คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : บทที่สิบเก้า การพานพบแห่งโชคชะตา
บทที่สิบเก้า การพานพบแห่งโชคชะตา
“จะตามอีกนานแค่ไหน”
“ใครบอกว่าตาม ฉันก็แค่เดินมาทางเดียวกับนายด้วยความบังเอิญต่างหาก”
แจนเอ่ยตอบตะกุกตะกักท่าทีเลิ่กลั่ก อาร์มินจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แกจะสอดรู้มากเกินไปแล้วนะแจน”
“ฉ.....ฉันไม่ได้สอดรู้” แจนตวาดกลับเสียงดังก่อนจะเบาเสียงลงในประโยคหลัง
“ฉันแค่รู้สึกว่า......นายอาจจะต้องการใครสักคนไปเป็นเพื่อน”
“ฉันไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด” อาร์มินกล่าวตอบขณะที่กลับหลังหันเดินทิ้งห่างออกมา แต่แจนยังคงตามติดอีกฝ่ายไม่หยุด
สถานพยาบาลที่มีรั้วเหล็กสูงปิดกั้นอยู่ข้างหน้า นี่เป็นสถานที่ที่แม่ของอาร์มินพักรักษาตัวอยู่ แจนยังคงเดินตามอาร์มินไปเงียบๆพยายามไม่ส่งเสียงเพราะเกรงจะสร้างความรำคาญให้อีกฝ่าย หญิงวัยกลางคนร่างบางที่นั่งเงียบอยู่บนม้านั่งหินอ่อนคนนั้นแจนสามารถจำได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็นเพราะเธอและอาร์มินมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกัน
“สวัสดีครับแม่ วันนี้ผมเลิกเรียนเร็วก็เลยมาก่อนเวลา วันนี้แม่สบายดีใช่มั้ยครับ” อาร์มินเอ่ยกับเธอขณะที่นั่งคุกเข่าลงข้างๆเธอ คุณแม่ของอาร์มินยังคงดูเลื่อนลอยอย่างเช่นทุกวัน
“สวัสดีครับคุณแม่” แจนถือโอกาสเอ่ยทักทายพลางโค้งคำนับให้กับเธอ หญิงผู้นั้นคล้ายจะเหลือบตามองแจนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็เป็นสายตาที่มองด้วยความสนใจใคร่รู้เพียงชั่วครู่เท่านั้น
“ผมเป็นเพื่อนอาร์มินครับ” แจนกล่าวต่อ แต่กลับได้รับสายตาทิ่มแทงจากอาร์มินกลับมา
อย่าพูดมาก.........
อาร์มินขยับปากกระซิบบอกกับเขา แจนหุบปากลงในทันที
“เมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่าครับ อยู่ที่นี่คงไม่สะดวกเท่าไหร่ เอาไว้ให้อะไรๆมันเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ ผมจะทำเรื่องขอพาแม่ออกไปอยู่ด้วยกัน แบบนั้นคงจะสะดวกมากกว่านะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวกับมารดาด้วยรอยยิ้มขณะที่กุมมือเธอเอาไว้แน่น
อาร์มินยังคงพูดคุยอะไรกับเธออีกหลายอย่าง แต่ดูเหมือนคนเป็นแม่จะไม่ได้สนใจฟังเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นอาร์มินก็ยังคงไม่ยอมละความพยายาม แจนรู้สึกว่าช่วงเวลาที่อยู่กับแม่คงเป็นเวลาที่อาร์มินพูดและยิ้มเยอะที่สุดแล้ว แต่ทำไมเขากลับไม่รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่ได้เจือไปด้วยความสุขเลย
แจนทรุดนั่งลงข้างอาร์มินทิ้งระยะห่างไว้เล็กน้อย พยายามทำตัวให้เงียบๆที่สุด ทุกประโยคทุกถ้อยคำที่อาร์มินบอกกล่าวแก่มารดาจึงถูกถ่ายทอดมาสู่เขาด้วย น้ำเสียงนุ่มนวลเจือแววสั่นเครือขาดห้วงเป็นช่วงๆ แต่อาร์มินก็ยังเลือกที่จะยิ้มให้กับมารดา แจนลอบมองอาร์มินแล้วได้แต่คิดในใจเงียบๆ
มันช่างอ้างว้างไม่ต่างอะไรกับการพูดกับตัวเองในกระจกเลยจริงๆ อย่างน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้ากระจกแล้วเรายิ้มเงาในกระจกก็ยังสะท้อนรอยยิ้มตอบกลับมา แต่ตอนนี้มันดูเหมือนกับว่าอาร์มินกำลังพูดอยู่กับกระจกใสที่ไม่มีวันตอบสนองอะไรกับเขาเลย
มันช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนให้หดหู่ใจยิ่งนัก...................
