ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Bad Boy เป็นของฉันได้ไหมนายตัวแสบ - HaeEun feat. WonKyu

    ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 17

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 915
      9
      21 มี.ค. 58

    Chapter 17








     




     

     

    “เป็นยังไงบ้าง”

    คำถามที่อยากถามมาตลอดถูกเอ่ยออกไปหลังจากที่ซีวอนเดินขึ้นมานั่งข้างกันกับอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วบนแกรนด์สแตน
     

    “คำถามกว้างไปนะ” เอ่ยออกไปทีเล่นทีจริง  เหมือนจะรู้ว่าอีกคนหมายถึงอะไรแต่ก็ไม่รู้จะตอบออกไปยังไง

    “ก็เลือกตอบเฉพาะที่อยากตอบสิ” คนตั้งคำถามเอ่ยต่อโดยไม่ได้มองหน้าเพราะไม่อยากกดดัน สองมือของซีวอนประสานกันอยู่ข้างหน้าในขณะที่ศอกทั้งสองข้างเท้าลงกับเข่าที่ตั้งฉากกับพื้นไล่ระดับ

    “ถ้าตอบว่า.....ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงล่ะ”  คำตอบที่เลื่อนลอยไม่ต่างจากแววตาถูกเอ่ยออกมาจนคนที่นั่งข้างกันต้องหันไปมองใบหน้าคนพูด

    “สับสนสินะ” คำพูดของซีวอนทำให้ฮยอกแจต้องหันมาสบตาเพื่อขอคำอธิบาย

    “ครั้งนึงฉันก็เคยเป็นแบบนาย ฉันพยายามมองข้ามและไม่สนใจที่จะหาคำตอบ แล้ววันนึงคำตอบมันก็มาเอง  แล้วมันก็ชัดเจนขึ้นตอนที่เรารู้สึกว่ากำลังจะเสียมันไป” 

     

    ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงดาวหรือแสงใดๆนอกจากแสงสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างจนให้ความรู้สึกว่าแสงมันจ้ากลบความมืดมิดของท้องฟ้าในยามค่ำคืนไปหมด
     

    นึกถึงวันที่ตนเองเริ่มรู้สึกแปลกไปกับฮยอกแจ  แต่ก็ไม่เคยคิดจะหาคำตอบสำหรับความรู้สึกนั้นเพราะความกลัว  กลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่คิดไว้ กลัวว่าจะรู้สึกกับฮยอกแจในแบบที่เพื่อนกันไม่ควรจะรู้สึก กลัวว่าฮยอกแจจะรับไม่ได้และอาจจะต้องเสียร่างบางนี้ไป   เหมือนว่าเขาหนีความรู้สึกนั้นมาตลอด จนวันที่ได้พบกับทงเฮ  อีกคนแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอที่สนามแห่งนี้  ทั้งท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับเขาตอนที่ฮยอกแจยืนเคียงข้างกันและเดิมพันที่กล้าท้าทายออกมาซึ่งๆหน้า 
     

    จนกระทั่งวันที่ฮยอกแจต้องไปกับทงเฮ  เขาไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้นที่หันหลังเดินออกมาจากคอนโดฮยอกแจแล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างบางอีกบ้าง  ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากถามกับคยูฮยอนด้วยซ้ำเพราะชนักติดหลังที่ทำไว้กับคยูฮยอนทำให้ไม่กล้าที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขามันขี้ขลาดเกินไป
     

    ฮยอกแจไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะพอจะเข้าใจสิ่งที่ซีวอนกำลังสื่อ  การเงียบเพื่อรอฟังในสิ่งที่อีกคนอยากพูดจึงน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะยังไงวันนี้เขาก็มาเพื่อที่จะฟังซีวอนอยู่แล้ว

     

    “เมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาฉันไปเฝ้ารอนาย เพื่อจะขอโทษและอยากจะรับผิดชอบในทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาย  เพราะฉันคิดว่ามันเป็นความผิดของฉัน  ฉันก็ควรต้องรับผิดชอบ...และเพราะฉัน...ไม่อยากจะเสียนายไป...  แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันควรพูดกับนายก็คือ...ฉันควรถามว่านายเป็นยังไงบ้าง.....มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยเหลือได้มั้ย ... ฉันควรถามอย่างนี้ใช่หรือเปล่า” 

