่าวแต่อีวาส่ายหน้า

      “ไม่หรอก ฉันเต็มใจรับความมืดดำนี้มาเอง ฉันสงสารเขา และฉันไม่ได้มีสังคมอะไรในหมู่เงือกอยู่แล้ว ฉันคิดว่าคงดีกว่าถ้าฉันมีพลังของวิวาลดิไว้”

      “มันช่วยยังไงบ้าง” อนาคินสงสัย

      “เงือกปกติใช้เวลาหาเกล็ดปลาสีเงินสามวันนะ ไม่ใช่แค่ช่วงเช้าของวันที่แดดดีวันหนึ่ง” เงือกสาวตอบ เธอยิ้ม สะบัดน้ำทะเลจากผม ละอองน้ำสะท้อนกับแสงอาทิตย์ส่องประกายรับกับรอยยิ้มของเธอ ทำให้เส้นผมของเธอดูเป็นสีดำที่สว่างสดใส

      “และฉันจะมีอายุยืนยิ่งกว่าพวกเงือกด้วยกัน ฉันคงอยู่ได้แปดร้อยปี มากกว่าพวกเขาเกือบสามเท่า” อีวาม้วนตัวลงใต้น้ำก่อนจะโผล่ขึ้นอีกสามเมตรห่างออกไป “มาสิใกล้ถึงเมืองเต็มทีแล้ว”

      อนาคินก้มหน้าลงและรีบตามเธอไป พวกเขาสองคนแตะชายหาดในยามที่พระอาทิตย์ตกดิน ขาและเสื้อผ้าของอนาคินกลับมาก่อนหน้านั้นเล็กน้อยแต่เขาว่ายน้ำเข้าหาฝั่งได้ก่อนจะเหนื่อย หาดนั้นสั้นและแคบ ทอดเข้าสู่ป่าในทันที พวกเขารู้ตัวว่าขึ้นฝั่งบนทางเปลี่ยวไม่ใช่ท่าเรือที่มีผู้คนสัญจร ป่าทอดตัวขึ้นสูง แต่ไม่ถึงกับชัน ที่สุดสายตามองเห็นเมืองบนแผ่นดินใหญ่หมอบตะคุ่มอยู่บนภูเขา ต้องแสงอาทิตย์สีส้มดอกกุหลาบที่สาดลงในยามเย็น

      “นายจะเป็นอิสระที่นี่ แผ่นดินที่นี่กว้างใหญ่เกินกว่าจะหาตัวนายพบ แต่ถ้าจะให้ปลอดภัยหนีไปให้ไกลที่สุดจะดีกว่า” อีวาเอ่ยที่ชายหาด เธอปลดถุงหนังออกมาและกัดคุกกี้ “ฉันอยากพานายไปส่งถึงตัวเมือง”

      เกล็ดของอีวาสลายหายไปและปรากฏขาสองข้างของเธอ ร่างกายของเธอปกคลุมด้วยเสื้อผ้าสีเดียวกับเกล็ด ไม่นานหญิงสาวก็ลุกขึ้นยืนในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ กางเกงยีนส์สีดำพอดีตัวที่สีซีดจางเล็กน้อยคล้ายผ่านการใช้งานมานาน และท็อปบูทแบบทหาร อีวายกมือขยี้ผมที่เปียก และมุ่งหน้าเข้าสู่ป่า

      ป่าของที่นี่แม้จะทอดยาวขึ้นเขาให้เดินลำบากเล็กน้อย แต่ความรกก็เทียบไม่ได้เลยกับป่าดำที่ท้ายเกาะ พวกเขาเห็นภูตและพรายเพียงเล็กน้อย แอบอยู่ในแมกไม้จ้องมองมา มีกวางแปลกๆ อีกสองสามฝูง วิ่งผ่านไป และนกธรรมดาๆ อีกหลายตัว ความหนาแน่นของสรรพชีวิตที่นี่น้อยกว่าที่ป่าดำมาก

      ไม่นานพวกเขาก็เห็นตัวเมืองอยู่ลิบๆ อีวาพาเขาเข้าไปในเมือง และก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคงต้องแยกจากกันเพียงแค่นั้น แม้จะเหนื่อยล้า แต่อนาคินไม่ควรวนเวียนอยู่ที่เมืองท่าใกล้เกาะ เขาควรจับรถม้าหรือเกวียนของพ่อค้าหรือคนเดินทางไปยังเมืองต่อไปจะดีกว่า การไปนอนบนรถม้าคงไม่ลำบากจนเกินไปนัก ส่วนอีวาคงเที่ยวเล่นไม่ไกลจากที่นี่ก่อนจะกลับลงทะเลอีกครั้งในอีกสามวันให้หลัง ทั้งสองเอ่ยลากันอย่างติดขัด คล้ายกับไม่แน่ใจว่าจะลาจากกันแบบห้วนๆ เช่นนี้จริงหรือ แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรร่วมกันต่อดี

      “ขอบคุณนะ สำหรับคุกกี้เห็ดที่ทำมาให้ด้วย” อีวาบอก เธอตบบ่าเขา “ขอให้โชคดี”

      อนาคินมองหญิงสาว เขารู้สึกอยากจะชื่นชมความงามของเธอเป็นครั้งสุดท้าย และทันใดเขาก็พลันเอ่ยออกไปโดยไม่ได้คิดว่า “ตอนอายุสิบสี่ฉันตกหลุมรักเธอ”

      อีวาสบตาเขา ดูไม่แปลกใจอะไรมากนัก

      “มันเป็นแค่ความรู้สึกแบบเด็กๆ เท่านั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไรถึงตอนนี้หรอก เหมือนความทรงจำพิเศษตอนวัยรุ่น” อนาคินกล่าวต่อ ยิ้มน้อยๆ “แต่เธอสวยมากจริงๆ อีวาลิลลี่เป็นชื่อที่เพราะมาก”

      “ขอบคุณ พ่อฉันตั้งให้” เธอพูดเหมือนเดิมอีกครั้ง และก็หัวเราะ เธอล้วงกระเป๋ากางเกง ก้มหน้า “ฉันคง...ไปซื้อบุหรี่หน่อย”

      “อืม ลาก่อน”

      “ลาก่อน”

      แล้วเธอก็หันหลัง พาร่างผอมๆ เล็กๆ จากไป ผมสั้นสีดำยังคงเปียกชื้น ตบรองเท้าบูทเป็นจังหวะไปตามถนนที่ปูพื้นด้วยหิน อนาคินเฝ้ามองตาม เธอหันมามองเขาครั้งหนึ่งและโบกมือให้ เขายืนอยู่ตรงนั้น เปียกโชก และยืนมองเธอจนลับสายตา

       

