คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 17
Chapter 17
“เป็นยังไงบ้าง”
คำถามที่อยากถามมาตลอดถูกเอ่ยออกไปหลังจากที่ซีวอนเดินขึ้นมานั่งข้างกันกับอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วบนแกรนด์สแตน
“คำถามกว้างไปนะ” เอ่ยออกไปทีเล่นทีจริง เหมือนจะรู้ว่าอีกคนหมายถึงอะไรแต่ก็ไม่รู้จะตอบออกไปยังไง
“ก็เลือกตอบเฉพาะที่อยากตอบสิ” คนตั้งคำถามเอ่ยต่อโดยไม่ได้มองหน้าเพราะไม่อยากกดดัน สองมือของซีวอนประสานกันอยู่ข้างหน้าในขณะที่ศอกทั้งสองข้างเท้าลงกับเข่าที่ตั้งฉากกับพื้นไล่ระดับ
“ถ้าตอบว่า.....ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงล่ะ” คำตอบที่เลื่อนลอยไม่ต่างจากแววตาถูกเอ่ยออกมาจนคนที่นั่งข้างกันต้องหันไปมองใบหน้าคนพูด
“สับสนสินะ” คำพูดของซีวอนทำให้ฮยอกแจต้องหันมาสบตาเพื่อขอคำอธิบาย
“ครั้งนึงฉันก็เคยเป็นแบบนาย ฉันพยายามมองข้ามและไม่สนใจที่จะหาคำตอบ แล้ววันนึงคำตอบมันก็มาเอง แล้วมันก็ชัดเจนขึ้นตอนที่เรารู้สึกว่ากำลังจะเสียมันไป”
ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงดาวหรือแสงใดๆนอกจากแสงสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างจนให้ความรู้สึกว่าแสงมันจ้ากลบความมืดมิดของท้องฟ้าในยามค่ำคืนไปหมด
นึกถึงวันที่ตนเองเริ่มรู้สึกแปลกไปกับฮยอกแจ แต่ก็ไม่เคยคิดจะหาคำตอบสำหรับความรู้สึกนั้นเพราะความกลัว กลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่คิดไว้ กลัวว่าจะรู้สึกกับฮยอกแจในแบบที่เพื่อนกันไม่ควรจะรู้สึก กลัวว่าฮยอกแจจะรับไม่ได้และอาจจะต้องเสียร่างบางนี้ไป เหมือนว่าเขาหนีความรู้สึกนั้นมาตลอด จนวันที่ได้พบกับทงเฮ อีกคนแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอที่สนามแห่งนี้ ทั้งท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับเขาตอนที่ฮยอกแจยืนเคียงข้างกันและเดิมพันที่กล้าท้าทายออกมาซึ่งๆหน้า
จนกระทั่งวันที่ฮยอกแจต้องไปกับทงเฮ เขาไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้นที่หันหลังเดินออกมาจากคอนโดฮยอกแจแล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างบางอีกบ้าง ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากถามกับคยูฮยอนด้วยซ้ำเพราะชนักติดหลังที่ทำไว้กับคยูฮยอนทำให้ไม่กล้าที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขามันขี้ขลาดเกินไป
ฮยอกแจไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะพอจะเข้าใจสิ่งที่ซีวอนกำลังสื่อ การเงียบเพื่อรอฟังในสิ่งที่อีกคนอยากพูดจึงน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะยังไงวันนี้เขาก็มาเพื่อที่จะฟังซีวอนอยู่แล้ว
“เมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาฉันไปเฝ้ารอนาย เพื่อจะขอโทษและอยากจะรับผิดชอบในทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาย เพราะฉันคิดว่ามันเป็นความผิดของฉัน ฉันก็ควรต้องรับผิดชอบ...และเพราะฉัน...ไม่อยากจะเสียนายไป... แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันควรพูดกับนายก็คือ...ฉันควรถามว่านายเป็นยังไงบ้าง.....มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยเหลือได้มั้ย ... ฉันควรถามอย่างนี้ใช่หรือเปล่า”