     

    “ถ้าใจเขาไม่ได้อยู่กับเราต่อสู้ไปก็จะยิ่งทำให้เขาลำบากใจเปล่า ๆ  สู้หลีกทางให้เขาได้มีความสุขกับคนที่เขาเลือกแล้วเราก็คอยดูแลเค้าห่างๆในฐานะเพื่อนดีกว่า” 

     

    เขาตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ยที่เลือกจะทำแบบนี้  มองดูก็รู้ว่าฮยอกแจกำลังสับสนและก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของคนๆนั้น...ทงเฮ.... และไม่ว่าคำตอบของฮยอกแจจะใช่หรือไม่ใช่ทงเฮ   แต่ที่แน่ๆ “มันไม่ใช่เขา..ไม่ใช่ชเว ซีวอน”  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็คือคอยเป็นห่วงเป็นใยและดูแลอยู่ห่างๆในฐานะเพื่อน

     

    “อะไรที่มันยังสับสนอยู่ ก็รีบหาคำตอบให้มันชัดเจนซะ  ก่อนที่จะต้องเสียมันไป”  คำพูดที่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยมันออกมา  ถึงจะรู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆแต่มันก็คงจะดีกว่าการที่ได้เห็นฮยอกแจอยู่ในสภาพนี้ต่อไป

     

    ร่างบางยิ้มตอบรอยยิ้มอบอุ่นที่ซีวอนส่งมาให้  ก่อนจะเอ่ยขอบคุณและปล่อยให้ความเงียบครอบงำอยู่อีกสักพักจึงเอ่ยถามถึงการซ้อมขับรถออกมาเพราะเห็นว่าตอนนี้ยังไม่ดึกเท่าไหร่นัก
     

    “ไม่ซ้อมต่อเหรอ”

    “ไม่แล้วละ  อาทิตย์หน้าต้องไปซ้อมที่ญี่ปุ่นอีกเป็นเดือนเลย ควรจะเก็บสภาพร่างกายไว้ให้ดี แต่ที่มานี่เพราะเหงาตีนเฉยๆ”

    “อะไรนะ!!   เหงาตีน” ร่างบางหัวเราะออกมาพร้อมกับเลิกคิ้วถาม

    “ก็อยู่ว่างๆมันเบื่อ เลยมาเหยียบคันเร่งเล่นแก้เซ็ง”  ซีวอนช่วยอธิบายคำพูดของตนเองแต่ก็อดจะหัวเราะออกมาด้วยไม่ได้  เขาก็ใช้คำพูดแปลกประหลาดจริงๆนั่นแหละไม่แปลกอะไรที่ฮยอกแจจะขำออกมา

     

    แล้วเสียงพูดคุยและหัวเราะของคนทั้งคู่ก็ดังออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นซีวอนที่เป็นคนพูดคุย ไม่ว่าจะเล่าถึงการเข้าแข่งขันรายการ Super GT ที่กำลังจะมีขึ้นหรือเล่าถึงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในญี่ปุ่น  แต่แน่นอนว่าเรื่องหนึ่งที่ละไว้ก็คือ....เพื่อนของทงเฮ

     

    ถึงแม้ภายในใจของทั้งสองคนจะยังมีเรื่องอื่นที่ค้างคาใจให้ต้องสะสาง  แต่อย่างน้อยการปรับความเข้าใจกันในคืนนี้ก็ช่วยให้ความสัมพันธ์ที่อึมครึมของคนทั้งคู่เริ่มสว่างขึ้นมาบ้างแล้วเพราะซีวอนที่ยอมถอยออกมายืนอยู่ในฐานะเพื่อนเหมือนเดิมทำให้เสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งมิตรภาพเริ่มจะกลับมาอีกครั้ง  

     

     --------------- M-y--B-a-d--B-o-y --------------

     

    เสียงเรียกเข้าที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้มือเรียวยื่นออกจากผ้าห่มหนานุ่มควานสะเปะสะปะไปทั่วบริเวณโต๊ะหัวเตียง  เปลือกตาบางปรือขึ้นมองชื่อที่ขึ้นหราอยู่บนหน้าจอก่อนจะสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย 

     

    “อือ.....”