      วิวาลดิกับคาอินและอาเบลลงเรือข้ามฝั่งที่แผ่นดินใหญ่สองวันก่อนที่พวกอนาคินจะมาถึง จากข่าวของสายสืบ อัญมณีแห่งคัลเวล่าอยู่ในป่าลึกเข้าไปในตัวทวีป พวกเขาออกเดินทางโดยไม่ชักช้า ข้ามเมืองไปยังป่าที่อยู่ลึกเข้าไป ออกเดินทางค้นหาในป่าแห่งนั้นถึงสองวัน

      การใช้ชีวิตในป่าไม่ยากสำหรับพ่อมดขาวที่เคยดำรงชีวิตเช่นเดียวกับพรายป่า แต่พี่น้องฝาแฝดคุณชายเจ้าสำอางได้รับความไม่สะดวกสบายอยู่พอควร พวกเขาสำรวจจนพบแม่น้ำที่แหล่งข่าวบอกมา และออกเดินทางตามแม่น้ำสายนั้นเข้าไปสู่ใจกลางของป่า

      ระหว่างทาง พรายน้ำที่รับรู้ว่าพวกเขามุ่งหวังสิ่งใดพยายามฉุดขาเขาลงไปในน้ำเสีย แต่อำนาจมนตราของวิวาลดินั้นร้ายกาจและน่ากลัว คอยแต่จะทิ่มตำและทรมานพวกมันทุกครั้งที่พ่อมดขาวชี้นิ้ว จนในที่สุดพวกมันก็ต้องหลบหนีไปให้พ้นๆ ต่อจากนั้น ราชสีห์ขนทองตัวหนึ่งดักซุ่มโจมตีพวกเขา มันกดคาอินล้มลง แฝดคนน้องนอนหงาย ถูกสัตว์ร้ายใช้สองขาหน้ากดต้นแขน แต่เขาสลัดตัวหลุดจากขาที่ทรงพลังและดึงดาบที่เอวตวัดปักเข้ากลางหัวใจโดยไม่ให้มันทันตั้งตัว  ราชสีห์จึงล้มลงและอาเบลก็ดันศพมันให้เคลื่อนไปเพื่อให้คาอินออกมาได้ พวกเขามองแผลใหญ่ของคาอินอย่างเป็นกังวล

      “ระวังนะ ป่านี้พยายามปกป้องคัลเวร่าจากพวกเรา” วิวาลดิเอ่ยระหว่างที่พวกเขาพากันเดินตามลำย้ำต่อไป ขณะนั้นสองพี่น้องเริ่มรู้สึกว่าแต่ละก้าวที่ยกเท้าขึ้นนั้นยากยิ่ง ใบหญ้าพยายามเกาะเกี่ยวไม่ให้พวกเขายกเท้าขึ้นได้ รากไม้เลื้อยพันรอบขาไม่ยอมให้พวกเขาก้าวต่อไป วิวาลดิชี้มันราวกับครูกำลังดุเด็กซน และมันก็หงอหดกลับลงไปในดินอีกครั้ง แต่เมื่อเขาละสายตา มันก็ดึงขาของอาเบลกับคาอินอีก จนในที่สุดมันก็สามารถพันสองพี่น้องได้สูงถึงเอว กลายเป็นรูปปั้นที่ตรึงติดแน่นกับดิน

      “ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้” วิวาลดิดุต้นไม้ แต่อีกฝ่ายยังนิ่งสงบ

      ปลายนิ้วของพ่อมดขาวจี้ที่รากไม้ และทำให้เกิดรอยไหม้จากไฟสีขาวจ้า “ปล่อยพวกเขา”

      เสียงใบไม้เคลื่อนไหวครืนครางเหนือหัว พ่อมดขาวนิ่งฟัง “อย่าไปยุ่งกับเทพเจ้านะ พวกมันกระซิบแบบนั้น มันบอกให้ฉันฆ่ามัน มันจะยอมตายเพื่อปกป้องคัลเวร่า เหมือนราชสีห์ตัวนั้น”

      “ฆ่ามันสิ” คาอินบอก พยายามดิ้นหนีรากไม้

      “ถ้าฆ่าต้นนี้ก็ยังมีต้นต่อไป เราจะเผาทั้งป่า แล้วทางการจะแห่กันมา” ชายหนุ่มสะบัดผ้าคลุมสีขาวของตน รากไม้ไม่กล้ารัดพันเขา...

      “ฉันจะไปต่อคนเดียว” วิวาลดิบอก

      “แล้วถ้ามีสิงโตโผล่มาอีกล่ะ” อาเบลเป็นห่วง

      “ฉันเคยอยู่ในป่า สัตว์พวกนี้พอกำราบได้ แต่ว่าที่นี่อาจจะยากกว่าที่ๆ ฉันจากมา...ป่านี้เห็นว่าเราเป็นปฏิปักษ์ต่อมัน เราจะมาแย่งหัวใจของป่าไป ดังนั้นฉันอยากขอดาบของคาอิน”

      คาอินส่งดาบให้น้อง วิวาลดิยกดาบนั้นขึ้นอย่างพร้อมต่อสู้ เขาใช้มือลูบไปตามเลือดของราชสีห์ที่เปื้อนคมดาบ เลือดนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและเปล่งแสงเรืองรอง

      “โจมตีฉันสิ” วิวาลดิกระซิบกับผืนป่า “แล้วจะได้ลิ้มรสเลือดของพญาราชสีห์”

      ร่างบอบบางในชุดขาวเลื่อนลอยเข้าไปในป่าเพียงลำพัง อาเบลกับคาอินมองตามอย่างเป็นห่วงแต่ไม่สามารถทำอะไรได้

      วิวาลดิสาวเท้าตามทางน้ำ ใกล้ตาน้ำกลางป่ามากขึ้นเรื่อยๆ เหล่านกในป่าจิกทึ้งเขา วิวาลดิโบกแขนไล่พวกมัน และวิ่งหนี เหล่าแมลงเข้ากลุ้มรุมเขา แต่พ่อมดขาวเปล่งแสงสีทองออกมารอบตัวและทำให้พวกมันหมดสติตกลงสู่ดิน หมูป่าถอยหลังจากเขาเมื่อสบตาสีขาวของเขาและเห็นเลือดราชสีห์ มันกลัวในฤทธิ์ดาบที่เคยล้มสัตว์ใหญ่กว่ามาแล้ว

      วิวาลดิได้ยินเสียงบางสิ่งบินอยู่ในที่สูง ฟ้ามืดลง เขาหวาดกลัวว่าจะเป็นมังกร จึงชูดาบขึ้นฟ้าและเริ่มสวดมนตร์อ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งฟากฟ้า เป็นธรรมดาของผู้มีพลังขาวเยี่ยงเขาที่จะขอร้องเทพให้ช่วยเหลือได้เป็นครั้งคราว มังกรไม่อาจต้านทานผู้ได้รับความคุ้มครองจากปวงเทพ มันล่าถอยไป ท้องฟ้าสว่างอีกครั้ง แต่วิวาลดิรู้สึกว่า ...ใกล้จะถึงเวลาที่สิ่งที่เขาสู้ไม่ได้จะปรากฏกายออกมาแล้ว

      ตลอดทางที่เดินผ่านมา สายน้ำเล็กลงเรื่อยๆ จนตอนนี้มันเดินข้ามได้ด้วยก้าวของมนุษย์ พ่อมดขาวรู้ว่าเขามาใกล้เหลือเกินแล้ว และฉับพลัน เขาก็ได้ยินเสียงฝูงหมาป่าราตรีเห่าหอนอยู่ในที่ไกล มันกำลังมา กำลังลงมาจากป่าที่ลึกที่สุด มาสู่ใจกลางของป่า มาจัดการเขา...

