คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #54 : 49th Tale : ด้วยสายตามนุษย์ 2
“เท่านี้อะไรๆก็ง่ายขึ้นล่ะนะ”ฮาว์เล็ทวางชิ้นส่วนสุดท้ายลง
ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากแขกขาประจำที่มักจะมีของติดมือมาให้เสมอ
ห้องทำงานซอมซ่อของเขาถึงได้ดูมีระบบระเบียบมากขึ้น
ส่วนที่เหมือนกองขยะสุมๆก็เหลือไว้แต่วัสดุที่จำเป็นท่านั้น
นอกจากนี้หินแร่ที่ได้มาจากยูโธเปียยังทำให้การศึกษาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วอีกด้วย
เขาหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กอันเป็นเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นในกระท่อมแห่งนี้
มันดูจะสร้างความอึดอัดให้พอสมควร กระนั้นผู้ใช้งานก็ไม่เคยปริปากบ่น
หากจะกล่าวว่าสีหน้าของเขาแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่พบก็คงจะถูก
“นายท่านนี่ไม่ชอบอะไรสบายๆหรือไง?”
“เจ้ามีปัญหารึ?”ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปิดขึ้น
อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ไม่ได้สวมเสื้อคลุมชั้นนอก
ในมือมีเอกสารหลายแผ่นเย็บซ้อนกันอยู่คล้ายหนังสือเล่มบางต่างจากม้วนตำราทั่วๆไปหรือหนังสือปกหน้าเตอะราคาสูงลิ่ว
เป็นอีกสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันประหลาด
“ทำไมหนังสือในมือท่านมันหน้าตาเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“มันสะดวกกว่าน่ะ
เจ้าเองก็น่าจะหัดทำเสียบ้าง เก็บข้อมูลใต้หัวข้อเดียวกันเอาไว้ด้วยกัน
แบ่งตามระยะเวลาแล้วก็เรียงให้เป็นระเบียบด้วยล่ะ”ซิลอยด์พลิกปึกเอกสารให้ดู
ต้องบอกว่าหลายสิ่งที่เห็นจากโบราณสถานไม่ได้ไร้ประโยชน์เลย
ชาววาเนอร์ช่างมีวิธีสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิตได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ
“...บางทีฉันก็สงสัยว่าท่านเอาความคิดพวกนี้มาจากไหนกัน”
แอซไพรซ์ตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก
เขาวางข้อเรียกร้องต่างๆที่ต้องเอาเข้าวาระประชุมในครั้งหน้าลง หนึ่งในนั้นคือการโต้ตอบเผ็ดร้อนของอีลิจา
บัลเดอร์ต่อคำขอยืมพื้นที่ของเขา
“ข้ามีเรื่องสงสัย
ตั้งแต่มาที่นี่ข้าก็เห็นชาวบ้านพากันเดินไปอีกทิศหนึ่ง ที่นั่นมีอะไร?”ใบหน้าคมคายเบือนไปอีกทาง
ด้านนอกหน้าต่างมีกลุ่มชาวเมืองพร้อมอุปกรณ์ต่างๆในมือเดินต้วมเตี้ยมต่อกรกับความเย็นของฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง
สีหน้าของพวกเขาต่างก็เหนื่อยล้า เสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งเก่าและขาดวิ่น
นั่นคือสภาพของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในแถบนี้
ซิลอยด์ตกใจเมื่อครั้งแรกที่รู้
