ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #53 : 48th Tale : ด้วยสายตามนุษย์ 1 ครบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 134
      1
      30 ก.ย. 60

           

    เส้นผมที่ปลิวอยู่ในอากาศค่อยๆร่วงหล่นอย่างเชื่องช้า มันถูกแสงแดดสะท้อนเป็นสีน้ำตาลอ่อน แต่ละจุดถูกลูบไล้แว่บหนึ่งก็หมดประกาย ซิลอยด์หรี่ตาลงเพื่อหลบจากกระจกสีน้ำตาลวิบวับเหล่านั้นขณะที่เสียงซ่อกแซ่กของกรรไกรตัดลงบนช่อผมหนาหยักศกของตนดังเป็นระยะ

                “พวกเขาจะพูดถึงมัน”ราฟรีนกล่าวขณะไล่นิ้วมือลงไปยังปลายผมที่ยังไม่เรียบร้อย

                “ข้ารู้”

                “นี่เป็นวันแรกที่เจ้าเข้าเป็นผู้นำของสภาเหนือ แต่เจ้ายังขอให้ข้าตัดผมให้ พยายามจะเป็นกบฏหรืออย่างไร?”

                “ข้าไม่แน่ใจว่าเรื่องผมของข้าสมควรจะเป็นประเด็นแรกในวันประชุม”ชายหนุ่มตอบกลับ เขารู้ว่าเพื่อนสนิทพูดถูก แต่ก็ยังไม่ดูเดือดเนื้อร้อนใจสักเท่าไหร่

                “ที่พวกเขาจะถามจริงๆคือวิธีที่เจ้าแก้ปัญหาเรื่องดินเป็นพิษ”ดวงตาสีอ่อนเหลือบขึ้นจากมือของตน “นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ขุนนางเก่ายอมรับเด็กอายุไม่ถึงครึ่งของครึ่งมาปกครอง”

                “ไม่ใช่เรื่องที่ข้าส่งจดหมายขอขยายเขตน่านฟ้าไปหาอีลิจา บัลดอร์หรอกหรือ?”

                “นั่นก็ใช่กระมัง”

                ลอร์ดแห่งเลแรงก์คนปัจจุบันหัวเราะ “ข้านำตัวอย่างดินหลายๆที่ไปแยกส่วนประกอบ ในน่านฟ้าของเราไม่มีวิชาเคมีเหมือนโลกเก่า แต่ก็พอจะหาธาตุต่างๆในธรรมชาติเพื่อถ่วงสมดุลส่วนที่เป็นกรดได้ ถึงอย่างนั้นกระบวนการสูญสลายก็มีเวลาของมัน หลายที่ในน่านฟ้าเหนือเริ่มเปลี่ยนเป็นทรายเพราะโครงสร้างของโมเลกุลในดินถูกกัดกร่อนจนพัง”

                “แม้แต่ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดก็มีสิทธิ์กลายเป็นทะเลทรายได้งั้นเหรอ.....”คนด้านหลังพึมพำ ยากที่จะนึกภาพออกเมื่อภูมิประเทศของตนเต็มไปด้วยป่าสนเขียวชอุ่ม

                “เจ้าจำช่วงที่ข้าออกไปสำรวจโบราณสถานเมื่อสองเดือนก่อนได้ไหม?”

                “แน่นอน แม่นเลยทีเดียวกับการพบหน้าเหล่าผู้เฒ่าสองอาทิตย์เต็มๆ”ผู้เป็นมือขวาตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว ซิลอยด์กระแอมเบาๆเป็นการแก้ตัว ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยังเคืองอยู่

                “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าถัดจากเลแรงก์ออกไปทางตะวันออกคืออะไร”เจ้าของเส้นผมสีเข้มชี้มือไปยังสุดปลายกำแพงแห่งแอร์เซีย ส่วนที่อยู่ระหว่างยูโธเปียและโอลิมปัส เลยไปจากแผ่นดินรกร้างของชนเผ่านอกศาสนา คือช่องเขาที่เรียกกันว่าเส้นทางสู่ความว่างเปล่า เขาไม่เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้า แต่ก็รู้คำตอบได้ด้วยความเคยชิน

                “.......! เจ้าไปที่นั่นหรือ!?

