ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พิชิตรักจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #39 : ตอนที่ 10 : เกือบพลาด! {2}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.11K
      44
      1 ก.ค. 62




              ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าวันนี้คงไม่ใช่วันที่ดีสำหรับเธอแน่...

              ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะวันนี้คนของภานุเดชแฝงตัวอยู่ตามจุดของโรงพยาบาลเต็มไปหมด โชคดีไม่น้อยที่นัทชาเลือกไม่ยอมไปทำแผลที่โรงพยาบาล ไม่อย่างนั้นเธอต้องถูกพาตัวกลับไปแต่งงานกับเอกพลแน่ คราวนี้ต่อให้วางแผนซับซ้อนแค่ไหน เธอก็คงไม่มีวันได้หนีออกจากบ้านเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด

              เอกพลขับรถพาภานุเดชและมารดาไปที่ห้างสรรพสินค้า เพราะกานดาลืมของใช้ส่วนตัวจำพวกเครื่องประดับเอาไว้ที่บ้าน ดังนั้นจึงออดอ้อนขอให้สามีพามาซื้อใหม่สักชิ้นสองชิ้น เพื่อให้ตัวเองดูสง่างามในฐานะภรรยาของนายตำรวจใหญ่อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าจากการปรนเปรออย่างถึงพริกถึงขิงในค่ำคืนที่ผ่านมา กานดาทำให้ประทับใจเสียจนภานุเดชไม่คิดจะขัดใจคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย

              คุณพี่ขา เดี๋ยวเราทานมื้อเช้ากันในห้างกันเลยดีไหมคะ วันนี้กานอยากทานอาหารญี่ปุ่นค่ะเสียงนุ่มออดอ้อนตามเคย ภานุเดชไม่ว่าอะไร นอกจากยิ้มและพยักหน้าตกลง เขาเองก็ชักหิวเหมือนกัน ไหนๆ ก็มาห้างสรรพสินค้าแล้ว ฝากท้องที่นี่เลยก็สะดวกดี ไม่จำเป็นต้องออกไปรับประทานอาหารข้างนอกให้เสียเวลา

              เมื่อทั้งสามคนเดินหายเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่น ลุยซ์กับนัทชาก็ปรากฏตัวขึ้นแบบคลาดกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชายหนุ่มหันมองคนข้างตัวที่เดินได้ค่อนข้างช้า แต่ก็ดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี้พอสมควร เขาอยากช่วยประคอง แต่ก็เกรงว่าคนอื่นจะมองมาอย่างเข้าใจผิด หลงคิดไปว่าเขาเป็นสามีของแม่เด็กกะโปโลนี่ เหมือนที่เคยโดนท้วงมาแล้วในโรงพยาบาล

              ถ้าคุณลุยซ์อยากได้อะไร เดินแยกไปเลยก็ได้นะคะ ฉันเดินเร็วๆ ก้าวยาวๆ แบบคุณไม่ไหวหรอกค่ะนัทชาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเขาเหลือบตามองมาอยู่บ่อยๆ

              แน่ใจนะว่าจะไปคนเดียวได้ชายหนุ่มถาม คิ้วเข้มที่พาดเฉียงอยู่เหนือดวงตาขมวดเป็นปม

              แน่ใจค่ะ ถ้าเลือกของใช้เสร็จแล้ว ฉันจะไปนั่งรออยู่ตรงม้านั่งหน้าร้านขายหนังสือนะคะหญิงสาวยิ้มรับสดใส พร้อมกับชี้นิ้วไปยังม้านั่งสีน้ำตาลที่วางเรียงอยู่หน้าร้านหนังสือชั้นนำ เนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงที่ห้างสรรพสินค้าเพิ่งเปิด ผู้คนจึงยังไม่พลุกพล่านนัก ใช้เวลาไม่นานก็น่าจะหาซื้อของใช้ได้จนครบ