“ถ้าใจเขาไม่ได้อยู่กับเราต่อสู้ไปก็จะยิ่งทำให้เขาลำบากใจเปล่า ๆ สู้หลีกทางให้เขาได้มีความสุขกับคนที่เขาเลือกแล้วเราก็คอยดูแลเค้าห่างๆในฐานะเพื่อนดีกว่า”
เขาตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ยที่เลือกจะทำแบบนี้ มองดูก็รู้ว่าฮยอกแจกำลังสับสนและก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของคนๆนั้น...ทงเฮ.... และไม่ว่าคำตอบของฮยอกแจจะใช่หรือไม่ใช่ทงเฮ แต่ที่แน่ๆ “มันไม่ใช่เขา..ไม่ใช่ชเว ซีวอน” เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็คือคอยเป็นห่วงเป็นใยและดูแลอยู่ห่างๆในฐานะเพื่อน
“อะไรที่มันยังสับสนอยู่ ก็รีบหาคำตอบให้มันชัดเจนซะ ก่อนที่จะต้องเสียมันไป” คำพูดที่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยมันออกมา ถึงจะรู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆแต่มันก็คงจะดีกว่าการที่ได้เห็นฮยอกแจอยู่ในสภาพนี้ต่อไป
ร่างบางยิ้มตอบรอยยิ้มอบอุ่นที่ซีวอนส่งมาให้ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณและปล่อยให้ความเงียบครอบงำอยู่อีกสักพักจึงเอ่ยถามถึงการซ้อมขับรถออกมาเพราะเห็นว่าตอนนี้ยังไม่ดึกเท่าไหร่นัก
“ไม่ซ้อมต่อเหรอ”
“ไม่แล้วละ อาทิตย์หน้าต้องไปซ้อมที่ญี่ปุ่นอีกเป็นเดือนเลย ควรจะเก็บสภาพร่างกายไว้ให้ดี แต่ที่มานี่เพราะเหงาตีนเฉยๆ”
“อะไรนะ!! เหงาตีน” ร่างบางหัวเราะออกมาพร้อมกับเลิกคิ้วถาม
“ก็อยู่ว่างๆมันเบื่อ เลยมาเหยียบคันเร่งเล่นแก้เซ็ง” ซีวอนช่วยอธิบายคำพูดของตนเองแต่ก็อดจะหัวเราะออกมาด้วยไม่ได้ เขาก็ใช้คำพูดแปลกประหลาดจริงๆนั่นแหละไม่แปลกอะไรที่ฮยอกแจจะขำออกมา
แล้วเสียงพูดคุยและหัวเราะของคนทั้งคู่ก็ดังออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นซีวอนที่เป็นคนพูดคุย ไม่ว่าจะเล่าถึงการเข้าแข่งขันรายการ Super GT ที่กำลังจะมีขึ้นหรือเล่าถึงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในญี่ปุ่น แต่แน่นอนว่าเรื่องหนึ่งที่ละไว้ก็คือ....เพื่อนของทงเฮ
ถึงแม้ภายในใจของทั้งสองคนจะยังมีเรื่องอื่นที่ค้างคาใจให้ต้องสะสาง แต่อย่างน้อยการปรับความเข้าใจกันในคืนนี้ก็ช่วยให้ความสัมพันธ์ที่อึมครึมของคนทั้งคู่เริ่มสว่างขึ้นมาบ้างแล้วเพราะซีวอนที่ยอมถอยออกมายืนอยู่ในฐานะเพื่อนเหมือนเดิมทำให้เสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งมิตรภาพเริ่มจะกลับมาอีกครั้ง
--------------- M-y--B-a-d--B-o-y --------------
เสียงเรียกเข้าที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้มือเรียวยื่นออกจากผ้าห่มหนานุ่มควานสะเปะสะปะไปทั่วบริเวณโต๊ะหัวเตียง เปลือกตาบางปรือขึ้นมองชื่อที่ขึ้นหราอยู่บนหน้าจอก่อนจะสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย
“อือ.....”