                “ทะเลทรายสีเทา ทุกอย่างผุพังไปหมด ไม่มีต้นไม้ ไม่มีสิ่งมีชีวิต มีแค่หิมะที่ตกลงมาปนกับละอองฝุ่นเท่านั้น”

    เขาทอดสายตาออกไป นึกถึงช่วงเวลาที่เหยียบเข้าไปสู่โลกต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้ำกราย แสงแดดที่ส่องลงมายังมัวหมองเพราะเศษธุลีในอากาศ เกล็ดน้ำแข็งโปรยปรายเบาบางถูกย้อมด้วยสีสกปรกและร่วงหล่นลงสู่พื้นทรายที่เหมือนถูกโรยด้วยละอองเถ้า สายลมนำพากลิ่นเหม็นที่แห้งผาก พวกมันผสมผสานอยู่ด้วยกันในดินแดนที่ว่างเปล่าไปจนถึงเส้นขอบฟ้า

    “พวกนอกศาสนาอาศัยอยู่ได้อย่างไรกันนะ?”ราฟรีนรำพึง ความจริงที่เพิ่งเคยได้ยินก็น่าตกใจแล้ว แต่เมื่อคิดถึงว่ามีมนุษย์บางส่วนรอนแรมในดินแดนแบบนั้นยังทำให้พิศวง

    “เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ.....”เขาลงกรรไกรครั้งสุดท้าย ก่อนจะยกผ้าที่ห่อหุ้มเส้นผมยาวสลวยของลอร์ดแห่งเลแรงก์ด้ยความระมัดระวัง

    “ข้าเองก็ไม่รู้ บางทีมนุษย์นั่นแหล่ะที่น่าอัศจรรย์”คนที่นั่งอยู่พูดติดตลก

    “เจ้าคิดว่าที่นี่ก็เหมือนกับ ที่นั่นยังงั้นหรือ?”

    “นึกภาพไม่ออกเลย”ซิลอยด์หัวเราะ “หลังเลิกประชุม ข้าจะลงไปที่โบราณสถานสักหน่อย ฝากทางนี้กับเจ้าด้วยล่ะ”ร่างสูงคว้าเสื้อคลุมมาสวม รู้สึกเย็นบริเวณต้นคออย่างประหลาดเมื่อไม่มีเส้นเปียหนาคอยปกป้องจากอากาศหนาวเหน็บ

    “ท่านคิดจะโดดประชุมตั้งแต่ครั้งแรกเลยรึ? ลอร์ดซิลอยด์”ผู้เป็นสหายล้อเลียนกึ่งเหน็บแนม แม้ว่าจะเดาคำตอบได้อยู่แล้วก็ตาม คนเดินนำหน้าชะงัก ครั้งแรกเขาหันกลับมาด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนจะพัฒนาเป็นพึงพอใจ

    “ข้ายังไม่มีความคิดนั้นจนกระทั่งเจ้าพูดออกมานี่แหล่ะ”

                การประชุมครั้งแรกในวาระการดำรงตำแหน่งของลอร์ดซิลอยด์สั้นกว่าใครๆ ทว่าไม่มีขุนนางคนไหนอยากเอ่ยปากถามถึงสาเหตุ ผู้นำของพวกเขาในอดีตนั้นมุ่งมั่นและกระตือรือร้น แต่หลังจากการจากไปของบิดาซิลอยด์ก็เปลี่ยนไป ดูเหมือนมีกำแพงแก้วบางๆขวางกั้นตัวเขาไว้ เป็นรัศมีที่ชวนอึดอัดกดดันและพร้อมจะดึงใครก็ตามที่เข้าใกล้ลงแทบเท้า เขามักจะอยู่ที่ใจกลางของมัน ครุ่นคิดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง และจ้องมองออกมาผ่านแก้วสีดำด้วยดวงตาลุ่มลึกที่ยากเกินจะหยั่ง มันสุขุมแต่ก็เป็นแววตาที่น่าเกรงขามและเย็นเฉียบเหลือกำลัง 

