ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #54 : 49th Tale : ด้วยสายตามนุษย์ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 77
      1
      4 ต.ค. 60





     

                “เท่านี้อะไรๆก็ง่ายขึ้นล่ะนะ”ฮาว์เล็ทวางชิ้นส่วนสุดท้ายลง ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากแขกขาประจำที่มักจะมีของติดมือมาให้เสมอ ห้องทำงานซอมซ่อของเขาถึงได้ดูมีระบบระเบียบมากขึ้น ส่วนที่เหมือนกองขยะสุมๆก็เหลือไว้แต่วัสดุที่จำเป็นท่านั้น นอกจากนี้หินแร่ที่ได้มาจากยูโธเปียยังทำให้การศึกษาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วอีกด้วย

                เขาหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กอันเป็นเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นในกระท่อมแห่งนี้ มันดูจะสร้างความอึดอัดให้พอสมควร กระนั้นผู้ใช้งานก็ไม่เคยปริปากบ่น หากจะกล่าวว่าสีหน้าของเขาแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่พบก็คงจะถูก

                “นายท่านนี่ไม่ชอบอะไรสบายๆหรือไง?”

                “เจ้ามีปัญหารึ?”ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปิดขึ้น อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ไม่ได้สวมเสื้อคลุมชั้นนอก ในมือมีเอกสารหลายแผ่นเย็บซ้อนกันอยู่คล้ายหนังสือเล่มบางต่างจากม้วนตำราทั่วๆไปหรือหนังสือปกหน้าเตอะราคาสูงลิ่ว เป็นอีกสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันประหลาด

                “ทำไมหนังสือในมือท่านมันหน้าตาเป็นแบบนั้นล่ะ?”

                “มันสะดวกกว่าน่ะ เจ้าเองก็น่าจะหัดทำเสียบ้าง เก็บข้อมูลใต้หัวข้อเดียวกันเอาไว้ด้วยกัน แบ่งตามระยะเวลาแล้วก็เรียงให้เป็นระเบียบด้วยล่ะ”ซิลอยด์พลิกปึกเอกสารให้ดู ต้องบอกว่าหลายสิ่งที่เห็นจากโบราณสถานไม่ได้ไร้ประโยชน์เลย ชาววาเนอร์ช่างมีวิธีสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิตได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ

                “...บางทีฉันก็สงสัยว่าท่านเอาความคิดพวกนี้มาจากไหนกัน”

                แอซไพรซ์ตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก เขาวางข้อเรียกร้องต่างๆที่ต้องเอาเข้าวาระประชุมในครั้งหน้าลง หนึ่งในนั้นคือการโต้ตอบเผ็ดร้อนของอีลิจา บัลเดอร์ต่อคำขอยืมพื้นที่ของเขา

                “ข้ามีเรื่องสงสัย ตั้งแต่มาที่นี่ข้าก็เห็นชาวบ้านพากันเดินไปอีกทิศหนึ่ง ที่นั่นมีอะไร?”ใบหน้าคมคายเบือนไปอีกทาง ด้านนอกหน้าต่างมีกลุ่มชาวเมืองพร้อมอุปกรณ์ต่างๆในมือเดินต้วมเตี้ยมต่อกรกับความเย็นของฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง สีหน้าของพวกเขาต่างก็เหนื่อยล้า เสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งเก่าและขาดวิ่น

                นั่นคือสภาพของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ ซิลอยด์ตกใจเมื่อครั้งแรกที่รู้ หากไม่ใช่เพราะค่าแรงจากการรับจ้างคัดหนังสือต่างๆที่ฮาว์เล็ทได้มาจากการอ่านออกเขียนได้ล่ะก็ เขาเองก้คงมีสภาพไม่ต่างจากคนพวกนั้น

                “เหมืองที่ชายแดนน่ะ อีคนาของพวกเราอยู่ติดกับเทือกเขาเลแรงก์ พอฤดูหนาวก็จะหนาวกว่าที่อื่น พืชพรรณเองก็ปลูกไม่ค่อยขึ้นเหมือนกับทางใต้อย่างฟอร์ลี อาหารการกินก็แพง พอเป็นแบบนี้แล้วที่นี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำหรอกนะ ทุกคนก็เลยต้องฝากความหวังไว้กับเหมืองถ่าน”นักประดิษฐ์ถอนหายใจพลางยกมือขึ้นมาเป่า อากาศเย็นเริ่มคืบคลานเข้ามาในกระท่อมที่ป้องกันอะไรไม่ได้ของเขาแล้ว “แต่ถึงจะทำงานหนักและได้ราคาสูงเราก็ยังต้องเอามันไปขายอยู่ดี ทั้งถ่านและฟืนต่างก็เป็นสิ่งที่พวกเราต้องแย่งชิงกัน บางทีก็ขายแลกกับอาหาร ยิ่งนอกเขตเมืองก็ยิ่งง่ายต่อการหนาวและอดตาย”