              อืมม์ ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน แต่ถ้ามีอะไร โทร.หาฉันได้นะ ซิมการ์ดเบอร์ใหม่ฉันก็ซื้อให้แล้ว หัดใช้เสียบ้างละลุยซ์สูดลมหายใจลึก สบตากับอีกฝ่ายพร้อมยืดตัวเต็มความสูง สอดมือข้างหนึ่งลงในกระเป๋ากางเกงตามความเคยชิน แล้วหมุนตัวเดินจากไป เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองตามแผ่นหลังกว้างกำยำที่เดินหายไปท่ามกลางผู้คน แล้วยิ้มบางบนริมฝีปาก

              นัทชาพาตัวเองตรงไปยังตู้เอทีเอ็มก่อนเป็นลำดับแรก เงินสดที่มีติดตัวอยู่หลายพันบาท ความจริงก็สามารถใช้ได้อีกนานโข แต่เธอคงไม่ได้มาในเมืองอย่างนี้บ่อยนัก จึงอยากกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม พกติดตัวไว้ใช้ในยามจำเป็นด้วย หญิงสาวดึงบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์ สอดมันลงในเครื่องแล้วกดรหัสผ่าน ระบุจำนวนเงินเรียบร้อยก็ปล่อยให้มันทำไปตามขั้นตอน เมื่อได้เงินปึกหนึ่งมาไว้ในมือแล้ว เธอก็ถอนหายใจแล้วเก็บมันใส่ลงในกระเป๋า จากนั้นก็เดินกะเผลกพาตัวเองเข้าไปในโซนด้านใน เผื่อเลือกซื้อเสื้อผ้าที่เหมาะแก่การทำงาน รวมทั้งชุดชั้นใน และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น

              ใช้เวลาราวสามสิบนาที นัทชาก็นำรถเข็นมายังเคาน์เตอร์ชำระเงิน ยืนรออย่างเบื่อๆ จนกระทั่งถึงคิวของตัวเอง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในวันนี้ประมาณสามพันบาท ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสม หากเทียบกับทุกอย่างที่เธอจำเป็นต้องใช้ สำหรับการย้ายมาเริ่มต้นใหม่ที่อื่น

              เมื่อเรียบร้อยแล้ว นัทชาก็ไปนั่งรอลุยซ์อยู่ตามที่นัดหมาย ระหว่างที่กำลังชะเง้อคอมองหาเขา สายตาเธอก็ปะทะเข้ากับร่างสูงคุ้นตาของใครคนหนึ่ง สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่านั่นคือเอกพล แล้วอีกสองคนที่กำลังเดินตามออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นก็คือบิดากับแม่เลี้ยงของเธอเอง

              ร่างบางลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง ตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูก เสี้ยววินาทีแรกเธอตัวแข็งทื่อราวกับหิน หัวใจเต้นรัวอัดกระแทกอยู่ในทรวง ความคิดบอกให้รีบหันหลัง แล้วเดินจากไปจากที่ตรงนั้นโดยเร็วที่สุด แต่เท้าทั้งสองกลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ราวกับถูกตอกตรึงเอาไว้ตรงนั้นอย่างแน่นหนา จนกระทั่งเอกพลมองผ่านมาสบตาเอาตรงๆ

              นั่นมัน...น้องน่านนี่ครับคุณพ่อ!” ใบหน้าของเขาดูตื่นตระหนก ในตอนที่ตะโกนดังลั่นแล้วชี้มาตรงที่เธอยืนอยู่

              ยัยน่าน!” ภานุเดชหันมองตามไป แล้วตวาดลั่นเมื่อพบลูกสาวยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า

              สีหน้าเกรี้ยวกราดของผู้เป็นบิดา เป็นเสมือนแรงกระตุ้นที่ช่วยให้นัทชาตัดสินใจทิ้งข้าวของทุกอย่างไว้ในรถเข็น แล้วออกวิ่งสุดกำลังโดยไม่สนใจความเจ็บปวดที่ขา เสียงของเอกพลตะโกนตามหลังมาแบบติดๆ แต่หญิงสาวไม่มีเวลาแม้แต่จะหันกลับไปมอง เธอวิ่งแทรกผู้คนไปอย่างทุลักทุเล ลงบันไดเลื่อนลงสู่ชั้นล่างแล้วมุ่งหน้าออกไปยังลานจอดรถ 