                อีกอย่างหนึ่งคือทุกครั้งที่นายท่านหายตัวไป ก็ยังมีขุนนางหนุ่มคนสนิทที่เคี้ยวยากเกินชั่วโมงบินรับหน้าแทนอยู่เสมอ ราฟรีนเองก็คาดโทษในใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้นิยมสังสรรค์กับเหล่าชนชั้นสูงมากนัก แต่ความชิงชังที่ได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อมนั้นเป็นความผิดของซิลอยด์เพียงคนเดียว ทว่าคำพูดจิกกัดของเลขาหนุ่มไม่ส่งถึงท่านลอร์ดเลยแม้แต่น้อย

    “ฝนใกล้ตกแล้วหรือ?”ซิลอยด์มองไปที่ท้องฟ้าด้านบนที่ยังสว่าง แต่ก็แว่วเสียงฟ้าคำรามรำไร เพราะเป็นฤดูร้อนที่มิดการ์ด หยดน้ำที่กลั่นลงมาจึงไม่แปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดน้ำแข็ง แต่กระนั้นในชั้นบรรยากาศหนาวเย็นของนครแห่งเหมันต์ยังถูกปกคลุมด้วยหิมะเช่นเดิม เขาตัดสินใจกลับด้วยสัญญานนั้น ขณะเดินตัดไปบนพื้นที่รกชัฏที่ไร้ทางเดิน บริเวณนี้อยู่ลึกเข้ามาในป่าที่มีทางสัญจรคั่นกลางระหว่างเขตปศุสัตว์ที่เงียบเชียบและความมืดครึ้มของร่มไม้ ชายหนุ่มแวะดูสภาพผืนดินหลังออกจากโบราณสถานด้วยความสงสัย

    พลันประสาทหูได้ยินเสียงซ่อกแซ่กของใบหญ้า ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจ เขาหยุดเดินด้วยความสงสัย ไม่นานคำตอบก็โผล่ออกมาจากส่วนพงไม้รอบกาย

    "โอ๊ะ! โอ๊ย!"ศีรษะหนึ่งพุ่งทะลุหมู่ใบไม้ หกคะเมนตีลังกาจนหมดท่า ข้าวของในอ้อมแขนหล่นกระจาย กระเด็นกระดอนมาหยุดตรงปลายเท้าของลอร์ดแห่งเลแรงก์ แอซไพรส์หนุ่มเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเพราะปกติแทบไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้ง่ายๆเช่นนี้ แต่เขายั้งมือไม่ให้เผลอกดผู้บุกรุกให้จมดิน

    “ไม่นะ! งานของฉัน!

    คนที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่พื้นเป็นชายวัยหนุ่ม ยากจะดูออกว่าเขาอายุประมาณเท่าไหร่ ในเมื่อในสายตาของผู้ถือครองความเยาว์วัยอันเป็นนิรันดิ์แล้ว รูปลักษณ์ของความหนุ่มแน่นก็ดูเหมือนกันไปหมด เขาสวมชุดสีอ่อนหยาบๆที่เปื้อนโคลนเต็มไปหมด มือกวาดสะเปะสะปะเพื่อรวบรวมกระดาษบนพื้น ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อคลำไปโดนปลายเท้าของซิลอยด์เข้า เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาประหวั่นพรั่นพรึง

    “ขอโทษครับ! ขอโทษจริงๆนายท่าน!”ชายคนนั้นรีบก้มหัวลง ในอ้อมแขนกอดแผ่นกระดาษที่พอเก็บได้แน่น

    “..............”แอซไพรซ์ยืนนิ่ง สายตาของเขายังอยู่ที่ปลายรองเท้าบู๊ทเนื้อดีที่เพิ่งโดนโคลนป้ายหมาดๆ มันเหยียบอยู่บนกระดาษแผ่นหนึ่งโดยบังเอิญ สิ่งที่สะดุดตาเขาอยู่ในนั้น ซิลอยด์ก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาท่ามกลางดวงตาที่ยังหวาดกลัวของชาวมิดการ์ด

    หลังผ่านไปชั่วขณะหนึ่งที่ไม่มีเสียงใดนอกจากเค้าลางของฝนที่กำลังจะโปรยปราย ฝั่งขุนนางหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “เจ้ารู้จักผลึกเรืองแสงได้อย่างไร?”