                “หากว่าข้าจำไม่ผิด ที่ดินแถวเลแรงก์เต็มไปด้วยป่าสน ทำไมถึงไม่ใช้พื้นที่ตรงนั้นเล่า?”เทพเจ้าเอามือแตะคาง ขณะมองหมู่บ้านที่ไร้สีสัน เรื่องการเพาะปลูกที่เป็นปัญหาก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยของลอร์ดบาเรียน บิดาของเขา ภาพความรกร้างนอกแผ่นดินแอร์เซียวกเข้ามากวนใจ แต่เขาก็ตัดสินใจจะไม่ตีตนไปก่อนไข้ในเรื่องที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริง

                “ก็เพราะเป็นเลแรงก์น่ะสิ! พวกเราน่ะมีกฎหมายว่าห้ามล่วงล้ำอาณาเขตของเทพเจ้าเชียวนะ ถึงจะอยู่ในเซมิเนียก็เถอะ แต่มันไม่ใช่ของของเราหรอก”

                “แต่ข้าไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้นี่”ลอร์ดแห่งเลแรงก์ค่อนข้างงุนงงกับความรู้ใหม่ที่ได้รับ

                “งั้นท่านก็ต้องไปบอกกษัตริย์ฟรานซิสแล้วล่ะ ค่อนข้างยากหน่อยนะ พระองค์เป็นพวกหัวอนุรักษ์น่ะ”

                “Láng (อัคคี)”คนจากบนฟ้ากระดิกนิ้ว ก่อนที่ไฟในเตาเผาจะลุกโชนดังเปรี๊ยะปร๊ะ สร้างความอบอุ่นให้กับห้องทำงานโกโรโกโสทบทวี “ข้าไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์มาห้าสิบปีแล้ว นั่นคือชื่อของราชาคราวนี้รึ?”

                “ห้าสิบปีไม่รวมฉันสินะ”ฮาว์เล็ทยิ้มแฉ่งรู้สึกภาคภูมิใจออกหน้าออกตา แม้ว่าเหตุผลที่ขุนนางแห่งยูโธเปียลงมาเกลือกกลั้วอยู่ในนี้จะยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยเข้าใจก็ตาม

                “จะเอาไปบอกให้ก็แล้วกัน”ซิลอยด์พยักหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจังพร้อมเมินเฉยคำถามสุดท้ายไปในตัว เขาเอื้อมมือไปหยิบปากกาขนนกมาหัวข้อที่ต้องเพิ่มในการประชุมวาระหน้าและถ้ามีคำถามว่าเขาไปรู้เรื่องนี้เข้าได้อย่างไรนั้น ....จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของราฟรีนก็แล้วกัน

                “....อะ เอาจริงเหรอน่ะ?”ชาวมิดการ์ดตกอยู่ระหว่างความนับถือกับความตะลึง

                “จริงสิ ถึงตอนนี้สิ่งประดิษฐ์ของเจ้าจะไร้ประโยชน์ขึ้นมารึเปล่านะ?”หัวหน้าสภาเหนือชี้ไปที่อุปกรณ์คล้ายเตาอบขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอันเต็มไปด้วยแบบแปลนพาหนะหน้าตาประหลาดหลายอย่าง

                “ไม่มีทางหรอกน่า! ถ้าเครื่องปั่นไฟของฉันสำเร็จล่ะก็ ทุกคนก็จะไม่ต้องเอาส่วนแบ่งแรงงานของตัวเองมาขายอีกต่อไป การขนส่งก็จะสะดวกขึ้นด้วย รู้ไมว่าปีๆหนึ่งมีคนที่ตายเพราะการเหนื่อยล้าจากการเดินทางมากแค่ไหน! ว่าแต่เจ้า เกวียนยนต์นี่ มันดีจริงๆเลยนะ ท่านไปเอาของพวกนี้มากจากไหนเหรอ!?”ชายหนุ่มสวมแว่นยกแผ่นกระดาษขึ้นส่องย้อนแสงไฟจากคานไม้ เลนส์แว่นตาของสะท้อนประกายสีทองเหมือนหิ่งห้อย ซิลอยด์คิดว่ามันช่างดูเหมือนการเปรียบเปรยของประกายแห่งความหวังเหลือเกิน

