เสียงร่ำไห้จากแสงสว่าง - เสียงร่ำไห้จากแสงสว่าง นิยาย เสียงร่ำไห้จากแสงสว่าง : Dek-D.com - Writer

    เสียงร่ำไห้จากแสงสว่าง

    ข้ารักท่านนะค่ะ ท่านพี่ ข้าอยากให้ห้วงเวลาที่พวกเราเคยหัวเราะเคยเล่นด้วยกันนั้นหวนกลับมาเหลือเกิน ข้าอยากเห็นรอยยิ้มของท่านอีกครั้ง แต่ ทุกคนในจักรวาลต้องการให้ข้าหันดาบใส่ท่าน!!!!

    ผู้เข้าชมรวม

    303

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    303

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 มี.ค. 55 / 18:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     สืบเนื่องจาก เสียงคร่ำครวญจากความมืด โดยเป็นทางเทพีแห่งแสงสว่างที่รักพี่สาวมากยิ่งกว่าใครๆ แต่ทั้งจักรวาลต้องการให้ทั้งสองเข่นฆ่ากันไปจนกว่าจักรวาลแห่งนี้จะสูญสลาย
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       Light Talk

      ยามที่ข้าถือกำเนิดขึ้นมา สิ่งแรกที่ข้าเห็น คือ ชายคนหนึ่งที่มองมาที่ข้า ด้วยแววตาเปี่ยมรักและดีใจอย่างหาที่สุดมิได้

      ข้าไม่อาจพรรณนาตัวเขา เพราะเขาคือพระผู้เป็นเจ้าผู้สรรสร้างทุกสรรพสิ่ง

      และหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ด้านหลัง มองมาที่ข้าอย่างงุนงง

      เธอผู้นั้นเหมือนข้าแทบทุกประการ

      ทั้งเส้นผมที่ยาวเหยียดไปถึงสะโพก

      คิ้วเรียวโก่ง เหนือดวงตากลมโตสวย

      จมูกที่โด่งพองาม ที่รับกับริมฝีปากเรียวเล็กได้รูป

      โหนกแก้มนูนโค้งสวยรับกับใบหน้ารูปไข่ได้ดี

      ผิวขาวนวลอมชมพูเนียนละเอียด

      ทั้งชุดเลือบทองที่สวมใส่ เครื่องประดับสีทองที่ประดับประดาทั่วร่าง

      และดาบที่เราทั้งสองเหน็บไว่ที่เอวซ้าย

      แต่มีเพียงสองสิ่งที่แตกต่าง

      ในขณะที่ข้าถูกย้อมไปด้วยสีขาว นางกลับถูกย้อมไปด้วยสีดำ

      ถ้าดวงตาของข้าสีเงินราวแสงจันทร์

      ดวงตาของนางก็คือสีดำสนิทของรัตติกาล

      ถ้าผมของข้าเป็นสีขาวบริสุทธิ์

      ผมของนางก็เป็นสีดำดังนิลกาล

      ถ้าปีกของข้าเป็นสีขาวเหมือนปีกพิราบ

      ปีกของนางก็เป็นสีดำราวปีกกา

      ถ้าเสื้อผ้าที่ข้าสวมใส่เหมือถูกตัดจากม่านหิมะที่คลุมพื้นดินในดินแดนทางเหนือแล้วล่ะก็

      เสื้อผ้าของนางก็เหมือนถูกตัดจากม่านแห่งรัตติกาล

      ถ้าอัญมณีที่ฝังลงบนเครื่องประดับสีทองของข้าคือเพชรสีขาวใสบริสุทธิ์

      อัญมณีที่ฝังลงบนเครื่องประดับของนางก็คือเพชรสีดำ

      และแววตาของเราก็แตกต่างกันสิ้นเชิง

      จู่ๆชายคนนั้นก็กล่าวกับข้าพลางชี้ไปที่นางว่า “นี่คือพี่สาวของเจ้า”

      ก่อนจะหันไปกล่าวกับนางพลางชี้มาที่ข้า “นี่คือน้องสาวของเจ้า”