      วิวาลดิสาวเท้า เขารู้ว่าเมื่อเขาได้คัลเวล่าไว้ในมือ จะไม่มีสัตว์ใดทำร้ายเขาอีก เขามุ่งตรงไปข้างหน้า ใจคิดว่าตัวเองคงถูกทึ้งเป็นชิ้นๆ ก่อนจะถึงที่หมาย...

      แต่แล้วเขาก็เห็นมันปรากฏขึ้นตรงหน้า พฤกษ์ใหญ่ยืนต้นกลางป่าคร่อมตาน้ำ ใบเป็นสีเขียว เงิน ทอง และแดงในต้นเดียว พุ่มดกร่มรื่นราวลงมาจากสวนอีเดนอันศักดิ์สิทธิ์ ลำต้นสีน้ำตาลอวบอ้วนสิบคนโอบ มีรากนับร้อยนับพัน แต่ละกิ่งต่างออกผลลูกเล็กกลมสีม่วงดกทั่วต้น

      “คัลเวล่า” วิวาลดิรำพึง หัวใจแห่งป่า อัญมณีสีม่วงที่งดงามที่สุดในโลกและมีพลังที่เกินกว่าสิ่งใดจะเทียบเทียมได้ เขารู้สึกสั่นเล็กน้อยที่ได้เห็นสิ่งนี้ พรายป่าต่างเชื่อว่าไม้ต้นนี้คือเทพเจ้า เป็นไม้ต้นเดียวที่เกิดในยุคก่อนมนุษย์และยังยืนต้นมาจนถึงวันนี้ ที่เหลือได้ล้มตายไปจนหมดแล้ว

      จะมีกี่คนที่เข้ามาใกล้ได้เท่าเขา วิวาลดิคิดได้แต่ชื่อของพ่อมดที่มีพลังเหนือกว่าเขาเท่านั้น บูรพาจารย์...เขาคิดชื่อเหล่านั้นอย่างเคารพและเกรงขาม เหล่าผู้ทรงพลังที่หยั่งรู้ดินฟ้าและมีชีวิตปานจะเป็นอมตะ

      “คิดว่าจะเอาคัลเวล่าไปได้หรือเด็กมนุษย์” เสียงหนึ่งเรียกมาจากกิ่งหนึ่งของตนไม้ วิวาลดิชะงัก พรายชั้นสูงตนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่ที่นั่น

      พ่อมดขาวลดดาบลงและทำความเคารพ เขารู้ว่าการต่อรองกับพรายนั้นเป็นไปได้ เหมือนกับคนชั้นสูง หากให้ข้อเสนอที่ดีพอจะได้รับสิ่งที่ต้องการ แต่หากชูดาบแสดงท่าหยาบช้าสามานย์ ภัยจะมาถึงตัว

      “ท่านปรารถนาอะไรแลกกับคัลเวล่า” เขาถาม

      “ไม่ปรารถนา คัลเวล่าจะทดสอบเจ้าเอง คัลเวล่าคือเจ้าแห่งป่า ไม่ต้องพึ่งผู้ใดปกป้อง แต่เราทั้งหลายน้อมชีวิตลงบูชาด้วยความสวามิภักดิ์ต่อเทพเจ้าองค์เดียวที่รอดมาจากยุคก่อนในสมัยที่สัตว์สี่ขายังครองพิภพและมนุษย์คนแรกยังไม่จุติ” พรายตนนั้นกวักมือเรียกเขา “มาสิ คนที่จะเด็ดคัลเวล่าจากต้นได้ต้องใจสูง... ผู้ที่ชั่วช้าจะตายเมื่อสัมผัสคัลเวล่า เจ้ากล้าลองไหมล่ะ”

      “เราคือพ่อมดขาว ในตัวเราไม่มีความมืดดำใดๆ” วิวาลดิเอ่ยแต่พรายตนนั้นกลับตอบสิ่งที่ตอกหน้าเขา

      “ความมืดหาใช่ความชั่วช้า ปีศาจที่ย้อมทั้งตัวด้วยความมืดดำเคยได้รับคัลเวล่าไปโดยไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย เพราะใจของเขาสูงส่งกว่าเพชรและอัญมณีใดๆ ในโลกนี้ จงอย่าอวดอ้างมนตร์ขาวต่อหน้าข้า เจ้ากล้าเสี่ยงไหมล่ะ เจ้าจะกลายเป็นปุ๋ยให้คัลเวล่า หรือเจ้าจะถอยหลังกลับไปเดี๋ยวนี้เพื่อรักษาชีวิตไว้”

      วิวาลดิหลับตาลง สีหน้าของเขาดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ หากเขาได้รับคัลเวล่า ชีวิตของเขาจะดีขึ้นมาก แต่เขาไม่ได้จำเป็นต้องมีคัลเวล่า ไม่ได้มีใครจะสิ้นลมหายใจหากไม่ได้อัญมณีสีม่วงนี้

      การได้เห็นคัลเวล่าก็ถือเป็นโชคดีตลอดชีวิตแล้ว เขาบอกตัวเอง อย่าเสี่ยงเลย

      ทันใดนั้นบางอย่างในหัวใจของเขาคิดปฏิเสธ

      ไม่ ปีศาจยังแตะต้องมันได้ วิวาลดิผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่อย่างที่พวกชาวบ้านพวกนั้นเคยกล่าวหา และจะไม่มีวันใช่ วิวาลดิผู้ยิ่งใหญ่จะแพ้ปีศาจได้อย่างไร

      เมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้น เขาก้าวเข้าไปและแตะผลสีม่วงของคัลเวล่า หลับตารอลมหายใจของตัวเองถูกสะบั้น แต่เขาหลับตาเป็นนานจนต้องลองลืมตาขึ้นดู และพบว่าลูกไม้สีม่วงขนาดเท่าลูกเชอร์รี่สองลูกอยู่ในมือของเขาแล้ว

      เขาหันไปมองพรายป่า อีกฝ่ายมีสีหน้าอ่อนลง

      “ยินดีด้วย ผู้บริสุทธิ์”