    “ฉะ....ฉันได้มากจากร้านขายอุปกรณ์ มะ....ไม่ได้ขโมยมาจากใครเลยนะ!”คนที่ขดตัวอยู่เงยหน้าขึ้นมา แว่นตาที่ยืนบนขาโลหะหยาบเบี้ยวไม่ข้างหนึ่ง เมื่อบังเอิญสบดับดวงตาเรียบเฉยสีน้ำตาลเข้มเข้าก็ต้องรีบหลบเป็นพัลวัน

    “ที่ข้าถามคือเจ้าเข้าใจการทำงานของมันได้อย่างไร?”ผลึกเรืองแสงเป็นหินแร่ชั้นเลวชนิดหนึ่งคล้ายกับผลึกไหลเวียนที่ใช้อำนวยความสะดวกบนฟ้า มันยากที่ชาวมิดการ์ดจะหามาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยากกว่าที่จะเข้าใจองค์ประกอบของมัน

    “สิ่งที่เจ้าเขียนไว้ข้างๆ ....สิ่งนี้มันคืออะไร?”เขาหมุนมือไปด้านล่างให้หน้ากระดาษอยู่เหนือศีรษะกระเซอะกระเซิงพอดิบพอดี ชายหนุ่มสวมแว่นเปิดตามองข้างหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มจนแทบไม่เข้าใจ

    “นั่นคือ...หลอดไฟน่ะ”

    “หลอดไฟ...?”ซิลอยด์ทวนคำศัพท์ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบ เสียงโหวกเหวกก็ดังขึ้นอีกจากทิศทางเดิม คนที่พื้นสะดุ้งเฮือก เขาลืมว่าตนเองกลัวชายที่ยืนค้ำศีรษะอยู่อย่างไรและฉกฉวยทุกอย่างใส่ย่ามหนังใบใหญ่ที่อยู่บนบ่ามาตั้งแต่ต้น ยิ่งเสียงเหล่านั้นดังใกล้เข้ามาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งขยับตัวราวกับลืมว่าเทพแห่งเลแรงก์ยืนอยู่ตรงนั้น

    “ฉันขอโทษนะท่าน ตะ..แต่ให้ฉันไปเถอะ ฉันต้องไปแล้วจริงๆ!”เขากอดย่ามแน่นขณะผงกหัวแล้วผงกหัวอีก แต่คงเพราะส่วนสูงชะลูดของผู้เป็นแอซไพรซ์ที่ทำให้เสียงวุ่นวายเหล่านั้นมองเห็นเอาเสียก่อน

    “ตรงนั้นมีคน!

    “หวา! หวา!”ชาวมิดการ์ดตกใจเตลิดเปิดเปิง ขาที่คิจะวิ่งก้ดันลื่นโคลนจนล้มตึงลงไปอีกครั้ง พอเหมาะกับที่พุ่มไม้ถูกแหวกออกจนล้มระเนระนาดด้วยแรงเหยียบย่ำของชายอีกนับสิบที่ไม่ได้มามือเปล่า

    “แกอยู่ที่ไหนวะ! ไอ้คนไม่เต็มเต็ง!!

    ทว่า....สิ่งที่พวกเขาพบกลับเป็นร่างสูงสง่าในชุดคลุมขนสัตว์สีเข้ม ทับทิมหลายเม็ดที่ฝังอยู่ตามเครื่องไหล่ของเขาสะท้อนแสงแดดยามเย็นตัดกับเสื้อนอกติดกระดุมทองหกเม็ดที่ตัดเย็บจากกำมะหยี่สีน้ำทะเลเข้มเหลื่อมลาย ทั้งหมดนั้นมีราคามากกว่าชีวิตของไพร่คนหนึ่งเสียอีก เหล่าชายท่าทางกักฬะนิ่งอึ้งราวกับเป็นใบ้อยู่หลายวินาที

    “มีธุระกับข้ารึ?”สำเนียงชั้นสูงที่ฟังแทบไม่เข้าใจยิ่งทำให้บรรยากาศของบุรุษแปลกหน้าที่หนาวเย็นเป็นทุนเดิมทิ่มแทงมากขึ้นไปอีก พวกยามไม่เคยประสบการจ้องมองที่ทำให้อึดอัดแทบลืมหายใจแบบนี้มาก่อน