[ นี่มึงยังไม่ตื่นอีกเหรอ ] เสียงจากปลายสายถามออกมาเมื่อเสียงที่ได้ยินนั้นเหมือนคนที่รับโทรศัพท์โดยที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ
“กี่โมงแล้วเนี่ย จะซ้อมกันแล้วเหรอ” ฮยอกแจงัวเงียถามกลับไป
[ เปล่า....กูจะโทรมาบอกมึงว่าวันนี้ไม่ซ้อมนะ เล่นเพลงเก่ากันไปก่อน ไอ้ฮันมันนอนเดี้ยงอยู่โรงพยาบาล กูต้องอยู่เฝ้ามันอ่ะ แล้วเดี๋ยวคืนนี้เจอกันที่ผับ บอกไอ้สองตัวนั้นด้วย ]
“ได้ๆ ว่าแต่พี่ฮันเป็นอะไร” เมื่อได้ยินว่าฮันคยองอยู่โรงพยาบาลเปลือกตาบางจึงลืมขึ้นอย่างเต็มตาก่อนจะถามถึงคนรักของพี่ร่วมวงด้วยความเป็นห่วง
[ไม่เป็นไรมากหรอก ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มันอ้อนไปงั้นอยากให้กูอยู่เฝ้า]
“อ่อ นึกว่าผิดท่า” เมื่อรู้ว่าอีกคนไม่ได้เป็นอะไรมากฮยอกแจจึงแซวปลายสายเล่น ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีพอควรเลยทีเดียว
“ผิดท่าห่าไรล่ะ ไข้ขึ้นทั้งคืนไม่ได้ซักท่านึงเลยเนี่ยกู พากูกามแต่เช้าเลย ลืมตามาก็คิดแต่เรื่องบนเตียงนะมึงน่ะ”
หลังจากได้ฟังเสียงด่าของฮีชอลพร้อมกับเสียงหัวเราะของตนเองจนเป็นที่พอใจแล้วฮยอกแจก็ถามถึงโรงพยาบาลและห้องที่ฮันคยองพักฟื้นอยู่ก่อนจะวางสายไปเพราะอีกฝ่ายที่บอกว่าพยาบาลกำลังเข้ามาวัดไข้คนป่วย
ฮยอกแจดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะกดโทรออกเพื่อบอกกับยงฮวาและซองกยูว่าวันนี้ไม่ต้องซ้อมดนตรี จากนั้นก็สไลด์หน้าจอไปมาเล่นโน่นนี่สักพักและสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเปิดเข้าไปดูข้อความแจ้งเตือนอีกครั้ง
เมื่อคืนหลังจากซีวอนมาส่งที่คอนโดแล้ว ร่างบางก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเดินทางออกมาชาร์ตแบตและกดเปิดเครื่องหลังจากปิดไว้ตั้งแต่วันอาทิตย์ จนถึงวันนี้ก็ เข้าวันที่ 5 แล้วที่โทรศัพท์เขานอนนิ่งเป็นโลหะอยู่เฉยๆ ข้อความแจ้งเตือนมากมายไหลเข้ามารัวๆส่วนใหญ่จะเป็นการแจ้งเตือนว่ามีผู้มีโทรเข้าซึ่งมีทั้งของซีวอน ฮีชอล ยงฮวา ซองกยู แจ็คสัน และที่มากที่สุดก็คงจะเป็นของใครคนนั้น ฮยอกแจกดเข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละข้อความอีกครั้งหลังจากที่เมื่อคืนนั้นเลื่อนดูแค่ผ่านๆ
ทงเฮโทรมาตั้งแต่ตอนสายของวันอาทิตย์ ระยะเวลาห่างจากที่เขาวางสายยงฮวาและกดปิดเครื่องไปไม่ถึง 3 นาทีด้วยซ้ำ จนถึงเมื่อคืนที่เขาปิดเสียงเรียกเข้าไว้ก็ยังมี Miss Call จากอีกคนปรากฏให้เห็นอยู่ รวมไปถึงข้อความที่เป็นตัวอักษรอีกนับไม่ถ้วนทั้งถามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงเก็บของออกไปจากคอนโด เขากำลังเข้าใจผิดเจ้าตัวอยู่ อยากไปหาแต่ไปไม่ได้ รอหน่อยนะ กลับบ้านเป็นยังไงบ้าง กลับมาแล้วหรือยัง ทำไมไม่โทรกลับ ได้อ่านข้อความมั้ย และอื่นๆอีกมากมาย จนบางข้อความก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้