    [ นี่มึงยังไม่ตื่นอีกเหรอ ]  เสียงจากปลายสายถามออกมาเมื่อเสียงที่ได้ยินนั้นเหมือนคนที่รับโทรศัพท์โดยที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ

    “กี่โมงแล้วเนี่ย  จะซ้อมกันแล้วเหรอ”  ฮยอกแจงัวเงียถามกลับไป

    [ เปล่า....กูจะโทรมาบอกมึงว่าวันนี้ไม่ซ้อมนะ เล่นเพลงเก่ากันไปก่อน ไอ้ฮันมันนอนเดี้ยงอยู่โรงพยาบาล กูต้องอยู่เฝ้ามันอ่ะ  แล้วเดี๋ยวคืนนี้เจอกันที่ผับ บอกไอ้สองตัวนั้นด้วย ]

    “ได้ๆ  ว่าแต่พี่ฮันเป็นอะไร”  เมื่อได้ยินว่าฮันคยองอยู่โรงพยาบาลเปลือกตาบางจึงลืมขึ้นอย่างเต็มตาก่อนจะถามถึงคนรักของพี่ร่วมวงด้วยความเป็นห่วง

    [ไม่เป็นไรมากหรอก ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มันอ้อนไปงั้นอยากให้กูอยู่เฝ้า]

    “อ่อ  นึกว่าผิดท่า” เมื่อรู้ว่าอีกคนไม่ได้เป็นอะไรมากฮยอกแจจึงแซวปลายสายเล่น ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีพอควรเลยทีเดียว

    “ผิดท่าห่าไรล่ะ  ไข้ขึ้นทั้งคืนไม่ได้ซักท่านึงเลยเนี่ยกู  พากูกามแต่เช้าเลย ลืมตามาก็คิดแต่เรื่องบนเตียงนะมึงน่ะ”

     

    หลังจากได้ฟังเสียงด่าของฮีชอลพร้อมกับเสียงหัวเราะของตนเองจนเป็นที่พอใจแล้วฮยอกแจก็ถามถึงโรงพยาบาลและห้องที่ฮันคยองพักฟื้นอยู่ก่อนจะวางสายไปเพราะอีกฝ่ายที่บอกว่าพยาบาลกำลังเข้ามาวัดไข้คนป่วย

     

    ฮยอกแจดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะกดโทรออกเพื่อบอกกับยงฮวาและซองกยูว่าวันนี้ไม่ต้องซ้อมดนตรี  จากนั้นก็สไลด์หน้าจอไปมาเล่นโน่นนี่สักพักและสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเปิดเข้าไปดูข้อความแจ้งเตือนอีกครั้ง 

     

    เมื่อคืนหลังจากซีวอนมาส่งที่คอนโดแล้ว  ร่างบางก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเดินทางออกมาชาร์ตแบตและกดเปิดเครื่องหลังจากปิดไว้ตั้งแต่วันอาทิตย์  จนถึงวันนี้ก็ เข้าวันที่ 5 แล้วที่โทรศัพท์เขานอนนิ่งเป็นโลหะอยู่เฉยๆ  ข้อความแจ้งเตือนมากมายไหลเข้ามารัวๆส่วนใหญ่จะเป็นการแจ้งเตือนว่ามีผู้มีโทรเข้าซึ่งมีทั้งของซีวอน ฮีชอล ยงฮวา ซองกยู แจ็คสัน และที่มากที่สุดก็คงจะเป็นของใครคนนั้น  ฮยอกแจกดเข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละข้อความอีกครั้งหลังจากที่เมื่อคืนนั้นเลื่อนดูแค่ผ่านๆ

     

    ทงเฮโทรมาตั้งแต่ตอนสายของวันอาทิตย์  ระยะเวลาห่างจากที่เขาวางสายยงฮวาและกดปิดเครื่องไปไม่ถึง 3 นาทีด้วยซ้ำ  จนถึงเมื่อคืนที่เขาปิดเสียงเรียกเข้าไว้ก็ยังมี Miss Call จากอีกคนปรากฏให้เห็นอยู่ รวมไปถึงข้อความที่เป็นตัวอักษรอีกนับไม่ถ้วนทั้งถามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่  ทำไมถึงเก็บของออกไปจากคอนโด  เขากำลังเข้าใจผิดเจ้าตัวอยู่  อยากไปหาแต่ไปไม่ได้   รอหน่อยนะ   กลับบ้านเป็นยังไงบ้าง  กลับมาแล้วหรือยัง ทำไมไม่โทรกลับ  ได้อ่านข้อความมั้ย และอื่นๆอีกมากมาย จนบางข้อความก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้   