หดหู่ อ้างว้าง จนเผลอที่จะกุมมือของคนที่พยายามกลั้นน้ำตาจนตัวสั่นไว้แน่น
สัมผัสอุ่นๆที่ฝ่ามือทำให้อาร์มินเงียบลง แม้นึกอยากจะผลักไส แต่ลึกๆในใจก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความจริงแล้วตนกำลังถวิลหาความอบอุ่นจากใครสักคน
“เมื่อไหร่.......แม่จะพูดกับผมสักทีครับ” อาร์มินกล่าวตัดพ้อพลางซบหน้าลงกับตักมารดา
ถ้าเพียงแต่เขาจะอยู่ที่นี่แค่คนเดียว มันจะไม่ใช่เรื่องยากเลยหากเขาจะร้องไห้ แต่การที่มีใครอีกคนคอยอยู่ข้างๆมันกลับเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงที่จะหลั่งน้ำตา เขาไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอนี้ ส่วนแจนได้แต่กุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น พยายามสื่อความหมายให้อีกฝ่ายได้เข้าใจว่า......ไม่เป็นไร
“นายไม่เป็นไรหรอก......ไม่เป็นไรแน่ๆ คุณแม่คงต้องการพูดแบบนั้นแน่ๆ” แจนก้มหน้าพึมพำบอกเสียงเบาไม่กล้าหันไปมองเพื่อนข้างกาย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตามไปด้วยอีกคน
“เขาเป็นอะไรรึเปล่า” แจนเอ่ยถามผมขณะที่มองโต๊ะเรียนว่างเปล่าของอาร์มิน
“ไม่รู้สิ เมื่อเช้าที่ห้องก็เงียบมาก ฉันนึกว่าอาร์มินออกมาแล้ว แต่โทรไปก็ไม่รับสาย มีอะไรกันรึเปล่าแจน” ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้สึกว่าวันนี้แจนมันดูเงียบๆชอบกล
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” แจนเอ่ยตอบขณะที่หันกลับไปมองกระดาน แต่รู้สึกได้เลยว่าไอ้ที่อาจารย์สอนน่ะไม่ได้เข้าหัวมันสักนิด
“แจน ตอนเย็นพวกพี่ๆเขานัดเจอกันที่ร้านคุณแม่ จะไปมั้ย”
“ไปอยู่แล้วล่ะน่า ชวนหมอนั่นด้วยรึเปล่า”
“ก็บอกว่าโทรหาอาร์มินแล้ว แต่เขาไม่รับนี่ไง” คำตอบของผมทำให้แจนเงียบไปชั่วครู่ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าฉันรู้ว่าหมอนั่นอยู่ไหน เดี๋ยวฉันพาเขาไปเอง”
สถานที่ที่ผมพอจะคิดออกได้มีเพียงไม่กี่แห่ง หนึ่งในนั้นก็คือที่นี่ ผมลองสุ่มมาดูก็พบกับอาร์มินเข้าจริงๆ
“ไม่เข้าไปเหรอ” ผมเอ่ยทักอาร์มินที่เอาแต่ยืนจ้องมองประตูรั้วสถานบำบัดทางจิตอยู่เงียบๆ วันนี้เขาสวมชุดไปรเวทดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตั้งใจเข้าเรียนตั้งแต่แรกแล้ว
“มาทำไม” อาร์มินเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“วันนี้ไม่เห็นไปเรียน นึกว่าเป็นอะไรเสียอีก”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับแกนี่” อาร์มินเอ่ยตอบขณะที่เดินทิ้งห่างออกไปจากผม