ก็แล้วยังไงล่ะ.... คืนวันเสาร์ทั้งคืนมัวทำอะไรอยู่ถึงไม่โทรมา แล้วยิ่งพอนึกถึงหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในคอนโดด้วยแล้วก็ยิ่งพาให้หงุดหงิด มือเรียวโยนโทรศัพท์ลงกลางเตียงอย่างไม่ใยดี
“จะอะไรยังไงก็ช่างแม่ งเหอะ ไปอาบน้ำดีกว่าเผื่อจะเลิกฟุ้งซ่าน”
ฮยอกแจยีผมตนเอง 2-3 ครั้งคล้ายอยากจะไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากหัว ก่อนจะสะบัดผ้าห่มออกจากตัวและลุกขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวเพราะตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะไปเยี่ยมฮันคยองแล้วตอนค่ำๆค่อยออกไปที่ผับพร้อมกับฮีชอล
--------------- M-y--B-a-d--B-o-y --------------
อาการของฮันคยองไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก ก็อย่างที่ฮีชอลบอกว่าฮันคยองแค่เป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดาเท่านั้นแต่ที่ฮีชอลต้องมาอยู่เฝ้าก็เพราะคนป่วยที่ขี้อ้อนเสียจนเกินเหตุ แต่เหตุผลหลักที่รุ่นพี่ของเขาเลือกที่จะไม่ทิ้งฮันคยองไปซ้อมดนตรีก็คงหนีไม่พ้นคำว่ารักและห่วงใย
“ถ้าพวกพี่จะหวานไม่เกรงใจกันขนาดนี้ล่ะก็นะ ผมไปหาอะไรดื่มข้างล่างดีกว่า”
ฮยอกแจเอ่ยออกมาหลังจากนั่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการแสดงออกซึ่งความรักของคนป่วยกับคนเฝ้าอยู่นาน ยิ่งใกล้เวลาที่ฮีชอลกับเขาจะต้องออกไปผับฮันคยองก็ยิ่งอ้อนฮีชอลเข้าไปใหญ่ ภาพของคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงแต่มือข้างที่ว่างจากเข็มน้ำเกลือนั้นจับมือบางของรุ่นพี่เขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้ห่างไปไหน แค่จะไปหยิบน้ำให้ดื่มฮีชอลยังต้องลูบหลังมือปลอบแล้วบอกว่า “ไปหยิบน้ำให้แปบเดียว เดี๋ยวมา” เห็นแล้วอยากจะเดินเข้าไปหัวเราะดังๆในห้องน้ำ ฮันคยองคนที่เท่ มีเสน่ห์และแสนเจ้าชู้ที่เขาเคยรู้จักหายเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้ว
“เออ เดี๋ยวอีกสักพักตามลงไป” ฮีชอลเอ่ยบอกทั้งที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับคนบนเตียง
“ไม่ต้องรีบหรอก เหลือเวลาอีกเยอะอยู่ เดี๋ยวไปเดินเล่นรอแถวข้างล่างนี้แหละ ถ้าลงไปก็โทรมาละกัน”
หลังจากบอกออกไปแบบนั้นเพื่อให้ฮีชอลสบายใจร่างบางก็ออกจากห้องพักฟื้นของฮันคยองตั้งใจว่าจะไปหาอะไรดื่มข้างล่างที่นี่คงจะพอมีสวนสาธารณะให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจได้บ้าง
เมื่อได้เครื่องดื่มจากร้านแกแฟเล็กๆที่เปิดอยู่ด้านข้างโรงพยาบาลติดกับลานจอดรถแล้วสองขาเรียวก็เตรียมจะก้าวออกเพื่อเดินไปยังอีกฝั่งที่เห็นว่ามีมุมที่ถูกจัดไว้เป็นส่วนหย่อมอยู่ ถ้าไม่ติดว่าดวงตาเรียวจะกวาดไปเจอ Lamborghini Aventador สีขาวคันคุ้นตากำลังถอยเข้ามาจอดในลานจอดรถเสียก่อน