                สีหน้าของคนที่กำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่งน่ะ

                “แค่นึกขึ้นมาได้น่ะ แต่บนแอสการ์ดเราใช้ไบฟรอสต์”แม้ว่าผลงานที่ฮาว์เล็ทออกแบบจะยังไม่เหมือนพาหนะในวาเนอร์เสียทีเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ยังไม่มีใครคิดค้น

                “งั้นเหรอๆ....ฉันก็อยากลองเดินทางผ่านไบฟรอสต์ดูสักครั้งจังเลยนะ”

                “ไม่ เจ้าไม่อยากหรอก”ซิลอยด์ขัดทันควัน ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม ไม่มีทางลืมเลือนประสบการณ์ที่ได้สัมผัสจากไบฟรอสต์เป็นครั้งแรกอย่างแน่นอน “เจ้าอาจจะขี่มังกรมากกว่าก็ได้”เขาเบี่ยงประเด็น นึกถึงครั้งแรกที่ตนเองต้องเดินทางข้ามน่านฟ้า ครั้งที่สองเขาจึงไม่ลืมที่จะพาราฟรีนไปด้วย

                เป็นใบหน้าที่คุ้มค่ามาก

                “....เอ่อ ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ ทำไมท่านทำหน้าตาพะอืดพะอมแบบนั้นล่ะ”คนที่ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของสะพานสายรุ้งในตำนานเอ่ยขึ้น “ดีจังเลยนะ แอซไพรซ์เนี่ยอะไรก็สะดวกไปเสียหมด เหมือนกับเห็นอยู่แล้วว่าอะไรอยู่ที่ปลายทางอย่างงั้นล่ะ”

                “ปลายทางงั้นรึ?”ขุนนางหนุ่มทวน

                “ใช่ มันทำให้ฉันสงสัยจริงๆที่เห็นพวกท่านพัฒนาไปไกลขนาดนั้น ทั้งยังเป็นตั้งแต่ต้น! ในขณะที่พวกเรา – มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ทั้งสิ่งประดิษฐ์ ความเชื่อและวิถีชีวิต มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ของมนุษย์ขึ้นมา เหมือนกับว่า...พวกเราถูกวางหมากให้เป็นแบบนี้ มีบทบาทแค่เพียงเท่านี้ และก็อยู่ห่างจากพวกท่านไกลโพ้นขนาดนี้...”

                หางเสียงลดลงกลายเป็นพึมพำ ฮาว์เล็ตติดนิสัยชอบพูดเรื่อยเปื่อยมาตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะในเวลาที่กำลังหมกหมุ่นกับการทำงานมากกว่าจะมาปิดปากตัวเองแบบนี้ เขากำลังหันหลังให้กับซิลอยด์ จึงไม่เห็นถึงสีหน้าสุขุมที่เต็มไปด้วยความจริงจัง

                “วันแรกที่เจอกันเจ้าก็พูดแบบนี้ เจ้าอยากเห็นอนาคตหรือเปล่าล่ะนักประดิษฐ์?”

                “อยากเห็นหรือไม่อยากเห็นมันไม่ใช่ประเด็นหรอกนายท่าน ความรู้สึกที่ว่าถึงจะแค่กระผีกเดียว แต่ก็ยังมีอนาคตอยู่น่ะสำคัญกว่า ฉันเองก็ทำพลาดตั้งหลายครั้ง บางทีก็รู้สึกเหมือนจะไปไม่ถึงไหน แต่คงเพราะมันผิดๆถูกล่ะมั้ง ถึงได้มองเห็นว่าตรงมีทางไปแล้วตรงไหนมันไม่มี ยังไงเสียฉันก็ต้องตายอยู่ดี ไม่ได้อยู่เป็นร้อยๆปีแบบพวกท่านหรอก ถ้าเราไม่ทำอะไรให้มันเต็มที่ล่ะก็น่าเสียดายแย่”

                แอซไพรซ์หนุ่มยิ้มบางๆ ตอนนี้พูดอะไรไปอีกฝ่ายก็คงจะไม่ได้ยิน เสียงขูดขีดกระดาษวุ่นวายผสมกับเสียงกรีดร้องของกาต้มน้ำ แดดยามบ่ายของฤดูใบไม้ผลิเป็นสีขาวอ่อนแสง ในเมืองที่ไร้สีสันแห่งนี้ ซิลอยด์กลับรู้สึกถึงชีวิตมากกว่าที่ไหนๆ

                “ในอนาคตน่ะมีปราสาทที่สูงเสียดฟ้า มีเกวียนที่วิ่งได้โดยไม่ต้องใช้ม้า มีนกเหล็กที่บินผ่านท้องฟ้าได้นานเป็นวันๆ มีเครื่องมือที่สามารถพูดคุยกับคนที่อยู่อีกซีกหนึ่งของโลกได้ และก็ยังมีกล้องส่องทางไกลที่มองเห็นดวงดาวในอวกาศ”

                สักวันหนึ่งพวกเจ้าคงจะไปถึงที่แห่งนั้น

                .