      “เราเนี่ยนะ จิตใจสูงส่ง” วิวาลดิตะกุกตะกักประคองผลไม้ในกำมือ เขาฆ่าฟลานากันคนพ่อ ทำให้ลูกชายเป็นใบ้ เขาฆ่าคนฝึกม้า เขาทำลายชีวิตของอีวาลิลลี่ เขาเงยหน้ามองพรายตนนั้น เกือบจะสารภาพทุกสิ่งในใจและคืนผลไม้ให้แก่ต้น แต่พรายกลับเอ่ยว่า

      “คัลเวล่าไม่เคยผิด”

      ทุกอย่างมีครั้งแรกเสมอ วิวาลดิคิด ชีวิตที่โกหกทุกคนมาตลอดเวลา ในวันนี้สามารถโกหกได้แม้แต่เทพเจ้า... ฉับพลันนั้นเขารู้สึกขมขื่นเหลือประมาณ ขมขื่นต่อตนเองที่โกหกได้แม้แต่เทพเจ้า และขมขื่นต่อเทพเจ้าที่ถูกหลอกได้ง่ายๆ

      “เอาผลไม้แล้วกลับไปเสียเถิด มันเป็นของเจ้าแล้ว” พรายตนนั้นบกและกระโดดไปด้านหลังต้นไม้ ลับหายไปจากสายตา วิวาลดิมองลูกไม้ในมือ และไม่มีทางเลือกอื่น เขาเจ็บปวดต่อความโง่เขลาของเทพเจ้า แต่ไม่บ้าพอจะคุกเข่าลงขอให้คัลเวล่าตัดสินใหม่เพื่อจะสิ้นชีวิต พ่อมดขาวห่อผลไม้ด้วยผ้าลูกไม้สีขาว และเก็บไว้ที่ช่องด้านในของเสื้อคลุม

       

      อาเบลและคาอินรู้สึกประหลาดใจที่ต้นไม้คลายรัดพวกเขาออกเอง พวกเขารีบเร่งตามวิวาลดิเข้าไปในป่า เมื่อเห็นร่างนั้นเดินออกมาและยิ้มให้ ฝาแฝดรู้ทันทีว่าภารกิจสำเร็จแล้ว พวกเขาต่างกอดรัดวิวาลดิจนแทบแบน จูบศีรษะของน้องคนเล็กซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความปิติยินดี โดยไม่เห็นว่าใบหน้าของวิวาลดิไม่สู้ดีนัก หัวคิ้วขมวดมุ่น เต็มไปด้วยข้อสงสัย แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

      พวกเขากลับไปสู่เมืองท่าและเข้าพักในโรงแรม อาเบลพาคาอินไปหาหมอและกำชับวิวาลดิให้ขอใช้ครัวของโรงแรมและรีบปรุงคัลเวล่าทานให้เร็วที่สุด

      “ถ้าถูกแย่งไปล่ะก็แย่เลยนา” พี่ชายคนโตกำชับและพาคาอินออกไป

      วิวาลดิลงไปที่ครัวซึ่งฝาแฝดติดต่อขอใช้งานไว้แล้ว เขาทำทาร์ตเล็กๆ สองชิ้นอย่างใจลอย ทุกอย่างเสร็จลงเมื่อวางผลไม้ไว้ด้านบน ตัวทาร์ตเรืองแสงสีทอง และมีเส้นสีทองปรากฏขึ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรอบทาร์ตแต่ละชิ้นราวกับกำลังปกป้องมันไว้ วิวาลดิรู้ดีว่ามันคือ “ไทม์สแควร์”

       คุณสมบัติของคัลเวล่าคือ จะทำให้ผู้กินมีสภาพเหมือนตอนที่กินเข้าไปอยู่เช่นนั้น วนเวียนไปมาอยู่ในสภาวะเดิม เช่น หากเจ็บป่วยก็จะไม่มีวันหาย หากมีแผลที่ใดก็จะเป็นแผลที่นั้นตลอดไป และในกรณีของวิวาลดิ ตอนนี้เขาไม่มีพลังมืดในร่างแล้ว และเมื่อใดที่เขารับประทานคัลเวล่า เขาจะไม่ต้องถ่ายพลังมืดออกจากร่างอีกเลย

      เขาทั้งสามออกตามหาอัญมณีนี้มาตั้งแต่ตอนที่อีวาหนีไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าการพยายามถ่ายความมืดออกจากตัวเป็นเรื่องยุ่งยาก

      บางครั้งวิวาลดิก็คิดว่าถ้าหากเขาเป็นพ่อมดประเภทที่ใช้ได้ทั้งมนตร์ขาวและดำเช่นพ่อมดอื่นๆ ทั่วไป เขาคงไม่ต้องทำทุกสิ่งที่ยุ่งยากเช่นนี้ แต่มันไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ พลังสีขาวของเขาเลิศล้ำหาใดเปรียบก็จริง แต่แท้ที่จริงแล้วพลังมืในตัวเขามีจำนวนมหาศาลกว่าพลังขาวเสียอีก หากเขายังมีพลังมืดดำ เขาคงสามารถครอบครองพิภพนี้ แต่...เขากลัวเหลือเกินที่จะถูกเรียกเป็นปีศาจอีกครั้ง

      “นายควรยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง” อีวาเคยบอกเขาเช่นนั้น

      วิวาลดิคิดถึงอีวาด้วยหัวใจที่โศกเศร้า และจากนั้นเขาก็ส่ายหน้าให้ตัวเองลืมความคิดนี้ไป เขาไม่เคยบอกใครนอกจากอีวาว่าพลังมืดของเขามีมากเพียงใด อาเบลกับคาอินคงอยากได้พลังนั้นแน่ แต่เขาไม่...เขาไม่ต้องการมัน

      วิวาลดิเหม่อมองทาร์ต อาเบลกำชับให้รีบกิน เขาจึงหยิบมันเข้าปากไปก่อนชิ้นหนึ่งและเคี้ยว ทันใดนั้น เส้นสีทองรอบทาร์ตเปลี่ยนมาล้อมรอบตัวเขาอยู่เกือบนาที ก่อนจะจางหายไป

      วิวาลดิจ้องทาร์ตอีกชิ้น เขาจะให้มันกับพวกพี่ๆ ตอนนี้คาอินบาดเจ็บ ถ้ารอแผลหายมันก็คงเน่าเสียก่อน แต่ถ้าให้อาเบลคนเดียว คงต้องถูกคาอินโกรธแน่ๆ

      วิวาลดิประคองทาร์ตอันน้อยกลับขึ้นห้องพักของโรงแรม รอพวกพี่ชายกลับมา

      ทำไมเขาจึงได้รับการยอมรับจากคัลเวล่า วิวาลดิถามตัวเองอีกครั้ง เขาไม่คู่ควรกับสิ่งนี้ ต้นไม้เทพเจ้าโง่ตาบอด เขาทำลายชีวิตผู้คนไปมากมาย ที่ตายหรือเป็นบ้าไปแล้วก็สบายไปแล้ว แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่อย่างอีวา