              หัวใจที่เต้นระทึกและความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ให้กำเนิด ทำให้นัทชาตัวสั่นและหอบหายใจแรง เธอหมุนตัวไปรอบๆ มองซ้ายมองขวาพร้อมคิดทบทวนว่ารถของลุยซ์จอดอยู่ตรงโซนไหน แต่เมื่อคิดไม่ออก เธอจึงเลือกที่จะวิ่งต่อไปเรื่อยๆ บริเวณนี้มีรถจอดอยู่มากมาย การเลือกซ่อนตัวอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

              นัทชากัดฟันแน่น เมื่อความเจ็บปวดจากบาดแผลกลับมาเล่นงานอีกครั้ง เธอกำลังจะวิ่งแยกไปอีกทาง แต่มือใหญ่ที่ตะปบเข้ามาปิดปากจากทางด้านหลัง ทำเอาร่างบางดิ้นสะบัดเอาสุดแรง แต่คนข้างหลังก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อย หนำซ้ำยังลากตัวเธอให้ถอยหลังเข้าไป ตรงช่องว่างระหว่างรถที่จอดเรียงรายกันอีกด้วย

              อื้อ!” นัทชาใช้เล็บจิกลงบนหลังมือเขา

              โอ๊ย! ยัยบ้า เธอจิกฉันทำไม!” เสียงทุ้มคุ้นหูที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวชะงักไปในทันที และนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาปล่อยมือออกจากปาก แล้วรั้งให้เธอหันกลับไปสบตา

              คุณลุยซ์!”

              เออ ก็ฉันน่ะสิ!” ชายหนุ่มตอบเสียงเขียว ฉันกำลังจะเดินไปถึงตัวเธออยู่แล้ว แต่เห็นเธอวิ่งหน้าตื่นหนีไอ้หน้าจืดนั่นมาเสียก่อน ฉันก็เลยคว้าข้าวของของเธอที่อยู่ในรถเข็น แล้วรีบตามมาด้วยเหมือนกัน ดีนะที่เห็นเธอยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นพอดี ฉันถึงคว้าตัวเธอมาหลบตรงนี้ทันไง ไม่งั้นไอ้หมอนั่นมันเห็นเธอก่อนแน่!” เขาอธิบายให้ฟัง แล้วจ้องหน้าเธออย่างเอาเรื่อง

              ฉันขอโทษค่ะคุณลุยซ์ ฉันไม่ได้...

              ช่างเถอะเขาโบกมือไปมาอย่างรำคาญ แล้วถามอย่างสนใจ ว่าแต่ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร?

              คือ...ผู้ชายคนนั้น...นัทชาหอบสะท้าน ใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด เธอยังตกใจอยู่มากจนพูดแทบไม่ออก

              ไม่เป็นไรเสียงนั้นทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสบตา ดวงตาสีเทาฉายแววจริงจัง อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เคยได้เห็น มือหนาอบอุ่นยกขึ้นวางทาบบนศีรษะ โยกเบาๆ ทำให้เธอรู้สึกราวกับตัวเองกำลังกลับไปเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ อีกครั้ง

              ไม่เห็นต้องกลัวขนาดนั้นเลย

              แต่ฉันกลัวค่ะ...กลัวมากเธอหอบหายใจแรง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ

              ฉันตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรเธอไม่ได้หรอก ฉันจะต่อยมันให้ฟันร่วงเองราวกับว่านั่นคือคำสัญญา แต่มันกลับไม่ช่วยให้นัทชารู้สึกอุ่นใจขึ้นเลย เธอยื่นมืออันสั่นเทาไปหาเขา กำเสื้อเชิ้ตแน่นจนมันยับย่นอยู่ในฝ่ามือเล็ก แล้วเอนใบหน้าซบลงบนไหล่กว้าง

              น่าน...ลุยซ์เรียกชื่อเธอเสียงแผ่ว ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของผู้ชายคนนั้น ทำให้จิตใจของหญิงสาวสั่นไหวมากกว่าที่คิด เธอสั่นไปทั้งตัว สุ้มเสียงสั่นเครืออย่างคนที่กำลังขวัญเสีย