“เพื่อนกัน จะบอกว่าไม่เกี่ยวกันก็ไม่ได้หรอกนะ” ผมตอบเขาขณะเดินตามไปห่างๆ
“เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่” จู่ๆอาร์มินก็หยุดเดินหันมาชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ผม
“ของแบบนั้น ฉันไม่ต้องการ”
“ไม่ทันแล้วล่ะ ถึงยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันแล้วนี่” ผมเอ่ยตอบพลางยักไหล่
“เอเลนโทรหานายทั้งวัน ทำไมไม่รับสาย”
“ฉันไม่อยากคุยกับใคร” อาร์มินเอ่ยตอบเสียงสะบัด
“น่าเสียดายว่ะ เอเลนมันอุตส่าห์เป็นห่วงแท้ๆ”
อาร์มินเหลือบสายตามองผมครู่หนึ่ง รู้สึกว่าพอยกชื่อเอเลนมาอ้างมันจะยอมอ่อนลงนิดหน่อยแฮะ
“แล้วนั่นจะไปไหน” ผมเอ่ยถามคนที่เอาแต่เดินทำหน้าบึ้งตึงนำหน้าอยู่เงียบๆ
“ไปเรื่อยๆ” อาร์มินเองก็เอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ถ้าจะไปเรื่อยๆก็มาด้วยกันดีกว่า เอเลนอยากให้นายไปด้วย” ผมเดินไปดึงแขนอาร์มินลากให้ออกเดินมาด้วยกัน ต้องถือโอกาสตอนที่มันยังไม่ทันตั้งตัวนี่แหละรวบรัดมันเลย
“หา!!!! ร้านกาแฟ?” อาร์มินอุทานเสียงเบาขณะมองป้ายร้านกาแฟแบบแอนทีคที่ตกแต่งอย่างน่ารัก
“ควบเบเกอร์รีด้วย นั่งชิวได้สบายๆ นั่งนานแค่ไหนก็ได้เจ้าของร้านไม่ด่าเพราะซี้กัน” ผมเอ่ยตอบขณะรุนหลังอาร์มินให้เดินเข้าร้านไปด้วยกัน
“สวัสดีค่ะ......อ้าว แจน มาช้านะลูก” คุณนายแม่เอ่ยทักทันทีที่พวกผมเดินเข้าประตูไป
“พอดีไปตามตัวเพื่อนอยู่นะครับ” ผมกล่าวตอบขณะกดหัวอาร์มินให้ก้มทักทายคุณนายแม่ด้วย ถึงมันจะไม่ถูกกับพี่เตี้ยยังไงก็เถอะ แต่มันก็ต้องให้ความเคารพแม่พี่เขาด้วย
“อ้าว!!! หนูคนที่มาเช่าห้องพักใช่มั้ยลูก”
“สวัสดีครับ” อาร์มินเอ่ยทักทายเสียงเบา
“แหม ที่แท้ก็เพื่อนกันกับลูกๆแม่นี่เอง ตามสบายนะจ๊ะ อยากกินอะไรก็สั่งเจ้าของร้านตัวจริงนู่นเลย” คุณนายแม่ยิ้มตอบขณะชี้ไปหาเอเลนที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มเสือสิงห์กระทิงแรด สัตว์ป่าสงวนนานาชนิดที่กำลังส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างไม่เกรงใจลูกค้าคนอื่นๆที่โต๊ะใหญ่สุดมุมร้าน
“เอเลนจ๋า......เจ้ขอสตรอเบอร์รีชีสเค้กอีกสองชิ้น ใส่สตรอเบอร์รีลูกใหญ่ๆบนหน้าเค้กให้เจ้หน่อยได้มั้ยจ๊ะ” พี่นานาบะส่งเสียงโหวกเหวกเกาะแกะเอเลนไม่หยุดเหมือนพวกลูกค้าขี้เมาที่ชอบลวนลามพนักงาน