หากไม่ใช่เพราะค่าแรงจากการรับจ้างคัดหนังสือต่างๆที่ฮาว์เล็ทได้มาจากการอ่านออกเขียนได้ล่ะก็
เขาเองก้คงมีสภาพไม่ต่างจากคนพวกนั้น
“เหมืองที่ชายแดนน่ะ
อีคนาของพวกเราอยู่ติดกับเทือกเขาเลแรงก์ พอฤดูหนาวก็จะหนาวกว่าที่อื่น
พืชพรรณเองก็ปลูกไม่ค่อยขึ้นเหมือนกับทางใต้อย่างฟอร์ลี อาหารการกินก็แพง
พอเป็นแบบนี้แล้วที่นี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำหรอกนะ ทุกคนก็เลยต้องฝากความหวังไว้กับเหมืองถ่าน”นักประดิษฐ์ถอนหายใจพลางยกมือขึ้นมาเป่า
อากาศเย็นเริ่มคืบคลานเข้ามาในกระท่อมที่ป้องกันอะไรไม่ได้ของเขาแล้ว
“แต่ถึงจะทำงานหนักและได้ราคาสูงเราก็ยังต้องเอามันไปขายอยู่ดี
ทั้งถ่านและฟืนต่างก็เป็นสิ่งที่พวกเราต้องแย่งชิงกัน บางทีก็ขายแลกกับอาหาร
ยิ่งนอกเขตเมืองก็ยิ่งง่ายต่อการหนาวและอดตาย”
“หากว่าข้าจำไม่ผิด
ที่ดินแถวเลแรงก์เต็มไปด้วยป่าสน ทำไมถึงไม่ใช้พื้นที่ตรงนั้นเล่า?”เทพเจ้าเอามือแตะคาง
ขณะมองหมู่บ้านที่ไร้สีสัน เรื่องการเพาะปลูกที่เป็นปัญหาก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยของลอร์ดบาเรียน
บิดาของเขา ภาพความรกร้างนอกแผ่นดินแอร์เซียวกเข้ามากวนใจ
แต่เขาก็ตัดสินใจจะไม่ตีตนไปก่อนไข้ในเรื่องที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริง
“ก็เพราะเป็นเลแรงก์น่ะสิ!
พวกเราน่ะมีกฎหมายว่าห้ามล่วงล้ำอาณาเขตของเทพเจ้าเชียวนะ ถึงจะอยู่ในเซมิเนียก็เถอะ
แต่มันไม่ใช่ของของเราหรอก”
“แต่ข้าไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้นี่”ลอร์ดแห่งเลแรงก์ค่อนข้างงุนงงกับความรู้ใหม่ที่ได้รับ
“งั้นท่านก็ต้องไปบอกกษัตริย์ฟรานซิสแล้วล่ะ
ค่อนข้างยากหน่อยนะ พระองค์เป็นพวกหัวอนุรักษ์น่ะ”
“Láng (อัคคี)”คนจากบนฟ้ากระดิกนิ้ว
ก่อนที่ไฟในเตาเผาจะลุกโชนดังเปรี๊ยะปร๊ะ สร้างความอบอุ่นให้กับห้องทำงานโกโรโกโสทบทวี
“ข้าไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์มาห้าสิบปีแล้ว นั่นคือชื่อของราชาคราวนี้รึ?”
“ห้าสิบปีไม่รวมฉันสินะ”ฮาว์เล็ทยิ้มแฉ่งรู้สึกภาคภูมิใจออกหน้าออกตา
แม้ว่าเหตุผลที่ขุนนางแห่งยูโธเปียลงมาเกลือกกลั้วอยู่ในนี้จะยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยเข้าใจก็ตาม
“จะเอาไปบอกให้ก็แล้วกัน”ซิลอยด์พยักหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจังพร้อมเมินเฉยคำถามสุดท้ายไปในตัว
เขาเอื้อมมือไปหยิบปากกาขนนกมาหัวข้อที่ต้องเพิ่มในการประชุมวาระหน้าและถ้ามีคำถามว่าเขาไปรู้เรื่องนี้เข้าได้อย่างไรนั้น
....จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของราฟรีนก็แล้วกัน
“....อะ
เอาจริงเหรอน่ะ?”ชาวมิดการ์ดตกอยู่ระหว่างความนับถือกับความตะลึง