                .

                นั่นคือสิ่งที่เขาคิด ถ้าเพียงแต่ว่าทุกสิ่งไม่จบลง

                ฟืนและถ่านเป็นสิ่งที่หาได้ยากและมีราคาสูง แม้จะทำงานได้มาเท่าไหร่ก็ยังต้องเจียดส่วนของตนเองไปขายประทังปากท้อง นั่นคือสิ่งที่ฮาว์เล็ทเคยบอกเอาไว้ ในฤดูหนาวถัดมาอากาศที่อีคนาหนาวจัด ทุกส่วนปกคลุมด้วยหิมะหนา ดังนั้นแม้ว่าเปลวไฟจะแรงแค่ไหนผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ไม่ได้ถอยห่างไปมากนัก

    แสงสีส้มแดงสาดส่องบนพื้นที่ผสมระหว่างขี้ดินและเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นสีสกปรก มันลุกโชนขึ้นในท้องฟ้ายามราตรี ดั่งดวงอาทิตย์สาดแสงจ้า

                ซิลอยด์เห็นมันจากปลายของถนนที่น้อยคนสัญจร เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นโครงบ้านกำลังมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านอยู่เบื้องหน้าใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ของชาวเมือง ดวงตาเฉยชาไม่ยินดียินร้ายต่อสภาพการณ์ พวกเขาคิดเพียงแค่ว่า คืนนี้ยังไม่ใช่คืนที่ต้องจบชีวิตเพราะอากาศหนาวอันไร้ความปรานีนี้ บางส่วนตะโกนเซ็งแซ่ เหล่าคนที่ถือคบเพลิงในมือและอุปกรณ์หว่านไถล้อมอยู่รอบซากกระท่อม

                เทพแห่งยูโธเปียไม่ได้ฟังให้ดีนัก ไม่มีเสียงอะไรเลยที่ลอดเข้ามาในโสตประสาทของเขา ยกเว้นเสียงเต้นระบำปริแตกของเสาไม้ที่ค้ำยันสิ่งปลูกสร้างนี้มานานปี ไม่มีใครห้ามตอนที่เขาผลักกำแพงมนุษย์วิ่งเข้าไปยังทะเลเพลิงสว่างโร่นั่น มีแต่เสียงก่นด่าสาปแช่งแก่คนหนุ่มที่ดูท่าจะจบชีวิตในอีกไม่นานเท่านั้น

                ข้างในร้อนจนแทบขาดใจ ควันไฟเผาโพรงจมูกแสบสันต์ แม้จะมีเกราะวารีกันอยู่หลายชั้นแต่เทพแห่งน่านฟ้าเหนือที่จมอยู่ในเหมันต์เป็นนิจก็ยังไม่อาจต้านทานแรงโหมของเปลวไฟได้ ทุกอย่างในวิสัยของเขาเป็นสีแสดแดงจ้าไปหมด ทั้งแบบร่างที่เย็บเป็นปึกกำลังถูกกลืนกิน ย่ามที่ห้อยตามเสาและคานหลุดร่อนลงมาที่ละชิ้น อุปกรณ์ต่างๆที่มีร่องรอยการทุบทำลายและโต๊ะทำงานไม้สุดหยาบที่พังเละไม่มีชิ้นดี

                ร่างของนักประดิษฐ์หนุ่มนอนอยู่ตรงนั้น

    จมจ่อมในของเหลวอันแดงจัดจ้านไม่แพ้เพลิงไฟ ย้อมเสื้อผ้าเก่าปุปะของเขาให้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มไปทั่วตัว แม้ว่าซิลอยด์จะตะโกนเรียกเท่าไหร่ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ขยับตัว จนกระทั่งแอซไพรซ์หนุ่มถลากายเข้าไปถึง พร้อมกับคานไม้แท่งแรกที่ถล่มลงมาท้าทายเทพฤทธิ์ร้ายกาจ มันถูกดีดออกไปพร้อมๆกับเปลวสีแสบที่ล่าถอยออกด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น รอบตัวของเขาเหมือนมีสนามพลังงานล่องหนที่แสดงความบิดเบี้ยวในมิติและค่อยๆก่อตัวเป็นสีน้ำเงิน

