คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ห้า เหตุเกิดจากความเหงา
บทที่ห้า เหตุเกิดจากความเหงา
“เอเลน ช่วงสองสามวันนี้พี่คงยุ่งมาก เลิกเรียนแล้วไม่ต้องรอพี่นะกลับก่อนได้เลย” ขณะที่เรากำลังทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนพี่รีไวก็เอ่ยขึ้นมา
“พวกพี่วุ่นวายเตรียมสอบกันหรือครับ”
“ก็.....ประมาณนั้น จะจบแล้ว มีอะไรให้ต้องจัดการอีกหลายอย่าง”
นั่นสินะ ปีนี้ก็ปีสุดท้ายแล้ว ปีหน้าพี่รีไวก็ต้องเข้ามหาลัยแล้วนี่นา........
“พี่ไม่อยู่ห้ามเถลไถลนะ......โดยเฉพาะกับเจ้าม้าแจน อย่าไปฟังมันมาก มันไร้สาระ”
“ครับๆ” ดีนะเนี่ยที่ไม่ได้เล่าเรื่องแจนบอกให้มีแฟนให้ฟังอ่ะ ไม่งั้นเป็นเรื่องแน่ๆ
วันนี้แจนมาโรงเรียนด้วยหน้าผากที่บวมปูดผิดปกติ เป็นเพราะถูกลอบทำร้ายเมื่อวานนั่นแหละ
“ปกติก็หน้าเหมือนม้าอยู่แล้ว วันนี้มันกลายพันธุ์เป็นม้ามีนอไปแล้วเหรอ” พี่รีไวเอ่ยขำๆ
“แล้วเมื่อไหร่รุ่นพี่จะกลายพันธุ์ไปเป็นแรคคูนขนาดไซส์ปกติเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาสักทีล่ะครับ”
อ่า....เจอหน้ากันปุ๊บก็มีอันต้องทักทายกันด้วยความรักตั้งแต่เช้าเลยสินะ สองคนนี้
“หุบปากม้าๆของแกไปเหอะแจน.....พี่รีไวครับ แล้วเจอกันพักเที่ยงนะครับ” ผมรีบลากแจนกลับห้องก่อนที่มันจะปล่อยม้าออกมาก่อกวนชาวบ้านชาวช่องเขามากกว่านี้
“นี่....เอเลน แกลองคิดเรื่องที่ฉันบอกแกไปรึยัง”
“เรื่อง?......อ๋อ หาแฟนน่ะเหรอ ไม่รู้สิฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลย มันจำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอวะแจน”
“ก็เออน่ะสิ”
“แต่ฉันกับพี่รีไว เราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกันสักหน่อยเลยนะ”
เอเลน!!! แกไม่คิดแต่ไอ้พี่เตี้ยนั่นคิดแน่....ฉันฟันทิ้ง!!!! หรือบางทีแกเองก็อาจจะคิดลึกซึ้งกับมันแต่ยังไม่รู้ตัวก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่แกจะรู้ตัวตกลงไปในบ่วงมาร ฉันต้องฉุดแกขึ้นมาก่อน......นี่ฉันเป็นคนดีนะ
“ลองคบดูก่อนสักคน......ถ้าแกไม่อยากยุ่งยากลำบากใจ จะลองมองหาคนใกล้ๆตัวดูก่อนก็ได้นะ” แจนพูดขณะที่ยืดอกขึ้นเต็มที่......... ทำไมแกต้องทำท่าทำทางเสนอตัวขนาดนั้นด้วยวะแจน ผมเหล่ตามองมัน ไอ้นี่ท่าทางไม่น่าไว้ใจชอบกล
“มันต้องเปลืองตัวกันขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย.........”
“ถ้าแกไม่อยากมีใครจริงๆจังๆ ฉันจะยอมเสียสละ.....”