      พ่อมดขาวนึกหน้าอีวาขึ้นมา และจู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมาตามแก้มของเขา วิวาลดิใช้นิ้วที่สวมแหวนปาดมันออกไป แต่มันก็ไหลอีกครั้ง เขาคิดถึงแต่เรื่องอีวา เพื่อนคนแรกของเขา อีวาที่เชื่อว่าน้ำเค็มเป็นยา และเอามาประคบแผลฟกช้ำที่ขาให้เขาที่สะดุดรากไม้ล้ม อีวาที่จูงมือเขาและหัวเราะร่าเริงในงานเทศกาลโคมไฟ อีวาที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นปีศาจ

      วิวาลดิคิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ ทุกคนในหมู่บ้านไล่ต้อนเขา ขว้างปาหินใส่และทุบตี ขู่จะเผาเขาทั้งเป็น สำหรับเด็กอายุแปดเก้าขวบมันกลายเป็นความกลัวที่ฝังลึก พลังของเขาไม่เคยฆ่าใคร แต่ทำให้ข้าวของเสียหายและผู้คนบาดเจ็บมากเกินบรรยาย

      เราไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ วิวาลดิคิด น้ำตาไหลท่วมหน้า

      เขาคิดภาพผู้คนตะโกนใส่เขา ปีศาจ ปีศาจ และภาพเขาก็กลายเป็นภาพอีวา เขาเห็นเธอถูกรุกไล่ ถูกเอาฉมวกแทงปลาแทงหาง...

      พ่อมดขาวซบหน้าลงกับฝ่ามือและสะอื้นไห้

      เขาทำลายชีวิตของอีวา...

       

      เขาร้องไห้จนหลับไป กว่าวิวาลดิจะตื่นขึ้นอีกครั้งก็เย็นแล้ว ฝาแฝดยังไม่กลับมา บาดแผลของคาอินคงร้ายแรงกว่าที่คิด วิวาลดิมองตาบวมแดงของตัวเองในกระจก และคิดว่าออกไปสูดอากาศหน่อยน่าจะดีกว่า เขาเอาทาร์ตคัลเวล่าเก็บไว้กับตัว ห่อด้วยกระดาษเขียนจดหมายของโรงแรมแล้วซุกไว้ในเสื้อคลุม หยิบผ้ามาคลุมผมและออกจากห้อง เดินเลื่อนลอยออกไปข้างนอก

      ผู้คนเดินผ่านไปมาตามท้องถนน สังเกตเห็นเขาในผ้าคลุมสีขาวแต่ไม่เห็นหน้าถนัดนัก ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร ชายหนุ่มเดินเหม่อไปตามเมือง เขาผ่านร้านบุหรี่ และนึกถึงอีวา ผู้หญิงตัวเล็กผอมคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้าน ผมสั้นสีดำของเธอทำให้เขานึกถึงเพื่อนของตนมากขึ้น หญิงคนนั้นมองบุหรี่และหมุนตัวกลับอย่างกระสับกระส่าย ทันใดนั้น พ่อมดขาวเห็นหน้าเธอ

      “อีวาลิลลี่” เขาตะโกน อีวาหันมาเห็นเขา ร่างในผ้าคลุมที่เธอไม่เห็นหน้า แต่เธอรู้ทันทีว่าใครกันที่แต่งตัวเช่นนี้เสมอ เธอออกวิ่งในฉับพลัน วิวาลดิวิ่งตาม ฉวยแขนของเธอไว้ได้ในที่สุด

      “อย่าหนีเลยนะ” เขาขอร้อง “ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอันตราย อย่าไป”

      อีวาหันมามองหน้าเขา ผ้าคลุมผมของวิวาลดิหลุดลงพื้นตั้งแต่ตอนเขาออกวิ่ง เธอมองดวงตาที่บวมช้ำของเขา ดวงตาบวมช้ำดวงเดิมเหมือนที่เคยเห็นบนหน้าเจ้าเด็กมนุษย์ที่เธอเจอบนหาดเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขาถูกพวกพรายแกล้งแรงๆ จนหนีไปหาเธอ อีวามองใบหน้านั้น เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่สลัดแขนแล้ววิ่งหนีไป วิวาลดิจับข้อมือเธอแน่น เอ่ยเสียงสั่น “อย่าไปเลยนะ”

      อีวามองหน้าวิวาลดิ เธอรู้สึกว่าเธอไม่อาจไปและทิ้งเขาไว้ได้ ภาพนี้จะติดในใจเธอไปตลอดชีวิต หญิงสาวถอนหายใจ เอ่ยคำเดียวกับที่เคยพูดในอดีต “เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรมาถึงร้องไห้”

      วิวาลดิมองหน้าเธอ จดจำได้ถึงดวงตาอาทรณ์ดวงเดิม และคำพูดที่ใจดีเหมือนเดิม เขาเอ่ยออกไปช้าๆ

      “ฉันทำตัวเอง...”

       

      อีวายอมเดินตามวิวาลดิไปนั่งที่ม้านั่งในสวนสาธารณะใกล้ๆ

      “เป็นยังไงบ้าง” วิวาลดิกล่าว เก้อเขินกับการเริ่มต้นบทสนทนาที่ค่อนข้างยาก

      “สบายดีมาก แค่ขึ้นฝั่งเป็นไม่ได้ ต้องถูกมนุษย์ไล่ล่า แถมยังชอบถูกพวกคนบนเรือเอาฉมวกแทงปลาไล่อีก เพราะมีใครบางคนประกาศออกไปว่าฉันเป็นปีศาจ กับพวกเงือกก็ถูกกันออกเพราะผมดำ”

      “ขอโทษ...” วิวาลดิเอ่ย เขาไม่รู้จะพูดยังไงต่อดี เลยได้พูดไปตามตรงว่า “ฉันต้องทำอย่างนั้น เพราะไม่อยากกลับเข้าไปในป่าอีก อยากอยู่กับผู้คน เลยต้องเก็บรักษาความลับ เธอเป็นคนที่รู้ความลับเพราะงั้น...”

