x---x---x-Once in Paris-x---x---x
Cast: Tao x Kacha
Author: Acinar&Poxy
x---x---x---x---x---x---x---x---x---x---x---x
ผมกำลังยืนอยู่ตรงนี้ หน้ามหาวิหารน๊อทร์ดามในเมืองที่ได้ชื่อว่าสวรรค์แห่งความโรแมนติก ‘ปารีส’ เบื้องหน้าของผมเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ทรงสูงที่ชวนให้นึกถึงปราสาทของภาพยนต์ที่มีมังกรบินได้ ตั้งแต่ประตูและโถงทางเข้าอันงดงามโออ่าตลอดจนยอดหอคอยสูงตัดแผ่นฟ้าทั้งสองยอดที่ก่อสร้างอย่างประณีตชวนให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และหรูหราจนต้องหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพ ความสวยงามของวิหารที่เห็นผ่านเลนส์ทำให้ต้องยิ้มออกมา ผมเคลื่อนกล้องหามุมที่คิดว่าสวยที่สุดแต่ภาพของใครบางคนที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ต้องค้างตาหยุดมองนิ่งโดยไม่รู้ตัว
ร่างโปร่งในชุดกางเกงยีนกับเสื้อสีขาวแขนขาวและผ้าพันคอยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกล้องในมือไม่ได้ดูแตกต่างจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆนัก จากด้านข้างใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาและแก้วตาใสที่กำลังจดจ้องอยู่หลังเลนส์ดูจริงจังสะกดสายตาผมเอาไว้กับที่พร้อมๆกับมือของผมที่ลดกล้องในมือตัวเองลง คำว่างดงามและความพึงพอใจบางอย่างผุดขึ้นในหัวสมองของผมโดยที่ไม่สามารถห้ามความคิดนั้นได้เช่นเดียวกับสิ่งในอกที่กำลังโลดแล่นเต้นตึกตักจนต้องประหลาดใจ คนตรงหน้าเป็นเด็กเอเชียที่น่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับผมไม่ก็น้อยกว่า เส้นผมสีดำตัดสั้นล้อมกรอบใบหน้าสวยๆกับปลายจมูกรั้นและริมฝีปากสีแดงเจ่อแบบธรรมชาติทำให้ผมสับสนในเพศของเธอนิดหน่อย ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็คงจะเป็นผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานจนน่าสงสารแต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงจะเป็นทอมที่หน้าตาน่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา
โดยไม่รู้ตัวผมกำลังเผลอยืนยิ้มออกมาเหมือนคนบ้า กล้องที่ลดลงไปยกขึ้นมาเก็บภาพตรงหน้าที่ไม่ใช่สถาปัตยกรรมอันศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแต่กลับเป็นใครสักคนที่ผมยังไม่รู้จัก
...แชะ แชะ แชะแชะ แชะ...
ตอนนั้นเองที่เด็กทอมคนนั้นหันมา ผมลดกล้องลงพร้อมกับดวงตาของเราที่ประสานกันท่ามกลางผู้คนหลากหลายที่เดินตัดผ่าน ราวกับผมถูกตรึงเอาไว้ด้วยเวทมนตร์ที่มองไม่เห็น วินาทีนั้นเสียงอื้ออึงจากรอบกายราวกับถูกดูดกลืนหายไปจนหมด เข็มของนาฬิกาบนหน้าปัดราวกับจะหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาคู่สวยมองมานิ่งๆราวกับไร้อารมณ์แต่กลับดูงดงามเหมือนภาพวาดราคาแพง ในเมืองที่อบอวนไปด้วยมนต์สะกดและไอของบรรยากาศโรแมนติก
....ผมว่า ผมกำลังตกหลุมรัก...
เมื่อนาฬิกาเริ่มต้นเดินในทิศของมันอีกครั้งคนร่างเล็กก็เบือนหน้าหนีแล้วเดินกลืนหายไปกับฝูงชนหลากชาติหลากภาษาที่ดึงให้ผมกลับมาสู่ความเป็นจริง ผมหัวเราะกับความเพ้อเจ้อของตัวเองขณะก้มลงมองภาพที่เก็บมาได้ นิ้วกดปุ่มเลื่อนดูรูปของคนที่ยังทำให้ใจเต้นไม่หายก่อนจะพบว่าผมถ่ายรูปเธอมาได้เพียงห้าหกภาพเท่านั้น เมื่อกดเลื่อนไปอีกภาพของวิหารทรงสูงที่ไม่มีใครบางคนยืนอยู่เบื้องหน้าชวนให้รู้สึกโหวงขึ้นมาตรงอก ผมกดภาพกลับไปมาอยู่อย่างนั้นแล้วก็ต้องถอนหายใจ
....ทำไมผมถึงรู้สึกเหงาขึ้นมา...
‘เต๋าเจอกันที่ ฌ็อง เซลิเซ่ สักสิบเอ็ดโมงครึ่งนะคะ มาเมโทรสายหนึ่งนะ’ นั่นเป็นข้อความจากคนที่ผมนั่งเครื่องบินจากไทยเพื่อมาหาเธอ ผมยกนาฬิกาขึ้นดูยังพอมีเวลาเหลืออีกราวชั่วโมงแต่ก็ตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นแถวถนนนั้นก่อนเลยดีกว่า ผมเงยมองภาพของสถาปัตยกรรมอันสวยงามเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ผุดขึ้นในหัวใจ วินาทีนั้นผมรู้ว่าอะไรๆกำลังจะไม่เหมือนเดิม
.....................................
..............................