“ไว้ก่อนดีกว่า.....ขอเป็นทางเลือกสุดท้ายเหอะนะ” ผมรีบตัดบทชิ่งหนีออกมา คุยกับแจนมันมีแต่เรื่องไร้สาระอย่างที่พี่รีไวว่าไว้จริงๆ
แม้แต่ตอนพักเที่ยงคนที่มารับผมก็ไม่ใช่พี่รีไวเหมือนเช่นเคย
“โย่ ไอ้ลูกชาย” หญิงสาวผมสั้นส่งยิ้มมาให้ตั้งแต่หน้าประตู
“แล้วพี่รีไวกับพี่มิเกะล่ะครับ”
“คือ.....ยุ่งๆกันอยู่น่ะ ก็เลยส่งพี่มารับเอเลนไปกินข้าวไงลูก” พี่นานาบะตรงเข้ามากอดผมไว้แน่น เธอแรงเยอะเกินมนุษย์ผู้หญิงจริงๆนั่นแหละ
“ไม่อยากรบกวนพี่นานาบะเลยครับ”
“ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรสักนิดนี่นา แล้วเจ้าหนูแจน แผลเป็นไงมั่งจ๊ะ”
“เอ่อ ก็ดีขึ้นล่ะครับ แผลเริ่มแห้งแล้วล่ะ”
“ดีแล้วๆ รีไวบอกว่าตั้งแต่นายขาพิการก็เริ่มทำตัวเป็นภาระให้เอเลนหนักกว่าเดิม เขาบอกว่าถ้านายไม่รีบหายภายในสามวันจะมาหักขาอีกข้างของนายให้ใช้การไม่ได้อีก”
“ห๊ะ.....เหรอครับ”
“เพราะฉะนั้นก็รีบๆหายเร็วๆซะนะ”
“ครับๆ”
พี่นานาบะกับแจนเดินนำผมออกจากห้องไป ผมมองด้านข้างตัวที่ว่างเปล่า การที่ไม่มีพี่รีไวอยู่ใกล้ๆนี่มันรู้สึกโหวงเหวงถึงขนาดนี้เชียวเหรอ.......
มองจานอาหารที่ยังเหลืออีกกว่าครึ่งแต่รู้สึกกินไม่ลงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“กินให้เยอะกว่านี้หน่อยสิเอเลน กินไปนิดเดียว อิ่มแล้วเหรอลูก”
“คือ.....มันไม่หิวจริงๆครับพี่ แล้วก็กินไม่ลงด้วย” มองที่ว่างข้างๆตัวแล้วก็ถอนหายใจออกมา ทำไมมันถึงได้รู้สึกว่าโรงอาหารมันกว้างขนาดนี้นะ ทั้งๆที่คนอยู่กันออกเต็มแท้ๆ
นี่ขนาดไม่เจอกันแค่ครึ่งวันนะ เอเลนมันยังออกอาการขนาดนี้ มันอะไรกันฟระ...... แจนกัดฟันกรอด
“นี่เอเลน เย็นนี้ไปร้องเกะกันเหอะนะ....นะ นะ”
“หืม....ไม่เอาอ่ะ ไม่มีอารมณ์ ฉันว่าจะส่งแกไปล้างแผลแล้วจะกลับบ้านเลยน่ะ ว่าจะกลับไปรอพี่รีไวที่ห้องเลยดีกว่า”
รู้สึกได้ยินเสียงแตกเพล้งราวกับหัวใจของใครสักคนกำลังแตกสลาย.........
“น่าๆ ถ้าเจ้าหนูแจนอยากไปจริงๆ เจ้จะไปเป็นเพื่อนให้เอง” พี่นานาบะกอดคอแจนที่เหมือนวิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่างไปไกลแล้ว
“เอิ่ม ไม่รบกวนรุ่นพี่ดีกว่าครับ”
กลับกลายเป็นว่าตลอดทั้งวัน ผมกับแจนแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย แจนมันดูซึมๆตลอดช่วงบ่าย อยากจะถามมันอยู่หรอกว่าเป็นอะไร แต่ตัวผมเองก็สภาพจิตใจไม่ค่อยคงที่เช่นกัน รู้สึกหงุดหงิดยังไงชอบกล เห็นอะไรก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด หลังจากพาแจนไปล้างแผลแล้วส่งกลับบ้านผมก็ไปนั่งรอพี่รีไวที่หน้าห้องอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มแดงค่อยๆลาลับขอบฟ้า
“พี่รีไว.......พี่กำลังทำอะไรอยู่ครับ......อยู่ที่ไหนกัน”
ผมได้แต่ซุกหน้าลงกับเข่า ตั้งแต่เล็กจนโตผมที่มักจะมีพี่รีไวอยู่เคียงข้างตลอดไม่เคยรู้สึกตัวเลยว่า ในวันที่ไม่มีพี่เขาอยู่ใกล้ๆ มันจะรู้สึก......เหงาได้จับใจขนาดนี้
“พี่ให้ผมคอยอีกแล้วนะครับ........จะให้ผมคอยไปถึงเมื่อไหร่” รู้มั้ยครับ ว่าการรอคอยมันทรมานแค่ไหน
เสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบันไดขึ้นมา เงาร่างที่ผมคุ้นตาเดินขึ้นบันไดมาด้วยความเงียบงัน
“เอเลน?”