“จริงสิ ถึงตอนนี้สิ่งประดิษฐ์ของเจ้าจะไร้ประโยชน์ขึ้นมารึเปล่านะ?”หัวหน้าสภาเหนือชี้ไปที่อุปกรณ์คล้ายเตาอบขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอันเต็มไปด้วยแบบแปลนพาหนะหน้าตาประหลาดหลายอย่าง
“ไม่มีทางหรอกน่า! ถ้าเครื่องปั่นไฟของฉันสำเร็จล่ะก็
ทุกคนก็จะไม่ต้องเอาส่วนแบ่งแรงงานของตัวเองมาขายอีกต่อไป
การขนส่งก็จะสะดวกขึ้นด้วย
รู้ไมว่าปีๆหนึ่งมีคนที่ตายเพราะการเหนื่อยล้าจากการเดินทางมากแค่ไหน! ว่าแต่เจ้า ‘เกวียนยนต์’ นี่ มันดีจริงๆเลยนะ
ท่านไปเอาของพวกนี้มากจากไหนเหรอ!?”ชายหนุ่มสวมแว่นยกแผ่นกระดาษขึ้นส่องย้อนแสงไฟจากคานไม้
เลนส์แว่นตาของสะท้อนประกายสีทองเหมือนหิ่งห้อย
ซิลอยด์คิดว่ามันช่างดูเหมือนการเปรียบเปรยของประกายแห่งความหวังเหลือเกิน
สีหน้าของคนที่กำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่งน่ะ
“แค่นึกขึ้นมาได้น่ะ
แต่บนแอสการ์ดเราใช้ไบฟรอสต์”แม้ว่าผลงานที่ฮาว์เล็ทออกแบบจะยังไม่เหมือนพาหนะในวาเนอร์เสียทีเดียว
แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ยังไม่มีใครคิดค้น
“งั้นเหรอๆ....ฉันก็อยากลองเดินทางผ่านไบฟรอสต์ดูสักครั้งจังเลยนะ”
“ไม่
เจ้าไม่อยากหรอก”ซิลอยด์ขัดทันควัน ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม
ไม่มีทางลืมเลือนประสบการณ์ที่ได้สัมผัสจากไบฟรอสต์เป็นครั้งแรกอย่างแน่นอน
“เจ้าอาจจะขี่มังกรมากกว่าก็ได้”เขาเบี่ยงประเด็น นึกถึงครั้งแรกที่ตนเองต้องเดินทางข้ามน่านฟ้า
ครั้งที่สองเขาจึงไม่ลืมที่จะพาราฟรีนไปด้วย
เป็นใบหน้าที่คุ้มค่ามาก
“....เอ่อ
ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ ทำไมท่านทำหน้าตาพะอืดพะอมแบบนั้นล่ะ”คนที่ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของสะพานสายรุ้งในตำนานเอ่ยขึ้น
“ดีจังเลยนะ แอซไพรซ์เนี่ยอะไรก็สะดวกไปเสียหมด
เหมือนกับเห็นอยู่แล้วว่าอะไรอยู่ที่ปลายทางอย่างงั้นล่ะ”
“ปลายทางงั้นรึ?”ขุนนางหนุ่มทวน
“ใช่
มันทำให้ฉันสงสัยจริงๆที่เห็นพวกท่านพัฒนาไปไกลขนาดนั้น ทั้งยังเป็นตั้งแต่ต้น! ในขณะที่พวกเรา –
มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ทั้งสิ่งประดิษฐ์ ความเชื่อและวิถีชีวิต
มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ของมนุษย์ขึ้นมา
เหมือนกับว่า...พวกเราถูกวางหมากให้เป็นแบบนี้ มีบทบาทแค่เพียงเท่านี้
และก็อยู่ห่างจากพวกท่านไกลโพ้นขนาดนี้...”
หางเสียงลดลงกลายเป็นพึมพำ
ฮาว์เล็ตติดนิสัยชอบพูดเรื่อยเปื่อยมาตั้งนานแล้ว
โดยเฉพาะในเวลาที่กำลังหมกหมุ่นกับการทำงานมากกว่าจะมาปิดปากตัวเองแบบนี้
เขากำลังหันหลังให้กับซิลอยด์ จึงไม่เห็นถึงสีหน้าสุขุมที่เต็มไปด้วยความจริงจัง
“วันแรกที่เจอกันเจ้าก็พูดแบบนี้
เจ้าอยากเห็นอนาคตหรือเปล่าล่ะนักประดิษฐ์?”