    “ฮาว์เล็ท!”ทว่าลอร์ดแห่งเลแรงก์ไม่มีเวลามาสนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มือพลิกไหล่ของนักประดิษฐ์หงายขึ้น ใบหน้าครึ่งบนย้อมไปด้วยโลหิต เส้นผมเปียกแนบศีรษะที่ปรากฏแผลเหวอะหวะ แว่นของเขาหายไปไหนไม่รู้ได้ คงจะมีแต่แรงกระเพื่อมอันอ่อนล้าของแผ่นอกที่ยังบ่งบอกถึงสัญญาณของลมหายใจ

    สายตาของซิลอยด์ไล่ลงไปถึงจุดนั้นก็พอโล่งอก หากไม่เพราะพบว่าแขนขวาของเขาแหลกเหลวเป็นจุล มือซ้ายเองก็ป่นแตกไม่มีเค้าเดิม เป็นภาพที่โหดร้ายจนแม้แต่แอซไพรซ์ยังต้องเบือนหน้าหนี เขาไม่ใช่บุรุษใจเสาะและหนล่าสุดที่หลั่งน้ำตาก็นานจนแทบจำความไม่ได้ดี กระนั้นสิ่งที่เห็นก็ยังเรียกหยดน้ำและความคลื่นเหียนอย่างควบคุมไม่ได้

    “....ฉันพยายามที่จะปกป้องทุกอย่าง”เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นกระชากใบหน้าคมคายกลับมาพบกับดวงตาที่ถูกถมด้วยเลือดจนมองไม่เห็นสีของดวงแก้วข้างใน “แต่ก็...ทำอะไรไม่ได้เลย”

    มือทั้งสองข้างนั้นคงใช้กกกอดงานทดลองของตนเองไว้สุดชีวิต แม้จะต้องลงไปคุดคู้อย่างน่าอดสูก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ จนกระทั่งแม้แต่สองมือก็ถูกทำลายไปด้วย

    “ไม่เป็นไร ข้าจะรักษาเจ้า”แอซไพรซ์หนุ่มอังฝ่ามือของตนเองที่กลางลำตัว แสงสีฟ้าอมเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวอีเซอร์เปล่งออกมาเจิดจ้า สะท้อนดวงตาสีเข้มที่เรืองวาวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เส้นผมสีน้ำตาลของเขาลอยขึ้นในอากาศ

    “ท่านเป็นเทพจริงๆด้วย”นักประดิษฐ์ยิ้มคล้ายว่าจะหัวเราะ “...แต่ว่ามันไม่ทันแล้วหรอก”

    “ไม่! มันจะต้องทัน ข้าจะทำให้มือของเจ้ากลับมาใช้งานได้อีกครั้ง”เสียงของเขาสั่นระริกภายใต้การทลายของทุกสิ่งรอบตัว แทบไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีกแล้วนอกจากซากปรักหักพังและวงกลมสีฟ้าที่อ่อนแสงลงทุกขณะ แรงสั่นนี้กินไปถึงปลายนิ้วมือ ความร้อนก็ทำให้เหงื่อไหลโทรมและดวงตาแสบพร่า ทุกอรูสัมผัสที่ประดังประเดหยุดลงพร้อมกับคำพูดของฮาว์เล็ท

    “มันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะได้โบยบินเหมือนกับเทพเจ้า”ริมฝีปากยับเยินคงไว้ซึ่งรอยยิ้มที่แข็งทื่อ ทุกสัญญาณ ทุกชีพจรของร่างตรงหน้าดับลงเป็นเวลาเดียวกับแสงสว่างที่ฝ่ามือและการเผาไหม้ของกระดาษแผ่นสุดท้ายที่เป็นโครงร่างของสิ่งที่เรียกว่า เรือบิน

    “อนาคตของฉัน....จบลงตรงนี้แล้วล่ะ”

    เหงื่อไหลมารวมกันเป็นน้ำเม็ดใหญ่ที่ปลายคาง หูของเขาอื้อไปเสียแล้ว รู้ตัวอีกทีฝ่ามือก็เปียกลื่นด้วยเลือด เขาพยายามคลำหาชีพจร แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หากว่าที่นี่คือ โลกแห่งนั้น ล่ะก็ จะต้องมีทางช่วยชีวิตเขาได้อย่างแน่นอน จะต้องมีปาฏิหาริย์ที่ทำให้หัวใจเต้นขึ้นได้อีกครั้ง ถ้าแค่ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ทิ้งให้ผู้คนตายไปอย่างไร้ค่าแบบนี้!