ผมโถมตัวเข้ากอดพี่เขาด้วยความแรง แต่ดูเหมือนว่าพี่รีไวจะรับผมไว้ได้สบายๆ มือใหญ่ลูบแผ่นหลังผมเบาๆ
“เอเลน เป็นไปอะไรเด็กน้อย”
“วันนี้ผมไม่เห็นพี่ทั้งวัน พี่ทำอะไรอยู่กันแน่ครับ เรื่องนั้นมันสำคัญมากเลยเหรอครับ” สำคัญมากจนพี่ปลีกตัวมาหาผมไม่ได้เชียวเหรอครับ
“เอเลน เข้าไปคุยกันในห้องเถอะ......”
ผมนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาในขณะที่พี่รีไวกำลังเดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่าน ทั้งๆที่พี่บอกให้มาคุยกันในห้องแล้วทำไมพี่ถึงไม่พูดอะไรล่ะครับ......ผมที่เป็นฝ่ายทนความเงียบไม่ไหวต้องพูดขึ้นมาก่อน
“พี่กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ เรื่องสำคัญมากเชียวเหรอ”
“ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากหรอก เพียงแต่ ต้องรีบจบมันให้เร็วที่สุดก่อนจะบานปลาย แต่ดูเหมือนจะยุ่งยากกว่าที่คิด”
“ยุ่งยากจนไม่มีเวลาให้ผมเลยสินะครับ” ผมพูดเบาๆ
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะเอเลน”
“แต่วันนี้แทบทั้งวันผมไม่ได้เจอพี่เลย”
“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่อยากไปหาเอเลน แต่มันไปไม่ได้จริงๆ”
“พี่จะบอกผมได้มั้ยครับว่าเพราะอะไร”
“......พี่บอกไม่ได้”
บอกไม่ได้.......งั้นเหรอ ระหว่างเราสองคนที่ไม่เคยมีความลับต่อกัน วันนี้พี่กลับบอกผมว่ามีเรื่องที่บอกผมไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ผมเงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้าเต็มๆตา รู้สึกว่าวันนี้พี่รีไวจะได้แผลเยอะขึ้นกว่าเดิม.....
“ผมว่าผมกลับห้องก่อนดีกว่าครับ พี่กลับมาเหนื่อยๆ จะได้พักผ่อน” ผมเดินผ่านพี่เขาออกไปกำลังจะเปิดประตูห้อง
“เอเลน ต่อไปไม่ต้องรอพี่อีกแล้วนะ” ผมไม่แน่ใจว่าผมฟังผิดหรือเปล่า
“อะไรนะครับ?”
“ต่อไป......ไม่ต้องรอพี่อีก ไปโรงเรียน กินข้าว กลับบ้าน ไม่ต้องรอพี่แล้วพี่คงอยู่กับเอเลนไม่ได้อีก ตอนนี้อยากจะทำอะไรก็ทำให้เต็มที่เถอะ”
“ทำไมล่ะครับ ทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น” ในเมื่อสิ่งที่ผมอยากทำคือการอยู่กับพี่แท้ๆ
“เอเลนเป็นเด็กดี แค่ทำตามที่พี่พูดก็พอ”
ไม่เข้าใจเลยครับ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมพี่ถึงไม่ให้ผมรอแล้วล่ะครับทำไมถึงอยู่กับผมไม่ได้ หรือว่าพี่เบื่อหมาน้อยตัวนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ......
“เอเลน!!!....เอเลน!!!” แว่วได้ยินเสียงเรียกมาจากระเบียงหลังห้อง แต่พี่ไม่ต้องการผมแล้วนี่ครับจะเรียกหาผมทำไมกันล่ะครับ ผมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงของพี่รีไวอีก อย่ารังแกผมแบบนี้เลยครับพี่.........
รุ่งเช้าแม้จะตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของเจ้าหนูข้างห้องเหมือนอย่างเคย
“เอเลน........เอเลน” เคาะประตูห้องพร้อมร้องเรียกไปด้วย แต่ภายในห้องก็ยังนิ่งสนิท ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“แบบนี้ มันดีแล้วจริงๆเหรอ”
“ผมไปแล้วนะครับ” แจนที่กำลังจะออกจากบ้านพอเดินออกมาถึงหน้าประตูรั้วเห็นคนที่ยืนรออยู่หน้าบ้านแล้วก็นึกไปว่าตัวเองกำลังฝัน
“ไง....ฉันมารับ”
“เอเลน?”