“อยากเห็นหรือไม่อยากเห็นมันไม่ใช่ประเด็นหรอกนายท่าน
ความรู้สึกที่ว่าถึงจะแค่กระผีกเดียว แต่ก็ยังมีอนาคตอยู่น่ะสำคัญกว่า
ฉันเองก็ทำพลาดตั้งหลายครั้ง บางทีก็รู้สึกเหมือนจะไปไม่ถึงไหน แต่คงเพราะมันผิดๆถูกล่ะมั้ง
ถึงได้มองเห็นว่าตรงมีทางไปแล้วตรงไหนมันไม่มี ยังไงเสียฉันก็ต้องตายอยู่ดี
ไม่ได้อยู่เป็นร้อยๆปีแบบพวกท่านหรอก
ถ้าเราไม่ทำอะไรให้มันเต็มที่ล่ะก็น่าเสียดายแย่”
แอซไพรซ์หนุ่มยิ้มบางๆ
ตอนนี้พูดอะไรไปอีกฝ่ายก็คงจะไม่ได้ยิน เสียงขูดขีดกระดาษวุ่นวายผสมกับเสียงกรีดร้องของกาต้มน้ำ
แดดยามบ่ายของฤดูใบไม้ผลิเป็นสีขาวอ่อนแสง ในเมืองที่ไร้สีสันแห่งนี้
ซิลอยด์กลับรู้สึกถึงชีวิตมากกว่าที่ไหนๆ
“ในอนาคตน่ะมีปราสาทที่สูงเสียดฟ้า
มีเกวียนที่วิ่งได้โดยไม่ต้องใช้ม้า มีนกเหล็กที่บินผ่านท้องฟ้าได้นานเป็นวันๆ มีเครื่องมือที่สามารถพูดคุยกับคนที่อยู่อีกซีกหนึ่งของโลกได้
และก็ยังมีกล้องส่องทางไกลที่มองเห็นดวงดาวในอวกาศ”
สักวันหนึ่งพวกเจ้าคงจะไปถึงที่แห่งนั้น
.
.
นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
ถ้าเพียงแต่ว่าทุกสิ่งไม่จบลง
ฟืนและถ่านเป็นสิ่งที่หาได้ยากและมีราคาสูง
แม้จะทำงานได้มาเท่าไหร่ก็ยังต้องเจียดส่วนของตนเองไปขายประทังปากท้อง
นั่นคือสิ่งที่ฮาว์เล็ทเคยบอกเอาไว้ ในฤดูหนาวถัดมาอากาศที่อีคนาหนาวจัด
ทุกส่วนปกคลุมด้วยหิมะหนา
ดังนั้นแม้ว่าเปลวไฟจะแรงแค่ไหนผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ไม่ได้ถอยห่างไปมากนัก
แสงสีส้มแดงสาดส่องบนพื้นที่ผสมระหว่างขี้ดินและเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นสีสกปรก
มันลุกโชนขึ้นในท้องฟ้ายามราตรี ดั่งดวงอาทิตย์สาดแสงจ้า
ซิลอยด์เห็นมันจากปลายของถนนที่น้อยคนสัญจร
เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นโครงบ้านกำลังมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านอยู่เบื้องหน้าใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ของชาวเมือง
ดวงตาเฉยชาไม่ยินดียินร้ายต่อสภาพการณ์ พวกเขาคิดเพียงแค่ว่า
คืนนี้ยังไม่ใช่คืนที่ต้องจบชีวิตเพราะอากาศหนาวอันไร้ความปรานีนี้
บางส่วนตะโกนเซ็งแซ่
เหล่าคนที่ถือคบเพลิงในมือและอุปกรณ์หว่านไถล้อมอยู่รอบซากกระท่อม
เทพแห่งยูโธเปียไม่ได้ฟังให้ดีนัก
ไม่มีเสียงอะไรเลยที่ลอดเข้ามาในโสตประสาทของเขา
ยกเว้นเสียงเต้นระบำปริแตกของเสาไม้ที่ค้ำยันสิ่งปลูกสร้างนี้มานานปี
ไม่มีใครห้ามตอนที่เขาผลักกำแพงมนุษย์วิ่งเข้าไปยังทะเลเพลิงสว่างโร่นั่น
มีแต่เสียงก่นด่าสาปแช่งแก่คนหนุ่มที่ดูท่าจะจบชีวิตในอีกไม่นานเท่านั้น
ข้างในร้อนจนแทบขาดใจ
ควันไฟเผาโพรงจมูกแสบสันต์