“เอาด้วยๆ ขอชิ้นใหญ่เลยนะเอเลน” พี่ออลโอก็ยกมือส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นเช่นกัน นี่คงเป็นครั้งแรกที่อาร์มินเคยเห็นสภาพสัมพะเวสีขอส่วนบุญของพวกผู้ใหญ่ที่ทำตัวไม่สมอายุพวกนี้ถึงได้ทำหน้าตาเหยเกรับไม่ได้แบบนั้น
“คือ.....นี่คือสถานการณ์ปกตินะ” ผมตบไหล่บอกกับเขาให้ทำใจ เพราะตราบใดที่ยังอยู่ด้วยกันเขาก็ยังต้องเจอสภาพแบบนี้ไปอีกนาน
“โฮ่ย!!! พวกแก หุบปากกันบ้างได้มั้ย หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง” พี่เตี้ยที่สวมแว่นตานั่งอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่กลางวงสาละวนของเหล่าสิงห์สาราสัตว์จอมเขมือบโวยขึ้นทำให้ทุกคนอยู่กันเงียบๆได้สักพักแต่แค่ไม่ถึงนาทีเท่านั้นก็กลับมาโวยวายเสียงดังกันเหมือนเดิม
บอกตามตรงคือผมรู้สึกนับถือสมาธิของพี่เตี้ยแกจริงๆ ท่ามกลางความวุ่นวายขนาดนี้พี่แกยังมีสมาธิอ่านหนังสืออยู่ได้อ่ะนะ
“นั่งเถอะ” ผมกดอาร์มินให้นั่งลงที่ว่างข้างกับพี่เอิร์ดขณะที่เดินไปหาเอเลนที่อยู่หลังครัว
“นี่แก.......มาด้วยเหรอ” รีไวมองลอดแว่นประสานสายตากับเด็กหนุ่มผมทองที่เพิ่งจะมาถึงพลางเอ่ยถามซึ่งทำให้วงสนทนาเงียบกริบลงทันควัน
“เอเลนชวนผมเองนี่ครับ” อาร์มินเอ่ยตอบขณะที่ส่งรอยยิ้มกวนอารมณ์ไปให้ รีไวจ้องมองเด็กหนุ่มผมทองจอมมารยาเงียบๆก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ
“อย่าหาเรื่องมาให้เอเลน อย่าทำให้ฉันต้องหงุดหงิดก็แล้วกัน”
อาร์มินยิ้มรับขณะก้มดูเมนูเงียบๆ ไม่มีใครสามารถเดาอารมณ์ได้จริงๆว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ ขณะนั้นคนอื่นๆก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างอึดอัด
“ร้านน่ารักชะมัด!!!” เสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมกับประตูร้านเปิดออกเมื่อลูกค้าใหม่เดินเข้ามา
“ฉันบอกแล้วว่าเธอต้องติดใจ” เอลวินเอ่ยกับนักเรียนหญิงผมหางม้าสวมแว่นตาที่เดินนำพวกเขาเข้ามายิ้มๆ
“พวกเขาอยู่ตรงนั้น” มิเกะชี้ไปยังกลุ่มเด็กนักเรียนม.ปลายที่ส่งเสียงโหวกเหวกอยู่มุมสุดของร้าน
“ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่” ฮันซี่ยิ้มกว้างพร้อมกับเดินเข้าไปยังคนกลุ่มนั้น
“สวัสดีทุกคน” เธอส่งเสียงทักทายทุกคนอย่างคุ้นเคย ในขณะที่ทุกคนต่างก็เงิบ!!!!
ยัยแว่นนี่ใคร.......