              ฉะ...ฉันกลัว

              ฉันจะพาเธอกลับฟาร์ม ส่วนธุระของฉัน เอาไว้ทีหลังก็ได้เขาบอก ฉันจะเอาของพวกนี้ไปเก็บที่รถก่อนนะ เธอนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันจะกลับมาอุ้มเธอไปที่รถ ไม่ต้องกลัวนะ เดินไปข้างหลังผ่านรถอีกสองคันก็ถึงรถของฉันแล้วเจ้าของร่างกำยำขยับตัวกำลังจะแยกไปที่รถ แต่มือที่กำอยู่ตรงเสื้อ ยังดึงแน่นไม่ยอมปล่อย

              ฉันไปด้วยค่ะ ฉันอยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดนัทชาบอกเหตุผล

              เธอเดินไหวเหรอ?

              ไหวค่ะเธอตอบไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่ความจริงปวดแผลจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กไปหมด

              งั้นก็ไปกันเลย

              ลุยซ์ถือถุงหิ้วทั้งหมดไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างกอบกุมมือเล็กไว้แน่น ทั้งสองคนย่อตัวลงต่ำ มองผ่านกระจกรถเพื่อดูว่า เอกพล ภานุเดชและกานดาอยู่ตรงจุดไหน เมื่อเห็นว่าสามคนนั้นกำลังพากันวิ่งไปอีกด้าน ลุยซ์ก็พานัทชาก้าวพรวดๆ ตรงไปที่รถทันที ชายหนุ่มดึงประตูเปิดออก ดันหญิงสาวเข้าไปข้างในรถ แล้ววางถุงของลงด้านหลัง จากนั้นก็รีบวิ่งอ้อมมาขึ้นที่ด้านคนขับ สตาร์ทรถแล้วเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว

              ยัยน่าน!” ภานุเดชหันมาตามเสียงเครื่องยนต์ เห็นรถที่แล่นฉิวออกไปอย่างรีบร้อน จึงเดาเอาทันทีว่านั่นจะต้องเป็นนัทชาแน่ๆ เขาขบกรามแน่นแล้วสบถอย่างฉุนเฉียว น่าเสียดายที่มองไม่เห็นป้ายทะเบียนของรถยนต์คันนั้น ไม่อย่างนั้นคงตามหาเจ้าของรถได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมแพ้แน่

              เราพลาดจนได้!” กานดามองตามไปอย่างหัวเสีย

              นั่นสิครับคุณแม่ ผมวิ่งมาเกือบจะทันอยู่แล้ว แต่จู่ๆ น้องน่านก็หายไปเอกพลพูดไปหอบไป

              ช่างเถอะ อย่างน้อยก็มั่นใจได้แล้วว่ายัยน่านอยู่ที่ปากช่องจริงๆ

              แล้วเราจะได้เจอน้องน่านอีกไหมละครับคุณพ่อ คราวนี้คงระวังตัวแจแน่ๆน้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูเป็นกังวล แม้จะฉุนเฉียวไม่น้อยที่ไม่ได้ตัวนัทชากลับกรุงเทพฯ ไปด้วยกัน แต่เขาก็ยังรักษาท่าทีต่อหน้าของผู้เป็นพ่อเลี้ยงไว้ได้เป็นอย่างดี

              ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่ายังไง...พ่อก็จะเอาตัวนังลูกไม่รักดีกลับบ้านไปให้ได้!” ภานุเดชประกาศกร้าว คนอย่างเขาไม่เคยแพ้ใคร โดยเฉพาะกับลูกสาวตัวเล็กๆ ที่กล้าสร้างความเสื่อมเสียอย่างนี้ เขายิ่งไม่มีความจำเป็นต้องปราณี นัทชาต้องได้รับบทเรียนที่ทำให้เข็ดขยาดไปตลอดชีวิต





    ต่อเลยนะคะ



              ลุยซ์ทำหน้าที่คนขับรถไปเงียบๆ และเหลือบตามองนัทชาอยู่เป็นระยะ อึดอัดใจอยู่เหมือนกันที่อีกฝ่ายไม่ยอมปริปากเอ่ยถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเสียที เขาเองก็ไม่ถนัดซักถามแสดงความอยากรู้อยากเห็นเสียด้วย จึงทำได้แค่รอคอยว่าเมื่อเธอพร้อม เดี๋ยวคงจะยอมเล่าให้ฟังเองว่าที่วิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนั้น มันเกิดจากสาเหตุใด