    “เจ้าคนบ้านั่นสุดท้ายก็ต้องพบจุดจบแบบนี้เหมือนอาจารย์ของมันไม่มีผิด”

    “แกเองก็พูดไปเถอะ เห็นไปยุ่งกับมันบ่อยๆระวังจะตดเชื้อบ้ามาด้วย!

    “เห็นเขาว่าเป็นพวกนอกศาสนาน่ะจริงไหม?”

    “เอ๊ะ? ก็เพราะว่าฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ใช่หรือ? เพราะไม่เคารพเทพโอดินน่ะสิถึงได้โดนลงโทษแบบนี้”

    “ทางโบถส์ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือไง?”

    “แต่เมื่อตะกี้ได้ยินว่ามีตั้งหลายอย่างที่ขโมยมาจากแอซไพรซ์นะ!

    “อ้าว ไม่ใช่ว่าเพราะอุดตริสร้างอะไรขึ้นมาขัดพระบัญญัติหรอกเรอะ?”

    “มนุษย์จะสร้างสายฟ้าขึ้นมาได้ยังไงกันเล่า? ยายนี่พร่ำเพ้อจริงๆ”

    “ชิ หน้าไม่อายจริงๆเลย ของของมหาเทพทั้งนั้น ยังจะกล้าไปแตะต้องอีก”

    เสียงภายนอกเซ็งแซ่ ยามนี่มันลอยเข้าโสตประสาทของซิลอยด์แล้ว ดั่งคำสาปแช่งอาบรดลงบนร่างไร้วิญญาณไม่ขาดสาย คละเคล้าไปกับเสียงตะเบ็งเกรี้ยวดกราดของบาทหลวง กลิ่นเหม็นของโลหะและเชื้อเพลิงชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด

    “ทุกสิ่ง ณ ทีนี้...ก็เพื่อมหาเทพโอดิน! ขอเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในค่ำคืนนี้ จงชำระบาปที่ตกแก่มนุษย์และขอให้ทวยเทพทั้งหลายปกปักษ์เรา! เฮล แด่โอดิน!

    “เฮล! แต่โอดิน!

    เสียงประสานก้องไปทั่ว ดังระฆังสะท้อนไปมาในค่ำคืนที่เงียบสงัดและจิกแทงในใจของซิลอยด์ ณ วินาทีนั้นบางอย่างในตัวเขาถูกกระชากขาดวิ่นออกจากกัน ระหว่างความโกรธเกรี้ยวอันบ้าคลั่งและความโศกเศร้าสะเทือนขวัญ เหมือนกับครั้งนั้นที่ได้รับรู้ตัวจริงของวีนัส แต่เพราะเขาเป็นแอซไพรซ์และเพราะเขาต่อสู้มาเพียงลำพัง

    สายตามองไปยังร่างที่อยู่ตรงหน้าตัก ร่างที่เล็กกว่า ทรุดโทรมและบอบช้ำ อีกไม่นานคงเย็นชืดลง เขาจึงไม่รู้ว่ายังมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานกว่า ด้อยในพลัง ต้องพบความเจ็บปวดดิ้นรนมากกว่าอีกหลายเท่า ชีวิตที่สุดท้ายแล้วต้องจากไปโดยไม่รับอะไรเลย ที่สุดแล้วเขาก็เข้าใจถึงความอัดแน่นภายในอก

    ความเวทนาสิ้นหวังต่อโลกใบนี้

    เหล่าฝูงชนที่ออความอบอุ่นของกองไฟต้องแตกฮือออก เมื่อฉับพลันเปลวเพลิงพุ่งทะยานทุกทิศทุกทาง จากกองใหญ่แตกแขนงออก กลายเป็นกลีบดอกไม้เต้นระบำพลิ้วไหวในสายลมที่เย็นเฉียบ เพียงไม่นานใจกลางก็มอดแสงลง เหลือเศษซากของกระท่อมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติของนักประดิษฐ์เพียงคนเดียว เกล็ดสีขาวโปรยปรายลงมา อ่อนละมุนดั่งหิมะแรก นำพากลิ่นของโลหะและควันไฟแสบร้อน

