คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Attack On Titan : My Sweet Puppy Special /58:วันหยุดฤดูร้อน
Attack On Titan : My Sweet Puppy Special:วันหยุดฤดูร้อน
สุขสันต์วันเกิดเอเลนค่ะ........ย้อนหลังก็เถอะนะ
“อีกห้านาที.......ไม่สิ!!! อีกสามนาทีถ้ายังมาไม่ถึงก็ไม่ต้องรอไม่รอมันแล้ว”
“ใจเย็นก่อนสิครับพี่”
ผมได้แต่ส่งยิ้มปลอบใจไปให้พี่ชายขี้หงุดหงิดที่แลดูงุ่นง่านหนักยิ่งขึ้นเพราะอากาศที่ร้อนจัด
“ไม่ทันเที่ยวนี้ เที่ยวหน้าก็ยังมี พี่จะรีบไปไหน” แจนเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน ผมได้แต่หันหน้าไปถลึงตาใส่ความปากเสียของมันอย่างเอือมๆ
“นั่นๆ มากันแล้ว” พี่นานาบะโหวกเหวกเสียงดังขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงสองคนวิ่งตรงมาทางกลุ่มพวกเรา
“ขอโทษที มาร์โคเพิ่งจะมาเก็บของเอาเมื่อเช้าน่ะ” พี่ชายร่างสูงกล่าวพร้อมกับหันมาบอกผมด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิดเป็นอย่างมากพร้อมกับกดศีรษะของน้องชายให้โค้งต่ำอย่างแรง
“ไม่เป็นไรครับ ก็ไม่ได้ช้าอะไรมากมาย” ผมตอบรับให้อีกฝ่ายรู้สึกเบาใจแต่พี่รีไวกับขึ้นเสียง
“โคตรจะช้า!!!” พี่รีไวตวาดพร้อมกับแบกเป้ขึ้นบ่าด้วยความหงุดหงิดที่ไต่ระดับสูงยิ่งขึ้นทันทีที่พี่เบทรูทและมาร์โคโผล่หน้ามา ทุกคนก็ได้แต่เงียบ คงจะมีก็แต่พี่เบลทรูทคนเดียวล่ะมั้งที่ยังคงยิ้มใจเย็นอยู่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่รีไวที่กำลังหงุดหงิดขั้นสูงสุด
“พี่ช่วยถือนะครับ” พี่เบลทรูทกล่าวขณะที่ยื่นมือมาช่วยผมแบกเป้แต่มันกลับถูกชิงตัดหน้าไปเสียก่อน
“คงไม่ต้องรบกวนหรอกมั้ง” พี่รีไวกล่าวเสียงเรียบ มือใหญ่ของทั้งสองคนยื้อยุดฉุดกระเป๋าเป้ผู้เคราะห์ร้ายของผมไว้คนละด้าน คนหนึ่งใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ทุกข์ไม่ร้อน อีกคนกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับโกรธกันมาเป็นสิบๆชาติจ้องตากันอย่างไม่ยอมแพ้ ดูเหมือนแรงที่ใช้ในการดึงกระเป๋าก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อา..........เหมือนจะไม่ดีแล้วสิ ถ้ากระเป๋าเสื้อผ้าของผมขาดจนลิงตัวจิ๋วของผมออกมาปลิวว่อนกลางสถานีรถไฟมันคงไม่งามเท่าไหร่
“เอ่อ ผมไม่รบกวนพวกพี่หรอกครับ ขอถือเองดีกว่า” ผมจำต้องแงะเป้ออกจากพี่ชายผู้มีเรี่ยวแรงมหาศาลทั้งสองมาแบกไว้เองท่ามกลางความโล่งใจของสมาชิกร่วมทริปทุกคน
“ไหนๆก็มากันครบแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
พวกเราต่างยกโขยงกันขึ้นขบวนรถไฟ ที่นั่งว่างข้างๆผมถูกจับจองโดยมิคาสะ แจนและอาร์มินนั่งฝั่งตรงข้าม พี่รีไวถูกพวกพี่ฮันซี่ พี่เออร์วินและพี่มิเกะคุมตัวแจ พี่นานาบะตามติดคริสต้าไม่ยอมห่าง ด้านพี่เบลทรูท มาร์โค ออลโอ เอิร์ธและกุนเธอร์ก็เริ่มงัดเกมออกมาเล่นแก้เซ็งกันแล้ว
โบกี้รถไฟขบวนของเรานับว่าวุ่นวายมากถึงมากที่สุด ผมมองพวกเพื่อนๆและพี่ๆทุกคน ดูเหมือนว่าเทอมที่ผ่านมาจะมีเรื่องวุ่นวายผ่านเข้ามาให้ปวดหัวอยู่ไม่น้อย ปิดเทอมนี้ถือเป็นเวลาแห่งการพักผ่อนหลังจากที่นั่งคิดนอนคิดกันมาร่วมสัปดาห์เราจึงตกลงกันว่าปิดเทอมนี้จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี หลังจากที่ฟังความเห็นของหลายๆคนบวกกับความคิดถึงบ้านของผมกับมิคาสะเราจึงตกลงกันได้ว่าจะกลับไปเที่ยวบ้านผมที่โอซาก้าอีกครั้ง และทริปครั้งนี้พิเศษตรงที่เราจะไปกันเองโดยอาศัยระบบขนส่งมวลชนสาธารณะและโบกรถไปชนิดค่ำไหนนอนนั่น นับเป็นการเดินทางที่ท้าทายผมมากๆ แต่ดูเหมือนว่าคนอื่นๆจะสนุกกันน่าดู ครั้งนี้แม้แต่พี่รีไวก็ยังเห็นดีเห็นงามไปด้วย
ก็เอาเถอะ ก็ถือว่าเป็นการสร้างความทรงจำแสนพิเศษร่วมกับทุกคนอีกครั้งน่ะนะ
“เอเลน เอานมสตรอเบอร์รี่มั้ย” มิคาสะที่นั่งอยู่ข้างๆผมยื่นนมกล่องสีสวยมาให้ พอเห็นมันแล้วก็ทำให้ผมนึกถึงพี่ชายตัวใหญ่ที่นั่งห่างออกไปขึ้นมาทันที
“ขอบใจนะ” ผมรับนมชมพูมาถือไว้ขณะที่คิดอะไรเงียบๆ
อยากเอาไปให้พี่รีไวจัง...........
ปัญหามันอยู่ที่มิคาสะนั่งอยู่นอกสุด การที่ผมจะออกไปก็ต้องผ่านเธอไปก่อน ถ้าผมบอกว่าจะไปหาพี่รีไว เธอต้องไม่ยอมแน่ๆ...........