     

    ก็แล้วยังไงล่ะ.... คืนวันเสาร์ทั้งคืนมัวทำอะไรอยู่ถึงไม่โทรมา  แล้วยิ่งพอนึกถึงหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในคอนโดด้วยแล้วก็ยิ่งพาให้หงุดหงิด  มือเรียวโยนโทรศัพท์ลงกลางเตียงอย่างไม่ใยดี

     

    “จะอะไรยังไงก็ช่างแม่ งเหอะ  ไปอาบน้ำดีกว่าเผื่อจะเลิกฟุ้งซ่าน”

     

    ฮยอกแจยีผมตนเอง 2-3 ครั้งคล้ายอยากจะไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากหัว ก่อนจะสะบัดผ้าห่มออกจากตัวและลุกขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวเพราะตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะไปเยี่ยมฮันคยองแล้วตอนค่ำๆค่อยออกไปที่ผับพร้อมกับฮีชอล

     

        --------------- M-y--B-a-d--B-o-y --------------

     

    อาการของฮันคยองไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก ก็อย่างที่ฮีชอลบอกว่าฮันคยองแค่เป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดาเท่านั้นแต่ที่ฮีชอลต้องมาอยู่เฝ้าก็เพราะคนป่วยที่ขี้อ้อนเสียจนเกินเหตุ  แต่เหตุผลหลักที่รุ่นพี่ของเขาเลือกที่จะไม่ทิ้งฮันคยองไปซ้อมดนตรีก็คงหนีไม่พ้นคำว่ารักและห่วงใย   

     

    “ถ้าพวกพี่จะหวานไม่เกรงใจกันขนาดนี้ล่ะก็นะ  ผมไปหาอะไรดื่มข้างล่างดีกว่า”

     

    ฮยอกแจเอ่ยออกมาหลังจากนั่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการแสดงออกซึ่งความรักของคนป่วยกับคนเฝ้าอยู่นาน  ยิ่งใกล้เวลาที่ฮีชอลกับเขาจะต้องออกไปผับฮันคยองก็ยิ่งอ้อนฮีชอลเข้าไปใหญ่  ภาพของคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงแต่มือข้างที่ว่างจากเข็มน้ำเกลือนั้นจับมือบางของรุ่นพี่เขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้ห่างไปไหน  แค่จะไปหยิบน้ำให้ดื่มฮีชอลยังต้องลูบหลังมือปลอบแล้วบอกว่า “ไปหยิบน้ำให้แปบเดียว เดี๋ยวมา”  เห็นแล้วอยากจะเดินเข้าไปหัวเราะดังๆในห้องน้ำ  ฮันคยองคนที่เท่ มีเสน่ห์และแสนเจ้าชู้ที่เขาเคยรู้จักหายเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้ว

     

    “เออ  เดี๋ยวอีกสักพักตามลงไป”  ฮีชอลเอ่ยบอกทั้งที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับคนบนเตียง

    “ไม่ต้องรีบหรอก เหลือเวลาอีกเยอะอยู่  เดี๋ยวไปเดินเล่นรอแถวข้างล่างนี้แหละ ถ้าลงไปก็โทรมาละกัน”

     

    หลังจากบอกออกไปแบบนั้นเพื่อให้ฮีชอลสบายใจร่างบางก็ออกจากห้องพักฟื้นของฮันคยองตั้งใจว่าจะไปหาอะไรดื่มข้างล่างที่นี่คงจะพอมีสวนสาธารณะให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจได้บ้าง 


     

    เมื่อได้เครื่องดื่มจากร้านแกแฟเล็กๆที่เปิดอยู่ด้านข้างโรงพยาบาลติดกับลานจอดรถแล้วสองขาเรียวก็เตรียมจะก้าวออกเพื่อเดินไปยังอีกฝั่งที่เห็นว่ามีมุมที่ถูกจัดไว้เป็นส่วนหย่อมอยู่ ถ้าไม่ติดว่าดวงตาเรียวจะกวาดไปเจอ Lamborghini Aventador  สีขาวคันคุ้นตากำลังถอยเข้ามาจอดในลานจอดรถเสียก่อน