    ณ ใจกลางของฐานเรือนที่สูญหายไป ใครคนหนึ่งมองเห็นเงาตะคุ่มสูงชะลูด คล้ายกับแผ่นหลังของบุรุษในวงแขนโอบอุ้มซากศพคุดคู้ยับเยินไม่เหลือสภาพดี

    เงาอันเลือนรางนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่ปรากฏในอีคนา ราตรีนั้นครึ่งหนึ่งของเมืองได้หายสาบสูญในเหตุการณ์ดินถล่มที่เกิดขึ้นกะทันหัน ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ตกค้างแถบชานเมืองถูกกลบฝังในพริบตา ไม่มีผู้ใดทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น มีแค่เสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่นดั่งธรณีแยกเป็นสองส่วน สิ่งที่จะเล่าขานกันต่อไปอีกนานนับปีคือเรื่องนิทานประจำกลุ่มดาวแกะขาว ที่มีมาแต่โบราณและคงความศักดิ์สิทธิ์นับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา....

    ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผืนฟ้าที่ร้องครวญในครั้งนั้น มิใช่เสียงของราชาผู้โศกศัลย์ต่อหญิงสาวคนรัก แต่เป็นความพิโรธของเทพเจ้าต่อลมหายใจของมนุษย์ผู้เป็นสหาย

    ซิลอยด์ก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าไม่เร่งรีบเพราะน้ำหนักที่เขารองรับอยู่ด้วยสังขารเหนื่อยล้า เกล็ดขี้เถ้าสีขาวมัวซัวฟุ้งกระจายอ้อยอิ่ง ดูแล้วคล้ายกับดินแดนรกร้างที่ถูกทำลายเป็นอย่างยิ่ง ปลายเท้าพลันเหยียบลงบนของชิ้นหนึ่งที่บิ่นแตก ดวงตาเฉยชาเหลือบมองเพียงกรุยทางแล้วก็บดฝ่าเท้าจากไป ไม่สนใจสัญลักษณ์ของเทพโอดินที่ไถลและถูกฝังไปกับกองดิน

    .

    .

    ร่างของฮาว์เล็ททอดกายบนโลงแก้วที่เกลื่อนกลาดโบราณสถาน ซิลอยด์นั่งพักอยู่ตรงข้ามกัน หากว่าราฟรีนเห็นเขาในสภาพนี้คงจะต้องกรีดร้อง มือเหนอะหนะที่เย็นชืดลงเฉยปอยผมเหนียวหนืดของตน ทุกสิ่งช่างเงียบเหลือเกินจนเขาอดที่จะเอ่ยปากออกมาไม่ได้

    “ข้าเคยนึกอยากพาเจ้ามาที่นี่”

    วินาทีแรกที่วิญญาณของโบราณสถานต้อนรับ มันก็ปฏิเสธนักประดิษฐ์หนุ่มด้วยเช่นกัน

    ‘Unknown biological subject. Security system proceeding – Identification error.’

    เขาฝังหน้าผากลงกับฝ่ามือของตนเอง ปล่อยให้ความเงียบงันเป็นสหายจวบจนรุ่งสาง

    .

    .

    70 ปีก่อนดาวหางสีน้ำเงินร่วงหล่นจากท้องฟ้า

    30 ปีต่อมาซิลอยด์ เลอรองก์ เดอ เลแรงก์ขึ้นเป็นผู้นำแห่งสภาเหนือ

    ขณะนั้นอีก 2 ปี กราเซีย ไลน์สเตรนจ์เสียชีวิต

    หลังจากนั้นอีก 5 ปี รีเวฟ์ก้า เลอรองก์ เดอ เลแรงก์ได้สถาปนาขึ้นเป็นดัชเชส  

    3 ปีถัดมา เมืองอีคนาได้หายไปจากแผนที่

    ต่อจากนั้นอีก 10 ปี นายทัพอลันเบิร์กก่อรัฐประหารต่อกษัตริย์ฟรานซิสแห่งเซมิเนียร์ ก่อตั้งระบบสาธารณะรัฐ

    ถัดไปอีก 9 ปี ผลึกฟ้าถูกสกัดขึ้นเป็นครั้งแรก

    10 ปีให้หลังเจ้าชายราเชล เอลนา วลาดิร์ประสบอุบัติเหตุและได้พบกับซิลอยด์แห่งเลแรงก์

    อีก 1 ปีต่อมา ดาวหางสีน้ำเงินปรากฏขึ้นที่ลัสท์เทรล

     

    และในวันนี้ประตูแห่งวาเนอร์จะเปิดออก

     