ผมเดินลงบันไดที่นำสู่ชานชาลาของรถไฟใต้ดินเมโทรหมายเลขหนึ่ง สถานีรถไฟในกรุงปารีสก็เก่าแก่ไปตามสภาพที่ไม่ได้ชวนให้รื่นรมย์เหมือนบนดินสักเท่าไร แต่ในทางกลับกันมันให้ความขลังและความดิบในอีกแบบที่อาจจะกลายเป็นเสน่ห์ในอีกแบบ ไฟจากบนเพดานบางดวงก็ติดๆดับๆ เสากำแพงถูกขีดเขียนพ่นสีจนดูเลอะเทอะ กระเบื้องบนพื้นบางส่วนก็แตกหักมีรอยร้าว ผมเดินลงจากบันไดขั้นสุดท้ายก่อนจะเลี้ยวตรงหัวมุมเข้าชานชาลาที่มีรถไฟจอดเทียบท่าอยู่พอดี ขณะกำลังจะก้าวเข้าไปเสียงโหวกเหวกตรงอีกปลายของรถไฟกับภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ต้องชะงัก
คนตัวเล็กเจ้าของหน้าหวานกำลังถูกฝรั่งผิวสีกระชากคอเสื้อจนตัวแทบลอย คิ้วขมวดกับสายตาโหดๆของเด็กทอมบ่งบอกว่าเจ้าตัวก็ไม่ยอมใครเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ฟังเสียงทะเลาะกันแล้วเหมือนกับว่าเจ้าตัวเล็กเดินชนพี่เบิ้มหรือพี่เบิ้มถอยหลังมาชนเจ้านี่แล้วหาเรื่องอะไรสักอย่าง
“F_CK YOU!!!” นี่เป็นเสียงตะโกนลั่นของเด็กหน้าสวยที่ทำเอาผมต้องกุมขมับ เสียงประกาศจากนายสถานีว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนตัวออกทำให้ผมตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย ตอนที่กำปั้นของพี่ยักษ์กำลังเงื้อขึ้นผมก็พุ่งเข้าไปกระชากแขนคนตัวเล็กดึงเข้ารถไฟไปด้วยกันพร้อมๆกับประตูที่ปิดงับลงตามมา
“Who the hell are you! F_ck off!!!” ในโบกี้รถไฟที่คนค่อนข้างโล่ง ร่างที่นั่งทับผมอยู่ด้านบนแพดเสียงใส่หูผมทันที เมื่อกี้ที่กระโจนเข้ามาในรถไฟผมเสียหลักล้มลงกองกับพื้นโดยมีอีกคนล้มตามติดกันมาด้วย ยังไม่ทันได้ลืมหูลืมตาคนข้างบนก็ทุบผมไม่ยั้งจนแทบจุก
“Hey! Wait” ผมร้องขณะพยายามรวบแขนของเด็กแสบที่ผมแน่ใจแล้วว่าเป็นผู้ชายให้หยุดประทุษร้ายผมสักที ให้ตายเถอะตัวเล็กๆแบบนี้นอกจากจะโหดเอาเรื่องแล้วยังมือหนักเป็นบ้า
“Get your hand out of me, you’re a jerk!!”
“Hey, please clam down. Ok? You were in trouble right, I just wanna help.” สุดท้ายกว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็เล่นเอาผมแทบน่วม เจ้าตัวเล็กหยุดหอบหายใจปากแดงขณะที่ดวงตาคู่สวยยังจ้องมาที่ผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อไม่หาย ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะอย่างน้อยเจ้าตัวก็ดูจะใจเย็นลงแล้ว
“Let me go” เสียงขุ่นๆนั่นทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมยังจับข้อมือเขาไว้อยู่
“Ok, sorry. I really just wanna help” ยิ้มแห้งๆออกไปคนตัวเล็กก็ยังตวัดมองมาตาขวางขณะที่ลุกขึ้นยืน ผมเองก็ลุกปัดฝุ่นที่คงจะติดอยู่ทั้งหลังทั้งก้น เอาจริงๆพื้นรถไฟที่นี่ไม่ได้น่าพิสมัยเลยสักนิด
“...เ สื อ ก...” เสียงของร่างเล็กที่พึมพำออกมาในลำคอทำให้ผมต้องหันขวับ ให้ตายเถอะ คนไทยเหมือนกันครับ!!!