      พ่อมดบิดมือไปมา “ถ้าฉันเชื่อใจเธอได้ฉันก็คงไม่ต้องทำอย่างนี้ แต่เธอหนีไป ไม่มาตามนัดนี่นา”

      “ก็นายเลิกเอาขนมมานี่ ธุรกิจมันต้องยื่นสองทางสิพ่อหนุ่ม”

      ดวงตาสีขาวเบิ่งกว้างมองเธอ “แต่เราไม่เคยตกลงกันแบบนั้นนะ เธอรับมันเพราะเธอเป็นเพื่อนฉัน ฉันแค่ให้มันเป็นของขวัญ”

      เป็นครั้งแรกที่อีวาระลึกได้ เธอไม่เคยตกลงกับวิวาลดิ ตอนแรกเธอยอมรับมันจากเขาโดยไม่หวังอะไรตอบแทน แต่เมื่อเขาให้ด้วยน้ำใจ เธอจึงเริ่มหวัง และหลังจากนั้นเมื่อเขาไม่ให้อีก เธอจึงโกรธแค้น

      “อา” เธอกล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือดของผู้เพิ่งรู้ตัวเป็นครั้งแรก “ไม่ใช่ความผิดของนายที่ไม่เอาขนมมา”

      “ไม่หรอก” วิวาลดิกล่าว “เป็นความผิดของฉันที่ไม่เอาขนมไป เธอต้องการมันและฉันเพิกเฉยมัน”

      ทั้งสองเงียบกันไป วิวาลดิขยับตัวไปมา อยู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้นว่า “นี่อีวาลิลี่ ฉันไม่ได้อยากให้เธอต้องลำบากเลย แต่เธอสัญญาได้ไหมล่ะว่าเธอจะไม่ขายฉัน”

      เงือกหันไปมองมนุษย์ เธอถามว่า “ฉันเคยเล่าเรื่องนายให้ใครฟังด้วยเหรอ หลายปีที่นายตามล่าฉันมีใครรู้ความลับของนายบ้าง” ยกเว้นอนาคิน เธอคิด กัดริมฝีปาก แต่หมอนั่นเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ เลยยกเว้น

      “ก็จริง” วิวาลดิเอ่ย “แต่เราแค่วางใจไม่ได้”

      “เรา?” อีวาถาม

      “ฉันกับคนที่ให้ฉันอยู่ด้วยนะ”

      “น่าดีใจที่ได้รู้ว่านายมีคนที่สนิทสนมพอจะให้รู้สึกว่าเป็นเราอยู่ด้วย สำหรับเด็กที่โตมาแบบพรายในป่าคนนั้น นับว่าดีมากเลยนะ” อีวายิ้มอย่างเย้ยหยันโลก แววตาของเธอมีร่องรอยของความยินดีจางๆ

      “ฉันชอบพวกเขามากเลย และอยากจะอยู่ด้วยตลอดไป เพราะอย่างนั้นเลยต้องระวังคนที่รู้ความลับ”

      “เลยไล่ล่าฉันน่ะหรือ” อีวาถาม “เลยทำให้ขุนนางตายและพูดไม่ได้ และฆ่าคนฝึกม้าน่ะหรือ”

      วิวาลดิก้มหน้า “เธอรู้?”

      “ฉันได้ยินข่าวบนเกาะมากพอจะรู้ว่ามันเกี่ยวกับนาย”

      “เขาเล่าให้เธอฟังหรือ คนที่ทำให้เธอเป็นมนุษย์น่ะ”

      “ถ้านายมีเพื่อนใหม่ได้ ฉันก็เหมือนกันแหละ” นางเงือกยิ้มหยันๆ อีกครั้ง เธอไม่ได้ยิ้มเพราะนึกดูถูกวิวาลดิ แต่ยิ้มเพียงเพราะรู้สึกตลกร้ายกับคำพูดเรื่อง “เพื่อน” ของพวกเขาสองคนที่โดดเดี่ยวมาตลอด ก็เท่านั้น

      เธอมองฟ้า นิ่งนึก และเอ่ยว่า “นี่ ฉันจะไม่มีวันพูดเรื่องนาย ฉันสัญญา ทำสัญญาแบบพ่อมดเลยก็ได้ สาปฉัน ถ้าฉันพูดขอให้ลิ้นขาด ไส้ไหลออกมานอกตัว ลูกตาหลุด อะไรก็ได้ ฉันจะไม่พูด ต่อให้นายฆ่าคนไปอีกแสนคนฉันก็จะไม่พูดอีก แต่เลิกตามล่าฉัน บอกชาวบ้านให้เลิกไล่ฆ่าฉัน ได้ไหม”

      “ทำไมเธอถึงจะไม่พูดล่ะ” วิวาลดิถาม “ถ้าฉันฆ่าคนร้อยคน เธอควรทำให้ฉันถูกฆ่า ไม่ใช่ปล่อยฉันไว้”

      “ฉันอยากมีชีวิตที่ดีๆ” อีวาพูด “ฉันเคยสนคนอื่นด้วยรึ”

      “สนสิ อีวาลิลลี่เป็นคนอ่อนโยน” วิวาลดิบอก “ไม่อย่างนั้นไม่รับความมืดของฉันไปหรอก เธอสงสารฉัน อยากให้ฉันได้กลับไปในหมู่บ้าน”

      “ฉันแค่อยากได้พลังของนาย” เงือกสาวเอ่ยปัด

      “เปล่า เธอ...”

      “พอได้แล้วน่า” อีวาดุ “ตกลงไหมล่ะ ตามที่ขอน่ะ”

      วิวาลดิมองหน้าเธอ “อืม ตกลง”

      “สาปฉันสิ อะไรก็ได้ทั้งนั้น”

      “ไม่ล่ะ” พ่อมดขาวบอก “ฉันเชื่อใจอีวา ต่อจากนี้ฉันจะกลับคำเรื่องเงือก”

      เงือกมองตาสีขาวของวิวาลดิ เธอกัดริมฝีปากราวกับกำลังชั่งใจ ในที่สุดเธอก็เอ่ยออกมา “ฉันไม่พูดหรอก เรื่องของนายน่ะ ตราบใดที่นายยังเป็นนายคนเดิม นายจะไม่มีวันฆ่าคนร้อยคน พันคน หรือแสนคนก็ตาม”

      คำพูดของเธอทำให้วิวาลดิสะอึก เขาเอ่ยกับเธออย่างเชื่องช้าและแสนเศร้าว่า “ฉันไม่ใช่คนเดิมแล้วอีวา เธอก็รู้ ฉันฆ่าขุนนาง คนเลี้ยงม้า และยังเด็กนั่น เขาจะพูดไม่ได้อีกตลอดชีวิต แล้วยังเธออีก... ฉันมันไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์หรอก”

      อีวามองหน้าเขา เธอเห็นความปวดร้าวในดวงตาของวิวาลดิ “นายพยายามทำเพื่อตัวเอง เพื่อรักษาบ้านของนาย แต่นายจะไม่มีวันทำเพื่อเรื่องเลวร้ายกว่านี้ และนายจะไม่ฆ่าโดยไม่รู้สึกอะไร” เธอลูบผมของพ่อมดเบาๆ “นายร้องไห้ใช่ไหม ให้กับพวกเขา ฉันไม่ได้คาดหวังให้นายดีขนาดยอมถูกปาหินไล่ให้กลับไปอยู่ในป่าอีกครั้งหรอก ฉันไม่คาดหวังอะไรมากเพียงนั้น ขอแค่อย่าชั่วช้าจนเกินรับ ก็คงเพียงพอ บางทีพระเจ้าก็คงขอจากเราแค่นั้นเหมือนกัน”

      วิวาลดินึกถึงคัลเวล่า เขาเอ่ยถามต่อไป “งั้นเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าชั่วช้าเกินไปล่ะ”

      “บอกไม่ได้หรอก แต่เราจะรู้ได้เอง” อีวาบอก และยิ้ม ทันใดนั้นวิวาลดิเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาล้วงเข้าไปในเสื้อคลุม หยิบห่อกระดาษออกมา พวกพี่ไม่รู้ว่าเขาได้ผลไม้มาสองลูก และจะไม่ได้รู้ ไม่ได้รู้ตลอดไป...