ผมได้แต่คิดขณะที่พิงศีรษะเข้ากับหน้าต่างรถไฟมองวิวด้านนอกเงียบๆ
“เอเลน เวียนหัวเหรอ” มิคาสะถามผมด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่มาเรียนที่โตเกียวเธอก็ดูจะติดสำเนียงคันไซน้อยลงแล้ว ดูเหมือนพี่ฮันซี่จะสอนอะไรเธอมาเยอะทีเดียว
“เปล่า ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน” ผมบอกขณะที่ยื่นนมก่องไปฝากอาร์มินถือไว้คิดจะลุกไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นสักหน่อยคงเพราะเมื่อคืนนอนน้อยและตื่นเช้าเกินไปถึงได้รู้สึกอึนๆ
แต่พอเดินกลับมาก็พบว่าที่นั่งที่เคยจับจองนั้นเต็มแล้ว พี่ฮันซี่ที่เบียดมิคาสะเข้าไปนั่งชิดริมสุดหันมาส่งยิ้มให้ผมแล้วพยักพเยิดให้ผมมองไปทางที่นั่งว่างข้างตัวพี่รีไว ซึ่งผมก็เก็ททันที
“ขอบคุณครับ” ผมพูดกับเธอเบาๆขณะที่รับกล่องนมชมพูจากอาร์มินกลับมาพร้อมทั้งแอบคว้ากระป๋องน้ำส้มของแจนติดมือไปด้วยอีกอัน
“นมชมพูสักกล่องมั้ยครับ” ผมพูดกับพี่ชายหน้าบึ้งที่เอาแต่นั่งเท้าคางจ้องมองนอกหน้าต่างเงียบๆ
“ไม่เอานมได้มั้ย จะเอาคนมาส่งแทน” พี่รีไวตอบขณะที่ดึงแขนผมให้นั่งลงข้างๆ
“จะเอาตอนนี้ก็คงไม่ได้นะครับ” ผมอมยิ้มกระซิบตอบเสียงเบา
“งั้นก็คืนนี้” พี่รีไวกระซิบข้างหูผมหน้าตาจริงจังผิดกว่าทุกที
“ขอดูพฤติกรรมก่อนครับ ถ้ามีเรื่องกันต้องติดทัณฑ์บนไว้ก่อนครับ” พี่รีไวมองหน้าผมเงียบๆก่อนจะหันไปชำเลืองมองพี่เบลทรูทที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ถ้ามันไม่มาเกาะแกะเรา พี่ก็จะไม่ยุ่ง”
ผมได้แต่ยิ้มรับ ไอ้ขอบเขตของคำว่าเกาะแกะของพี่เนี่ย มันแค่ไหนกันล่ะครับ
“ดื่มหน่อยสิครับ นมหวานๆอารมณ์จะได้ดีขึ้น”
พี่รีไวรับนมกล่องไปถือไว้หน้าบึ้ง ผมยิ้มให้เขาอีกครั้งเผื่อว่ามันจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นบ้าง ก็พี่รีไวเคยบอกเอาไว้นี่นาว่าจะดีจะร้ายแค่ไหนขอแค่ผมคอยยิ้มให้เขาข้างๆแบบนี้ก็พอแล้ว ผมหันมองพี่มิเกะเอลวินที่นั่งพิงไหล่กันเสียบหูฟังเพลงกันคนละข้างแล้วก็รู้สึกว่า ช่วงนี้ชีวิตของพวกเรามันสงบสุขจนน่าเหลือเชื่อทั้งที่ก่อนหน้านี้ผ่านอะไรกันมาตั้งเยอะตั้งแยะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังคาดหวังความทรงจำพิเศษอะไรจากทริปนี้กันแน่
ผมควานหาหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดในเป้ขึ้นมาอ่านแก้เบื่อ พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับสายตาคมคู่หนึ่งกำลังจ้องอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” พี่รีไวไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับยื่นมือมาคลึงแก้มผมเล่นเงียบๆก่อนจะเลื่อนตัวเข้ามาใกล้โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบด้านเลยสักนิด
“จะทำอะไรครับ” ผมถามหน้าตาตื่น มือใหญ่ล็อคท้ายทอยผมจับไว้แน่น
“ขอจูบหน่อย เมื่อคืนยังไม่หนำใจ”
“ตรงนี้เหรอครับ” แน่นอนว่าถึงพี่มิเกะกับเอลวินเขาจะไม่สนใจก็เถอะ แล้วคนอื่นล่ะ ไหนจะมิคาสะอีก
“ก้มลงมาต่ำๆสิ เงียบๆไว้” ผมเข้าใจว่าพี่รีไวคงคิดจะใช้พนักพิงบังพวกเราจากสายตาของทุกคน
ผมก้มตัวลงหลับตารอแต่ก็แอบหรี่ตามองด้วยความตื่นเต้น พี่รีไวขยับตัวเข้ามาใกล้และเอื้อมมือรั้งท้ายทอยผมเอาไว้ขณะที่หลับตาลง
“เอ้อ!!! ไม่กินใช่มั้ยงั้นฉันขอนะ กำลังหิวพอดี” จู่ๆเสียงพี่เบลทรูททะลุขึ้นมากลางปล้องผมตกใจจนลืมตาขึ้นพลันเห็นภาพพี่รีไวจูบลงบนแขนพี่เบลทรูทที่เอื้อมผ่ากลางวงมาคว้านมชมพูกล่องนั้นไปพอดี
“ฉันแค่หิว.....ไม่ต้องเซอร์วิสฉันขนาดนั้นก็ได้นะ” พี่เบลทรูทกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มเจื่อนถูแขนตัวเองแรงๆ พี่รีไวไม่พูดไม่จาลุกยืนพรวดจะปีนเก้าอี้ข้ามไปอีกฝั่ง เดือดร้อนพวกผมต้องช่วยกันฉุดไว้แทบไม่ทัน
“ดื่มน้ำส้มแทนก็ได้นะครับ” ผมยัดน้ำผลไม้กระป๋องใส่มือที่กำหมัดแน่นเอาไว้ น้ำผลไม้กระป๋องถูกบีบจนแตกทะลักออกมานองพื้น ผมเก็บเศษกระป๋องน้ำอัดลมลงถุงไว้แล้วเช็ดมือที่เลอะเทอะของพี่รีไวเงียบๆ ในใจอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าถ้าไอ้ที่บีบอยู่นั่นคือหัวของพี่เบลทรูทและน้ำที่เปื้อนมือนั้นคือเลือด ผมยังจะกล้าเก็บกล้าเช็ดเหมือนเช่นตอนนี้อยู่มั้ยนะ
เรามาถึงสถานีปลายทางก็เป็นเวลาค่อนข้างเย็นมากแล้ว แน่นอนว่ารถประจำทางนั้นหายากยิ่งกว่าสิ่งใด ตอนแรกผมเสนอให้พ่อมารับเราที่สถานีแต่ทุกคนก็ยังยืนกรานที่จะเดินทางทริปนี้แบบแบ็คแพ็คต่อ เราจึงตัดสินใจว่าจะเดินกันไปเรื่อยๆเพื่อโบกรถที่ผ่านมา ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจนักว่าถ้าชาวบ้านเห็นนักศึกษากลุ่มใหญ่ท่าทางแปลกๆยืนโบกรถมืดๆค่ำๆแบบนี้แล้วจะกล้ารับหรือเปล่า แต่ดูเหมือนทุกคนจะตื่นเต้นกันมากจนไม่มีใครยอมฟังผมเลย ผมจึงได้แต่ปล่อยไป
และหลังจากนั้นผมจึงได้รู้สึกตัวว่ามันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์.......