     

    ร่างบางก้าวถอยหลังออกมายืนหลบอยู่มุมร้านเมื่อเห็นว่าประตูฝั่งคนขับนั้นถูกเปิดออก  ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้  แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็มายืนแอบอยู่ตรงนี้เสียแล้ว

     

    ร่างหนาของคนที่เขาไม่ได้เห็นมาเกือบสัปดาห์ก้าวลงจากรถก่อนจะปิดประตูและก้าวยาวๆอ้อมไปอีกด้านซึ่งเป็นฝั่งคนนั่ง   ทันทีที่ประตูฝั่งนั้นถูกเปิดออกก็มีร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาจากตัวรถ  ผู้หญิงที่ฮยอกแจไม่เคยเห็นหน้า  แต่ที่แน่ๆไม่ใช่คนเดียวกับคนที่เขาเห็นบนคอนโดทงเฮในคืนนั้น  แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

     

    ฮยอกแจยืนมองภาพของทงเฮที่เดินเคียงข้างกันกับผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปบนตึกของโรงพยาบาล ตึกซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักจากตึกที่ฮันคยองพักฟื้น   รอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นที่ยิ้มตอบขอบคุณยามที่ทงเฮเอื้อมมือไปหยิบถุงข้าวของในมือของเธอมาถือให้และรอยยิ้มที่ทงเฮยิ้มตอบกลับไปยังฝังอยู่ในหัวของฮยอกแจแม้ว่าคนทั้งคู่จะเดินหายลับตาเข้าไปในตึกแล้ว 

     

    “เพราะอย่างนี้สินะ  ถึงได้เงียบไป”

     

     

    แก้วกาแฟอุ่นถูกวางทิ้งไว้ที่โต๊ะตัวเล็กมุมร้านทั้งที่เจ้าของยังไม่ได้ลิ้มรสของมันเลยแม้เพียงสักนิดเดียว

      ฮยอกแจเดินตามคนทั้งคู่เข้าไปในตัวตึก  นิ้วเรียวกดลงบนปุ่มลูกศรชี้ขึ้นหน้าลิฟท์โดยที่ดวงตาเรียวนั้นจ้องมองตัวเลขบอกชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆของลิฟท์ตัวที่อยู่ฝั่งซ้ายไม่วางตา       เมื่อลิฟท์อีกตัวลงมาถึงร่างบางก็ปล่อยให้คนอื่นขึ้นไปก่อนและกดปุ่มหน้าลิฟท์อีกครั้งรอจนกระทั่งลิฟท์ฝั่งซ้ายที่ไปหยุดอยู่ที่ชั้น 16 นั้นกลับลงมาจึงได้เดินเข้าลิฟท์ไป นิ้วเรียวกดลงที่หมายเลข 16  และตามด้วยปุ่มปิดลิฟท์  ยืนรอให้ถึงชั้นที่ต้องการอย่างใจจดใจจ่อ

     

    เท่าที่กวาดตามองคร่าวๆนั้นบนชั้นนี้มีห้องพักฟื้นอยู่เพียงไม่กี่ห้องซึ่งแต่ละห้องน่าจะเป็นระดับ VIP ที่แตกต่างจากห้องพักฟื้นของฮันคยองซึ่งอยู่ในชั้นที่รองลงไปจากนี้อีก 3-4 ชั้น  

     

    ฮยอกแจไล่สายตาไปตามแผ่นป้ายอะครีลิคสีขาวหน้าห้องที่มีซองใสเสียบกระดาษรายชื่อผู้ป่วยไว้   ก่อนจะได้สติเมื่อเห็นชื่อที่ไม่คุ้นบนแผ่นป้าย

     

    “แล้วจะรู้มั้ยว่ามาเยี่ยมญาติฝ่ายไหน” 

     

    ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า คนทั้งคู่มาเยี่ยมใครก็ไม่รู้ซึ่งตนเองก็ไม่ได้รู้จัก ต่อให้เดินไล่อ่านชื่อจนครบทุกห้องแต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นชื่อไหน  และถึงจะบังเอิญรู้ว่าทั้งคู่หายเข้าไปในห้องไหนแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ 

     

    แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้นปลายเท้าก็ยังคงก้าวเรื่อยๆไปตามห้องต่างๆโดยที่สายตาก็กวาดมองรายชื่อไปเรื่อยจนสะดุดเข้ากับชื่อหนึ่ง  “อี  ซูมาน”  ผู้ป่วยสูงวัยสกุล อี 

     

    “หรือว่า........ คุณ !!!!...
     