      เขาหันมาทางข้าอีกทีแล้วกล่าวว่า

      “ข้าจะเรียกเจ้าว่า แสงสว่าง ต่อไปนี้เจ้าจะมีหน้าที่ส่องแสงในยามกลางวันเพื่อให้มนุษย์ได้ทำหน้าที่ของตน เจ้าจะเปิดเผยความจริงให้พวกเขาได้รู้เพื่อดำเนินไปสู่หนทางที่ถูกต้องยามเวลาอันควร และเจ้าจะมอบความหวัง ความสุข และความสำเร็จให้พวกเขาเพื่อตอบแทนความดีของเขา และยืนยันตัวตนของข้า”

      เขามอบหน้าที่ที่เป็นสาเหตุที่ข้าต้องเกิดมาและดำรงอยู่แก่ข้า ข้าคุกเข่าพร้อมขานรับบัญชา

      เขาจะหันไปทางเธอคนนั้นพร้อมกล่าว

      “ข้าจะเรียกเจ้าว่า ความมืด ต่อไปนี้เจ้าจะมีหน้าที่เปิดม่านแห่งรัตติกาลเพื่อให้มนุษย์ได้พักผ่อนจากการทำหน้าที่ เจ้าจะปกปิดความลับอันที่พวกเขาไม่สมควรได้ล่วงรู้ก่อนถึงเวลาอันควร และเจ้าจะมอบความทุกข์ ทรมาณ และอุปสรรคให้พวกเขาเพื่อตอบแทนความชั่ว และพิสูจน์ความยึดมั่นที่มีแก่ข้าและความถูกต้อง”

      หน้าที่เขามอบให้เธอคนนั้นตรงข้ามกับข้าทุกอย่าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน เธอคนนั้นยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะคุกเข่าลงขานรับบัญชา ด้วยเสียงที่เหมือนกับข้าไม่ผิดเพี้ยน

       

      หลังจากนั้นบนโลกก็มีชีวิตชีวามากขึ้น มีสรรพสิ่งเกิดขึ้นมากมาย

      นอกจากสิ่งมีชีวิตอย่างพืช สัตว์ ชาวสวรรค์ และมนุษย์แล้ว

      เขาก็สร้างธาตุน้ำ ลม ดิน ไฟ สายฟ้า รวมถึง ห้วงมิติและเวลา ขึ้นมา

      แต่พระองค์ก็ยังไม่ได้มอบหัวใจให้ธาตุเหล่านั้นเช่นเรา

      เมื่อถาม เขาก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยังไม่ถึงเวลา”

      ช่วงนี้ดูเขาให้ความรักเอ็นดูกับมนุษย์เหลือเกิน

      แต่ข้าไม่น้อยใจหรอกนะ

      ก็ข้าต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

      และข้าก็รู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่พวกเขามีความสุข

      สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งต่างดำเนินชีวิตไปอย่างสดใสและสวยงามเหลือเกิน

      แต่ท่านพี่กลับบอกว่า

      “แต่เวลากลางคืน อย่าว่าแต่นกหรือแมลงเลย ไลท์ ดอกไม้สักดอกก็ไม่ผลิบานทักทายข้าเช่นเจ้า”

      นั้นสินะ ไม่มีสิ่งใดออกมาตอนกลางคืนเลย เพราะมันมืดจนมองอะไรไม่เห็นเลยนี่นา

      แม้จะมีแสงจันทร์และดวงดาวไว้คอยส่องแสง ทว่ามันก็ไม่สว่างเท่าดวงอาทิตย์

      เป็นราตรีที่แสนเงียบสงัน

      ท่านพี่บอกว่าไม่ต้องไปบอกใคร แต่ข้าก็เผลอพูดต่อหน้าเขาจนได้

      เขายิ้มอย่างเศร้าๆแล้วพูดแค่ว่า “อย่างนั้นหรือ”

      แต่หลังจากนั้นพี่ก็มาบอกข้าว่า

      “จู่ๆก็มีสัตว์กับพืชบางส่วนมาดำเนินชีวิตในเวลากลางคืนแทน เจ้าว่าคึกคักเหรอ วะ วุ่นวายมากกว่าต่างหากเล่า ข้าไมได้ดีใจนะ ก็บอกว่าไม่ได้ดีใจไง อาริน!!