“เฮ้อ ทำบุญไม่ขึ้นจริงๆเลยเรา หวังดีแท้ๆ” พอผมแกล้งแหย่ออกไปอีกฝ่ายก็หันมาทำตาโตเท่าไข่ห่านจนผมต้องหัวเราะออกมา มันน่ารักมากจริงๆคนแก้มป่องตาตี่ๆที่ตกใจแล้วทำตาโตได้ขนาดนั้น
“แม่มคนไทย” ดูเขาพูดกับผมสิครับ ห่ามใช้ได้เลยเด็กอะไร แต่ว่าดูจากสีหน้าแล้วอีกคนคงเลิกโกรธเลิกกลัวผมไปแล้วแหละ ดูจากคิ้วยุ่งๆคงกำลังงงๆมากกว่า
“ขอโทษที่เมื่อกี้ยุ่งไม่เข้าเรื่องละกัน กล้องเป็นอะไรหรือเปล่าอะ” ผมถามเพราะเห็นเขากำลังก้มเช็คกล้องตัวเอง หวังว่ามันคงไม่ได้ฟาดพื้นฟาดเสาตอนที่พวกเราล้มกลิ้งเมื่อกี้หรอกนะ
“น่าจะไม่เป็นไร”
“แล้วนายเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” คนตัวเล็กไม่ได้ตอบแต่กลับยักไหล่ให้ผม
“เมื่อกี้ขอโทษ นึกว่ามึงเป็นพวกมิจฉาชีพ” คำพูดนี้ชวนให้ผมต้องยิ้มออกมาใบหน้าของอีกคนดูประหม่านิดๆ จริงๆก็น่ารักเหมือนกันนึกว่าจะเฮี้ยวอย่างเดียวซะแล้ว ขอโทษก็เป็นแหะ
“หน้าผมเหมือนโจรขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ก็ใครใช้ให้พุ่งมาแบบนั้นเล่า ตกใจชิบหาย”
“หึหึ นายนี่เอาเรื่องอยู่นะ มาเที่ยวคนเดียว...” ผมมองคนที่เดินไปพิงกำแพงฝั่งตรงข้ามที่วางก่อนจะเดินตามไปเกาะราวโหนใกล้ๆ เวลานั้นประตูรถเปิดออกพร้อมกับคนจำนวนหนึ่งที่หลั่งไหลเข้ามาเพิ่มความแออัดของโบกี้ให้เต๋าต้องขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กอีกนิด
“เปล่ามาเรียน มึงอะ มาเที่ยวคนเดียว” คำถามที่ได้รับทำเอาผมชะงักไปนิดนึง ผมต้องตอบไปว่าผมมาหาแฟน นั่นคือส่วนหนึ่งของความคิดผมในตอนนั้น
“ก็ อืม...ประมาณนั้น มาเที่ยว นายเรียนอะไร มีเรื่องกับพวกนั้นบ่อยมั้ย ระวังตัวเองบ้างก็ดีนะ” สุดท้ายมันออกมาในอิหรอบนี้ ช่างมันเหอะผมไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดกับคนที่เพิ่งรู้จักก็ได้ไม่ใช่หรือไง
“เพิ่งครั้งแรกนี่แหละ กูมาเรียนถ่ายรูป แม่ส่งมาซัมเมอร์” แปลว่าปกติก็เรียนที่ไทยสินะ ดีแหะ
“แล้วนี่กำลังจะไปไหน” ผมถาม
“ก็หามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ มึงล่ะ...”
“ก็ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ขอเต๋าไปด้วยคนได้มั้ย...เอ่อ...” ผมหยุดค้างประโยค รอคอยให้อีกคนต่อมันให้จบ
“...คชา...” ผมยิ้มกับเสียงอ่อยๆที่ออกมาจากปากของอีกคน ชื่อคชา...ทำไมผมรู้สึกพิเศษกับชื่อนี้ ไม่สิ ทำไมผมถึงรู้สึกพิเศษกับคนคนนี้ได้ขนาดนี้
ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำอย่างไรดีกับความคิดและการกระทำที่ไม่สามารถควบคุมของตัวเอง ประตูรถไฟกำลังเปิดออกตรงสถานีที่ผมควรจะลง ‘ฌ็อง เซลิเซ่’ หากแต่ผมยังขาแข็งขยับไม่ได้แม้เพียงเซ็นต์เดียว เสียงของคนที่เดินออกไปพร้อมๆกับคนกลุ่มใหม่ที่แทรกเข้ามาให้ผมต้องขยับเข้าหาคนตรงหน้ามากขึ้น มือผมผละจากที่จับเปลี่ยนมายันตรงกำแพงคร่อมร่างของอีกคนเอาไว้เพราะเวลานี้โบกี้รถไฟกำลังกลายเป็นปลากระป๋อง รถไฟเคลื่อนตัวออกวิ่งอีกครั้งพวกเราแนบชิดจนผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆที่ไม่แน่ใจว่ามาจากเส้นผมนุ่มหรือผ้าพันคอของเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่คืบ ใกล้จนผมสังเกตได้ถึงแพขนตายาวของคนที่เบือนหน้านิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเพียงแค่ความมืดมิดของกำแพงใต้ดิน ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่พวงแก้มเนื้อละเอียดที่ได้เห็นในระยะใกล้กำลังระเรื่อไปด้วยสีชมพูจางที่เข้มขึ้นกว่าเดิม
...เวลานั้น ผมอยากรู้ ว่าผมเป็นคนที่ใจเต้นอยู่คนเดียวหรือเปล่า...
.......................................
วันนั้นเราแวะถ่ายรูปที่พระราชวังแวร์ซาย ถึงด้านในคนจะเยอะแค่ไหนแต่ความงดงามที่ได้เห็นกับคนที่เดินข้างๆก็ทำให้ผมสนุกจนรู้สึกราวกับที่แห่งนั้นมีแค่เขากับผมแค่สองคน คชาหยุดยืนถ่ายรูปโค้งประตูกับเพดานที่ประดับประดาไปด้วยรูปของนางฟ้าเทวดา ส่วนผมก็แอบถ่ายรูปเขาเก็บไว้อีกที ถึงศิลปะบนเพดานหรือโคมระย้าจะน่าประทับใจแค่ไหน แต่มันก็ไม่ได้ดึงดูดสายตาผมเท่ากับใบหน้าน่ารักที่เรียบนิ่งราวกับคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาของคนคนนี้ได้เลย
จากนั้นเราก็ไปจุดชมวิวหอไอเฟลยอดฮิตที่เขาว่ากันว่าต้องมา คชายกกล้องเล็งไปยังวิวเบื้องหลังของสิ่งก่อสร้างติดอันดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ผมยกกล้องถ่ายตามบ้างปล่อยให้อีกคนดื่มด่ำกับการถ่ายรูปของเขาไป จนอีกคนน่าจะพอใจแล้วผมเลยดึงแขนเขาแล้วบอกให้ขึ้นไปนั่งบนราวเพื่อที่ผมจะได้ถ่ายรูปให้
“กูไม่ได้อยากถ่ายสักหน่อย” เขาพูดเหมือนเขินตอนที่ผมตั้งกล้องจะถ่ายเขา
“เอาหน่าๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำไง” พอผมกดชัดเตอร์เขาก็ยังไม่คิดจะยิ้มให้ผมสักรูป แต่ใบหน้าประหม่าๆเหมือนคนยิ้มไม่เป็นนี่แหละที่กลับดูน่าเอ็นอย่างประหลาด แต่อีกหนึ่งความคิดที่ผุดขึ้นในเวลานั้นคือ
...ทำยังไงผมถึงจะได้รอยยิ้มจากคชา...