“ฉันมากับพวกเขา” เธอกล่าวต่อพร้อมกับชี้มายังเอลวินและมิเกะที่เดินเข้ามาสมทบ
“นี่เธอ.....คือเพื่อนที่พวกเขาพูดถึงงั้นหรอ” นานาบะลุกขึ้นยืนประจันหน้า กอดอกเชิดมองเธอเงียบๆ
“เก้าอี้ว่าง งั้นฉันนั่งนะ” ฮันซี่ถือโอกาสที่นานาบะเผลอแย่งเก้าอี้นั่งลงทันที พลางยิ้มกริ่มท่าทางไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย
“ฉันควรจะเป็นหญิงสาวสวยคนเดียวในกลุ่มไม่ใช่รึไง” นานาบะเอ่ยเสียงสะบัดยกมือปัดปอยผมสั้นกุดของเธออย่างไว้ที
“ตอนนี้เธอก็ยังคงเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในกลุ่มอยู่ดี ไม่มีที่นั่งก็นั่งตักฉันได้นะ” ฮันซี่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง นานาบะทำหน้าหยี
“หรือยัยนี่ไม่เต็ม”
“อย่าถือสาเธอเลย” มิเกะตอบเบาๆพร้อมกับลากเก้าอี้มาเพิ่มอีกสามตัวเผื่อนานาบะและเอลวินด้วย
“ถ้าจะพูดถึงคนที่สวยที่สุดในกลุ่มมันต้องเป็นเอเลนไม่ใช่รึไง” รีไวละสายตาจากหนังสือหันไปมองเพื่อนสาวคนข้างๆเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“แกมันหลงเด็กจนหัวปักหัวปำ” นานาบะตอบค้อนพลางทำหน้ายี้ รีไวกลับยักไหล่
“แล้วชื่อล่ะ.....ชื่ออะไร” นานาบะหันไปถามสมาชิกใหม่ด้วยน้ำเสียงขุ่นๆเล็กน้อย
“ฮันซี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะทุกคน” นักเรียนหญิงผู้สวมแว่นกล่าวตอบพลางหันไปคว้าแก้วน้ำของนานาบะมาดูดดับกระหายอย่างถือวิสาสะ
“ยัยนี่รู้จักมารยาทมั้ยเนี่ย” เธอหันไปถามเอลวินเสียงเขียวอีกฝ่ายยิ้มรับ
“เธอเป็นพวกชอบทำอะไรตามใจตัวเอง อย่างที่มิเกะพูด อย่าถือสาเธอเลย”
“ก็นะ.......ถ้าเรื่องนิสัยเสียๆนิดหน่อยๆยังรับกันไม่ได้ก็คงไม่เรียกกันว่าเพื่อนหรอก” นานาบะกล่าวตอบขณะเท้าคางมองฮันซี่เงียบๆ
“เอาอีกมะ” เธอเอ่ยถามจริงจัง ฮันซี่ยิ้มรับ
“ถ้าได้แบบนี้อีกแก้วก็ดี”
“ลูกชายฉันทำเอง เดี๋ยวไปสั่งมาให้” นานาบะตอบพลางลุกเดินไปหาเอเลน ฮันซี่มองตามก่อนจะหันไปพูดกับออลโอที่อยู่ใกล้ๆ
“เธอเป็นแม่ที่ดูเด็กไปนะ แล้วลูกจะขนาดไหน”
“จะสั่งอะไรรึเปล่า”
“ขอนั่งพักอีกสักเดี๋ยวก่อน” เอลวินเอ่ยตอบ มิเกะจึงลุกขึ้นเดินไปสั่งเครื่องดื่มของตัวเองที่เคาน์เตอร์บ้าง
“แกจะมองให้เมนูมันทะลุไปเลยรึไง จะสั่งอะไรก็สั่งมา” รีไวหันไปเอ็ดเด็กหนุ่มร่างเล็กที่เอาแต่จ้องมองเมนูอยู่นานสองนานแต่ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้สักที
“รุ่นพี่ก็อย่าเร่งนักสิครับ จะอันไหนก็น่ากินไปหมด” อาร์มินกล่าวตอบขณะที่วางเมนูลงกับโต๊ะ
“ผมก็เลยยังตัดสินใจ......ไม่ได้......สักที”
“อ........อาร์มิน?”