แม้จะมีเกราะวารีกันอยู่หลายชั้นแต่เทพแห่งน่านฟ้าเหนือที่จมอยู่ในเหมันต์เป็นนิจก็ยังไม่อาจต้านทานแรงโหมของเปลวไฟได้
ทุกอย่างในวิสัยของเขาเป็นสีแสดแดงจ้าไปหมด ทั้งแบบร่างที่เย็บเป็นปึกกำลังถูกกลืนกิน
ย่ามที่ห้อยตามเสาและคานหลุดร่อนลงมาที่ละชิ้น
อุปกรณ์ต่างๆที่มีร่องรอยการทุบทำลายและโต๊ะทำงานไม้สุดหยาบที่พังเละไม่มีชิ้นดี
ร่างของนักประดิษฐ์หนุ่มนอนอยู่ตรงนั้น
จมจ่อมในของเหลวอันแดงจัดจ้านไม่แพ้เพลิงไฟ
ย้อมเสื้อผ้าเก่าปุปะของเขาให้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มไปทั่วตัว
แม้ว่าซิลอยด์จะตะโกนเรียกเท่าไหร่ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ขยับตัว
จนกระทั่งแอซไพรซ์หนุ่มถลากายเข้าไปถึง
พร้อมกับคานไม้แท่งแรกที่ถล่มลงมาท้าทายเทพฤทธิ์ร้ายกาจ
มันถูกดีดออกไปพร้อมๆกับเปลวสีแสบที่ล่าถอยออกด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น
รอบตัวของเขาเหมือนมีสนามพลังงานล่องหนที่แสดงความบิดเบี้ยวในมิติและค่อยๆก่อตัวเป็นสีน้ำเงิน
“ฮาว์เล็ท!”ทว่าลอร์ดแห่งเลแรงก์ไม่มีเวลามาสนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
มือพลิกไหล่ของนักประดิษฐ์หงายขึ้น ใบหน้าครึ่งบนย้อมไปด้วยโลหิต
เส้นผมเปียกแนบศีรษะที่ปรากฏแผลเหวอะหวะ แว่นของเขาหายไปไหนไม่รู้ได้
คงจะมีแต่แรงกระเพื่อมอันอ่อนล้าของแผ่นอกที่ยังบ่งบอกถึงสัญญาณของลมหายใจ
สายตาของซิลอยด์ไล่ลงไปถึงจุดนั้นก็พอโล่งอก
หากไม่เพราะพบว่าแขนขวาของเขาแหลกเหลวเป็นจุล มือซ้ายเองก็ป่นแตกไม่มีเค้าเดิม
เป็นภาพที่โหดร้ายจนแม้แต่แอซไพรซ์ยังต้องเบือนหน้าหนี
เขาไม่ใช่บุรุษใจเสาะและหนล่าสุดที่หลั่งน้ำตาก็นานจนแทบจำความไม่ได้ดี
กระนั้นสิ่งที่เห็นก็ยังเรียกหยดน้ำและความคลื่นเหียนอย่างควบคุมไม่ได้
“....ฉันพยายามที่จะปกป้องทุกอย่าง”เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นกระชากใบหน้าคมคายกลับมาพบกับดวงตาที่ถูกถมด้วยเลือดจนมองไม่เห็นสีของดวงแก้วข้างใน
“แต่ก็...ทำอะไรไม่ได้เลย”
มือทั้งสองข้างนั้นคงใช้กกกอดงานทดลองของตนเองไว้สุดชีวิต
แม้จะต้องลงไปคุดคู้อย่างน่าอดสูก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ จนกระทั่งแม้แต่สองมือก็ถูกทำลายไปด้วย
“ไม่เป็นไร
ข้าจะรักษาเจ้า”แอซไพรซ์หนุ่มอังฝ่ามือของตนเองที่กลางลำตัว
แสงสีฟ้าอมเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวอีเซอร์เปล่งออกมาเจิดจ้า
สะท้อนดวงตาสีเข้มที่เรืองวาวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เส้นผมสีน้ำตาลของเขาลอยขึ้นในอากาศ
“ท่านเป็นเทพจริงๆด้วย”นักประดิษฐ์ยิ้มคล้ายว่าจะหัวเราะ