เดินกันต่อมาจนเมื่อยรถที่ผ่านทางมาก็น้อยมาก และทุกคันที่ผ่านก็ไม่มีใครกล้ารับเราเลย
“เราต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนกันคะ ดูเหมือนถนนก็เริ่มจะมืดมากขึ้นเรื่อยๆ”
คริสต้าที่เดินอยู่กลางวงเอ่ยถาม ผมมองไปรอบๆถนนเส้นนี้เป็นทางตรงเส้นเดียวที่ไม่ค่อยมีไฟส่องสว่างและสองข้างทางเต็มไปด้วยพงหญ้ารกสูง บอกตามตรงว่าผมไม่คุ้นเคยกับถนนเส้นเลย มิคาสะก็เอาแต่มองไปรอบๆแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมคิดว่าเธอเองก็คงรู้สึกตงิดใจเหมือนกัน รถราที่วิ่งผ่านมาก็แทบไม่มีแล้วผมเริ่มรู้สึกกังวลแปลกๆ ขณะที่คิดว่าจะโทรให้พ่อมารับเราดีกว่าพี่ออลโอก็ส่งเสียงโหวกเหวกขึ้น
“เฮ้ๆ!!! นั่นน่ะ เรียวกังไม่ใช่รึไง” เขาตะโกนโวยวายขณะที่ชี้ไปยังเรือนญี่ปุ่นทรงโบราณที่ติดโคมเปิดไฟสว่างไสวมันตั้งอยู่บนเนินเตี้ยถัดจากถนนเข้าไปพอสมควร มีทางเส้นเล็กๆเชื่อมขึ้นไปถึง แต่มันกลับรกไปด้วยหญ้าและเศษกิ่งไม้
“ถ้าอย่างนั้นเราก็พักที่นี่กันสักคืนเป็นไง ฉันอยากแช่น้ำพุร้อน!!!” พี่ออลโอออกอาการหลั่นล้าเกินหน้าเกินตามาก
“เข้าท่านะ ถ้าเดินไปไกลกว่านี้ก็สงสารคริสต้าแล้ว” พี่นานาบะเอ่ยขึ้นซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับน้องสาวแล้วพี่เอลวินย่อมสนับสนุนอย่างไม่ต้องสงสัย
“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูให้ก่อนนะครับ” อาร์มินเสนอตัวขึ้นหน้าขอไปกรุยทางให้ก่อนขณะที่แจนโวยวายเสียงดัง
“แกจะลากฉันไปด้วยทำไมเนี่ย!!!!”
“น่าๆ ไปกันๆ” มาร์โครุนหลังตามแจนไปติดๆ ผมมองสามคนนั้นแหวกทางรกชัดเดินขึ้นเนินเขาไปเงียบๆในใจรู้สึกแปลกพิกล แต่เมื่อมีมือมาจับเอาไว้ก็ทำให้ผมอุ่นใจขึ้น
“ไปกันเถอะ”
พี่รีไวกุมมือผมซุกใส่กระเป๋าเสื้อของเขาขณะที่เดินขึ้นเนินเขาไป ด้านบนนี้อากาศค่อนข้างเย็นกว่าถนนด้านล่างมาก ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าทำไมถนนเปลี่ยวๆสายนี้ถึงมีเรียวกังมาตั้งอยู่ พอขึ้นมาถึงจริงๆก็เห็นว่ามันใหญ่กว่าที่เห็นข้างล่างมาก เราตัดสินใจบุกเข้าประตูไปดื้อๆ ในตัวเรือนรับแขกสวยเสียจนเรามองตาค้าง ขณะที่เรากังยืนเอ๋อๆอยู่นั้นก็มีผู้หญิงวัยกลางคนสวมชุดกิโมโนขาวเดินออกมาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ มาคณะใหญ่เลยนะคะ อิชิเอะเรียวกังยินดีต้อนรับค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับทักทายเราอย่างงดงามทำให้พวกเราอดไม่ได้ที่จะโยนวิญญาณลิงที่ติดตัวมาไว้หน้าประตูแล้วสวมวิญญาณลูกผู้ดีตีนแดงขึ้นมาแทน อาร์มินรู้สึกอึดอัดกับที่นี่อย่างเห็นได้ชัด แต่ดูเหมือนว่าพี่เอลวินจะคุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้ดี
“สวัสดีครับนายหญิงอิชิเอะ พวกเรากำลังอยู่ในระหว่างเดินทางท่องเที่ยวกัน ไม่ทราบว่านายหญิงพอจะจัดห้องใหญ่ให้พวกเราค้างแรมคืนนี้สักสองห้องได้มั้ยครับ”
“ด้วยความยินดีค่ะ อิชิเอะเรียวกังยังมีห้องว่างพร้อมบริการให้แก่ทุกท่านค่ะ”
เธอกล่าวจบก็สั่งให้พนักงานมายกข้าวของนำทางพวกเราไปยังห้องพัก เรียวกังแห่งนี้ยังคงความเป็นเรือนญี่ปุ่นโบราณไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนของห้องพักถูกสร้างแยกเป็นสองหลัง แต่ละหลังมีห้องย่อยอีกหกห้อง ตรงกลางระหว่างเรือนทั้งสองมีสวนน้ำพุกั้นกลางเป็นทางเปิดโล่งเชื่อมให้เดินไปมาหากันได้ ด้านนอกล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวดีทีเดียว พวกผู้หญิงถูกนำทางไปยังเรือนพักที่อยู่อีกฟากตรงข้ามกัน เราเดินตามพนักงานหญิงสาวผ่านห้องพักที่มีไฟเปิดทิ้งไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังลอดออกมาแว่วๆ
“ด้านหลังเรือนทั้งสองจะมีบ่อน้ำพุร้อนไว้บริการแขกเพื่อแยกเฉพาะค่ะ แต่ถ้าอยากจะใช้บ่อน้ำพุรวมก็เชิญตามดิฉันมาได้ค่ะอยู่ตรงส่วนกลางที่เชื่อมต่อกับน้ำพุทั้งสองฝั่ง ดิฉันจะพาทุกท่านไปชม”
“ไม่เป็นไร เราจะพักผ่อนกันแล้ว” พี่รีไวตัดบท พี่สาวพนักงานหญิงเหวอไปเล็กน้อยแต่แล้วเธอก็ปั้นหน้ากลับมายิ้มได้อย่างรวดเร็ว
“ขอให้ทุกท่านสุขสำราญอย่างเต็มที่ค่ะ”
เธอกล่าวแล้วเดินกลับออกไป ทันที่ที่พวกเราวางกระเป๋าเข้าที่เข้าทางเสร็จอาร์มินก็นอนแผ่ลงกับฟูกนุ่ม พวกพี่ออลโอและแจนวิ่งออกระเบียงหลังไปส่งเสียงโหวกเหวกกันในบ่อน้ำพุร้อนแล้ว พี่เอลวินออกไปเดินดูสวนรอบนอกขณะที่มิเกะคอยตามไปติดๆ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าจะห่วงอะไรกันนักหนา
“จะไปแช่น้ำร้อนด้วยรึเปล่า”
“ก็......ครับ” แหมอุตส่าห์ได้มาพักเรียวกังทั้งที ถ้าไม่แช่บ่อน้ำร้อนก็เสียเที่ยวแล้ว
“งั้นรอพี่ก่อน” ขณะที่เรากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเหลือบไปเห็นเงาร่างเล็กที่หน้าประตู
“ขออนุญาตค่ะคุณลูกค้า”
พี่รีไวไปเลื่อนประตูเปิดออก พนักงานสาวคนเดิมส่งยิ้มทักทายมา
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสะดวกจะรับอาหารเย็นที่ห้องใหญ่ หรือจะให้จัดสำรับมาที่ห้องพักแทนคะ”
“ขอเป็นที่นี่แล้วกัน”
“ถ้าเช่นนั้นกรุณารอสักครู่ค่ะ”
พนักสาวเดินกลับไปพี่รีไวจึงปิดประตูห้องแล้วถามผมเสียงเรียบ
“เป็นอะไรหรือเปล่าเอเลน”
“เปล่าครับ” ผมตอบขณะที่มองไปรอบๆห้องพักซึ่งก็ดูสะอาดสะอ้านดีมาก
“ผมแค่รู้สึกแปลกๆ”
“พี่ก็รู้สึกว่ามันแปลก” พี่รีไวขมวดคิ้วมุ่น ผมคิดไม่ถึงว่าพี่รีไวจะรู้สึกเหมือนกัน
“ระวังเอาไว้หน่อยก็ดี”
หลังจากที่เราแช่น้ำกันเสร็จกลับเข้ามาในห้องก็พบกับอาหารสำรับใหญ่ที่ตั้งรอแล้ว แน่นอนว่าด้วยความหิวแทบจะไม่มีใครสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้นทุกคนต่างโซ้ยอาหารกันอย่างเต็มที่ แต่พี่รีไวกับแจนก็ยังไม่ลืมที่จะเขี่ยกุ้งออกจากจานอาหารผมจนหมด
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้หิวจนหน้ามืดตาลายจนลืมว่าผมแพ้กุ้งนะ.......
หลังจากหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน หลังจากที่คุยเล่นอะไรกันสักพักพวกเราก็เริ่มจับจองที่นอนของแต่ละคนและดับไฟ ท่ามกลางดึกสงัดแจนที่นอนอยู่ข้างผมเอาแต่ยุกยิกๆไม่หยุด
“แจนเป็นอะไรไป” ผมกระซิบถามเสียงเบาเพราะกลัวว่าพี่รีไวที่นอนถัดต่อจากผมจะตื่น
“อะไรไต่ฉันก็ไม่รู้คันยิบๆไปหมด” แจนมันตอบขณะที่เกาแกรกๆไม่หยุด อาร์มินถีบเข้าที่สีข้างแจนหนึ่งทีพร้อมสบถด่า
“น้ำไม่อาบกลากขึ้นรึไง”
“ไม่ใช่เว่ย!!! ไม่รู้อะไรไต่ฉันจริงๆ” แจนเสียงดังขึ้นและเกาหนักกว่าเดิม ท่าทางจะคันจริง
ผมตัดสินใจลุกขึ้นเปิดไฟดูให้แน่ชัดว่าอะไรกำลังรบกวนมันอยู่ เพียงแค่เปิดไฟขึ้นเสียงแหกปากสิบแปดหลอดของแจนก็ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นทันที พี่รีไวดึงผมถอยหนีโดยอัตโนมัติทุกคนถอยไปรวมกันที่มุมห้องจุดเดียวผมสาบานได้ว่าชีวิตนี้ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ตรงกลางห้องเหลือเพียงแจนที่แหกปากร้องราวกับคนเสียสติและกลุ่มก้อนเส้นผมที่รัดขามันไว้อีกหนึ่งข้าง
“คุณลูกค้าคะ.......อากาศกลางคืนค่อนข้างหนาว......บริการพิเศษจากเรียวกังของเรา ดิฉันนำผ้าห่มเส้นผมคุณภาพเยี่ยมมาบริการถึงที่ค่ะ” น้ำเสียงยานคางเย็นๆดังมาจากก้อนเส้นผมนั้น ผมจำเสียงนี้ได้ นั่นคือเสียงพี่สาวพนักงานหญิงไม่ผิดแน่ แต่เธอในตอนนี้ดูแตกต่างจากที่เจอในตอนเย็นโดยสิ้นเชิง
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!” แจนได้แต่ร้องลั่นไม่เป็นภาษา อาร์มินวิ่งไปหยิบกระเป๋าควานหาไฟแช็กจุดไฟแล้วโยนไปใส่ก้อนเส้นผม กลิ่นเหม็นไหม้ลอยฟุ้งเส้นผมหดตัวอย่างรวดเร็ว
“ไหนบอกว่าเลิกสูบแล้วไงวะ!!!” แจนหันไปตะโกนใส่อาร์มินทันที
“ก็แค่มีติดตัวไว้น่า” อาร์มินตอบอย่างเอือมๆ แบกเป้ขึ้นบ่า เส้นผมเริ่มหดถอยจากขาแจนเรื่อยๆพี่ผีพนักงานสาวกรีดร้องเสียงดังลั่นผมวิ่งเข้าไปดึงแจนออกมา
“เอเลน อย่าไป!!!”