“จะทำอะไร” คชาถามตอนที่ผมกระโดดขึ้นนั่งบนราวข้างๆเขา ผมหันไปยักคิ้วกวนให้พร้อมรอยยิ้มที่มีแต่คนเรียกว่ารอยยิ้มพิฆาตสาว แต่เหมือนกับว่ามันจะใช้ไม่ได้ค่อยได้เท่าไรกับทอมแหะ เพราะอีกคนทำหน้าเบื่อแถมยังจะกระโดดลงหนีผมอีกต่างหาก
“เดี๋ยวดิ ถ่ายคู่กันสักรูปก่อน” ผมยึดแขนเขาเอาไว้แล้วทำหน้าอ้อน ไอ้หน้าแบบนี้ใครๆก็บอกผมเหมือนกันว่าสาวร้อยทั้งร้อยต้องใจอ่อนละลายอยู่แทบเท้าผม ก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะละลายหรือเปล่านะแต่คชายอมนั่งนิ่งๆให้ผมขยับเข้าไปใกล้ แขนที่มีกล้องยื่นออกไปจนสุด ตอนที่ผมจะกดชัตเตอร์ เจ้าตัวแสบก็แลบลิ้นออกมาจนผมต้องเผลอหัวเราะ
...แชะ...
........................................
“ทำไมคชาถึงมาเรียนถ่ายรูป” ผมถามเขาขณะที่เราเดินเอื่อยๆอยู่บนถนนสายเล็กๆติดแม่น้ำแซนน์ สถานที่ที่ไม่ได้พลุกพล่านเหมือนย่านท่องเที่ยวที่พวกเขาแวะมาตลอดทั้งวัน พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนเกือบค่ำ ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงต่ำพร้อมๆกับท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีส้มเหลือบม่วง
“เพราะว่าเรียนไม่เอาห่วยจนไม่รู้จะต้องทำยังไงกับชีวิตอะดิ ก็แค่กำลังค้นหาตัวเองอยู่” เขาตอบขณะมองใบไม้สีส้มที่ขยับพริ้วอยู่บนต้นไม้ตามสายลมอ่อนๆที่พัดโชยมา อากาศที่เริ่มเย็นทำให้ร่างโปร่งขยับผ้าพันคอสองแขนโอบลำตัวทั้งไหล่ห่อลู่ที่ทำให้คนคนนี้ดูตัวเล็กเข้าไปอีก
“แล้วชอบทำอะไร”
“ก็ถ่ายรูป เล่นดนตรี วาดรูป แล้วก็...ร้องเพลง...มั้ง” คชาทำหน้าคิด เห็นคิ้วที่ขมวดตรงโคนจมูกของเขาแล้วชวนให้รู้สึกอยากจะเอานิ้วไปขยี้ให้มันคลายออกเสียบ้าง
“ส่วนเต๋าอยากเป็นนักเศรษฐศาสตร์” ผมพูดออกมาชวนให้ใบหน้าน่ารักหันมามอง สงสัยจะกำลังทึ่งกับการวางแผนอนาคตที่แสนจะชัดเจนของผมละมั้ง
“ทำไมอะ”
“ก็เพราะเรียนอยู่” ผมยักคิ้วให้อีกคนก่อนจะโดนมือเรียวตบหัวพร้อมกับเจ้าตัวที่ส่ายศีรษะออกมา
“เฮ้ย ตบหัวเลยหรอไอ้น้อง พี่จะยี่สิบแล้วนะเว้ย” โวยสิครับ เจอคนที่น่าจะเด็กกว่าตบเกรียนขนาดนี้ ยิ่งดูใกล้ๆเด็กทอมนี่มันก็เป็นแค่เด็กมอปลายชัดๆ
“กูก็จะยี่สิบแล้วเหมือนกันครับ ไอ้น้อง” อีกฝ่ายบอกพร้อมกับฉีกยิ้มตรงมุมปากที่ทั้งกวนทั้งน่ารักจนผมทนไม่ไหว พอรู้ตัวอีกทีผมก็คว้าคออีกคนมาขยี้หัวให้หายมันเขี้ยวซะแล้ว คราวนี้ฝ่ายที่เดือนร้อนเลยเป็นเจ้าตัวเล็กที่พยายามดิ้นให้หลุดจากแขนของผม แต่ไม่มีทางซะหรอกที่ผมจะปล่อยไปง่ายๆ คนอะไรหอมไปทั้งตัว หอมจนผมอยากจะอาศัยช่วงชุลมุนขโมยสูดหอมแก้มสักที
พอเลิกทะเลาะกันได้สำเร็จผมก็ชวนคชาล่องเรือ ตอนแรกเขาปฏิเสธบอกว่าอยากจะกลับหอพักแล้ว แต่ยิ่งฟังแบบนั้นผมกลับยิ่งตื้อสุดตัวให้อีกคนยอมอยู่กับผมต่ออีกสักนิด ให้ตายเถอะ เขาทำให้ผมรู้สึกโหวงขึ้นมาตรงกลางอกอีกแล้ว
สุดท้ายพวกเราก็นั่งอยู่บนเรือโดยสารที่เหมาลำมา เรือคันเล็กแล่นเอื่อยๆขณะที่คชาหันมองไปยังถนนเส้นเดิมที่พวกเราเดินมา เขาคงมองต้นไม้ ใบไม้ แสงไฟสีส้มจากบนเสาสูง คู่รักที่เดินจูงมือกัน หรือคุณลุงบนจักรยาน แต่ว่าผม...แค่ผมลอบมองหน้าเขาผมก็ไม่มีเวลาไปมองอย่างอื่นแล้ว ผมชอบเส้นผมสีดำของเขาที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของแชมพู ชอบเรียวคิ้วสวยที่รับกับดวงตากลมที่แม้ว่าจะไม่ได้โตมากแต่แววตานั้นกลับสุกใสราวกับแสงของดวงดาว ชอบแพขนตาหนาที่ขยับกระพือเวลาอีกคนกระพริบปิดเปิดตา ชอบจมูกโด่งรั้นที่บ่งบอกได้ดีว่าเจ้าของแสนดื้อเพียงใด ชอบพวงแก้มระเรื่อสีจางๆของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังที่น่ามองกว่าผิวที่ถูกกลบด้วยเครื่องประทินโฉมพวกนั้น
...ผมชอบริมฝีปากแดงอิ่มเอิบของคนตรงหน้าที่ดูนุ่มนิ่มจนชวนให้เกิดความคิดที่ไม่เข้าท่าบางอย่าง...