เสียงตบโต๊ะดังปัง!!! พร้อมกับที่อาร์มินทะลึ่งตัวลุกยืนขึ้น เด็กหนุ่มวิ่งออกจากร้านชนเก้าอี้ว่างจนล้มระเนระนาด
“อาร์มิน!!! เดี๋ยวก่อน.......อาร์มิน” เอลวินพยายามจะวิ่งตามออกไปแต่ก็สะดุดเก้าอี้ที่ล้มขวางหน้าอยู่หลายครั้ง
“เอลวิน ใจเย็นก่อน!!!” ฮันซี่วิ่งไปดึงแขนเอลวินไว้เพราะถ้าหากปล่อยออกไปเจ้าเพื่อนตัวโย่งคงได้ทะเล่อทะล่าออกไปให้รถชน
“เกิดอะไรขึ้นครับ” เอเลนเอ่ยถามขณะที่ยกของหวานและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพร้อมๆกันกับแจน
“ก็เจ้าหนูผมทอง อยู่ๆมันก็วิ่งปรู๊ด.....ออกจากร้านไปไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน” นานาบะเอ่ยตอบอย่างงงๆ
“ดูเหมือนจะรีบจนลืมกระเป๋านะ” เอิร์ดกล่าวพลางชี้ไปยังกระเป๋านักเรียนที่วางทิ้งไว้บนเก้าอี้
“ผมไปเอง” แจนคว้ากระเป๋าอาร์มินแล้ววิ่งออกจากร้านไปผ่าน มิเกะฮันซี่และเอลวินที่ยังยืนอยู่หน้าร้าน
“เดี๋ยวผมตามไปเองครับ” แจนตะโกนบอกพวกรุ่นพี่แล้วออกวิ่งเลียบถนนย้อนกลับไป
“ใจเย็นก่อนเอลวิน.......เย็นเอาไว้” ฮันซี่พูดกับเพื่อนขณะที่ลูบไหล่
“เจอแล้ว.....ฉันเจอเขาแล้ว....ในที่สุดฉันก็เจอเขาสักที” เอลวินพึมพำเสียงเบาซบหน้าลงกับไหล่เพื่อนสาว
“ดีแล้วล่ะ......ดีแล้ว.....ดีแล้วจริงๆ” ฮันซี่โอบไหล่เพื่อนเอาไว้พลางกล่าวปลอบ
“กลับกันเถอะ.....ฉัน......ฉันอยากกลับบ้านแล้ว” เอลวินเอ่ยเสียงเบา ก้มหน้าเดินออกจากร้านไปเงียบๆ
“แล้วเจอกันนะ ฝากบอกทุกคนด้วย” ฮันซี่กล่าวกับมิเกะก่อนจะวิ่งขึ้นไปเดินเคียงข้างกับเอลวิน
มิเกะได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของชายหนุ่มผมทองที่เดินจากไปจนสุดสายตาเงียบๆ
“นี่มัน..........เรื่องอะไรกันแน่”
“เดี๋ยว!!! เดี๋ยวก่อน.....ช้าลงอีกหน่อยได้มั้ย” แจนหอบแฮ่ก วิ่งไล่หลังเด็กหนุ่มผมทองไปพลางตะโกนร้องเรียกแต่อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดฝีเท้าแม้แต่น้อย
“รอก่อน......นายไม่เหนื่อยแต่ฉันจะวิ่งตามไม่ไหวแล้วนะเว่ย” แจนตะโกนขึ้นอีกรอบ
“หยุดสิวะ!!!!” เห็นตัวเล็กๆแบบนี้แต่อึดเป็นบ้า
แจนหยุดวิ่งนั่งคุดคู้ลงกับพื้นหอบหายใจพักเหนื่อย อาร์มินวิ่งทิ้งระยะห่างออกไปอีกสักพักจึงหยุดวิ่งลง เดินก้มหน้ากลับมาหาแจนเงียบๆ
“เหนื่อยจะตายวิ่งอยู่ได้” แจนบ่นให้คนที่เดินกลับมาขณะที่ยื่นกระเป๋าส่งให้แต่อาร์มินกลับปัดทิ้ง มือเรียวจิกหิ้วคอเสื้อกระชากแจนลุกขึ้นจากพื้น
“แกรู้ใช่มั้ย!!! แกรู้ใช่มั้ย!!!” อาร์มินตะคอกถามหน้าตาโกรธเกรี้ยว
“รู้อะไร ใครมันจะไปรู้วะว่าแกพูดอะไร” แจนตะคอกกลับ
“เพราะแก.....แกพาฉันไปเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุด เพราะแกคนเดียว”
“แล้วฉันจะไปรู้มั้ยว่านายไม่อยากเจอใคร หยุดบ้าสักทีสิวะ มันเจ็บนะเว่ย!!!” แจนตะคอกเสียงแข็งพยายามแกะมือที่ดึงคอเสื้อตัวเองออก
“ฉันรู้ว่าแกไม่ถูกกับพี่เตี้ย แต่ไม่นึกว่าแกจะเป็นหนักขนาดนี้”
“ไม่.....ไม่ใช่เขา.....แต่เป็นผู้ชายคนนั้น” อาร์มินกล่าวตอบเสียงเบาละมือออกจากตัวแจน
“ก็แล้วมันใครกัน” แจนกระชับคอเสื้อเอ่ยถามต่ออย่างหงุดหงิด
“ฉันไม่ควรเจอกับเขาเลยจริงๆ” อาร์มินพึมพำเสียงเบาทรุดนั่งกุมศีรษะอยู่ริมถนน
“ไม่ควรเจอกันเลย......”