พี่รีไวดึงผมเอาไว้แต่กลับคว้าไว้ได้เพียงชายเสื้อ เส้นผมที่ถูกไฟไหม้หดตัวอย่างรวดเร็วแต่ขณะเดียวกันมันกลับพองขยายขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะคับเต็มห้อง พวกเราต่างวิ่งกันไปคนละทิศละทาง ผมลากแจนวิ่งออกทางระเบียงด้านหลัง ในห้องพักยังคงมีเสียงของพนักงานสาวส่งเสียงกรีดร้องดังก้องและตามมาด้วยเสียงที่เหมือนกับลูกโป่งแตก ประตูบานเลื่อนห้องพักพังยับ เศษเส้นผมกระจัดกระจายปลิวว่อนไปทั่ว บางส่วนที่ตกมาใกล้เรามันยังคงพยายามกระดึ้บๆเข้ามาหาเราอยู่เลย
“บ้าเอ้ย!!! ผีห่าอะไรกันเนี่ย เอเลนไปกันได้แล้วน่า” แจนเริ่มโวยวายเขากำลังจะลากผมวิ่งเข้าไปในดงป่าไผ่แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นความคิดที่ดีนัก
“เดี๋ยวแจน อย่าเพิ่งแตกกลุ่ม กลับไปหาทุกคนก่อน”
“ตอนนี้เนี่ยนะ เจ้าพวกนั้นมันเตลิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
จริงอยู่เมื่อครู่ทุกคนต่างพากันหนีตายไปคนละทิศละทางแต่คิดว่าคงจะยังปลอดภัยกัน แต่ที่ผมห่วงมากกว่านั้นคือพวกผู้หญิงมากกว่า สถานการณ์ฝั่งเราเป็นแบบนี้แล้วทางพวกเธอล่ะ ผมกวาดตามองไปรอบๆตอนนี้เราอยู่ฝั่งบ่อน้ำพุชาย เมื่อตอนเย็นพี่ผีสาวบอกว่าบ่อรวมอยู่ส่วนกลางที่ติดกันแน่นอนว่าถ้าเราปีนกำแพงข้ามไปยังบ่อรวมต่อไปจนถึงฝั่งหญิงก็จะไปถึงเรือนพักของพวกผู้หญิงได้
“เอเลน!!! จะไปไหนเนี่ย”
“ฉันจะไปดูพวกผู้หญิง” ผมตอบขณะที่ปีนผ่านกำแพงไม้ขึ้นไปยังอีกฟากโดยมีแจนที่กำลังขวัญเสียปีนตามมาติดๆ
“แทนที่จะมัวแต่ห่วงคนอื่นเอาตัวเองให้มันรอดก่อนได้มั้ยเนี่ย”
ฝั่งบ่อรวมไอน้ำค่อนข้างมากจนออกจะขมุกขมัวแต่แทนที่จะรู้สึกร้อนที่นี่กลับรู้สึกเย็นจนน่าตกใจ แจนมันเกาะติดผมแจ
“รีบๆออกไปจากตรงนี้เถอะว่ะ”
ผมพยายามไม่สนใจเดินตัดผ่านบ่อน้ำพุเพื่อที่จะปีนไปยังกำแพงไม้อีกด้าน ในตอนนั้นเอง
“พวกหนูๆ จะไปกันแล้วเหรอ” เสียงผู้ชายเอ่ยทักมาจากความขมุกขมัวของไอน้ำผมมองไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ไหนได้ยินแต่เสียงพูดที่เหมือนจะสะท้อนมาจากทุกทิศทาง
“ช่วยหยิบผ้าขนหนูให้ลุงหน่อยได้มั้ย ตรงม้านั่งใกล้ๆน่ะ พอดีลุงไม่ค่อยสะดวก”
ผมกวาดตามองดูม้านั่งตัวยาว
“ไม่มีนี่ครับ”
“อ้าวเหรอ...... คงมีคนเก็บไปแล้วล่ะมั้ง ถ้าอย่างนั้น พวกหนูพอจะหาให้ลุงหน่อยได้มั้ย ตรงนี้มันหนาวน่ะ ลุงเองก็หยิบไม่สะดวก”
เสียงพูดดังเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงวัตถุกลิ้งมาตามพื้น ผมเห็นเงาลูกกลมๆกลิ้งเข้ามาตอนแรกเอะใจว่ามันคือลูกบอลหรือเปล่า แต่เมื่อสิ่งนั้นกลิ้งมาหยุดอยู่เบื้องหน้า ผมก็พลันหนาวสะท้านขนอ่อนทุกส่วนของร่างกายลุกเกรียว แจนถึงกับส่งเสียงร้องลั่น ศีรษะเปื้อนเลือดของผู้ชายแก่กลิ้งมาหยุดอยู่แทบเท้าผม ริมฝีปากที่ฉีกกว้างยักยิ้มให้พวกเรา
“ก็มีแค่หัวน่ะ มือไม่มี พอจะส่งผ้าขนหนูมาให้หน่อยได้มั้ย เลือดของฉันมันออกไม่หยุดเลย” ที่คอของเขายังมีเลือดที่ไหลไม่ต่างจากน้ำพุพุ่งออกมาปรี๊ดๆ
แจนตาเหลือกลากผมตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปบนโขดหินข้ามไปยังบ่อน้ำพุร้อนอีกฝั่ง เสียงลุงผียังดังไล่หลังเรามา
“เดี๋ยวก่อนพวกหนู เอาผ้าขนหนูมาให้ลุงก่อนสิ!!! เด็กสมัยนี้มันแล้งน้ำใจกันจริง”
“โธ่!!! คุณลุงครับ ปกติพวกผมก็มีน้ำใจนะครับ แต่ต้องดูว่าจะกับใคร ไม่ใช่ซี้ซั้วช่วยไปหมดไม่เว้นแม้แต่ผี” แจนตะโกนกลับไป
ตอนนี้เราข้ามมาสู่ฝั่งเรือนพักหญิง น่าแปลกที่ฝั่งนี้เงียบสนิทไฟสักดวงก็ไม่ได้เปิดทิ้งไว้ ผมไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงพักอยู่ที่ห้องไหนจึงตัดสินใจจะเปิดดูทีละห้อง
“จะ.....จะดีเหรอ” แจนรั้งเสื้อผมไว้
“แล้วจะเอาไง นายก็เห็นที่นี่อยู่นานไม่ได้”
“ก็ใช่ไง อันที่จริงเราควรจะออกไปตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ไม่น่าดั้นด้นมาขนาดนี้ ถ้าไล่เปิดทีละห้องจะเจออะไรอีกก็ไม่รู้ ร้องเรียกเอาดีกว่ามั้ง!!!”
ผมคิดว่าที่แจนพูดก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนว่าถ้าอยู่ที่นี่ผมกับแจนจะเป็นที่ต้องตาต้องใจวิญญาณเจ้าถิ่นมากเป็นพิเศษถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าเปิดเข้าไปคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่ดูเหมือนว่าผมกับแจนจะไม่มีทางเลือกมากนักหลังจากที่เสียเวลาร้องเรียกกันอยู่เป็นนานสองนานเรือนพักก็ยังคงเงียบสนิทไม่มีการตอบรับใดๆทั้งสิ้น ผมกับแจนไก้แต่มองหน้ากันเงียบๆแล้วมันก็ส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด
“หรือแกจะปล่อยฉันเข้าไปคนเดียว” ผมถามคำถามวัดใจกับมันตรงๆ แจนถึงกับเงียบแล้วส่ายหน้าตอบกอดเอวผมไว้แน่น
“งั้นก็ไปด้วยกัน” แจนมันดันส่ายหน้าอีก ผมจำต้องตบกะโหลกจูนสติสตังค์มันหนึ่งที
“จะเอาไงเนี่ย!!!” ผมหันไปเอ็ดเจ้าเพื่อนหน้าม้าที่เกาะแกะผมไม่ปล่อย
“ฉันไม่ไป” แจนยืนยันหนักแน่น
“งั้นแกก็ปล่อยฉันเลย”
“แล้วก็ไม่ให้แกเข้าไปด้วย เราไม่ควรเข้าไปที่นั่น เราควรออกไปจากที่นี่ต่างหาก” แจนพยายามยื้อยุดผมไว้สุดชีวิต ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัวแต่ที่มีมากกว่าความกลัวนั่นคือความเป็นห่วงมากกว่า
“แจน ถ้าพวกเราติดอยู่ในนั้น นายว่าจะมีคนมาช่วยเรามั้ย” แจนไม่ยอมตอบ มันเอาแต่ก้มหน้านิ่งแต่แน่นอนว่าทั้งผมและมันต่างก็รู้คำตอบนั้นดี
“เพราะแบบนี้เราถึงออกไปตัวเปล่าไม่ได้ พวกเราไม่มีใครทิ้งใครอยู่แล้ว” แจนกัดฟันแน่นพยักหน้ารับ
“ฉันจะเข้าไปก่อน แกค่อยตามฉันมา” ถึงแจนมันจะกลัวแค่ไหนมันก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมต้องเผชิญอันตรายคนเดียว
“ไปพร้อมกันนี่แหละ” ผมจูงมือแจนและเดินเข้าเรือนพักไปด้วยกัน
ด้านในมืดมาก มืดเสียจนรู้สึกเหมือนถูกปิดตาไว้ เรายืนนิ่งกันสักพักรอให้สายตาชินกับความมืดแต่ขณะนั้นผมกลับได้ยินเสียงไอดังมาจากห้องฝั่งตรงข้าม แจนบีบมือผมแน่นจนมือชุ่มเหงื่อ
“นั่นใคร” ผมส่งเสียงหยั่งเชิงออกมาก็มีเพียงแค่เสียงไอตอบกลับมา
“มิคาสะ?”