              หญิงสาวยกแขนขึ้นกอดตัวเอง สายตาจับจ้องอยู่บนกระจกมองข้างอย่างเหม่อลอย ตอนนี้หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เบาบางลงจนกลับมาเต้นในจังหวะปกติตามเดิมแล้ว เธอถอนหายใจลึก แรงกดบนบ่าทั้งสองข้าง รวมทั้งความวิตกต่างๆ ไม่มีหลงเหลืออยู่อีก

              ฉันคงถูกจับได้อีกไม่นานนี้แน่ๆ ค่ะจู่ๆ นัทชาก็เอ่ยด้วยประโยคปริศนา

              จับได้?ลุยซ์ขมวดคิ้ว ทวนคำนั้นอย่างไม่เข้าใจ

              ผู้ชายที่วิ่งไล่ตามฉันมาชื่อเอกพลค่ะ เขาเป็นลูกชายของแม่เลี้ยงฉันเอง...คนที่พ่อบังคับให้ฉันแต่งงานกับเขาหญิงสาวหลับตาลง ในตอนที่เล่าทุกอย่างให้เขาฟัง ส่วนคนที่พากันตามมาติดๆ คือพ่อของฉันกับภรรยาใหม่ค่ะ

              แม่เลี้ยงของเธอยังดูสาวอยู่เลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกชายโตเป็นควายขนาดนั้นแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับเอกพลเอาเสียเลย นัทชาเองก็ไม่ได้ชอบหมอนั่น เพราะฉะนั้นเขาจะพูดถึงฝ่ายนั้นแบบไหน เธอก็คงไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

              คุณกานดาท้องพี่เอกตอนอายุยังน้อยมากๆ ค่ะ ตอนนี้อายุสี่สิบสองปี แต่เธอเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมาก เข้าออกคลินิกเสริมความงามเป็นว่าเล่น เลยดูเหมือนสาวๆ ที่อายุสามสิบเศษๆ เท่านั้นหญิงสาวบอก แล้วหันมามองคนข้างตัว แต่ฉันแปลกใจมากเลยนะคะที่เห็นทุกคนมาที่นี่ ฉันรู้ว่าพ่อมีเส้นสายใหญ่โต แต่ก็ไม่น่าจะรู้เร็วขนาดนี้ว่าฉันหนีมาอยู่ที่ปากช่อง

              สำหรับคนที่มีอำนาจน่ะ มันเช็กไม่ยากหรอก แค่ตรวจสอบจากประวัติการรักษา หรือการเคลื่อนไหวจากตอนที่เธอกดเงินจากบัตรเอทีเอ็ม แค่นั้นก็ตามตัวได้ไม่ยากแล้วลุยซ์พูดความจริง คิดขึ้นมาได้ทันทีว่าช่องโหว่ของการที่ทำให้คนพวกนั้นรู้ว่านัทชาอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นข้อมูลที่ได้มาจากโรงพยาบาล

              ถ้างั้นคงเป็นเพราะการที่ฉันไปทำแผลที่โรงพยาบาลแน่เลยค่ะเธอเห็นพ้องต้องกัน

              นี่ถ้าพ่อเธอขอตรวจดูจากกล้องวิดิโอวงจรปิด อีกหน่อยต้องรู้แน่ว่ารถคันนี้เป็นของฉัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกสองสามวัน หรืออย่างเร็วที่สุดก็พรุ่งนี้ พ่อเธอต้องไปตามหาตัวเธอที่ฟาร์มวราทิตย์แน่

              แล้วจะทำยังไงดีละคะ! ฉันขอตายดีกว่า ถ้าต้องถูกลากตัวกลับไปลงนรกแบบนั้นประโยคนี้ทำให้ลุยซ์หันไปมองสบตาทันที นัทชามองมาอย่างอ้อนวอน สีหน้าดูวิตกกังวลสุดจะเอ่ย เขานิ่งเงียบ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างที่บอกเลยว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่อยากให้ปัญหาของคนอื่นมาสร้างความเดือดร้อน แต่จะทำอย่างไรได้...ชีวิตของนัทชานั้นน่าเห็นใจจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าเธอกำลังหนีร้อนมาพึ่งเย็น

              แล้วเขาจะขับได้ไสส่งได้ลงคอเชียวหรือ?