      ปากบอกเยี่ยงงั้น แต่ข้าสัมผัสความดีใจจากน้ำเสียงของท่านได้นะค่ะ

      ถึงใครจะว่าท่านพี่ปากคอเราะร้าย แต่ข้าว่าท่านพี่ปากไม่ตรงกับใจมากกว่า


      เดี๋ยวนี้ท่านพี่ดูแปลกไป

      ถึงใครไม่สังเกต แต่ข้ารู้นะค่ะ

      แววตาที่ใครๆก็บอกว่าเย็นชาและโหดเหี้ยมน่ากลัวนั้น 

      ดูเศร้ามาก

      พอข้าถามท่านก็บอกกลับมาว่าไม่มีอะไรทุกครั้ง

      จะว่าไปช่วงนี้ทุกคนมีความสุขมากเลยนะ

      ยามว่างข้ามักจะไปเยี่ยมเยียมพวกเขา และพวกเขาก็ดีกับข้าเหลือเกิน

      แต่ทุกครั้งที่ข้าพูดเรื่องนี้กับท่านพี่ ดวงตาสีนิลคู่นั้นดูเจ็บปวด

      ข้าก็เลยไม่พูดเรื่องนี้กับท่านพี่อีกเลย ก็ข้าไม่อยากให้ท่านพี่เสียใจนี่นา

      แต่ถึงกระนั้น

      ทุกครั้งที่ข้าพบท่านพี่

      ดวงตาสีนิลคู่นั้นดูเจ็บปวดและโศกเศร้ามากขึ้นทุกครั้ง

      หน้าที่ของข้าคือการมอบความสุขแก่ผุ้คน ถ้างั้นข้าจะทำให้ท่านพี่มีความสุขได้หรือเปล่า

      แต่ท่านกลับตอบกลับมาอย่างไร้เยื่อใยและแข็งกร้าวผิดไปจากเคย

      "ข้าไม่ต้องการความหวังดีจากเจ้า!!"

      นั้นคือครั้งแรกที่ท่านตวาดใส่ข้า

      และข้าก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเอง

      สายตาที่ทุกคนมองท่านกับข้านั้นแตกต่างกัน

      สายตาเหล่านั้นมองข้าด้วยความรัก

      ทว่ามองท่านด้วยความเกลียดชัง

      พวกเขาชื่มชมสรรเสริญข้า

      ทว่ากลับต่อว่าสาบแช่งท่าน

      ข้าไม่เข้าใจ ทำไมพวกเขาต้องทำกับท่านเช่นนั้น

      ในเมื่อเราต่างก็เป็นผู้รับใช้พระเจ้าเหมือนกัน 

      อีกทั้งท่านยังทำหน้าที่อย่างแน่วแน่มั่นคง

      แม้ท่านจะไม่ใช่ผลงานของพระเจ้าก็ตาม

      "มนุษย์มักรังเกียจอุปสรรค และสิ่งที่นำความลำบากมาให้ โดยไม่คิดที่จะกล่าวโทษตนเอง และสุดท้ายก็ยอมแพ้ไปโดยไม่คิดที่จะพยายามอย่างถึงที่สุด" เขาตอบคำถามข้าเช่นนี้

      ข้าจึงถามตอบกลับไป ถ้าเช่นนั้นทำไมต้องมอบหน้าที่ที่จะทำให้พวกเขารังเกียจท่านพี่ด้วยเล่า

      "เด็กน้อย เจ้าก็น่าจะรู้ดี ถึงจะมีมนุษย์บางคนยอมแพ้ต่ออุปสรรค แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่เอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น และรู้ว่าอุปสรรคนั้นสำคัญมากเพียงใดต่อความสำเร็จของพวกเขา"

      ข้าไม่เข้าใจ อุปสรรคคือสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เกิดความสำเร็จมิใช่หรือ