ข้างในยังคงเงียบสนิท ผมตัดสินใจเปิดประตูห้องออกดู เหมือนจะเห็นเงาใครบางคนลางๆแต่เงาร่างนั้นดูแกว่งไกวแปลกๆ แจนเดินนำหน้าขึ้นไปใกล้กับเงาร่างนั้น
“เจ้นานาบะ?” แจนเขยิบเข้าไปใกล้ เสียงไอกลับยิ่งดังมากขึ้น
“พี่ฮันซี่?” แจนวางมือลงบนบ่าของเธอร่างนั้นจึงหยุดแกว่งแต่เธอไอแรงขึ้นมากกว่าเดิม มันค่อยๆจับพลิกร่างเธอหันกลับมาช้าๆ ตอนนี้พวกเราเริ่มจะมองเห็นในความมืดได้แล้ว และสิ่งที่เราเห็นก็ทำให้แจนร้องจ้าก!!! ขึ้นมา
นายหญิงอิชิเอะที่ถุกผุกคอแขวนไว้กับขื่อไออย่างรุนแรงจนตาถลนออกมาจากเบ้า เลือดสีคล้ำข้นขลั่กอาเจียนใส่หน้าแจนเต็มๆ
“หนุ่มๆช่วยฉันหน่อยสิจ๊ะ เชือกมันรัดแน่นจนคอฉันจะขาดอยู่แล้ว” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มชวนสยองแจนตกใจจนช็อคค้างไปแล้ว ผมเองก็ตกใจมากเหมือนกันแต่รุนแรงกว่าเผลอถีบร่างของเธอลอยละลิ่วไปติดฝาห้องแล้วหล่นตุ๊บลงกับพื้นเลือดนองกระจาย
“แค่แกะเชือกให้ไม่ต้องถีบก็ได้นี่จ๊ะ เอาล่ะ มาช่วยกันหน่อยสิ” เธอกล่าวขณะที่เริ่มคลานเข้ามาใกล้ ผมพยายามออกแรงดึงแจนที่นิ่งค้างสนิทแต่ไอ้นี่มันไม่ขยับ
“ไปสิวะแจน” ผมพยายามทั้งผลักทั้งดันแต่ก็ไม่เป็นผล เสียงไอดังใกล้เข้ามาผมรู้สึกว่ามีมือเย็นๆจับข้อเท้าผมไว้แต่ไม่กล้าก้มลงมอง
“แจน!!! ไปสิวะ!!!” ผมตะโกนสุดเสียงด้วยความตกใจ พลันรู้สึกว่ามีลมอุ่นพัดผ่านเข้ามาจากด้านหลัง ประตูบานเลื่อนฝั่งที่ติดกับบ่อน้ำพุร้อนพังโครมลงมาตามด้วยร่างของคนสองคนที่กระโดดตุ๊บเข้ามาเหยียบร่างนายหญิงอิชิเอะจนเกิดเสียงดัง เผละ!!!
“ไม่เป็นไรนะ” น้ำเสียงคุ้นเคยนี้ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปหากอดคนที่เพิ่งมาถึงเอาไว้แน่น เมื่อพี่รีไวมาอยู่ตรงนี้ตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกว่าช่วงที่ผ่านมาผมแสร้งทำใจกล้าไม่ได้เรื่องเท่าไหร่
“เฮ้ย!!! ตื่น....แจน!!...ตื่น” อาร์มินที่พังประตูเข้ามาพร้อมกันเดินไปตบหน้าเรียกสติแจน
“ว้าก!!! เลือด.....เลือด....แหวะ.....เลือด” แจนมันโวยวายปัดป่ายมือไม่หยุดอาร์มินจึงโบกท้ายทอยมันซ้ำอีกที
“ตั้งสติหน่อย!!!”เขาเอ็ดเสียงดัง พอมองเห็นว่าเป็นอาร์มินแจนก็ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความโล่งอก
ไอ้ตัวที่ผมกับพี่รีไวเหยียบอยู่เริ่มขยับขลุกขลัก นายหญิงอิชิเอะพยายามจะยันตัวลุกขึ้น พี่รีไวกวาดตามองโดยรอบแล้วชี้ออกไปทางประตูด้านหน้า
“ไปทางนี้”
อาร์มินแบกแจนขึ้นขี่หลังแล้วออกวิ่งนำ
“ตามอาร์มินไปก่อน”
“พี่ล่ะครับ” ผมไม่อยากทิ้งพี่เอาไว้คนเดียวหรอกนะ
“พี่จะรั้งท้ายไว้ให้ ไปเร็ว!!!” ผมวิ่งไปหาอาร์มินที่ยืนรออยู่หน้าประตู ข้างในเหมือนได้ยินเสียงต่อสู้กุกกัก และตามมาด้วยเสียง กร๊อบ!!! หนึ่งครั้งพี่รีไวจึงวิ่งออกมา
“ไปเร็ว!!!”