              ไม่ล่ะ...เขาเคยตัดสินใจผิดในหลายๆ เรื่อง แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องนี้

              ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยเธอเอง ยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้พ่อเธอ เอาตัวเธอกลับไปแต่งงานกับไอ้หน้าจืดนั่นได้แน่ๆเขาให้สัญญา และมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำได้อย่างที่พูดจริงๆ

              คุณลุยซ์พูดจริงๆ นะคะ!” หญิงสาวยิ้มร่าด้วยความดีใจ

              จริงสิ ฉันพูดคำไหนคำนั้นเสมอเขาพยักหน้ายืนยัน ใบหน้าราบเรียบปราศจากอารมณ์ใดๆ

              ขอบคุณค่ะ ถ้าคุณช่วยฉัน ฉันจะยอมเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของคุณไปตลอดชีวิตเลย!” คำนี้ทำเอาชายหนุ่มเกือบหลุดหัวเราะ เขาหันมามองเธอแล้วกระตุกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

              จำคำของตัวเองไว้ด้วยแล้วกัน

              แน่นอนค่ะ ฉันไม่ลืมแน่ๆ

              เอาล่ะ งั้นเริ่มต้นหน้าที่ทาสที่ซื่อสัตย์เลยแล้วกัน อย่างแรก...เธอต้องเล่ามาให้หมดว่าไอ้หมอนั่นมันเคยทำอะไรไว้กับเธอบ้าง แล้วพ่อกับแม่เลี้ยงของเธอน่ะ นิสัยใจคอยังไง ฉันจะได้เตรียมรับมือถูก เพราะการรู้ข้อมูลของศัตรู มันจะทำให้เราได้เปรียบกว่าหลายเท่าเมื่อคำสั่งนั้นจบสิ้นลง นัทชาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเอกพล ภานุเดช และกานดาให้ลุยซ์ฟังอย่างละเอียด ในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยเธอได้ เธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรทั้งนั้น

              ลุยซ์ไม่ชอบความเผด็จการที่ภานุเดชทำกับลูกสาวในไส้ของตัวเองเลยสักนิด ตอนแรกเขาคิดว่าพ่อแบบนี้มีแค่ในละครหลังข่าวเสียอีก แต่ในเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเอง เขาก็ได้ข้อสรุปทันทีว่าพวกละครโทรทัศน์ ล้วนแล้วแต่มีเค้าโครงมาจากชีวิตจริงกันทั้งนั้น

              ผู้ชายที่ชื่อเอกพลกับแม่กานดานั่นยิ่งไปกันใหญ่ หวังสบาย อยากได้สมบัติของคนอื่นจนตัวสั่น เท่าที่ดูมือเท้าก็มีครบ หน้าตาก็ดี ดูมีการศึกษา ไม่ได้เป็นง่อยเสียหน่อย ทำไมถึงไม่รู้จักคิดทำมาหากินกันเองบ้างนะ มัวแต่หวังจะสูบเลือดสูบเนื้อคนอื่นแบบนี้ มันน่าภูมิใจตรงไหนกัน

              พ่อเธอดูไม่ออกเลยเหรอว่าสองแม่ลูกนั่นหวังผลประโยชน์เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้

              ไม่เลยค่ะ ถ้ามองออก คุณพ่อคงฟังสิ่งที่ฉันพูดบ้าง แต่นี่พูดอะไรไป คุณพ่อก็เอาแต่หาว่าฉันไปใส่ร้ายคุณกานดากับลูกชายท่าเดียวเลยหญิงสาวถอนหายใจ ถ้าไม่มีสองแม่ลูกนั่นเข้ามาในชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบิดาคงยังดีกว่านี้มาก ภาพใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่จางหาย

              แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าหลงเมียใหม่จนไม่เห็นหัวลูกกว่าจะรู้ว่าไม่ควรหลุดปากพูดออกไป มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขแล้ว ลุยซ์หันไปมองคนตัวเล็ก เห็นใบหน้าของเธอเศร้าสลดแล้วอดรู้สึกผิดไม่ได้ เขาขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไรดี

              ฉันหิวจังเลยค่ะ เราแวะทานก๋วยเตี๋ยวข้างทางกันหน่อยดีไหมคะนัทชาเสเปลี่ยนเรื่อง เพราะเชื่อว่ามันจะทำให้เขาประดักประเดิดน้อยลง

              ก๋วยเตี๋ยวเหรอ?เขาทวนถาม

              ใช่ค่ะ หรือว่าคุณลุยซ์ไม่ชอบทานอาหารที่ร้านริมทางคะ ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้ค่อยกลับไปทานที่ฟาร์มก็ได้

              เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น ฉันกินที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละเขาอธิบาย แล้วชะลอรถให้ช้าลง เปิดไฟเลี้ยวเข้าริมถนนเมื่อเห็นร้านขายอาหารอยู่อีกไม่ไกล นั่นไง เจอร้านก๋วยเตี๋ยวพอดีเลย กินเลยก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวขับต่อไปอีกหน่อยก็ไม่มีร้านรวงข้างทางแล้ว มีแต่ป่า ถ้าเธอหิวขึ้นมาตอนนั้น อาจจะต้องลงไปล่ากระต่ายมาย่างกินกันเหมือนในละครเป็นคำพูดที่ทำให้นัทชาหัวเราะร่วน แต่คนปล่อยมุกกลับหน้าตึงขำไม่ออกเสียอย่างนั้น

              คุณนี่ก็มีอารมณ์ขันเป็นเหมือนกันนะคะ

              อารมณ์ขันเหรอ ไหน...เธอเห็นฉันหัวเราะตอนไหนเขาหันมาถาม ขณะจอดรถนิ่งแล้วดับเครื่องยนต์

              ก็ทำให้คนอื่นขำได้ มันก็ถือว่าเป็นอารมณ์ขันเหมือนกันนี่คะหญิงสาวเถียงพร้อมยักไหล่ เลียนแบบท่าทางที่เขาชอบทำอยู่เป็นประจำ ไปค่ะ ไปทานก๋วยเตี๋ยวกัน มื้อนี้ฉันขอเลี้ยงเอง ในฐานะที่คุณเป็นผู้มีพระคุณ พาฉันหนีจากพี่เอกมาได้ทันอย่างหวุดหวิด

              เดี๋ยว!” เขาเรียกไว้ในตอนที่เธอกำลังจะเปิดประตูลงจากรถไป

              คะ?นัทชาหันกลับมามอง คิ้วเรียวได้รูปเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ

              ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกไอ้หน้าจืดว่าพี่เอกอีกนะ

              ทำไมล่ะคะ

              ฉันไม่ชอบ!” ลุยซ์ตวาดจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง ฉันหมายความว่า...ฉันไม่ชอบให้เธอเรียกไอ้คนเลวพรรค์นั้นว่าพี่ มันไม่คู่ควรที่จะได้รับความนับถือจากใครหรอก เรียกมันว่าไอ้เอกพลยังฟังดูเหมาะกว่าอีกก่อนจะบอกเหตุผลที่ทำให้เขาต้องพูดถึงส่วนนี้ขึ้นมา

              ค่าเจ้านาย ไม่เรียกก็ไม่เรียกค่ะนัทชาขานรับเสียงใส ไม่คิดจะขัดใจคนขี้โมโห ไม่อย่างนั้นก๋วยเตี๋ยวมื้อนี้อาจจะเคล้าน้ำตาไปด้วยก็ได้