ร่างบางก้าวถอยหลังออกมายืนหลบอยู่มุมร้านเมื่อเห็นว่าประตูฝั่งคนขับนั้นถูกเปิดออก ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็มายืนแอบอยู่ตรงนี้เสียแล้ว
ร่างหนาของคนที่เขาไม่ได้เห็นมาเกือบสัปดาห์ก้าวลงจากรถก่อนจะปิดประตูและก้าวยาวๆอ้อมไปอีกด้านซึ่งเป็นฝั่งคนนั่ง ทันทีที่ประตูฝั่งนั้นถูกเปิดออกก็มีร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาจากตัวรถ ผู้หญิงที่ฮยอกแจไม่เคยเห็นหน้า แต่ที่แน่ๆไม่ใช่คนเดียวกับคนที่เขาเห็นบนคอนโดทงเฮในคืนนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฮยอกแจยืนมองภาพของทงเฮที่เดินเคียงข้างกันกับผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปบนตึกของโรงพยาบาล ตึกซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักจากตึกที่ฮันคยองพักฟื้น รอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นที่ยิ้มตอบขอบคุณยามที่ทงเฮเอื้อมมือไปหยิบถุงข้าวของในมือของเธอมาถือให้และรอยยิ้มที่ทงเฮยิ้มตอบกลับไปยังฝังอยู่ในหัวของฮยอกแจแม้ว่าคนทั้งคู่จะเดินหายลับตาเข้าไปในตึกแล้ว
“เพราะอย่างนี้สินะ ถึงได้เงียบไป”
แก้วกาแฟอุ่นถูกวางทิ้งไว้ที่โต๊ะตัวเล็กมุมร้านทั้งที่เจ้าของยังไม่ได้ลิ้มรสของมันเลยแม้เพียงสักนิดเดียว
ฮยอกแจเดินตามคนทั้งคู่เข้าไปในตัวตึก นิ้วเรียวกดลงบนปุ่มลูกศรชี้ขึ้นหน้าลิฟท์โดยที่ดวงตาเรียวนั้นจ้องมองตัวเลขบอกชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆของลิฟท์ตัวที่อยู่ฝั่งซ้ายไม่วางตา เมื่อลิฟท์อีกตัวลงมาถึงร่างบางก็ปล่อยให้คนอื่นขึ้นไปก่อนและกดปุ่มหน้าลิฟท์อีกครั้งรอจนกระทั่งลิฟท์ฝั่งซ้ายที่ไปหยุดอยู่ที่ชั้น 16 นั้นกลับลงมาจึงได้เดินเข้าลิฟท์ไป นิ้วเรียวกดลงที่หมายเลข 16 และตามด้วยปุ่มปิดลิฟท์ ยืนรอให้ถึงชั้นที่ต้องการอย่างใจจดใจจ่อ
เท่าที่กวาดตามองคร่าวๆนั้นบนชั้นนี้มีห้องพักฟื้นอยู่เพียงไม่กี่ห้องซึ่งแต่ละห้องน่าจะเป็นระดับ VIP ที่แตกต่างจากห้องพักฟื้นของฮันคยองซึ่งอยู่ในชั้นที่รองลงไปจากนี้อีก 3-4 ชั้น
ฮยอกแจไล่สายตาไปตามแผ่นป้ายอะครีลิคสีขาวหน้าห้องที่มีซองใสเสียบกระดาษรายชื่อผู้ป่วยไว้ ก่อนจะได้สติเมื่อเห็นชื่อที่ไม่คุ้นบนแผ่นป้าย
“แล้วจะรู้มั้ยว่ามาเยี่ยมญาติฝ่ายไหน”
ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า คนทั้งคู่มาเยี่ยมใครก็ไม่รู้ซึ่งตนเองก็ไม่ได้รู้จัก ต่อให้เดินไล่อ่านชื่อจนครบทุกห้องแต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นชื่อไหน และถึงจะบังเอิญรู้ว่าทั้งคู่หายเข้าไปในห้องไหนแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ
แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้นปลายเท้าก็ยังคงก้าวเรื่อยๆไปตามห้องต่างๆโดยที่สายตาก็กวาดมองรายชื่อไปเรื่อยจนสะดุดเข้ากับชื่อหนึ่ง “อี ซูมาน” ผู้ป่วยสูงวัยสกุล อี
“หรือว่า........ คุณ !!!!...”