เราวิ่งกันสุดฝีเท้า พอถึงจุดทางแยกของเรือนที่เชื่อมต่อกันเราก็วิ่งเลี้ยวออกไปที่ตรงนั้นผมชนกับใครอีกคนเข้าพอดี คนตัวใหญ่แทบไม่สะทกสะท้านแต่ผมเสียหลักเกือบสะดุดล้มพี่รีไวที่ตามมาช่วยฉุดผมเอาไว้
“เอเลน พี่ขอโทษ ไม่เป็นไรนะ” พี่เบลทรูทเอ่ยถามขณะประคองไหล่ผม
“ไม่เป็นไรครับ”
“ส่งแจนมาสิ” มารืโคที่มาด้วยกันหันไปพูดกับอาร์มิน
“ฉันแบกมันได้ แกเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” อาร์มินสวนกลับซึ่งมาร์โคก็เงียบไป
“ฟังที่อาร์มินพูดเถอะ” พี่เบลทรูทหันไปพูดกับมาร์โค
“ไปทางไหน” พี่รีไวเงยหน้าถามเพื่อนร่างสูงที่เพิ่งมาถึง
“ทางที่พวกฉันมาไม่ค่อยดีงามเท่าไหร่” พี่เบลทรูทตอบหน้าเครียด
“ทางฉันก็พอกัน” พี่รีไวตอบพลางถอนหายใจออกมาเฮือก
“เราคงต้องฝ่าออกไปตรงๆ” มาร์โคออกความเห็น
“แล้วพวกผู้หญิงล่ะครับ” ผมหันไปถามพวกเขา
“ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว เหลือแต่นายกับแจนที่ยังไม่รวมกลุ่มกันสักที พวกเราก็เลยต้องเข้ามาตาม และบังเอิญว่าไอ้ม้านี่ก็แหกปากดังมากเราถึงตามได้ถูกทาง” อาร์มินตอบให้
นี่สรุปว่าที่หลงโง่อยู่ในนี้มีแค่แจนกับผมและผีอีกเป็นขโยงอย่างนั้นสินะ
“ไป!!! วิ่งเข้าป่าไผ่ไป ไม่ต้องหยุด วิ่งออกไปให้ไกลที่สุด” พี่รีไวบอกกับพวกเรา มาร์โคและอาร์มินแบกแจนขึ้นนำไปก่อน ตามมาด้วยผมและรั้งท้ายด้วยพี่เบลทรูทและพี่รีไว เสียงสวบสาบดังไล่หลังเรามาติดๆผมรู้สึกกลัวจนเข่าอ่อน
“ไป!!! เอเลน วิ่งเข้า อย่าหยุด” พี่รีไวเร่งอยู่ข้างหลัง ผมกัดฟันวิ่งจนหอบตัวโยนเหงื่ออาบไปทั้งแผ่นหลัง ผมไม่แน่ใจว่าที่เห็นอยู่ข้างหน้านั้นคือแสงไฟจริงๆหรือเป็นไฟผี แต่ในเมื่ออาร์มินและมาร์โคยังวิ่งตรงไปไม่หยุดผมจึงต้องวิ่งเกาะติดพวกเขาไป พอพ้นป่าไผ่ออกมาด้วยความเร็วที่วิ่งมาตลอดเส้นทางผมไม่อาจหยุดตัวเองไว้ได้ ที่รออยู่เบื้องหน้าคือหุบเหวขนาดใหญ่ผมกำลังจะร่วงลงไปอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ แต่ภาพเบื้องหน้าแทนที่จะเป็นหลุมดินมันกลับเปลี่ยนกะทันหันมีใครบางคนเกี่ยวเอวผมไว้แล้วลากผมออกจากปากหุบเหวอย่างรวดเร็ว ผมกระแทกเข้ากับแผงอกแน่นกล้ามของใครสักคนเข้าเต็มๆ
“เซฟ!!!” พี่เอลวินที่กอดผมไว้ก้มหน้าลงพูดกับผมยิ้มๆ
“ขอบคุณครับ” ผมตอบเสียงแหบแห้งหายใจหายคอไม่ทัน
พี่นานาบะที่ถือคบไฟอยู่เริ่มนับจำนวนคน
“ครบๆ ครบแล้ว” เอตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ยืนไหวมั้ย” มาร์โคช่วยประคองแจนลงจากหลังอาร์มิน ตอนนี้ดูเหมือนแจนมันจะควบคุมตัวเองได้แล้ว
พื้นที่รอบป่ามืดสนิท พวกเราเบียดกันอยู่ในรัศมีวงไฟแคบๆที่คบเพลิงส่องถึง เสียงสวบสาบดังใกล้เข้ามา นายหญิงอิชิเอะที่คอเอียงหักกะเท่เร่และกองทัพผีพนักงานของเธอโผล่พรวดออกมา
“จะไปไหนกันล่ะคุณลูกค้า บริการไม่ประทับใจหรือยังไงคะ” นายหญิงอิชิเอะกล่าวเสียงสูงปรี๊ด
“ประทับใจมากแต่พวกเราจะไปกันแล้ว และถ้าคุณไม่ยอมให้พวกเราไปผมคงต้องหักคอคุณลงมาจริงๆ”พี่รีไวกล่าวเสียงเรียบ นายหญิงอิชิเอะดูอึ้งไปเล็กน้อย เธอถอยหลังกลับไปสองสามก้าว
“ก็ไม่อยากรบกวนถึงขนาดนั้น” เธอกล่าวยิ้มหน้าแหย
“คุณต้องปล่อยเราไปได้แล้ว ไม่งั้นฉันลงมือแน่” พี่นานาบะกล่าวขณะโบกคบไฟไปมาก่อนจะยื่นคบไฟไปจ่อใกล้หลุมศพหลุมหนึ่ง ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าด้านหลังของพวกเราเต็มไปด้วยเนินดินกองหลุมศพ นายหญิงอิชิเอะกลายเป็นผีหน้าซีดในบัดดล
“และอย่ายุ่งกับพวกเราอีก” พี่เบลทรูทกล่าวเสียงเข้มกับเธอ
นายหญิงอิชิเอะแยกเขี้ยวขู่ก่อนที่เธอและพวกพนักงานผีจะถอยกลับเข้าไปในป่าไผ่ที่มืดสนิทเงียบๆ พวกเราทุกคนได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่มีใครพูดอะไร พวกเราตัดสินใจเดินลงจากเนินเขากลางดึกภายใต้การนำของคบไฟที่พี่นานาบะถืออยู่
“อ้าว พวกหนู มาทำอะไรกันแถวนี้”
นึกไม่ถึงว่าเราจะบังเอิญเจอกับชาวบ้านที่ออกมาหาของป่ากลางดึกแบบนี้ พวกเราวิ่งเข้าไปกอดลุงอ้วนที่แบกหน่อไม้และฟืนมัดใหญ่อยู่เต็มหลังด้วยความโล่งใจ ลุงอ้วนค่อนข้างตกใจแต่ก็ใจดีนำทางพวกเราออกจากป่ามาด้วยกัน
“เนินข้างบนนั่นน่ะ ไม่มีใครขึ้นมากันแล้วล่ะ ใครๆก็รู้ว่ามีเรียวกังผีสิง มีแค่ลุงกับคนในพื้นที่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละที่ยังออกหาของป่ากันอยู่แถวนี้ แต่ก็ไม่กล้าขึ้นไปถึงข้างบนนั่นสักทีหรอก” ลุงอ้วนบอกกับเราขณะที่พาเราเดินลงจากเนินเลียบตามถนนที่มืดมิด โรงแรมที่พักจริงๆน่ะ มันอยู่เนินฝั่งนี้ต่างหาก ลุงก็ทำงานที่นั่นแหละ มาจะพาไป” ลุงอ้วนบอกขณะที่พาพวกเราเดินตัดถนนข้ามไปขึ้นเนินอีกฝั่งที่โรงแรงขนาดเล็กตั้งอยู่ มันเป็นโรงแรมที่พบเห็นได้ตามปกติแถบชานเมือง ไม่เหมือนเรียวกังผีสิงที่เราเพิ่งพักมา นั่นค่อยทำให้เราวางใจขึ้นหน่อย