จักรยานสองล้อปั่นไปด้วยความเร็วที่ไม่ช้าไม่เร็วนัก ลมเย็นๆยามเช้าก็พัดเอื่อยๆมากำลังดี
“ทำไมแกมารับฉันได้วะ” เอ่ยถามเบาๆ ไม่เคยเห็นเอเลนมันทำหน้าซึมแบบนั้นมาก่อน
“ไม่อยากไปโรงเรียนคนเดียวว่ะ”
“แล้วไอ้พี่เตี้ยล่ะ” มันเงียบไปสักพักก่อนจะตอบออกมา
“ไม่รู้สิ......ก็คงจะไปแล้วล่ะมั้ง”
หืม........ทะเลาะกันงั้นเหรอ.......ก็เป็นโอกาสดีไม่ใช่รึไง
“ถ้าแกเมื่อยให้ฉันปั่นแทนก็ได้นะเว่ย” แจนเอ่ยยิ้มๆ รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจเสียเหลือเกิน
“ไม่ล่ะ แกยังเจ็บอยู่นี่”
“หายแล้ว แผลแห้งดีแล้วด้วย ไม่ต้องปิดแผลแล้ว” ขืนไม่รีบหายคงได้ถูกไอ้พี่เตี้ยมันหักขาอีกข้างแน่
เอเลนจอดรถจักรยานในลานจอดรถแล้วเดินขึ้นอาคารเรียนไปด้วยกันกับแจนสองคน
“เดี๋ยวนะ......วันนี้มากับน้องแจนหรอกเหรอเมื่อวานก็กลับกับน้องแจนด้วยนี่นา แล้วรุ่นพี่ล่ะ” สาวม.ปลายเอที่แอบอยู่ใต้พุ่มต้นเข็มกระซิบเสียงเครียด
“ฉันไม่เห็นรุ่นพี่เลยนะ เฮ้!!!! เธอมีหน้าที่ตามรุ่นพี่ไม่ใช่รึไง” สาวม.ปลายบี หันไปถามเพื่อนสาวซีที่แอบอยู่ใต้พุ่มต้นเข็มข้างๆกัน
“ก็ใช่ แต่ฉันไม่เห็นรุ่นพี่เลยเหมือนกัน สองสามวันมานี้ ตอนเช้าเห็นมาโรงเรียนก็จริง แต่แล้วก็หายไปทั้งวันเลย เมื่อวานนี้ยังเห็นรุ่นพี่นานาบะ แต่วันนี้ไม่ยักเห็นใครสักคน” สาวม.ปลายซีตอบพลางกำหนังสติ๊กในมือไว้แน่น
“เพราะรุ่นพี่ไม่อยู่แบบนี้น้องเอเลนถึงได้มากับน้องแจนสินะ แบบนี้ก็เปิดโอกาสให้น้องแจนทำคะแนนได้เต็มที่น่ะสิ เอาไงดี” สาวม.ปลายเอ เกาคางอย่างครุ่นคิด
“ฉันจัดการเอง” สาวม.ปลายซี ขึ้นสายอัลติเมทบาซูก้าหนังสติ๊กเม็ดมะขามเตรียมเล็ง เดือดร้อนเพื่อนทั้งสองรีบห้ามไว้แทบไม่ทัน
“เดี๋ยวๆ นี่มันในโรงเรียนนะ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก!!!”