      “ฉันไม่ได้ให้ขนมเธอมานานแล้ว วันนี้ ฉันให้นี่แล้วกัน” เขายื่นมันให้เธอ

      “อะไร”

      “ทาร์ตคัลเวล่า” วิวาลดิบอก “มันจะทำให้เธอเป็นคนแบบนี้ได้จนหมดอายุขัย”

      อีวานิ่งไป เธอเคยได้ยินตำนานเรื่องคัลเวล่า แต่เธอไม่คิดว่าวิวาลดิจะยอมมอบสิ่งมีค่าขนาดนี้ให้เธอ

      “นายอยากได้มันเพื่อรักษาความขาวใช่ไหม” เธอถาม “ทำไมไม่ใช่มันล่ะ

      “ฉันมีสองผล เทพเจ้ากำหนดให้ฉันได้มาสองผล แปลว่าฉันควรแบ่งมันให้ใครสักคน และคนที่ควรจะได้อีกคนต้องเป็นเธอแน่ๆ” วิวาลดิพูดและยิ้มเหมือนเด็กๆ

      “ของมีค่าขนาดนี้” อีวาเอ่ย มือสั่นระริกไม่กล้าแตะมัน แม้วิวาลดิจะแกะมันออกจากห่อและเอามันจ่อจมูกเธอก็ตาม

      “ให้ของถูกๆ ก็เสียชื่อพ่อมดขาวแย่สิ ตอนนี้ฉันเป็นใหญ่เป็นโตแล้วนะ เพราะงั้นได้โปรดรับไว้เถอะ มันอาจไม่สามารถชดเชยทุกอย่างที่ผ่านมาได้ด้วยซ้ำ” แววตาของวิวาลดิทำให้อีวาไม่อาจปฏิเสธ เธอยื่นมือไปรับมันและกินมันเข้าไป และเส้นสีทองก็ล้อมรอบตัวเธออบู่ชั่วขณะ จากนั้นหญิงสาวก็กะพริบตา รู้สึกไม่อยากเชื่อตัวเอง

      ฝันของเธอเป็นจริงแล้ว เธอได้เป็นมนุษย์อย่างที่หวังในที่สุด นอกจากนี้เธอจะไม่ต้องถูกล่าเพราะเป็นเงือกสีดำอีก แม้วิวาลดิจะไม่แก้ไขคำพูดเรื่องเงือกปีศาจก็ตาม เพราะเธอไม่ใช่เงือกแล้ว ที่สำคัญ...เธอก็ไม่ต้องกลัวคนตรงหน้าอีกต่อไป เขาจะไม่ล่าเธอแล้ว ตอนนี้เธอเป็นอิสระบนสองขาของตัวเอง

      มันพอจะชดเชยหลายสิ่งได้ไหม อีวาถามตัวเอง เธอไม่แน่ใจว่ามันพอจะทำให้สิ่งที่วิวาลดิทำกับอนาคิน ราอุล และพ่อของเขาหายไปได้หรือไม่ แต่สำหรับเรื่องของเธอ มันพอแล้ว

      “เธอจะทำยังไงต่อ” วิวาลดิถามหลังเธอกลืนขนมลงไป

      “คงออกเดินทาง” อีวาตอบ

      พ่อมดพยักหน้า ก่อนจะล้วงเอาถุงใส่เงินออกมายื่นให้ “นี่เอาไว้ใช้เดินทาง”

      “นายให้เงินฉันทั้งถุงเนี่ยนะ แล้วนายจะใช้อะไรล่ะ”

      “พรุ่งนี้ฉันจะกลับเกาะแล้ว ฉันไม่ต้องใช้หรอก แต่เธอต้องใช้เงินอีกเยอะเลย” พ่อมดขาวบอก “เธอไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อบุหรี่ไม่ใช่หรือไง ฉันเห็นเธออยู่หน้าร้านเมื่อกี้ แต่ไม่ได้ซื้ออะไร”

      อีวายิ้มเก้อ “บุหรี่เดี๋ยวนี้แพงจัง”

      “เงินมันเฟ้อน่ะ” หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศตอบ

      หลังจากนั้น พวกเขาอำลากัน ประดักประเดิกคล้ายไม่แน่ใจว่าจะจากกันห้วนๆ แค่นี้หรือ แต่อีวาก็โบกมือให้และออกเดินไป วิวาลดินั่งเหม่อที่สวนนั้นอีกครู่ใหญ่ เขานึกถึงคำพูดของอีวา และนึกถึงคัลเวล่า

      บางทีเทพเจ้าอาจไม่เรียกร้องความดีงามอะไรมากนัก ความดีแค่ประมาณหนึ่งก็เพียงพอ แม้เป็นสีดำก็ยอมรับได้ หากมิได้ถึงขั้นสามานย์ ...คงมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่บ้าคลั่งจะเอาแต่ความขาวและความบริสุทธิ์ ไม่ยอมอภัยให้ผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ยอมให้คิดชั่วแม้แต่น้อย จึงจะยอมเรียกว่าคนดี ชายหนุ่มคิดทบทวนกับตัวเอง

      “ทั้งที่ธรรมชาติของคนย่อมดีร้ายปนกันไป” เขารำพึง ก้มมองมือตัวเอง ความมืดดำตัวเขาจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว เขากลายเป็นตัวตนที่สุดโต่งในแบบที่สังคมมนุษย์ต้องการ อีวาเคยสอนให้เขายอมรับความมืดของตัวเอง แต่ดูเหมือนเขาจะยอมรับมันได้ตอนที่มันจากเขาไปแล้ว...ตลอดกาล

      วิวาลดิยิ้มกับตัวเองอย่างที่คนที่ยอมรับตัวเองได้มักจะทำกัน

      “ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ” เขาพึมพำ ยอมรับสิ่งที่เป็นและรู้สึกไม่ทรมานอีกต่อไป

       