     ----------------------------


    เดี๋ยวจะยุบไปรวมกันตอนที่ 1 ทีหลังนะคะ ถึงจะยาวก็เถอะ แต่คิดว่าเป็นตอนเดียวไปเลยน่าจะดีกว่า

    ขอบคุณที่ยังติดตามกันจริงๆนะคะ แม้แต่เราเองก็ยังลืมเลยค่ะ 5555555555

    เกริ่นไว้เลยสำหรับชื่อตัวละครที่น่าจะลืมกันไปแล้ว(กับงก์ที่ดองไว้ตั้ง 2 ปี) เดี๋ยวโผล่มาจะได้ไม่งง

    -ราเชล เจ้าชายองค์ที่สองของเซมิเนีย กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจทำรัฐประหาร ดูเหมือนจะมีอะไรบ้างอย่างเดียวข้องกับดวงดาวประจำน่านฟ้าที่กำลังขยับอยู่ตอนนี้

    -ซิกกัน ฟรอลิท คือเลขานุการของไนทริค ลูเฮมไฮม์(จะมีใครลืมหมอนี่มั๊ยนะ) ไม่ถูกชะตากับมิเรียน

    -มิเรียน โมลบริกค์ หัวหน้าหอคอยนักปราชญ์ เป็นจอมปราชญ์และเป็นคนโรคจิต อยู่ในร่างของเด็กผู้ชายสุดน่ารักอายุ 12 แต่อายุจริงไม่มีใครทราบ

    -อีลิจา บัลเดอร์ เสนาบดีคนปัจจุบันของลัสท์เทรล พยายามวางยานอนหลับโอดินอย่างต่อเนื่อง และไม่ถูกกับซิลอยด์

    -รูเวน มือขวาของเซียนนา ราชาแห่งยูโธเปีย ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะหายไปเก็บตัว

    -อลิซา วิเวนเดลล์ กองพันสัประยุทธ์หน่วย 15 คู่ประลองของปารีส ถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอว่าที่จริงแล้วเธอยศอะไรกันแน่ แต่จำได้ลางๆว่าร้อยโท


    ช่วงตอบเม้นท์


    Ampchom Chomphoonut (@ampchom)   (จากตอนที่ 41)
    วันที่ 2 ตุลาคม 2560 / 18:47
    มหาปราชญ์กลายเป็น “หมา” ปราชญ์อยู่หนึ่งที่paragraph 2จ้า



    ยูลิสท์ถือว่าลอเฟย์เป็นลูกจริงจังมากอ่ะ555

     โอ้วว ขอบคุณมากๆค่ะ รักที่สุดเลยยยยยย กะว่าจะมานั่งแก้คำผิดเหมือนกัน แต่เรื่องนี้มันยาวขนาดที่ว่าต้นฉบับใน word หายไปแล้วล่ะค่ะ(ช็อค) ทุกอย่างใกล้จะเฉลยแล้วค่ะ อีกนิดเดียวเท่าน้านน ยูลิสท์นี่สายหวงมาตั้งแต่ต้น 5555 จะบอกว่าที่เจอในสวนนี่รักแรกพบรึเปล่านะ


    White Hope (@star-of-evil)   (จากตอนที่ 53)
    วันที่ 1 ตุลาคม 2560 / 11:32
    มาอีกทีเราก็ลืมตอนเก่าๆไปหมดแล้ว
    ผู้เขียนก็ลืมค่ะ 55555 ต้องไปย้อนความเอาหลายที พึ่งรู้สึกว่ามันเป็นปมที่ยาวนานอะไรแบบนี้

    Zoleir the traveler (@ZymnosX)   (จากตอนที่ 53)
    วันที่ 30 กันยายน 2560 / 11:19
    ยินดีต้อนรับกลับค่ะ เรื่องงานยุ่งนี่เราเข้าใจค่ะ เราเองก็เคยยุ่งจนลืมอะไรสำคัญๆหรืออะไรที่ชอบไปนานเหมือนกัน...ยังไงก็สู้ๆนะคะ!
    ขอบคุณมากนะคะ ถึงจะลืมๆไปบ้างแต่ตัวละครก็เป็นสิ่งที่เราผูกพันธ์ เลยตั้งใจจะเขียนให้จบให้ได้ค่ะ ลอเฟย์เองก้ไม่ไได้มีบทสมเป็นพระเอกซะที กลัวว่าจะจบไปเป็นอาลีบาบาแห่งเมไจ 555
    พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ อ่านแล้วส่งใจให้เก๊าด้วยนะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×