“แต่น้องเอเลน......แล้วรุ่นพี่” สาวม.ปลายซีทำเสียงสะอื้น เธอจะไม่ยอมยกน้องเอเลนให้ใครเด็ดขาดนอกจากรุ่นพี่รีไวคนเดียวเท่านั้น
“วันนี้อย่าปล่อยให้สองคนนั้นคลาดสายตาเด็ดขาด” หากมีอะไรเกิดขึ้นกับน้องเอเลน พวกเธอทั้งสามยินดีถวายชีวิตปกป้องพรหมจรรย์ของน้องเอเลนยิ่งชีพ
แม้แต่ตอนพักกินข้าวกลางวันก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของนานาบะ มีโอกาสได้กินข้าวด้วยกันสองคนแบบนี้ก็ดีแฮะ แต่ทำไมมันรู้สึกแปลกๆ
“กับข้าววันนี้อร่อยดีเนอะ” แจนเอ่ยพลางหัวเราะแหะๆ
“อืม” เอเลนเอ่ยตอบไม่ค่อยจะใส่ใจนัก
อร่อยแล้วทำไมแกเอาแต่เขี่ยล่ะวะเอเลน.......แกยังไม่ทันได้กินสักคำ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันอร่อยน่ะ
“เออ เย็นนี้ไปดูหนังสือกันมั้ย รู้สึกว่าการ์ตูนออกใหม่เยอะนะ”
“อืม.....ไปก็ไปสิ” เอเลนยังคงตอบรับด้วยท่าทางเลื่อนลอยชอบกล
คันปากอยากจะถามมันเหลือเกินว่ามันมีปัญหาอะไรกันกับไอ้พี่เตี้ยกันแน่ แต่ก็ไม่กล้าถาม พอชวนคุยมันก็ดันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวซะงั้น จึงได้แต่ปล่อยมันเงียบๆอยู่แบบนั้น
“ดูสิๆ รุ่นพี่ไม่อยู่ ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน โถ่.....น้องเอเลนของฉัน ยิ่งผอมๆอยู่ด้วย ถ้ายังจะอดข้าวอยู่แบบนี้เวลารุ่นพี่จับมันก็ไม่เต็มไม้เต็มมือพอดีน่ะสิ”
“มันใช่เรื่องที่ต้องกังวลรึไง” สาวม.ปลายเอและบี โบกบ้องหูเพื่อนสาวจอมเพ้ออย่างหงุดหงิด
“ซึมลงไปเยอะเลยอ่ะ น้องเอเลนของฉัน...... เธอยังหารุ่นพี่ไม่เจออีกจริงๆเหรอ”
“ก็.....ก็มันไม่เห็นจริงๆนี่”
“เป็นสตอล์กเกอร์ประสาอะไรกัน ไม่ได้เรื่อง!!!”
ทำไงดีนะ......จะช่วยน้องเอเลนยังไงดี..........
หลังเลิกเรียนพวกเธอจึงตัดสินใจตามสตอล์กเอเลนและแจนไปยังร้านหนังสืออย่างเงียบๆ พวกเธอแอบเห็นว่ามีบ่อยครั้งที่แจนพยายามจะจับมือเอเลน แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะป๊อดจนไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้อง
นับว่าโชคดีที่น้องแจนมันเป็นพวกไก่อ่อน.....ขอแค่ซื้อหนังสือแล้วแยกกันกลับบ้านใครบ้านมันแล้วก็จบเหอะ อย่าให้น้องแจนมันลากน้องเอเลนไปนั่นไปนี่อีกเลย ถ้าถึงขั้นลากเข้าบ้านแล้วพวกเธอคงตามต่อไม่ได้แน่ๆ
ในขณะที่เอเลนกำลังเลือกหนังสืออยู่ในโซนการ์ตูน แจนกลับเดินหาหนังสืออยู่ในโซนผู้ใหญ่แทน นัยน์ตาพลันไปสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกเก็บหลบมุมอยู่ในหลืบเข้าพอดี
‘How To ปฏิบัติการสร้างสุขระหว่างชาย-ชาย’
เปิดอ่านเนื้อหาข้างในคร่าวๆตาวาว.......บางที อาจจะถึงเวลาที่ต้องศึกษาไว้บ้างแล้วก็ได้ ถือโอกาสที่โต๊ะคิดเงินยังว่างรีบวิ่งไปจ่ายเงิน พนักงานสาวมองหน้าปกแล้วกลั้นยิ้มไว้ เธอคิดเงินแล้วยัดหนังสือใส่ถุงให้มิดชิดก่อนจะส่งให้เด็กหนุ่ม
“หนึ่งพันสองร้อยเย็นค่ะ” แจนควักเงินส่งให้เธอท่าทางเลิ่กลั่ก ในขณะที่กำลังทอนเงินนั้นเองเธอก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“โชคดีนะคะคุณน้อง” เกิดรู้สึกอับอายจนแทบอยากจะแทรกหน้ามุดดินหนี รีบวิ่งหลบมุมไปหาเพื่อนรัก(?) ที่ยืนจ้องชั้นหนังสือตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่เป็นนานสองนาน
“เอเลน แกได้อะไรรึยัง” คนที่เหม่อลอยถึงกับสะดุ้ง