    “มะ...ไม่เลยนายท่าน พวกเราคงจะมาผิดทาง”คนที่ได้สติขึ้นก่อนรีบก้มหัวพลางกระชากคอเสื้อเพื่อนที่ยืนตะลึงอยู่ด้วย “เฮ้ย...แต่....”หนึ่งในนั้นทำท่าจะท้วง แต่ก็ถูกตบจนหน้าหงาย

    “เจ้างั่ง! ดูชุดเขาเสียก่อน!”อีกคนกระซิบเสียงเร่งร้อน ยิ่งอยู่เบื้องหน้าขุนนางผู้นี้นานเท่าไหร่ก็รู้สึกเหมือนชะตาจะขาดเร็วขึ้นมาเท่านั้น พวกมันพากันสลายตัวไปในเวลานาน เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบหายไป ซิลอยด์ก็เอ่ยขึ้น

    “ออกมา”

    ก่อนร่างที่เปื้อนโคลนจากการหมอบคลานไปทั้งตัวจะโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เตี้ยด้านหลังที่เสื้อคลุมยาวลากพื้นบังอยู่อย่างเหมาะเจาะ เขาเหลือกตามองด้านบน งุนงงกับโชคดีที่ไม่น่าเชื่อของตนเอง

    “ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณมาก”แต่ว่าผู้มีพระคุณยังนิ่งเฉยจนเขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ยิ่งสายตาที่น่ากลัวนั่นทำให้อกสั่นขวัญแขวนแทบไม่ต่างจากฝูงยามเมื่อครู่เลย ชาวมิดการ์ดรีบแก้ตัว

    “ข้าไม่ได้ขโมยของที่บ้านเศรษฐีที่ไหนมาหรอกนะ! ข้าก็แค่...ขะ ข้าก็แค่....เผลอชกหน้าเขาไปเท่านั้น.....เอง”

                .....แล้วถ้าชายคนนี้เป็นเพื่อนเจ้าเศรษฐีนั่นล่ะ!? คราวนี้เขาถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

                “อ้อ งั้นหรือ”กลับกันซิลอยด์แค่เออออด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย ตามด้วยคำถามที่ชายสวมแว่นไม่เข้าใจอย่างที่สุด “หลอดไฟนี้คืออะไร เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง?”

                “เอ้อ....ก็ได้ แต่ว่ามันก็....ลำบากอยู่สักหน่อย”เมื่อเห็นว่าอภิมหาเศรษฐีตรงหน้าไม่ใส่ใจกับวีรกรรมอื่นใดนอกจากภาพวาดบนกระดาษของตน เขาจึงตัดสินใจเอ่ยปากดู “ฝนมันกำลังจะตกแล้ว งานวิจัยของฉันก็เหลือแค่เท่านี้ ยังไงท่านไปที่ห้องทำงานของฉันดูไหมล่ะ? จะได้เห็นเจ้าหลอดไฟนี่ไง”

                “เจ้าสร้างสิ่งนี้รึ?”คนทั่วไปอาจมองไม่ออก แต่หากราฟรีนอยู่ตรงนั้นด้วยแล้วล่ะก็ เขาคงจะบอกว่าซิลอยด์กำลังสนใจสิ่งที่เจ้าคนดวงซวยนี้พูดเอามากๆ

                “ใช่แล้ว ก็ฉันเป็นนักประดิษฐ์ยังไงล่ะ”มิดการ์ดตัวเล็กลุกขึ้นมาปัดเนื้อปัดตัว แม้จะไม่ทำให้อะไรดูดีขึ้นเลยก็ตาม ขนาดยืนเต็มส่วนสูงแล้วเขายังสูงเท่าไหล่ของแอซไพรซ์หนุ่มเท่านั้น “ฉันชื่อฮาว์เล็ต บาตัวร์ ขอบคุณมากๆนะที่ช่วยเอาไว้เมื่อกี้”เขาชี้หน้าด้วยเองที่ประกอบด้วยแว่นตาล้าสมัยบูดเบี้ยวและผมหยักศกชี้ไปทุกทิศทุกทาง