    “ฮยอกแจ !!

     

    น้ำเสียงที่ตกใจไม่แพ้กันของคนที่เพิ่งเปิดประตูห้องพักฟื้นออกมาทำให้ร่างบางก้าวถอยหลังด้วยความตกใจโดยอัตโนมัติ  ก่อนจะหมุนตัวกลับหลังหันเตรียมจะเดินหนีถ้าอีกคนไม่คว้าข้อมือเอาไว้ได้เสียก่อน
     

    “จะไปไหน คุยกันก่อน  มาทำอะไรที่นี่”  น้ำเสียงร้อนรนกึ่งดีใจของทงเฮถามออกมารัวเร็ว

    “นั่นสิ เขามาทำอะไรที่นี่”

    “มีอะไรหรือเปล่าทงเฮ”   น้ำเสียงของผู้หญิงในห้องเอ่ยถามออกมาเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยหน้าห้อง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงและยืนเคียงข้างกันกับทงเฮ

    “แล้วนี่ ??” เมื่อไม่ได้คำตอบพร้อมกับที่เดินออกมาเห็นคนแปลกหน้าซึ่งก็คือฮยอกแจยืนอยู่หน้าห้องจึงหันไปถามกับทงเฮด้วยความสงสัย

     

    ฮยอกแจอาศัยช่วงที่ทงเฮหันกลับไปมองผู้หญิงคนนั้น สะบัดมือจนหลุดออกและวิ่งไปกดลิฟท์ทันที ในระหว่างที่รอลิฟท์สายตาก็คอยเหลือบมองทงเฮตลอดกลัวว่าอีกคนจะตามมาทันก่อนที่ลิฟท์จะมาถึง  เขาเห็นทงเฮพูดอะไรกับหญิงสาว 2-3 ประโยคแล้วก็วิ่งตามออกมา   แต่โชคดีที่ลิฟท์มาถึงพอดีร่างบางจึงก้าวเข้าลิฟท์ไปและกดปุ่มปิดลิฟท์ซ้ำๆเหมือนว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้ลิฟท์ปิดเร็วขึ้น  แต่เปล่าเลย...เพราะในขณะที่ลิฟท์กำลังจะปิดตัวลงทงเฮก็แทรกตัวเข้ามาข้างในได้เสียก่อน

     

    “ทำไมต้องหนีผม  ตกลงมาทำอะไรที่นี่  มาเยี่ยมใคร หรือป่วย ไม่สบายเจ็บตรงไหน” ทงเฮรัวคำถามพร้อมกับจู่โจมเข้าจับตัวฮยอกแจเอียงซ้ายขวาเพื่อดูว่าอีกคนเจ็บป่วยตรงไหนหรือเปล่า

    “พอได้แล้ว ไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไรตรงไหนทั้งนั้นแหละ จะตามมาทำไม”  ฮยอกแจผลักอีกคนออกอย่างแรงจนทงเฮเซไปกระแทกกับผนังลิฟท์อีกด้าน  

     

    ใบหน้าหวานหันหน้าหนีไปอีกทางไม่ใช่ว่าไม่อยากมองหน้า  แต่ไอ้น้ำที่คลออยู่ในหน่วยตานี่ต่างหากที่ทำให้เขาต้องหันหนีไปทางอื่น  บ้าจริงๆเลยทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ นึกโมโหทั้งคนที่อยู่ข้างๆแล้วก็ตนเอง
     

    “ฮยอกแจ”  น้ำเสียงทุ้มของทงเฮเอ่ยเรียกอย่างเว้าวอน  เพราะรู้ว่าอีกคนคงจะกำลังโกรธอยู่ แต่ทงเฮคงไม่รู้ว่าสิ่งที่ค้างคาอยู่ในหัวของฮยอกแจนั้นไม่ได้มีแค่เรื่องยุนอาเพียงเรื่องเดียว