“ฮยอกแจ !!”
น้ำเสียงที่ตกใจไม่แพ้กันของคนที่เพิ่งเปิดประตูห้องพักฟื้นออกมาทำให้ร่างบางก้าวถอยหลังด้วยความตกใจโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหมุนตัวกลับหลังหันเตรียมจะเดินหนีถ้าอีกคนไม่คว้าข้อมือเอาไว้ได้เสียก่อน
“จะไปไหน คุยกันก่อน มาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงร้อนรนกึ่งดีใจของทงเฮถามออกมารัวเร็ว
“นั่นสิ เขามาทำอะไรที่นี่”
“มีอะไรหรือเปล่าทงเฮ” น้ำเสียงของผู้หญิงในห้องเอ่ยถามออกมาเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยหน้าห้อง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงและยืนเคียงข้างกันกับทงเฮ
“แล้วนี่ ??” เมื่อไม่ได้คำตอบพร้อมกับที่เดินออกมาเห็นคนแปลกหน้าซึ่งก็คือฮยอกแจยืนอยู่หน้าห้องจึงหันไปถามกับทงเฮด้วยความสงสัย
ฮยอกแจอาศัยช่วงที่ทงเฮหันกลับไปมองผู้หญิงคนนั้น สะบัดมือจนหลุดออกและวิ่งไปกดลิฟท์ทันที ในระหว่างที่รอลิฟท์สายตาก็คอยเหลือบมองทงเฮตลอดกลัวว่าอีกคนจะตามมาทันก่อนที่ลิฟท์จะมาถึง เขาเห็นทงเฮพูดอะไรกับหญิงสาว 2-3 ประโยคแล้วก็วิ่งตามออกมา แต่โชคดีที่ลิฟท์มาถึงพอดีร่างบางจึงก้าวเข้าลิฟท์ไปและกดปุ่มปิดลิฟท์ซ้ำๆเหมือนว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้ลิฟท์ปิดเร็วขึ้น แต่เปล่าเลย...เพราะในขณะที่ลิฟท์กำลังจะปิดตัวลงทงเฮก็แทรกตัวเข้ามาข้างในได้เสียก่อน
“ทำไมต้องหนีผม ตกลงมาทำอะไรที่นี่ มาเยี่ยมใคร หรือป่วย ไม่สบายเจ็บตรงไหน” ทงเฮรัวคำถามพร้อมกับจู่โจมเข้าจับตัวฮยอกแจเอียงซ้ายขวาเพื่อดูว่าอีกคนเจ็บป่วยตรงไหนหรือเปล่า
“พอได้แล้ว ไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไรตรงไหนทั้งนั้นแหละ จะตามมาทำไม” ฮยอกแจผลักอีกคนออกอย่างแรงจนทงเฮเซไปกระแทกกับผนังลิฟท์อีกด้าน
ใบหน้าหวานหันหน้าหนีไปอีกทางไม่ใช่ว่าไม่อยากมองหน้า แต่ไอ้น้ำที่คลออยู่ในหน่วยตานี่ต่างหากที่ทำให้เขาต้องหันหนีไปทางอื่น บ้าจริงๆเลยทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ นึกโมโหทั้งคนที่อยู่ข้างๆแล้วก็ตนเอง
“ฮยอกแจ” น้ำเสียงทุ้มของทงเฮเอ่ยเรียกอย่างเว้าวอน เพราะรู้ว่าอีกคนคงจะกำลังโกรธอยู่ แต่ทงเฮคงไม่รู้ว่าสิ่งที่ค้างคาอยู่ในหัวของฮยอกแจนั้นไม่ได้มีแค่เรื่องยุนอาเพียงเรื่องเดียว