“ไม่อ่ะ....ไม่มีอะไรที่อยากซื้อ แล้วแกล่ะ ได้อะไร” ผมยื่นมือไปหาถุงที่แจนมันถืออยู่ มันรีบซ่อนทันที
“หนังสือโป๊อ่ะดิ”
“เออ.....ใช่ๆ แกอย่าดูเลย”
“ไอ้หื่นเอ้ย!!!” ผมผลักหัวมันเบาๆ ขณะที่เรากำลังเดินออกจากร้านผมกลับรู้สึกว่า ทำไมพี่สาวคนคิดเงินถึงได้มองเราด้วยสายตากรุ้มกริ่มแปลกๆ
“ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับนะ”
“เออ ก็ดีเหมือนกัน ขี้เกียจกลับไปทำกับข้าวกินเองว่ะ”
ออกมาแล้วๆ พวกเธอทั้งสามส่งซิกให้แก่กันค่อยๆตามติดเด็กหนุ่มทั้งสองไปเงียบๆ และในขณะนั้นเอง
“นี่พวกหนู......เป็นสตอล์กเกอร์กันเหรอ”
เมื่อถูกจับได้เด็กสาวม.ปลายทั้งสามคนถึงกับตัวแข็งไปด้วยความตกใจ หญิงวัยกลางคนสวมผ้ากันเปื้อนท่าทางใจดีในมือถือกล่องเค้กกล่องโตส่งยิ้มให้พวกเธอ
“ไปคุยกันสักหน่อยเป็นไงจ๊ะ สาวๆ”
หน้าร้านเบเกอร์รี่นมปั่นขึ้นป้ายปิดก่อนเวลา ภายในร้าน เด็กสาวม.ปลายสามคนกำลังถูกสอบสวนด้วยหญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านนั่นเอง
“น้าเห็นพวกหนูทำลับๆล่อๆกันอยู่นานสองนาน พวกหนูกำลังตามสตอล์กใครอยู่เหรอจ้ะ ทำแบบนั้นมันไม่ดีเลยนะ ละเมิดสิทธิส่วนบุคลเขารู้ไหม”
“พวกหนูไม่ใช่สตอล์กเกอร์นะคะ พวกหนูแค่กำลังทำภารกิจที่กองกำลังพิทักษ์รีเอควรทำอยู่เท่านั้นเอง”
“หืม.....รีเอนี่ใครกัน ดาราหน้าใหม่หรอกเหรอ”
“พูดไปคุณน้าก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะ” พวกเธอก้มหน้านิ่ง.....โลกของสาววายจะมีสักกี่คนที่เข้าใจกัน
“น้าเห็นพวกหนูตามเด็กผู้ชายสองคนอยู่ พวกหนูตามเขาทำไมกัน”
“ไม่เกี่ยวกับคุณน้านี่คะ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะจ๊ะ ก็หนึ่งในนั้นเป็นลูกชายน้านี่”
“เอ๋......น้องแจนเหรอคะ” สาวม.ปลายซีร้องเสียงหลง......หวา เจอแม่คู่กรณีเข้าให้แล้ว
“ไม่ใช่จ้ะ......เอเลนต่างหาก”
“เอ๊ะ.....ครอบครัวของน้องเอเลนไม่ได้อยู่ที่โตเกียวนี่คะบ้านเกิดอยู่ที่โอซาก้า น้องเอเลนพักอยู่หอพักกับรุ่นพี่รีไวมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วนี่นา” สาวม.ปลายเอ เถียงเสียงเขียว
“แหม...ไม่ได้สตอล์ก แต่รู้ละเอียดกันจริงนะจ้ะ” หญิงเจ้าของร้านปิดปากหัวเราะคิก เด็กสาวทั้งสามถึงกับพูดไม่ออก
“คุณน้าต้องไม่ใช่คุณแม่ของน้องเอเลนแน่ๆค่ะ พวกหนูไม่เชื่อหรอก”
“อันที่จริงก็ไม่ใช่แม่แท้ๆหรอกจ้ะ.....แต่น้าเป็นว่าที่แม่สามีของเอเลนต่างหาก”
“เห......แม่สามี!!!” พวกเธอตะโกนเสียงดังลั่นร้านหน้าตาเหรอหรา
“ดูจากชุดของพวกหนูก็รู้ว่าเป็นเด็กโรงเรียนเดียวกันกับลูกชายน้า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะรู้จักกันรึเปล่า เด็กคนนี้ยิ่งเป็นคนเงียบๆอยู่ด้วย อยู่ม.ปลายปีสามแล้ว ลูกชายน้าชื่อรีไวจ้ะ”
“เห.....รุ่นพี่!!!” พวกเธอประสานเสียงกันด้วยความตื่นตะลึงอีกรอบ
“อ้าว รู้จักด้วยเหรอจ้ะ นึกว่าจะไม่รู้จักกันเสียอีก” เธอยิ้มให้สาวๆ
จะไม่รู้จักกันได้ยังไงล่ะคะ รุ่นพี่ผู้หล่ออึนสุดs คนนั้นน่ะ คุณน้าเป็นคุณแม่ของพี่รีไว แล้วยังบอกว่าเป็นแม่สามีของน้องเอเลน งั้นก็แปลว่า...แอร๊ยยยยยยยย......พวกเธอเจอติ่งรีเอตัวแม่เข้าให้แล้ว
สามสาวถึงกับคุกเข่ากอดขาหญิงเจ้าของร้านไว้แน่น
“คุณน้าคะ กรุณารับพวกหนูสามคนเป็นศิษย์ด้วยเถอะค่ะ!!!!”