เสียงดนตรีสดจากเครื่องสายของกลุ่มนักดนตรีเปิดหมวกดังแว่วมาจากข้างถนน ตึกรามบ้านช่องสองข้างทางเริ่มเปิดไฟเมื่อท้องฟ้าเบื้องบนกลายเป็นสีเทาเข้มพร้อมๆกับพระอาทิตย์ที่ลับลงตรงขอบฟ้า เวลานั้นที่มือของผมคืบไปแตะกับของอีกคนโดยไม่รู้ตัว โดยที่ห้ามตัวเองไม่ได้ผมค่อยๆกุมกระชับอีกมือที่ไม่ได้ขยับหนี เจ้าตัวกำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คชาไม่ได้หันมาแต่ผมเห็นสีแก้มของเขาเข้มขึ้นไม่ต่างจากใบหู เรากุมมือกันอยู่แบบนั้นขณะฟังเสียงแว่วของเพลงรักที่ค่อยๆกลืนหายไปกับสายลม
“คชา...” ผมเรียกเขาขณะที่หัวใจกำลังเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ผมรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเวลาของพวกเรากำลังจะหมดลงไปไม่ต่างจากดวงอาทิตย์ที่จำเป็นต้องลับขอบฟ้าเมื่อหมดวัน
ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเสี้ยวหน้าสวยยอมหันมามองผมในที่สุด เรือกำลังแล่นเอื้อยๆและเบื้องหน้าของพวกเราคือโค้งอุโมงค์แคบใต้สะพานข้ามแม่น้ำแซนน์ที่ใกล้เข้ามา ในความสลัวของแสงไฟสีส้มที่สาดลงมาผมถูกสะกดเอาไว้ด้วยนัยน์ตาคู่สวยที่ราวกับดึงดูดยั่วยวนให้เคลื่อนใบหน้าเข้าไปหา ในช่วงเวลาที่งดงามราวกับต้องมนต์ วินาทีที่แสงเบื้องบนถูกบดบังด้วยเงามืดของอุโมงค์...หัวใจของผมเต้นตึกตักราวกับจะหลุดออกมาจากอก...
...ผมจูบเขา...
.................................
หลายวินาทีผ่านไปที่ดวงตากลมจดจ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น ใบหน้านิ่งๆของคนที่แก้มแดงแปร๊ดไปถึงหูทำให้ผมต้องเผลอยิ้มกว้างออกมา ดูจากท่าทางของอีกคนแล้วผมคงไม่โดนต่อยแบบที่กลัว
“รู้อะไรเกี่ยวกับสะพานนี้หรือเปล่า” คชาถามเรียบๆขณะที่ผมได้แต่ย่นคิ้วงงรีบหันไปมองหาป้ายของสะพานที่เพิ่งผ่านมา
...Pont Marie...
“...ไม่รู้อะ” ผมตอบไปขณะที่ทวนชื่อของสะพานนั้นอยู่ในใจ ตอนนั้นเองที่อีกคนหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ทำเอาผมหัวใจกระตุก คชาเบือนหน้าหนีแล้วอมยิ้มขำอยู่แบบนั้นจนผมทั้งงงทั้งใจเต้นกับความน่ารักตรงหน้าจนทำตัวไม่ถูกแล้ว
“ทำไมอะ บอกหน่อย”
“เปล่า แค่คิดว่ามึงอาจจะเสียใจ” คชาเท้าแขนยันกับข้างตัวขณะที่หันมาหาผมทั้งรอยยิ้มบางๆที่ยังประดับบนดวงหน้าน่ารักนั้น
“ที่...”