เจ้าของโรงแรมเป็นชายหนุ่มกลางคนหน้าตาดีช่วยออกมารับพวกเรา คราวนี้พวกเราเลือกที่จะเปิดห้องพักห้องเดียวและนอนรวมกันหมด ทุกคนต่างก็เหนื่อยกันมาก แต่ไม่มีใครหลับลงสักคน
“ทำไมผมต้องนอนติดประตูด้วย มันไม่ยุติธรรมเลยนะครับ” แจนโวยวายกับพี่รีไวเสียงดัง
“ถ้าไม่อยากนอนตรงนี้แกก็ออกไปนอนข้างนอกคนเดียวเลยไป!!!ไ พี่รีไวบอกกับมันขณะที่โยนผ้าห่มไปให้ แจนมันเอาแต่บ่นงึมงำไม่หยุด
“นอนสักทีเถอะม้า!!!!” พี่นานาบะที่ดูจะเหนื่อยมากปาหมอนไปใส่แจน มันจึงฉวยเอาหมอนใบนั้นมานอนหนุนแต่ก็ยังบ่นอุบอิบไม่หยุด
“ถอยไปเกะกะ!!!” อาร์มินที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ใช้เท้าเขี่ยแจนออกจากประตูให้เข้าไปนอนชิดด้านในกับมาร์โค
“อะไรวะ” แจนโวยวายแล้วฟาดมือเพี๊ยะลงบนขาอาร์มิน ฝ่ายอาร์มินก็ระดมทุบหมอนลงกับหัวแจนหลายทีจนหนำใจจึงล้มตัวลงนอนข้างกันในฝั่งนอกสุด
“หุบปากได้แล้ว”
เขาตวาดใส่แจนก่อนจะหันหน้าเข้าหาประตูอย่างหงุดหงิด แจนแอบขยับปากด่าอีกสองสามทีแล้วนอนหันหลังให้กับอาร์มินหันหน้าไปหามาร์โค แต่ดูเหมือนเจ้าตัวมันจะขยับจนเลื่อนแผ่นหลังไปชิดกับอาร์มินในที่สุด แบบนั้นแจนมันคงรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น และผมก็คิดว่าอาร์มินคงเห็นว่าแจนมันยังประสาทเสียไม่หายจึงได้ไปนอนตรงนั้นแทน สองคนนี้นี่มันพวกเกลียดตัวกินไข่ชัดๆ ปากแข็งซึนเดเระกันทั้งคู่
“มานี่สิ” พี่รีไวเปิดผ้าห่มอ้าแขนรอให้ผมมุดเข้าไปในอ้อมกอด ผมก็ไม่ลังเลที่จะซุกเลยแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่าพี่เบลทรูทนอนอยู่ข้างๆก็เถอะ แต่ผมไม่สนใจแล้ว อยู่กับพี่รีไวยังไงก็อุ่นใจที่สุด
ผมไม่แน่ใจนักว่าคนอื่นๆจะหลับกันรึเปล่า แต่ผมกับแจนคงแทบหลับเป็นตายเพราะรู้สึกถึงความปลอดภัยจากคนข้างๆตัว
รุ่งเช้าเราออกจากโรงแรงกันตั้งแต่เช้าตรู่ พี่ชายเจ้าของโรงแรมก็ใจดีมากนอกจากจะไม่คิดค่าที่พักแล้วยังจัดหาอาหารเช้าให้เราด้วย แต่เราตกลงดันแล้วว่าเราจะไปกินกันที่บ้านผม
“ขอบคุณมากครับ/ค่ะ” เราบอกลาพร้อมกับกล่าวขอบคุณพี่ชายใจดีและลุงอ้วน พวกเรายกโขยงกันลงจากเนินเพื่อไปรอโบกรถที่ถนนใหญ่ แต่ตลอดทางที่เดินมาด้วยกันพี่รีไวกลับเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดยอมจาอะไรกับใครเลย
“เป็นอะไรรึเปล่าครับพี่” ผมมองออกว่าสีหน้าขรึมๆแบบนี้ พี่เขาต้องมีอะไรในใจแน่ๆ
“เปล่า.....ไม่มีอะไร รีบไปกันเถอะ”
และในที่สุดเราก็ประสบความสำเร็จกับการโบกรถไถขนฟางของลุงชาวสวนคนหนึ่ง พี่นานาบะเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อคืนนี้ให้ลุงฟังอย่างออกรสออกชาติ ลุงชาวสวนหัวเราะลั่น
“เอาอีกแล้ว เจอดีกันเข้าอีกแล้ว ลุงจะบอกอะไรพวกเอ็งให้ คนแถวนี้ใครๆก็ไม่ค่อยออกมาใช้เส้นทางนี้กันดึกๆดื่นๆหรอกเพราะที่นี่น่ะเฮี้ยนจัด เรียวกังนั่นเคยถูกปล้น ทั้งเจ้าของพนักงานแขกที่พักก็ตายเรียบกลายเป็นวิญญาณเฮี้ยนคอยหลอกคนเดินทางผ่านไปมาแถวนี้หลายปีแล้วล่ะ”
“แต่โชคดีที่พวกเราไปเจอคุณเจ้าของโรงแรมใจดีเข้า ก็เลยได้พักค้างคืนฟรีๆ พูดไปแล้วก็ยังขนลุกอยู่เลยนะครับ” แจนเอ่ยพร้อมกับถูแขนตัวเองไปด้วย แน่นอนก็เมื่อคืนนี้มันกลัวจนฉี่แทบราด
“เจ้าของโรงแรมใจดี?” ลุงชาวสวนหันมามองพวกเราหน้าหรา
“ค่ะ ก็ที่อยู่เนินฝั่งตรงข้ามไงคะ”
“เอ.........” ลุงชาวสวนชักสีหน้าแปลกๆผมชักจะเริ่มรู้สึกตงิดในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“คือ.....ลุงจะบอกพวกเอ็งว่า................”
“สองคนนั้นไม่มีเงา” จู่ๆพี่รีไวก็พูดขึ้นมา ผมรู้สึกตะลึงเหมือนมีตคนมาตีกลองที่ข้างหู
“ก่อนออกมา ฉันเห็นว่าสองคนนั้นไม่มีเงา” พี่รีไวเอ่ยสำทับอีกครั้ง แล้วลุงชาวสวนก็พูดขึ้น
“ก็ไอ้โรงแรมที่ถูกปล้นฆ่าชิงทรัพย์ ก็เป็นโรงแรงสองที่นั่นแหละ”
พวกเรามองหน้ากันก่อนจะร้องว้าก!!!! ขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่ละคนดูจะสติแตกกันไปหมดแล้ว ลุงชาวสวนหัวเราะลั่น
“พวกเอ็งถูกผีหลอกสองต่อแล้วล่ะ”
ผมรีบกดโทรศัพท์ต่อสายหาพ่อทันทีแล้วตะโกนแข่งกับเสียงโวยวายโหวกเหวกของพวกเพื่อนๆพี่ๆทุกคน
“พ่อครับมารับพวกผมที!!!”
.....................................................................End.
คือเป็นสเปวันเกิดเอเลน นอกจากจะเลทแล้วยังไม่มีสาระอะไรเลยสักนิด ก่อนหน้านี้ลงหลุมสุสานหนักไปหน่อยเลยอยากแต่งอะไรผีๆบ้าง แต่ตอนนี้มันไม่น่ากลัวนะ ออกแนวเสื่อม เอเลนบอกว่าอยากได้ความทรงจำที่แสนประทับใจ พี่ก็จัดให้ ฮา!!!!!!
HBD เอเลนย้อนหลังนะจ๊ะ งุงิ
ความคิดเห็น