“...แต่ว่ามันไม่ทันแล้วหรอก”
“ไม่! มันจะต้องทัน
ข้าจะทำให้มือของเจ้ากลับมาใช้งานได้อีกครั้ง”เสียงของเขาสั่นระริกภายใต้การทลายของทุกสิ่งรอบตัว
แทบไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีกแล้วนอกจากซากปรักหักพังและวงกลมสีฟ้าที่อ่อนแสงลงทุกขณะ
แรงสั่นนี้กินไปถึงปลายนิ้วมือ ความร้อนก็ทำให้เหงื่อไหลโทรมและดวงตาแสบพร่า
ทุกอรูสัมผัสที่ประดังประเดหยุดลงพร้อมกับคำพูดของฮาว์เล็ท
“มันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะได้โบยบินเหมือนกับเทพเจ้า”ริมฝีปากยับเยินคงไว้ซึ่งรอยยิ้มที่แข็งทื่อ
ทุกสัญญาณ
ทุกชีพจรของร่างตรงหน้าดับลงเป็นเวลาเดียวกับแสงสว่างที่ฝ่ามือและการเผาไหม้ของกระดาษแผ่นสุดท้ายที่เป็นโครงร่างของสิ่งที่เรียกว่า
‘เรือบิน’
“อนาคตของฉัน....จบลงตรงนี้แล้วล่ะ”
เหงื่อไหลมารวมกันเป็นน้ำเม็ดใหญ่ที่ปลายคาง
หูของเขาอื้อไปเสียแล้ว รู้ตัวอีกทีฝ่ามือก็เปียกลื่นด้วยเลือด
เขาพยายามคลำหาชีพจร แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หากว่าที่นี่คือ ‘โลกแห่งนั้น’ ล่ะก็ จะต้องมีทางช่วยชีวิตเขาได้อย่างแน่นอน
จะต้องมีปาฏิหาริย์ที่ทำให้หัวใจเต้นขึ้นได้อีกครั้ง ถ้าแค่ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ทิ้งให้ผู้คนตายไปอย่างไร้ค่าแบบนี้!
“เจ้าคนบ้านั่นสุดท้ายก็ต้องพบจุดจบแบบนี้เหมือนอาจารย์ของมันไม่มีผิด”
“แกเองก็พูดไปเถอะ
เห็นไปยุ่งกับมันบ่อยๆระวังจะตดเชื้อบ้ามาด้วย!”
“เห็นเขาว่าเป็นพวกนอกศาสนาน่ะจริงไหม?”
“เอ๊ะ? ก็เพราะว่าฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ใช่หรือ?
เพราะไม่เคารพเทพโอดินน่ะสิถึงได้โดนลงโทษแบบนี้”
“ทางโบถส์ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือไง?”
“แต่เมื่อตะกี้ได้ยินว่ามีตั้งหลายอย่างที่ขโมยมาจากแอซไพรซ์นะ!”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าเพราะอุดตริสร้างอะไรขึ้นมาขัดพระบัญญัติหรอกเรอะ?”
“มนุษย์จะสร้างสายฟ้าขึ้นมาได้ยังไงกันเล่า?
ยายนี่พร่ำเพ้อจริงๆ”
“ชิ หน้าไม่อายจริงๆเลย
ของของมหาเทพทั้งนั้น ยังจะกล้าไปแตะต้องอีก”
เสียงภายนอกเซ็งแซ่
ยามนี่มันลอยเข้าโสตประสาทของซิลอยด์แล้ว
ดั่งคำสาปแช่งอาบรดลงบนร่างไร้วิญญาณไม่ขาดสาย คละเคล้าไปกับเสียงตะเบ็งเกรี้ยวดกราดของบาทหลวง
กลิ่นเหม็นของโลหะและเชื้อเพลิงชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด
“ทุกสิ่ง ณ ทีนี้...ก็เพื่อมหาเทพโอดิน! ขอเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในค่ำคืนนี้
จงชำระบาปที่ตกแก่มนุษย์และขอให้ทวยเทพทั้งหลายปกปักษ์เรา! เฮล
แด่โอดิน!”
“เฮล! แต่โอดิน!”