      มืดแล้ว แต่อนาคินยังหาเกวียนที่จะรับเขาไปไหนไม่ได้เลย แม้แต่เกวียนที่โกโรโกโสที่สุดก็ยังปฏิเสธที่จะรับคนแปลกหน้าเพราะกลัวว่าคนที่รับมาจะกลายเป็นโจร แผ่นดินใหญ่ช่างต่างจากเกาะเล็กๆ ที่เขาจากมานัก

      เขาโบกมือให้คนขับรถม้าที่ผ่านมา แต่ถูกขับผ่านไปอย่างไม่แยแส ชายหนุ่มถอยกลับมาถอนหายใจ เขาว่ายน้ำมาหลายวันและเหนื่อยอยากจะนอนเต็มทน บางทีเขาอาจจะควรหาที่พักที่นี่ก่อน

      “ท่าทางจะกำลังลำบากเลยนะพี่ชาย” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง อีวายืนอยู่ที่นั่น และยิ้มให้เขา

      “มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” อีวาบอก และยิ้มแปลกๆ ออกมา

       

      ทั้งสองย้ายไปนั่งคุยกันในร้านอาหารข้างทางแห่งหนึ่ง อีวาเล่าเรื่องของวิวาลดิให้คนฝึกม้าฟัง “แล้วฉันก็เลยกลายเป็นคนได้อย่างที่หวัง แถมวิวาลดิก็คงไม่ตามล่าฉันอีกต่อไปแล้ว แน่นอนเขาคิดว่านายตาย เขาคงไม่ตามล่านาย แต่อย่าให้เขารู้จะดีกว่าว่านายยังอยู่ เขาคงไม่ไว้ใจนายอย่างที่ไว้ใจฉันแน่” เธอสรุปกับอนาคิน จากนั้นก็ยิ้มและเอ่ยต่อไป “ฉันเคยคิดนานแล้วล่ะว่าเป็นคนเมื่อไหร่ฉันจะออกเดินทางสำรวจให้ทั่ว บางทีการเดินทางไปกับคนที่ต้องหนีไปเรื่อยๆ อย่างนาย อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้นะ”

      เธอขยี้ก้นบุหรี่ลงกับโต๊ะและถามว่า “ว่าไงล่ะ ให้ฉันไปด้วยได้ไหม”

      อนาคินมองหน้าเธอและพยักหน้า “เมื่อกี้ตอนพูดว่าลาก่อน ยังรู้สึกว่าไม่ใช่เวลาของคำนี้น่ะ”

       

      “แต่ว่าไม่มีรถม้ารับฉันสักคัน แม้แต่เกวียนบุโรทั่งก็ไม่เว้น” อนาคินบอกเมื่อทั้งสองออกมาอยู่ข้างถนนกันอีกครั้ง

      “นายไม่รู้วิธี” อีวาร้อง เธอโบกเกวียนที่เคลื่อนใกล้ขึ้นมา “หกสิบเหรียญ” เธอตะโกน เกวียนยังเคลื่อนต่อไป “เก้าสิบเหรียญ ร้อยเหรียญ” เจ้าพาหนะนั่นเลยผ่านหน้าพวกเขาไป อีวาแหกปากลั่น “ร้อยยี่สิบ”

      ในที่สุดมันก็หยุดลง อีวาเดินไปหาคนคุมเกวียนและเอ่ยว่า “ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ร้อยเหรียญจริงๆ เรามาจากเกาะ กำลังพเนจร”

      คนคุมเกวียนพยักหน้ารับ ชี้มือขึ้นและบอกว่า “ด้านหลังจุของเต็ม ขึ้นหลังคา”

      “ให้ตั้งร้อยเหรียญ หลังคาเนี่ยนะ” อีวาตะโกน

      “ไปอยู่ไหนมาแม่หนู ให้ราคาเท่าสิบปีก่อน เดี๋ยวนี้เขาคิดกันสามร้อยเหรียญแล้ว”

      อีวาผู้มีความรู้ของเมื่อสิบปีก่อนกัดฟันกรอด เธอพยักหน้าแล้วปีนขึ้นหลังคาเกวียน กวักมือเรียกอนาคินให้ตามขึ้นไป “ฉันนึกว่าเราขอติดไปได้...” อนาคินบอก

      “ไม่มีทางหรอก ฉันรู้ว่านายคงขอติดรถไม่ได้ตั้งแต่เห็นราคาบุหรี่แล้ว แผ่นดินใหญ่มันขูดเลือด”

      ทั้งสองเงียบกันไปพักหนึ่ง เกวียนโขยกเขยกไปตามทาง อีวานอนลง เงยหน้ามองฟ้า ส่วนอนาคินพยายามหาที่หลับแบบที่แน่ใจว่าจะไม่กลิ้งตก พวกเขาเงียบงันกันอยู่นาน

      “นี่อนาคิน” อีวาเรียก “ฉันคิดว่ามันคงไม่เป็นไรหรอกนะ”

      “อะไรเหรอ”

      “การที่เกาะจะอยู่ในการปกครองของวิวาลดิ มันคงไม่เลวร้ายนักหรอก ต่อจากนี้เขาไม่ต้องหาเหยื่อมารับความมืดของเขาอีกแล้วนี่ นายก็ตายไปแล้ว เขาไม่รู้เรื่องนาย และครอบครัวของนายก็คงปลอดภัย สงสารแต่เด็กราอุลนั่น เขาอาจเคยฆ่าคนไป แต่การทำร้ายผู้อื่นของเขาอาจจะจบลงเพียงเท่านี้”

      “อาจจะ” อนาคินเอ่ยไม่แน่ใจนัก

      “ฉันจะเชื่อในตัววิวาลดิดู คัลเวล่าเลือกเขาไม่ใช่เหรอ และเขาก็กำลังพยายามต่อสู้ในแบบของตัวเองอยู่ ฉันคิดอย่างนั้น”

      อนาคินพยักหน้า เขาไม่อาจล่วงรู้อนาคตได้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแสงดาวที่สาดลงมา ดวงดาวน้อยกว่าบนเกาะ แผ่นดินใหญ่คงสว่างเกินไปสำหรับดาว

      เกวียนโยกเยกไปตามทาง ยังมีเส้นทางอีกมากมายให้พวกเขาไปสำรวจ และการเดินทางร่วมกันระหว่างเขากับอีวาลิลลี่ก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

       

       

       



      ///จบบริบูรณ์///
      ตอนจบเหมือนจะยังมีต่อ แต่จบจริงๆ นะคะ เป็นจบแบบให้คนอ่านเห็นว่าเรื่องราวยังคงมีต่อไปหลังปิดหนังสือลง (จบแบบทิ้งท้ายไว้ให้คิด) เคลียร์ทุกปมเรียบร้อยแล้วค่ะ 
      ดีใจที่การประกวดนี้ทำให้ได้โอกาสเขียนเรื่องนี้ออกมา เราชอบตัวละครหลายตัวในเรื่องนี้มากเลย

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×