              ถึงแม้จะสบายใจขึ้นมาก เพราะรู้ว่าลุยซ์จะช่วยเหลือเธอ ไม่ปล่อยให้ถูกพาตัวกลับไปง่ายๆ แต่ลึกๆ ในใจ นัทชายังคงเจ็บปวดไม่น้อยที่เห็นความโกรธเกลียดในแววตาของบิดา เธอหนีหายออกจากบ้านมา แทนที่ภานุเดชจะรู้สึกเป็นห่วง หรือคิดหาเหตุผลว่าอะไรที่บีบคั้นให้เธอต้องทำแบบนั้น เขากลับมีแต่ความไม่พอใจ และอยากเอาชนะมากขึ้นไปอีก ตราบใดที่กานดาและเอกพลยังคอยยุยงไม่ห่างแบบนี้ เธอกับพ่อคงไม่มีโอกาสได้กลับไปเข้าใจกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

              นัทชาดึงตัวเองกลับมาร่าเริงอีกครั้ง เพราะไม่ต้องการแสดงมุมอ่อนแอให้ใครเห็น เธอสั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก ส่วนลุยซ์ชอบเส้นบะหมี่เหลือง ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตารับประทานกันเงียบๆ เมื่อหมดเกลี้ยงแล้วเธอก็เป็นคนอาสาจ่ายเงินตามที่พูดไว้ ชายหนุ่มลอบกลอกตาเบ้ปาก คิดขำๆ กับตัวเองว่าถ้านัทชาคิดจะเป็นเจ้ามือ อย่างน้อยก็ควรพาไปเลี้ยงที่ภัตตาคารหรูๆ สิ ไม่ใช่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวริมทางอย่างนี้

              ถ้าฉันมีเงินเดือนเยอะ คงได้ทานอาหารอร่อยๆ ในร้านหรูๆ นะคะ แต่ในเมื่อฉันยังไม่ได้เริ่มงาน เงินที่ติดตัวมาก็ต้องใช้อย่างประหยัด เพราะฉะนั้นก๋วยเตี๋ยวข้างทางนี่แหละค่ะ สุดยอดแล้วคำพูดที่นัทชาเอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทำเอาลุยซ์หันไปมองอย่างตกใจ

              ยัยผี!” เขาว่า

              อ้าว ทำไมว่าฉันแบบนั้นล่ะคะหญิงสาวทำหน้าเหวอ

              ก็เธอพูดเหมือนรู้ทันความคิดฉันน่ะสิ เปลี่ยนจากกวางน้อยเป็นยัยผีแทนดีไหมลุยซ์บอกแล้วหัวเราะในลำคอ

              คุณลุยซ์!” นั่นเป็นเหตุให้โดนกำปั้นน้อยๆ ทุบลงบนต้นแขนไปเต็มแรง

              พูดเล่นหรอกน่า ขืนไปเรียกเธอแบบนั้น คนอื่นได้ด่าฉันเสียๆ หายๆ กันหมดพอดีชายหนุ่มยื่นมือไปจิ้มที่หน้าผากนูนเกลี้ยงอย่างลืมตัว นัทชามองสบกับดวงตาสีเทามีเสน่ห์ สัมผัสจากปลายนิ้วของเขา ทำเอาเธอร้อนวาบไปทั่วใบหน้า ลุยซ์เองก็รู้สึกได้ทันทีว่าลำคอตีบตันขึ้นมาเสียดื้อๆ หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล นั่นทำให้เขารีบเดินแยกไปขึ้นรถ นัทชาเองก็ทำแบบเดียวกัน ไม่มีคำพูดใดๆ อีกในตอนที่เขาสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วขับรถเคลื่อนไปบนถนนเบื้องหน้า มุ่งสู่ปลายทางอย่างจดจ่อ








    เอาแล้วๆๆ อยู่ใกล้กันบ่อยๆ มันก็ชักหวั่นไหวใช่ไหมล่ะพี่ลุยซ์ 

    ถ้าไม่อยากพลาดกวางน้อยเนื้อหวานฉ่ำ รีบรุกเข้าน้าาาา 55555+

    นักอ่านที่น่ารักใจเย็นๆ กันนิดนึงค่า รับรองว่าเมื่อได้เปิดใจแล้ว

    พี่ลุยซ์ของเรารุกเร็วรุกไวอย่างแน่นอน รับประกันความฟินค่ะ อิอิ

    เอาไว้พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

    ท่านใดเพิ่งเข้ามาอ่าน เพื่อความต่อเนื่องกดแอด Fav. ที่แบนเนอร์เลยจ้า







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×