“เฮ้ย!!! ลุกขึ้นเดี๋ยวรถก็ชนหรอก” แจนพยายามลากแขนคนที่นั่งคุดคู้อยู่กับพื้นออกจากริมถนน
“ทำไมกัน.....เพราะแกคนเดียว!!!” อาร์มินโวยวายลุกขึ้นวิ่งจากไป แจนได้แต่ตะโกนไล่หลังไปอย่างหงุดหงิด
“เออ!!! ให้มันได้อย่างนี้ ไปเลยจะไปไหนก็ไป วิ่งไปให้รถชนตายเลยยิ่งดี” แจนตะโกนโวยวายก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้น
“แม่ง.......เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” บ่นพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง หอบหายใจแรงๆอีกสองสามทีก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเก็บกระเป๋าอาร์มินที่หล่นอยู่ข้างทางแล้วออกวิ่งตาม
“เฮ้ย!!! รอกันด้วย!!!”
“พี่ชายคะ หนูเข้าไปได้มั้ยคะ” เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นก่อนจะมีเสียงของเด็กสาวเอ่ยตามมา
“เข้ามาสิคริส” เอลวินเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเซื่องซึม
เด็กสาวผมสีบลอนด์ทองร่างเล็กตาสีฟ้าเดินเข้ามาในห้องพลางนั่งลงบนเตียงข้างๆกับเอลวิน
“วันนี้พี่ชายกลับเร็วจังค่ะ นี่พี่ยังไม่อ่านหนังสืออีกเหรอคะ” คริสต้าสะกิดแขนพี่ชายร่างใหญ่ที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาเบาๆ
“วันนี้ พี่คงอ่านไม่รู้เรื่องแล้วล่ะคริส”
“มีเรื่องอะไรกวนใจพี่ชายหรือเปล่าคะ”
“พี่......เจอเขาแล้วล่ะ หลังจากที่ตามหาอยู่ตั้งนาน พี่ก็เจอเขาแล้ว” เอลวินกล่าวตอบเสียงเบาซบหน้าลงกับฝ่ามือพลางสูดหายใจลึกๆ
“จริงเหรอคะ” คริสต้าเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น เมื่อพี่ชายผงกศีรษะรับเธอจึงลุกขึ้นไปล็อคประตูห้องแล้วกลับมานั่งลงข้างตัวพี่ชายดังเดิม
“เขาเป็นยังไงบ้างคะ” เด็กสาวเอ่ยถามเสียงเบา
“เหมือนเดิม......ถึงจะตัวเล็ก แต่ยังแข็งแกร่งเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” คริสต้ากล่าวอย่างโล่งอก
“แต่เขากลับหนีพี่ไปอีก” เอลวินกล่าวตอบเสียงเบาทิ้งแผ่นหลังนอนราบลงกับที่นอนนุ่ม
“แต่ก็โชคดีนะคะที่เจอ หวังว่าเขาคงจะไม่หนีไปไกลอีก”
“อืม......” เอลวินครางรับเสียงเบาพลางหลับตาลง
“เราบอกคุณแม่ไม่ได้ใช่มั้ยคะ” คริสต้ากระซิบเสียงเบา เอลวินลืมตาโพลงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“ไม่!!! ไม่ได้เด็ดขาด คริส เราจะให้แม่รู้ว่าเราเจอเขาแล้วไม่ได้เด็ดขาด แม่ต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่ๆ พี่ไม่อยากให้เรื่องทุกอย่างมันลงเอยเหมือนคราวนั้นอีก”
ลงเอยด้วยความเจ็บปวดของทุกๆฝ่าย.........
“แล้วพี่จะทำยังไงล่ะคะ”
“พี่จะต้องหาทางคุยกับเขาให้ได้ จะต้องปรับความเข้าใจกับอาร์มินให้ได้ก่อนที่คุณแม่จะรู้ตัว”
ความคิดเห็น