“ผมขอโทษ” ถึงไม่รู้ว่าผิดอะไรแต่ทงเฮก็เลือกที่จะเอ่ยขอโทษออกไป ตลอดหลายวันที่ผ่านมาอยากจะคิดเข้าข้างตนเองว่าที่ฮยอกแจปิดการติดต่อสื่อสารจากเขาก็เพราะโกรธเรื่องที่ไปเจอยุนอาอยู่บนห้อง แต่ว่าร่างบางก็นิ่งเสียจนเกินกว่าจะให้เขาคาดเดาเข้าข้างตนเอง
ในขณะที่อีกคนอยากจะขอโทษและอธิบายแต่อีกคนก็ได้แต่ยืนเงียบไม่พูดไม่ถามอะไรออกมาเลย เลยกลายเป็นว่าในลิฟท์ขณะนี้เงียบเสียจนชนิดว่าถ้าเข็มสักเล่มตกกระทบพื้นก็คงจะได้ยินเสียงของมัน จนในที่สุดทงเฮก็ทนต่อความเงียบต่อไปไม่ไหวตัดสินใจพูดออกมา
“พูดอะไรบ้างสิ บอกผมว่าคุณเป็นอะไร ถ้าคุณโกรธเรื่องที่..............”
ติ๊ง !!!!!!
ทงเฮยังพูดไม่ทันจบประโยคลิฟท์ก็ลงมาถึงชั้นล่างและเปิดออกให้เห็นผู้คนอีก 4-5 คนที่ยืนรอจะเข้าลิฟท์อยู่ด้านนอก ฮยอกแจก้าวผ่านคนเหล่านั้นไปโดยไม่หันมามองคนข้างหลัง จนทงเฮต้องรีบวิ่งตามและคว้าข้อมือไว้ไม่ให้เดินหนี
“คุยกับผมก่อนนะ...นะ....ขอร้องละ อย่าหนีกันอีกเลย” ทงเฮเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่วอนขอจนฮยอกแจเกือบจะใจอ่อนต้องมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากจะสบกับดวงตาสีน้ำตาลที่แฝงแววเศร้าตรงหน้า
“มีอะไรก็ว่ามา” น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยถามทั้งที่คนถามไม่ได้มองหน้าคนที่ต้องตอบด้วยซ้ำ
“ไปคุยกันที่อื่นเถอะ” เมื่อได้โอกาสทงเฮจึงพูดชวนก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อให้ฮยอกแจมองดูสภาพรอบตัวที่ไม่เหมาะจะเป็นที่ปรับความเข้าใจกันเท่าไหร่นัก เนื่องจากตึกของโรงพยาบาลในช่วงหัวค่ำที่มีคนเดินผ่านไปมาประปรายเพราะเป็นช่วงของการเยี่ยมเยียนคนไข้ช่วงเวลาสุดท้ายของวัน
ร่างบางหันซ้ายหันขวามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ก่อนจะหันกลับมามองหน้าของทงเฮอย่างใช้ความคิด
“เขาควรจะไปดีหรือเปล่านะ”
------------------- TBC ---------------------
แค่นี้ก็ยังอุตส่าห์จะอัพ กราบขออภัยทุกคนที่รอลุ้นอยู่ ฮยอกแจควรเล่นตัวมั้ย อิพี่มันหายหัวไปตั้งนานสองนาน
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากมายที่พร้อมใจกันมาชื่นชมและให้กำลังใจพี่ทงเฮอย่างไม่ได้นัดหมาย รักคนอ่านนะ...
ปล.มีคนเดาถูกนะว่าพี่ทงเจอฮยอกแจครั้งแรกที่ไหน แต่ยังไม่เฉลย เฉลยตอนลงสเปฯ คนที่ตอบถูกหลังจากเฉลยแล้วเราจะติดต่อไปนะ ^^
ความคิดเห็น