     

    “ผมขอโทษ”  ถึงไม่รู้ว่าผิดอะไรแต่ทงเฮก็เลือกที่จะเอ่ยขอโทษออกไป  ตลอดหลายวันที่ผ่านมาอยากจะคิดเข้าข้างตนเองว่าที่ฮยอกแจปิดการติดต่อสื่อสารจากเขาก็เพราะโกรธเรื่องที่ไปเจอยุนอาอยู่บนห้อง  แต่ว่าร่างบางก็นิ่งเสียจนเกินกว่าจะให้เขาคาดเดาเข้าข้างตนเอง
     

    ในขณะที่อีกคนอยากจะขอโทษและอธิบายแต่อีกคนก็ได้แต่ยืนเงียบไม่พูดไม่ถามอะไรออกมาเลย เลยกลายเป็นว่าในลิฟท์ขณะนี้เงียบเสียจนชนิดว่าถ้าเข็มสักเล่มตกกระทบพื้นก็คงจะได้ยินเสียงของมัน   จนในที่สุดทงเฮก็ทนต่อความเงียบต่อไปไม่ไหวตัดสินใจพูดออกมา
     

    “พูดอะไรบ้างสิ  บอกผมว่าคุณเป็นอะไร ถ้าคุณโกรธเรื่องที่..............”
     

    ติ๊ง !!!!!!

    ทงเฮยังพูดไม่ทันจบประโยคลิฟท์ก็ลงมาถึงชั้นล่างและเปิดออกให้เห็นผู้คนอีก 4-5 คนที่ยืนรอจะเข้าลิฟท์อยู่ด้านนอก  ฮยอกแจก้าวผ่านคนเหล่านั้นไปโดยไม่หันมามองคนข้างหลัง จนทงเฮต้องรีบวิ่งตามและคว้าข้อมือไว้ไม่ให้เดินหนี
     

    “คุยกับผมก่อนนะ...นะ....ขอร้องละ อย่าหนีกันอีกเลย”  ทงเฮเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่วอนขอจนฮยอกแจเกือบจะใจอ่อนต้องมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากจะสบกับดวงตาสีน้ำตาลที่แฝงแววเศร้าตรงหน้า

    “มีอะไรก็ว่ามา”  น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยถามทั้งที่คนถามไม่ได้มองหน้าคนที่ต้องตอบด้วยซ้ำ

    “ไปคุยกันที่อื่นเถอะ” เมื่อได้โอกาสทงเฮจึงพูดชวนก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อให้ฮยอกแจมองดูสภาพรอบตัวที่ไม่เหมาะจะเป็นที่ปรับความเข้าใจกันเท่าไหร่นัก  เนื่องจากตึกของโรงพยาบาลในช่วงหัวค่ำที่มีคนเดินผ่านไปมาประปรายเพราะเป็นช่วงของการเยี่ยมเยียนคนไข้ช่วงเวลาสุดท้ายของวัน

     

    ร่างบางหันซ้ายหันขวามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ก่อนจะหันกลับมามองหน้าของทงเฮอย่างใช้ความคิด 

     

    “เขาควรจะไปดีหรือเปล่านะ”

     



     

    -------------------  TBC ---------------------

    แค่นี้ก็ยังอุตส่าห์จะอัพ  กราบขออภัยทุกคนที่รอลุ้นอยู่   ฮยอกแจควรเล่นตัวมั้ย  อิพี่มันหายหัวไปตั้งนานสองนาน

     

    แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ  ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากมายที่พร้อมใจกันมาชื่นชมและให้กำลังใจพี่ทงเฮอย่างไม่ได้นัดหมาย   รักคนอ่านนะ... 

     

    ปล.มีคนเดาถูกนะว่าพี่ทงเจอฮยอกแจครั้งแรกที่ไหน แต่ยังไม่เฉลย เฉลยตอนลงสเปฯ คนที่ตอบถูกหลังจากเฉลยแล้วเราจะติดต่อไปนะ  ^^

     

     

     

    © themy
     
     
     
     
     
    butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×