      "เพรชไม่อาจส่องประกายแสดงคุณค่า ถ้าไม่ได้รับการเจียระนัย

      หินอ่อนงดงามไม่อาจกลายเป็นผลงานประติมากรรมชั้นเลิศ ถ้าไม่ได้รับการแกะสลัก

      เหล็กเนื้อดีไม่อาจสร้างคุณประโยชน์ใดๆ ถ้าไม่ได้รับการเผาไฟ และทุบตี

      พวกเขาก็เหมือนกัน

      มนุษย์มักคิดว่าอุปสรรคคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่สำเร็จกิจการใดๆ

      แต่ความจริงอุปสรรค คือ ข้อเตือนใจให้เรารู้ว่าความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด และส่งผลอย่างไร

      อุปสรรค คือ บททดสอบว่าพวกเขาเหมาะสมกับความสำเร็จอันหอมหวานหรือไม่ พวกเขายึดมั่นในความถูกต้องและความเชื่อของพวกเขามากแค่ไหน

      อุปสรรค คือ บทเรียนที่ทำให้เรารู้ถึงสิ่งข้อผิดพลาดและวิธีการแก้ปัญหาที่จะทำให้เราผ่านอุปสรรคไปได้

      บทเรียนต่างจากความสำเร็จ 

      ความสำเร็จอาจอยู่กับเราไม่นาน สักวันมันต้องจากเราไป ให้เราสร้างมันขึ้นมาใหม่

      แต่บทเรียนนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป ไม่หายไปไหน คอยย้ำเตือนให้เรารู้ว่าสิ่งนั้นควรไม่ควร

      แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสนใจหรือจดจำมันหรือเปล่า

      ถ้าไม่เคยเจอความล้มเหลว ก็ไม่อาจเจอความสำเร็จที่แท้จริงได้

      แม้นางไม่ใช่สิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมา แต่ข้าขอโทษที่ต้องบอกว่าข้ากลับรักนางยิ่งกว่าผลงานใดๆของข้า

      ถึงได้มอบหน้าที่ที่สำคัญที่สุดให้แก่นาง

      หน้าที่ที่จะทำให้เหล่าบุตรของข้าได้พบความสุขที่แท้จริง

      ข้าเสียใจที่บุตรเหล่านั้นมักเห็นว่าสิ่งที่นางทำนั้นคือการทำร้ายพวกเขา

      แต่ข้าก็รู้ว่ามีบุตรบางคนเข้าใจการกระทำเหล่านั้นดี

      และพวกเขาเหล่านั้นก็คือคนที่เหมาะสมจะเข้าสู่อาณาจักรของข้าหลังความตาย

      เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในตัวข้าอย่างมั่งคงแท้จริง

      ผู้ที่มีความเชื่อแท้จริงจะคือผู้ที่ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง

      เพราะพวกเขาจะไม่ใช่คนที่เอาความเชื่อจอมปลอมมาอ้างในการทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

      เจ้าเข้าใจไหม อาริน"

      แม้คำพูดของเขาจะทำให้ข้าน้อยอยู่บ้าง แต่ข้าก็ขานรับไปอย่างเข้าใจ

      หน้าที่นั้นสำคัญมากจริงๆด้วย

      ถ้าท่านพี่รู้เข้าคงดีใจน่าดู

      ต่อเขาก็บอกว่าห้ามบอกท่านพี่

      ทำไม?

      "ข้ามั่นใจว่าคนฉลาดอย่างนางต้องรู้ความสำคัญของหน้าที่ตนเองสักวันแน่

      ข้าอยากให้นางรู้มันด้วยตนเองไม่ต้องให้ใครมาบอกกล่าว

      ข้าเชื่อมั่นว่านางเข้มแข็งพอที่จะทนรับความทรมาณในใจนางตอนนี้ได้แน่"