อัลบั้มรวมรูปภาพตั้งใหญ่ถูกนำมาแจกจ่ายให้สามสาวได้เชยชม ภาพน้องเอเลนและรุ่นพี่รีไวในวัยเด็กมันช่างโมเอ้กระแทกตากระแทกใจพวกเธอยิ่งนัก
“ร.....รุ่นพี่ในวัยเด็กน่ารักขนาดนี้เลยเหรอคะเนี่ย”
“ก็แหม.....จ้า รีไวตอนเด็กน่ารักมากๆเลยล่ะ น่ารักจนเอเลนเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงเรียกพี่สาวๆอยู่ได้เป็นปีๆแน่ะจ้ะ”
“อร๊ายยยยยย น้องเอเลนก็น่ารักอ่ะ.....น่ารักทั้งคู่เลย” พวกเธอกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
“รุ่นพี่นี่ตัวเล็กตั้งแต่เด็กๆเลยนะเนี่ย แต่ดูสิ หวงน้องเอเลนมากเลย เอะอะกอด เอะอะอุ้ม เอะอะหอม จับมือกันตลอดๆเลยน่ะ.....มิน่าล่ะ โตขึ้นมาแล้วก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมนี้”
“เขารักกันมาแต่อ้อนแต่ออกเลยเนอะ....น่ารักอ่า......”
“น้าก็พยายามช่วยดันอยู่ตลอดแหละจ้ะ แต่เอเลนก็ซื่อเหลือเกิน รีไวนี่ก็นิ่งซะ”
“ก็เพราะแบบนั้นน่ะสิคะ พวกหนูถึงได้รวมตัวกันตั้งกองกำลังพิทักษ์รีเอขึ้น น้องเอเลนน่ารักขนาดนั้นคนจ้องจะจับกินมีไม่น้อยนะคะ ที่แน่ๆก็มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งล่ะค่ะ”
“เอ๊ะ....จริงหรือจ๊ะเนี่ย ก็รีไวน่ะไม่เคยเล่าอะไรให้น้าฟังบ้างเลยนี่นา”
“เพื่อนสนิทของน้องเอเลนน่ะค่ะ ชื่อน้องแจน เห็นตอนนี้กำลังเร่งทำคะแนนใหญ่เลยเพราะช่วงนี้รุ่นพี่ไม่ค่อยได้อยู่กับน้องเอเลนเลย ไม่รู้ว่ามีปัญหาทะเลาะอะไรกันรึเปล่าน่ะค่ะ น้องเอเลนน่ะซึมใหญ่เลย ข้าวปลาก็พาลไม่อยากกินไปด้วย”
“จริงเหรอเนี่ยตายแล้ว” อยู่ดีๆติ่งรีเอตัวแม่ก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเพียงไม่นานเธอก็วีนเสียยกใหญ่
“อยู่ที่ไหนเนี่ย แล้วน้องล่ะ......ไม่รู้!!! ไม่รู้ได้ไงกัน กล้าทิ้งน้องไว้คนเดียวเหรอ......เหตุผลจำเป็นอะไรของลูกรู้มั้ยว่าน้องน่ะแทบจะไม่ยอมกินข้าวกินปลาแล้วนะ พูดมาเดี๋ยวนี้เลย แล้วนั่นลูกทำอะไรอยู่เสียงดังแบบนั้น.....จะอธิบายให้ฟังทีหลังอะไรกันแม่จะฟังตอนนี้นะ รีไว!!! รีไว!!!”