เสียงประสานก้องไปทั่ว
ดังระฆังสะท้อนไปมาในค่ำคืนที่เงียบสงัดและจิกแทงในใจของซิลอยด์ ณ
วินาทีนั้นบางอย่างในตัวเขาถูกกระชากขาดวิ่นออกจากกัน
ระหว่างความโกรธเกรี้ยวอันบ้าคลั่งและความโศกเศร้าสะเทือนขวัญ
เหมือนกับครั้งนั้นที่ได้รับรู้ตัวจริงของวีนัส แต่เพราะเขาเป็นแอซไพรซ์และเพราะเขาต่อสู้มาเพียงลำพัง
สายตามองไปยังร่างที่อยู่ตรงหน้าตัก
ร่างที่เล็กกว่า ทรุดโทรมและบอบช้ำ อีกไม่นานคงเย็นชืดลง
เขาจึงไม่รู้ว่ายังมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานกว่า ด้อยในพลัง
ต้องพบความเจ็บปวดดิ้นรนมากกว่าอีกหลายเท่า
ชีวิตที่สุดท้ายแล้วต้องจากไปโดยไม่รับอะไรเลย ที่สุดแล้วเขาก็เข้าใจถึงความอัดแน่นภายในอก
ความเวทนาสิ้นหวังต่อโลกใบนี้
เหล่าฝูงชนที่ออความอบอุ่นของกองไฟต้องแตกฮือออก
เมื่อฉับพลันเปลวเพลิงพุ่งทะยานทุกทิศทุกทาง จากกองใหญ่แตกแขนงออก
กลายเป็นกลีบดอกไม้เต้นระบำพลิ้วไหวในสายลมที่เย็นเฉียบ เพียงไม่นานใจกลางก็มอดแสงลง
เหลือเศษซากของกระท่อมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติของนักประดิษฐ์เพียงคนเดียว
เกล็ดสีขาวโปรยปรายลงมา อ่อนละมุนดั่งหิมะแรก นำพากลิ่นของโลหะและควันไฟแสบร้อน
ณ ใจกลางของฐานเรือนที่สูญหายไป
ใครคนหนึ่งมองเห็นเงาตะคุ่มสูงชะลูด คล้ายกับแผ่นหลังของบุรุษในวงแขนโอบอุ้มซากศพคุดคู้ยับเยินไม่เหลือสภาพดี
เงาอันเลือนรางนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่ปรากฏในอีคนา
ราตรีนั้นครึ่งหนึ่งของเมืองได้หายสาบสูญในเหตุการณ์ดินถล่มที่เกิดขึ้นกะทันหัน
ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ตกค้างแถบชานเมืองถูกกลบฝังในพริบตา
ไม่มีผู้ใดทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น มีแค่เสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่นดั่งธรณีแยกเป็นสองส่วน
สิ่งที่จะเล่าขานกันต่อไปอีกนานนับปีคือเรื่องนิทานประจำกลุ่มดาวแกะขาว
ที่มีมาแต่โบราณและคงความศักดิ์สิทธิ์นับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา....
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผืนฟ้าที่ร้องครวญในครั้งนั้น
มิใช่เสียงของราชาผู้โศกศัลย์ต่อหญิงสาวคนรัก
แต่เป็นความพิโรธของเทพเจ้าต่อลมหายใจของมนุษย์ผู้เป็นสหาย
ซิลอยด์ก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าไม่เร่งรีบเพราะน้ำหนักที่เขารองรับอยู่ด้วยสังขารเหนื่อยล้า
เกล็ดขี้เถ้าสีขาวมัวซัวฟุ้งกระจายอ้อยอิ่ง
ดูแล้วคล้ายกับดินแดนรกร้างที่ถูกทำลายเป็นอย่างยิ่ง ปลายเท้าพลันเหยียบลงบนของชิ้นหนึ่งที่บิ่นแตก
ดวงตาเฉยชาเหลือบมองเพียงกรุยทางแล้วก็บดฝ่าเท้าจากไป
ไม่สนใจสัญลักษณ์ของเทพโอดินที่ไถลและถูกฝังไปกับกองดิน
.
.
ร่างของฮาว์เล็ททอดกายบนโลงแก้วที่เกลื่อนกลาดโบราณสถาน
ซิลอยด์นั่งพักอยู่ตรงข้ามกัน หากว่าราฟรีนเห็นเขาในสภาพนี้คงจะต้องกรีดร้อง
มือเหนอะหนะที่เย็นชืดลงเฉยปอยผมเหนียวหนืดของตน
ทุกสิ่งช่างเงียบเหลือเกินจนเขาอดที่จะเอ่ยปากออกมาไม่ได้
“ข้าเคยนึกอยากพาเจ้ามาที่นี่”
วินาทีแรกที่วิญญาณของโบราณสถานต้อนรับ
มันก็ปฏิเสธนักประดิษฐ์หนุ่มด้วยเช่นกัน
‘Unknown biological subject. Security system
proceeding – Identification error.’
เขาฝังหน้าผากลงกับฝ่ามือของตนเอง ปล่อยให้ความเงียบงันเป็นสหายจวบจนรุ่งสาง
.