      น้ำเสียงนั้นช่างเปี่ยมด้วยรักและเชื่อมั่นอย่างเหลือล้น

      แต่ว่าข้าก็ได้รับความรักจากมนุษย์มากพออยู่แล้ว

      การที่ท่านพี่จะได้รับความรักจากเขาคนนั้นมันเป็นการชดเชยก็สมควรอยู่แล้ว

      แต่บางครั้งก็รู้สึกเจ็บ

      เพราะแม้บางครั้งข้าจะอยู่ตรงหน้าเขา พูดคุยกับเขา

      ทว่าสายตาแห่วความห่วงใยของเขากลับจ้องมองไปที่ท่านพี่ผู้เดียวเท่านั้น

      แต่แววตาของท่านพี่ก็ไม่ได้มัความสุขขึ้นเลย

      ช้ำยังเจ็บปวดและเศร้าลงเรื่อยๆ

      สายตาของทุกคนที่มองมาที่ท่านก็ยิ่งน่ากลัว

      ข่าวลือบ้าๆหนาหูขึ้นทุกวัน

      แต่สายตาของเขาที่มองที่ที่ท่านพี่ก็ยังคงมั่งคงไม่แปรเปลี่ยน

      ข้าก็เช่นกัน 

      ท่านที่เข้มแข็งและมั่งคงขนาดนั้นไม่มีทางจะทรยศแน่

      ข้าเชื่อเช่นนั้น เหมือนกันเขา

      ทั้งๆที่เป็นเช่นนั้น

      ทำไมท่านถึงได้ทรยศพวกเราล่ะ ท่านพี่!!!

      "พวกเจ้าบอกว่าข้าคือคนทรยศไม่ใช่เหรอ"

      เสียงน่าพรั่นพรึงดั่งจอมมารคำรามในขณะที่ดาบสีดำหันใส่ข้า

      "นางปีศาจ นางมารร้าย นางผู้หญิงโหดเหี้ยม กระหายอำนาจ มักใหญ่ใฝ่สูง นี่คือข้าที่พวกเจ้าพูดถึงไม่ใช่เหรอ"

      "ข้าก็เป็นให้แล้วนี่ไง ยังจะต้องการอะไรอยู่อีก"

      "ไม่ ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าท่านพี่ อาริน"

      "คนที่ได้รับความรักอย่างเหลือล้นอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร จะไปรู้อะไร มาลองโดนคนทั้งโลกเกลียดชังสาปแช่งอยู่ตลอดเช่นข้ามั้งไหมเล่า"

      ""เจ้านั้นแหละที่เป็นคนทำให้ข้าถูกเกลียด เพราะเจ้านั้นแหละ การมีอยู่ของเจ้า การมอบหมายหน้าที่ของพระเจ้าที่ไม่ยุติธรรม เขามอบหน้าที่ที่ทำให้ผู้คนรักเจ้า แต่เกลียดข้า เพราะข้าไม่ใช่ผลงานของเขาเหมือนเจ้า  ใช่แล้ว เพราะเจ้านั้นแหละ ที่ทำให้มนุษย์ลุ่มหลง โหยหา ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้ามาเยือน แม้จะต้องทำความผิดบาปที่พระเจ้าไม่อาจให้อภัย หรือทรมาณในความมืดเช่นข้าก็ตาม"

      "ในเมื่อสวรรค์ไม่ต้องการข้า สาปแช่งข้า เหยียดหยามข้า รังเกียจข้า แต่นรกต้องการข้า เทิดทูนข้า เคารพข้า ยินดีต้อนรับข้า ข้าก็ไม่มีเหตุผลลอันใดต้องอยู่รับใช้พระเจ้าอีกต่อไป!!"

      "นับจากวันนี้เราสองคนจะกลายเป็นศัตรูกันไปจนกว่าจักรวาลนี้จะสูญสิ้น!!!"