“ที่ทำแบบที่ทำเมื่อกี้” คำตอบของอีกคนทำให้ผมต้องยิ้มตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นโอบพวงแก้มนิ่มขณะที่ลูบนิ้วโป้งลงไปเบาๆ ขณะเดียวกันคชาก็เอียงคอตอบรับสัมผัสของผมนิดๆ ท่ามกลางสายลมเอื่อยและเสียงเพลงจากฝั่งที่ดังขึ้นมาอีกระลอก พวกเรามองตากันอยู่แบบนั้นจนสุดท้ายไม่นานนักเรือโดยสารก็แล่นเข้าเทียบท่าที่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเวลาของผมกำลังจะหมดลง
“ไม่เสียใจหรอก...” ผมพูดกระซิบขณะที่รอยยิ้มของเราทั้งสองเจื่อนลงเรื่อยๆจนหมดไปจากใบหน้า ตอนนั้นเองที่คชาค่อยๆดึงมือออกไปพร้อมๆกับอุ้งมือของผมที่กลายเป็นว่างเปล่า...
...ว่างเปล่า จนทำให้ใจหาย...
เขาให้ผมส่งเขาแค่ที่สถานี ผมมองคชาเดินเข้ารถไฟไปพร้อมกับประตูที่งับปิดลง ผมยกมือลาไม่ต่างจากเขาที่ยิ้มบางๆให้ผม ขบวนรถไฟค่อยๆเคลื่อนออกไปขณะที่สายตาของเรายังไม่ยอมละไปจากกัน ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นเต็มหัวใจตอนที่ภาพของคชาหายลับไปหลงเหลือเอาไว้เพียงรอยยิ้มแสนเศร้าที่ทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
...ความรักของผม เพิ่งเริ่มต้นขึ้น...
...หรือจบลงไปแล้วกันแน่...
..............................................
.....................................
.......................
อยู่ปารีสอีกไม่กี่วันผมก็เดินทางกลับไทย กับผู้หญิงที่ผมไปหาเราเลิกกันหลังจากนั้นไม่นานนัก ผมรู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอกับเขาหน้ามหาวิหารน๊อทร์ดามแล้วว่าโลกของผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หัวใจของผมถูกขโมยไปตั้งแต่วินาทีนั้น แม้วันเวลาจะผ่านไปหากแต่ในแผ่นอกอันเจ็บแปล๊บของผมก็ยังคงว่างเปล่าขณะที่ความทรงจำของวันนั้นยังคงฝังลึกและชัดเจนในทุกความรู้สึก กลิ่นหอมอ่อนๆในความทรงจำที่ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์บนรถไฟที่ทำให้ได้แนบชิด สัมผัสของมือที่แตะกันในวินาทีแรกท่ามกลางแสงไฟของตึกสวยที่เรียงรายสองฝั่งแม่น้ำ รสชาติหวานนุ่มของกลีบปากและรสจูบที่ทำให้ใจเต้นกว่าครั้งไหน
ผมคิดถึงคำพูดของคชาที่บอกว่าผมอาจจะเสียใจที่ทำแบบนั้นลงไป มันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูดก็ได้ ยิ่งนานวัน บางครั้งความรู้สึกเจ็บหนึบหนักอึ้งในอกที่ไม่ยอมหายไปก็ทำให้ผมอยากจะย้อนเวลากลับไป...
...ถ้าวันนั้นเราไม่จูบกัน ถ้าเราไม่ได้เจอกัน...
...วันนี้ผมจะต้องทรมานแบบนี้มั้ย...
...อยากพบเธอ
ไม่รู้ว่าเธอจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า
โลกที่มันไม่มีสองเรา
ว่างเปล่าเหลือเกิน เพิ่งรู้ตัว
อยากเหมือนเดิม
ยังคิดถึงเธอเสมอไม่เคยจะเปลี่ยน
วันที่เธอนั้นขาดหายไป
เพิ่งจะเข้าใจ ได้รู้ว่า
ว่าฉันนั้นรักเธอ เหลือเกิน...
เวลานั้นผมกำลังยืนยิ้มให้กับรูปถ่ายในมือ รูปที่ผมกับเขาคู่เคียงข้างกันหน้าหอไอเฟล คนในรูปที่แลบลิ้นใส่ผมตอนนี้...
...เขาอยู่ที่ไหนกัน...
......................................
...........................
....................
..........
....
..
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เต๋า มึงถ่ายสักทีหรือยัง” ผมกำลังมองภาพของใครบางคนผ่านเลนส์กล้องท่ามกลางบรรยากาศคุ้นๆเหมือนฉายภาพซ้ำจนชวนให้ต้องยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี คนตัวเล็กที่อยู่ในกรอบภาพของผมในเวลานี้ดูเปลี่ยนไปจากครั้งหนึ่งที่เราเคยพบกันไม่มากนัก นอกเสียจากเส้นผมสั้นๆที่ทำให้เจ้าลิงดูน่ารักไปอีกแบบแล้วก็คงจะเป็นความเกรียนที่เพิ่มเลเวลขึ้นจนทำให้ผมต้องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน
“เต๋า มึงกดชัตเตอร์หรือยัง”
“เดี๋ยวดิ มันเล็งยากจะตาย มึงยืนอยู่ตรงนั้นแหละ” พอโดนเจ้าตัวแสบเร่งผมก็ต้องรีบแก้ตัวไปแบบนั้น ใครจะไปพูดต่อหน้าแฟนคลับว่าผมเผลอมองไอ้คนน่ารักนี่จนลืมไปแล้วว่าปุ่มกดชัตเตอร์อยู่ตรงไหน
“ไหนขอกูดูเฟรมก่อน” คชาเดินหน้ายุ่งกลับมาแต่ผมก็ชี้ให้เขากลับไปยืนที่เดิม
“ไม่ต้อง ไปยืนอยู่ตรงนั้นแหละ” ก็แกล้งทำเสียงดุออกไปแบบนั้นแหละ พวกสาวๆเขาชอบให้ผมเล่นบทมาเฟียใส่คชา ไม่รู้กันซะเล้ยที่ผมทำเสียงเข้มก็เพื่อแก้เขินเวลาต้องถูกจับตามองเท่านั้นแหละ คชาเองก็เหมือนกันผมรู้นะที่ชอบทะเลาะกับผมก็เพราะพวกเราทำตัวไม่ถูกตอนที่ต้องถูกจับจ้องด้วยเลนส์กล้องเป็นสิบๆ ถึงแม้วันนี้จะมีแค่สองสามอันก็ตามเถอะ
“มึงไม่ให้กูดูเฟรมแล้วกูจะรู้ได้ไงว่าต้องยืนตรงไหน” ดู บ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย บ่นไปแต่ก็ยอมเดินไปยืนเป็นนายแบบให้ผมดีๆ น่ารักมั้ยครับเพื่อนรักของผม
แวะถ่ายรูปกันเสร็จพวกเราก็ไปเดินเล่นกันต่อที่ถนน ฌ็อง เซลิเซ่ คราวนี้พวกสาวๆก็ดูจะตื่นตาตื่นใจกับร้านค้าหรูหราในย่านแฟชั่นชื่อดังไม่น้อยทีเดียว ทั้งร้านเสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนเนม ร้านกาแฟร้านอาหารฝรั่งเศสหรูๆ โชว์รูมรถยี่ห้อแพงตลอดจนโรงละครชื่อดังเรียงรายอยู่ตลอดแนวถนนสุดลูกหูลูกตา ตอนที่คนอื่นๆหยุดดูดิสเพลย์หน้าร้านรองเท้าผมก็แอบดึงคชาเข้าไปหลบในซอกตึกใกล้ๆ
“ทำอะไรของมึง”
“เปล่า แค่อยู่ๆก็อยากบอก... ตกลงเรื่องวันนั้น เต๋าไม่เสียใจนะ”
“เรื่องวันไหน”
“ก็เรื่องที่ใต้สะพาน...” ผมมองคนที่ทำหน้ายุ่งคิ้วผูกโบ มือที่อยู่ข้างตัวจับปลายมืออีกคนมากุมเอาไว้หลวมๆ ผมรู้ว่าคชารู้ดีว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร เขาไม่ยอมมานั่งข้างๆผมตอนที่พวกเรานั่งเรือลอดผ่านสะพานนั่นอีกครั้งหนึ่ง ก็ตลกดี เขาคิดว่าผมจะกล้าขโมยจูบเขาทั้งๆที่พวกเราอยู่กันตั้งเกือบสิบคนหรือยังไง
“ความหมายของจูบใต้สะพานนั่น... รักนิรันดร์ถูกมั้ย” ในแสงสลัวของซอกแคบๆที่แสงผ่านเข้าไม่ถึง ผมเห็นเจ้าตัวแสบของผมหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ผมโน้มหน้าลงไปจนหน้าผากของเราแตะกันเบาๆ ก่อนที่ผมจะอดใจไม่ไหวประทับจูบลงไปบนริมฝีปากนุ่มหยุ่นที่รู้สึกดีเยี่ยมทุกครั้งที่ได้ครอบครอง จะกี่ปีผ่านไปแต่หัวใจของผมยังเต้นแรงให้กับคนคนนี้ทุกๆครั้งเราได้ใกล้ชิดแลกลมหายใจกัน ผมบดจูบบนเนื้อรสหวานที่เจ้าตัวกำลังครางประท้วงอีกทั้งกำเสื้อของผมแน่น ผมรุกเร้าเปลี่ยนมุมไม่รู้เบื่อขณะบดเบียดความนุ่มตามแรงอารมณ์จนมันแทบจะเสียรูป จูบของคชาที่ยังเคอะเขินทุกครั้งทำให้หัวใจผมโลดแล่นด้วยความตื่นเต้นได้ทุกที ความรู้สึกที่อยากจะกินอีกคนไปทั้งตัวทำให้ผมเผลอเม้มขบริมฝีปากล่างที่เริ่มจะบวมเจ่อแล้วดูดดึงจนเจ้าตัวแสบต้องยอมเผยอปากให้ลิ้นของผมสอดเข้าไปได้ แต่วินาทีต่อมาที่เจ้าตัวแสบรู้ตัวว่าเผลอยอมให้ผมรุกล้ำเข้าไปเกินขอบเขตมือเล็กก็รีบประท้วงทุบอกผมหนักๆ เขาไม่ชอบให้ผมจูบแบบดูดดื่มเวลาเราอยู่ข้างนอก และนั่นก็ทำให้ผมต้องยอมปล่อยผละจูบออกมาอย่างเสียดาย
“ไอ้บ้า ถ้าใครเห็นนะมึง” เวลาที่เขายกหลังมือขึ้นเช็ดปากหลังโดนผมจูบเนี่ย โคตรน่ารักเลย น่ารักจนอยากจะจับจูบอีกสักรอบ หึหึหึ
“เขาไม่รู้หรอก ถ้ามึงไม่ทำหน้าแดง” ผมหยอกขณะขยี้ผมคนตัวเล็กด้วยความมันเขี้ยว พอลอบหอมแก้มป่องๆของคนงอนอีกสักทีก่อนจะผลักเจ้าตัวออกไป พอเดินตามออกมาก็เห็นคนอื่นๆกรูเข้ามาแล้วพูดว่า ‘อยู่นี่เอง ไปไหนกันมา’ คนตัวเล็กลอบเหลือบมองมาเหมือนจะค้อนแต่ผมก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี
...ผมอารมณ์ดีเอามากๆซะด้วย...