“เจ้าลูกคนนี้กล้าตัดสายใส่ฉันเหรอ” เมื่อเธอกดต่อสายอีกครั้งคราวนี้สัญญาณจากปลายสายก็ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว
“เอ่อ.....เป็นยังไงบ้างคะคุณน้า” สาวม.ปลายเอ เอ่ยถามเสียงเบา
“ก็เจ้าลูกชายน้ามันบอกว่ามีเรื่องจำเป็นต้องทำ เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังน่ะสิ”
“แต่อาการของน้องเอเลน เริ่มหนักแล้วนะคะ หนูสงสารน้องน่ะค่ะ” เจ้าชายของหนูแทบจะไม่ยิ้มแล้ว
“ความรู้สึกของรีไวที่มีต่อเอเลนน่ะ น้ารู้ดีว่าลูกชายของน้ารักเอเลนแน่ๆ แต่สำหรับเอเลนแล้ว น้าไม่มั่นใจเลยนะกลัวแต่ว่าเอเลนจะคิดว่ารีไวเป็นแค่พี่ชาย”
“คุณน้าคะ เชื่อหนูเถอะค่ะ คนเป็นพี่เป็นน้องกันเนี่ยไม่ได้เป็นเหมือนสองคนนี้หรอกค่ะ หนูพูดตามตรงนะคะพี่รีไวกับน้องเอเลนดูยังไงก็เหมือนคนเป็นแฟนกันมากกว่า เพียงแต่ว่าตอนนี้น้องเอเลนอาจจะยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง” สามสาวกองอวยก็ยังคงตั้งอกตั้งใจอวยต่อไป
“น้าก็คิดอยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่หรอกจ้ะ ถ้าเกิดเอเลนรักรีไวจริงๆก็ดีน่ะสิ” จะได้ไม่เสียแรงที่อวยมาแต่อ้อนแต่ออก
“มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆค่ะคุณน้า” เด็กสาวทั้งสามกุมมือติ่งรีเอตัวแม่ไว้แน่น
“เพราะฉะนั้น เรามาช่วยกันหาทางทำให้น้องเอเลนรู้ใจตัวเองกันดีกว่านะคะ!!!”
รีไวจ้องมองโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งจะปิดเครื่องไปนิ่งๆ ก่อนจะยัดมันกลับเข้ากระเป๋า
“รู้ถึงหูแม่แล้วเหรอเนี่ย........” ทำไมคุณนายแกไปได้ข่าวล่ามาไวมาจากไหนกัน
ลองแม่ได้รู้เรื่องอีกหน่อยคงถึงหูเอเลนแน่ๆ
“เสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ยกมือขึ้นปาดเลือดที่มุมปากพลางมองสมรภูมิรบตรงหน้า ทั้งมิเกะ นานาบะ ออลโอ กุนเธอร์ เอิร์ด และเด็กนักเรียนร่วมสถาบันที่คุ้นหน้าคุ้นตากันหลายคนกำลังตะลุมบอนกับเด็กต่างโรงเรียนอยู่ เจ้าพวกนี้ก็เข้ามาหาเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน ก็เพราะแบบนี้ไงล่ะ ถึงได้พยายามกันเอเลนออกไปห่างๆเดี๋ยวจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย ม้วนแขนเสื้อขึ้นพลางเดินเข้าสู่สนามรบอย่างเงียบเชียบ
ถ้าปล่อยเจ้าหมาน้อยนั่นอยู่คนเดียวนานไปกว่านี้ คงได้จิตตกจนกู่ไม่กลับแน่ ดีไม่ดีอาจจะเตลิดไปหาคนอื่นเลยก็ได้.....ยิ่งมีเจ้าม้าปากมอมนั่นคอยเป่าหูอยู่ด้วย เพื่อเป็นการตัดปัญหาไม่ให้ตามมารังควานในภายหลัง มีแต่ต้องจัดการพวกปลาซิวปลาสร้อยลอบกัดพวกนี้ให้สิ้นซากเท่านั้น.......
“ฉันจะขยี้พวกแกทั้งหมดเอง!!!”
ความคิดเห็น