      ท่านกล่าวเช่นนั้นก่อนจะเดินกลับไปยังกองทัพปีศาจอย่างแข็งกร้าวและองอาง

      แต่ข้าเห็นนะค่ะ ท่านพี่

      ดวงตาสีนิลกาลนั้นเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา

      ความอ่อนแอที่ท่านไม่เคยเผยให้ใครเห็น บัดนี้ข้าเห็นเต็มสองตาคู่นี้

      อย่าจากไปเลยค่ะ ท่านพี่

      อย่าเพิ่งไป

      ได้โปรด

      ข้ายังมีหลายสิ่งที่อยากจะกล่าวกับท่านนะค่ะ

      ข้าขอโทษค่ะ

      ข้าขอโทษ

      ข้าไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้

      ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเจ็บปวดแบบนี้

      ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านต้องเจ็บปวดแบบนี้

      ข้าแค่อยากเห็นรอยยิ้มของเขา อยากเห็นรอยยิ้มของมนุษย์ก็เท่านั้น

      เพราะรอยยิ้มนั้นแม้จะอยู่บนใบหน้าของผู้ที่อัปลักษณ์ที่สุด 

      แต่หากมันมาจากใจที่ดีงามแล้วล่ะก็ มันก็ช่างสวยงามกว่าสิ่งใดๆในจักรวาล

      รอยยิ้มนั้นเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจข้าให้เข้มแข็ง

      และรอยยิ้มที่ข้าอยากเห็นที่สุดก็คือรอยยิ้มของท่านพี่

      ข้าเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง

      ว่านอกจากจะมีผู้ที่ฝ่าฟันความทรมาณและความล้มเหลวจนมาพบข้าอย่างถูกต้องแล้ว

      ยังมีคนที่ใช้ความทรมาณของคนอื่นเป็นบันไดมาสู่ข้าด้วย

      พวกเขารู้ดีว่าข้าไม่ได้ให้แสงสว่างแก่พวกเขาแม้แต่น้อย

      สิ่งที่อยู่กับพวกเขาเป็นเพียงความสนุกหรือความหลงระเริงในกิเลสเท่านั้น

      แต่ก็หลอกลวงตนเองไปวันๆว่ามันคือความสุขที่แท้จริง

      คิดว่าตนอยู่ในแสงสว่างทว่าความจริงหัวใจกลับยังอยู่ในความมืด

      พอต้องยอมรับผลกรรมก็โวยวายกล่าวโทษเกลียดชังผลกรรมนั้น

      บางคนสำนึกความผิดนั้น แต่บางคนกว่าจะสำนึกก็ตกไปอยู่นรกเสียแล้ว

      ข้าผิดเองที่ละเลยมัน

      จนเป็นเหตุให้ท่านต้องเจ็บปวดเช่นนี้

      เสียงตะโกนเรียกหากลืนหายไปกับสายฝนที่เทกระหน่ำราวจะตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้น

      ท่านจากข้าไปแล้ว

      จากไปอย่างตลอดกาล

      ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าหลั่งน้ำตา

      ท่านรู้ไหม ข้านั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นเป็นเวลาเนิ่นนานเท่าไรก็ไม่รู้

      แม้คนอื่นจะพยายามปลอบใจข้า แต่หูของข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของพวกเขา

      แม้คนอื่นจะมาอยู่ตรงหน้า น้ำตาก็ทำให้ภาพเลือนรางจนมองไม่เห็นสิ่งใด

      แม้พวกเขาจะพยายามเขย่าตัวให้ข้าได้สติ แต่ข้าไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

      ร้องไห้จนน้ำตาแทบหลั่งเป็นสายเลือด

      หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เจอกันอีกหลายครั้งหลายครา

      ในฐานะศัตรูที่ต้องฟาดฟัน

      ข้าไม่ได้อยากฆ่าท่าน 

      ข้าไม่ได้อยากทำร้ายท่าน

      และข้าไม่ได้อยากให้ท่าเนจ็บปวด

      แต่ทุกคนให้มหาจักรวาลต่างต้องการให้เราหันคมดาบใส่กันอยู่ร่ำไป!!!

      มนุษย์เอ๋ยเมื่อกันไรที่เจ้าจะยอมรับการมีอยู่ของเราทั้งสองว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไปจากโลกนี้ได้เสียที

      ปีศาจเอ๋ยเมื่อไรกันที่พวกเจ้าจะเลิกกระหายอำนาจอันไร้สิ้นสุด คิดอยากเป็นใหญ่ในสามโลกได้เสียที

      เทวดาเอ๋ยเมื่อไรกันที่พวกเจ้าจะเลิกนับถือเชิดชูตัวเองว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศกว่าสิ่งใด และย่ำยีผู้มีแนวคิดต่างออกไปให้จมดินเสียที

      แม้บัดนี้พวกข้าก็ยังต้องสู้อยู่

      ในหัวใจของมนุษย์ที่ได้ชือ่ว่าบริสุทธิ์และชั่วช้ายิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ไหนๆนั้นเอง

      FIN.

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×