พวกเรายังคงเดินเล่นแวะร้านนู้นร้านนี้ที่ถนนสายนั้นอีกสักพักใหญ่ เห็นพี่แฟนคลับวุ่นวายกับอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกเต็มสองมือสองไม้ผมเลยแวะเข้าไปกวนตามประสา
“พี่ทำอะไรกัน อุปกรณ์เยอะไปนะ”
“ว่าจะถ่ายคลิปตอนเดินเล่นไปฝากคนที่ไม่ได้มาอะ”
“ได้ๆ จัดมา” หลังจากวุ่นวายกับเก็ทเจ็ทล้านแปดในมือเขาอีกสักพักผมก็เห็นเขาถือกล้องถ่ายมาที่ผมที่เดินอยู่ข้างหน้า ส่วนคชาน่ะหรอ เขาเดินอยู่กับพี่ป้อมนำหน้าไปนู้นแล้ว
“ถ่ายวีดีโออยู่” เขาบอก ผมจึงกลับหลังหันแล้วเดินนำกล้องชี้ไปที่คชาซึ่งเดินอยู่ข้างหน้า ผมเร่งฝีเท้าจนเกือบทัน เหมือนคชาจะรู้ตัวเขาเหลือบมามองขณะที่ผมนึกสนุกกระโดดขี่หลังโหนเจ้าตัวเล็กซะเลย คชาตัวเสขณะที่ผมลงเดินนำไปทั้งนึกขำอยู่ในใจ
...คอยดูนะ เดี๋ยวคงต้องโดนเอาคืน...
...ไม่ต้องสืบ!...
ไม่นานเกินรอที่คนตัวแสบเดินมายันก้นผมเต็มแรงทั้งฝ่าเท้า สาบานว่าถ้าไม่มีแฟนคลับเดินตามหลังเป็นสักขีพยานอยู่ตอนนี้ผมคงจะกระโดดล๊อคคอไอ้คนน่ารักให้หายมันเขี้ยวแล้วปล้ำจูบมันกลางถนนเลยเป็นไง
ในเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์ตราและไอของความรักที่อบอวล กาลครั้งหนึ่งในปารีสเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่กำลังโลดแล่นและเอ่อล้นในหัวใจของผมเวลานี้ ชอบ และอยากอยู่ข้างๆกันตลอดไป ความรู้สึกนั้นไม่ได้ลดลงไปจากวินาทีแรกที่ได้เจอ ตั้งแต่ตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขามันไม่เคยมีชื่อเรียกมาตั้งแต่ต้น จนได้พบกันอีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์ในฐานะนักล่าฝัน และตอนนี้ผ่านมาก็สามถึงสี่ปีแล้วผมก็โอเคถ้ามันจะยังคงไม่มีชื่อเรียกแบบนี้ต่อไป
...ผมแค่แน่ใจเพียงแต่ว่า...
...จากนี้ไป ผมจะมีเขาอยู่ข้างๆไม่ห่างไปไหน...
...เพราะผมจะไม่มีวัน ปล่อยเขาไปอีกเป็นครั้งที่สอง...
บนถนนสายยาวที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนตอนที่พวกคนอื่นเดินนำพวกผมสองคนไปอีกครั้ง ผมรู้สึกได้ถึงนิ้วเรียวของคนข้างๆที่ยื่นมาเกี่ยวนิ้วของผมเอาไว้
...เจ้าตัวแสบของผมน่ารักใช่มั้ยล่ะครับ...
.................................
x---x---x---x---x---x---x---x---x---x---x---x
THE END
จบแล้วคร่ะ!! เขียนหนึ่งวันเต็มๆ ไม่นึกว่าจะยาวขนาดนี้ ตั้งใจว่าสักสิบหน้า ที่ไหนได้ เลยมาสิบเจ็ดหน้าเลยแหะ อิฉันก็เอามาลงตามรีเควสของคนอ่านที่รักทุกคนแล้วนะคะ หวังว่าจะได้รับความเพลิดเพลินและความฟินไม่มากก็น้อยคร่ะ ใครเควสเอ็นซีมา รอในCaught up in YOU ละกันนะตัว ตอนหน้าเรทอีกละ =..= อันนี้ก็ใสๆโลกสวยกันไปก่อน วันนี้มีพี่ส่งลิงค์เพลงเต๋าสั้นๆมาให้ฟัง คือฟังแล้วมันเข้ากับพล๊อตเรื่องนี้ที่นอนคิดไว้เมื่อคืนมากกกกกกกกกกกกกกกกก เลยจับเอามาใส่ซะเลย 555 กรุณาเปิดหาเพลงฟังเพื่อความอินตามสะดวกนะคร่ะ :) พยายามจะหารูปคชาหน้าวิหารนอร์ทมาประกอบภาพ ไม่สามารถจริงๆหาไม่เจอ เจอแต่เต๋า แหะๆ ขอบคุณภาพจาก @TKinParis มากค่ะ งดงามหาที่เปรียบมิได้จริงๆ
ปล. เรื่องตำนานจูบใต้สะพาน Pont marie ที่แม่น้ำแซนน์นี่มีจริงนะคะ เค้าเรียกสะพานนี้ว่า ‘Bridge of Lovers’ เชื่อว่าถ้าคู่รักได้จูบกันใต้สะพานนี้แล้วอธิษฐานขอรักนิรันดร์แล้วคำอธิษฐานจะเป็นจริงล่ะ อิอิ
ปลอีก. เขียนผิดตกหลนอย่างไร ขออภัยด้วยค่ะ ปั่นมือหงิก
http://www.youtube.com/watch?v=NqgPaqpMs4c&feature=youtu.be
โลกที่ไม่น่าอยู่ - ร้องโดยพระเอกฟิคค่ะ ออกใหม่ใช่มะ จับยัดใส่ฟิคซะเลย
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น