.
70 ปีก่อนดาวหางสีน้ำเงินร่วงหล่นจากท้องฟ้า
30 ปีต่อมาซิลอยด์ เลอรองก์ เดอ
เลแรงก์ขึ้นเป็นผู้นำแห่งสภาเหนือ
ขณะนั้นอีก 2 ปี กราเซีย ไลน์สเตรนจ์เสียชีวิต
หลังจากนั้นอีก 5 ปี รีเวฟ์ก้า เลอรองก์ เดอ
เลแรงก์ได้สถาปนาขึ้นเป็นดัชเชส
3 ปีถัดมา เมืองอีคนาได้หายไปจากแผนที่
ต่อจากนั้นอีก 10 ปี
นายทัพอลันเบิร์กก่อรัฐประหารต่อกษัตริย์ฟรานซิสแห่งเซมิเนียร์ ก่อตั้งระบบสาธารณะรัฐ
ถัดไปอีก 9 ปี ผลึกฟ้าถูกสกัดขึ้นเป็นครั้งแรก
10 ปีให้หลังเจ้าชายราเชล เอลนา
วลาดิร์ประสบอุบัติเหตุและได้พบกับซิลอยด์แห่งเลแรงก์
อีก 1 ปีต่อมา
ดาวหางสีน้ำเงินปรากฏขึ้นที่ลัสท์เทรล
และในวันนี้ประตูแห่งวาเนอร์จะเปิดออก
----------------------------
เดี๋ยวจะยุบไปรวมกันตอนที่ 1 ทีหลังนะคะ ถึงจะยาวก็เถอะ แต่คิดว่าเป็นตอนเดียวไปเลยน่าจะดีกว่า
ขอบคุณที่ยังติดตามกันจริงๆนะคะ แม้แต่เราเองก็ยังลืมเลยค่ะ 5555555555
เกริ่นไว้เลยสำหรับชื่อตัวละครที่น่าจะลืมกันไปแล้ว(กับงก์ที่ดองไว้ตั้ง 2 ปี) เดี๋ยวโผล่มาจะได้ไม่งง
-ราเชล เจ้าชายองค์ที่สองของเซมิเนีย กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจทำรัฐประหาร ดูเหมือนจะมีอะไรบ้างอย่างเดียวข้องกับดวงดาวประจำน่านฟ้าที่กำลังขยับอยู่ตอนนี้
-ซิกกัน ฟรอลิท คือเลขานุการของไนทริค ลูเฮมไฮม์(จะมีใครลืมหมอนี่มั๊ยนะ) ไม่ถูกชะตากับมิเรียน
-มิเรียน โมลบริกค์ หัวหน้าหอคอยนักปราชญ์ เป็นจอมปราชญ์และเป็นคนโรคจิต อยู่ในร่างของเด็กผู้ชายสุดน่ารักอายุ 12 แต่อายุจริงไม่มีใครทราบ
-อีลิจา บัลเดอร์ เสนาบดีคนปัจจุบันของลัสท์เทรล พยายามวางยานอนหลับโอดินอย่างต่อเนื่อง และไม่ถูกกับซิลอยด์
-รูเวน มือขวาของเซียนนา ราชาแห่งยูโธเปีย ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะหายไปเก็บตัว
-อลิซา วิเวนเดลล์ กองพันสัประยุทธ์หน่วย 15 คู่ประลองของปารีส ถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอว่าที่จริงแล้วเธอยศอะไรกันแน่ แต่จำได้ลางๆว่าร้อยโท
ช่วงตอบเม้นท์
โอ้วว ขอบคุณมากๆค่ะ รักที่สุดเลยยยยยย กะว่าจะมานั่งแก้คำผิดเหมือนกัน แต่เรื่องนี้มันยาวขนาดที่ว่าต้นฉบับใน word หายไปแล้วล่ะค่ะ(ช็อค) ทุกอย่างใกล้จะเฉลยแล้วค่ะ อีกนิดเดียวเท่าน้านน ยูลิสท์นี่สายหวงมาตั้งแต่ต้น 5555 จะบอกว่าที่เจอในสวนนี่รักแรกพบรึเปล่านะ
ยูลิสท์ถือว่าลอเฟย์เป็นลูกจริงจังมากอ่ะ555