                “มิดการ์ดมีนักประดิษฐ์ด้วยรึ?”ซิลอยด์ไม่สนใจการแนะนำด้วยอย่างมีมารยาทนั้น แม้จะเป็นแบบชาวบ้านๆก็ตาม การปฏิเสธยังไม่ทำให้ฮาว์เล็ตเหนื่อยเท่ากับสิ่งที่เขาถามย้อนมา

                “เฮ่อ....ถ้าท่านตามมาก็จะรู้เองล่ะนะ”

                .

                .

                เสียงฝนตกกระทบหลังคาโครมใหญ่ ซิลอยด์เงยหน้ามองคานไม้ฝุ่นเขรอะที่ห้อยไว้ด้วยข้าวของต่างๆมากมาย แล้วเลยไปถึงหลังคาซอมซ่อที่น่าสงสัยว่ากันฝนได้จริงหรือเปล่า ห้องทำงานของชาวมิดการ์ดคือกระท่อมไม้ผสมหินก้อนขนาดกลาง ด้านในเต็มไปด้วยอุปกรณ์หน้าตาประหลาดและม้วนกระดาษนานาชนิดว่างแน่นทุกสัดส่วน แทบจะไม่มีแม้แต่ที่ให้เดินกางแขนกางขา เตาเผาใหญ่ที่มุมห้องให้ความอบอุ่นและแสงสว่างต่อโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ประกอบขึ้นโดยไม่มีความงามผสมอยู่เลย

                “ทำไมเจ้าถึงมีของพวกนี้?”ลอร์ดแห่งเลแรงก์หยิบจับทุกอย่างไปทั่ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใกล้เคียงกับเครื่องอำนวยความสะดวกบนแอสการ์ด จนมาหยุดอยู่ที่ลูกแก้วทรงกลมที่มีขดลวดอยู่ด้านใน เมื่อเพ่งมองก็เห็นประจุไฟฟ้าเล็กๆอยู่ด้วย

                “นั่นล่ะหลอดไฟที่ท่านถามถึง มันเอาไว้ให้แสงสว่างโดยไม่ต้องรอให้พระอาทิตย์ขึ้นยังไงล่ะ”ฮาว์เล็ทฉวยมันมาจากมือแล้วต่อเข้ากับฐานที่มีแต่แท่งโลหะรูปทรงพิลึก หลังจากวุ่นวายกับหลายๆอย่างที่ซิลอยด์ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ลูกแก้วที่วางบนโต๊ะก็ส่องสว่างขึ้น แม้จะติดๆดับๆในช่วงแรก แต่ก็กลายเป็นแสงสีเหลืองอ่อนที่เรืองรอง ดั่งประกายในดวงตาของแอซไพรซ์หนุ่มซึ่งย่อตัวลงเพื่อให้ใบหน้าอยู่เสมอกับแสงเท่าฝูงหิ่งห้อยนี้

                “ข้าได้มาจากผลึกที่พวกแอซไพรซ์ใช้กัน หินนั่นสามารถดึงแสงมาเก็บเอาไว้ได้แล้วก็ปล่อยออกมาในเวลาที่ต้องการ แต่ว่าฉันยังไม่รู้วิธีทำแบบนั้นหรอก ไอ้ข้างในนั่นน่ะคือไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟน่ะ”นักประดิษฐ์อธิบายเครื่องมือต่างๆที่ต่อเป็นสายระโยงรยางค์ “มะ ถ้าฉันทำให้มันสะดวกกว่านี้ได้อีกสักหน่อยก็คงจะดี” พอดันคันโยกหนึ่ง ทั่วห้องทำงานก็สว่างไสวขึ้นด้วยหลอดไฟที่แขวนซ่อนอยู่ในอวนตาข่ายมากมาย

                “ตอนนี้ก็ใช้ได้แค่ในที่เล็กๆเท่านั้นล่ะ นายท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม?”ชายสวมแว่นปาดหน้าผากพลางหันมามองแขกที่ไม่ได้ตั้งใจรับเชิญนัก เขาอาจจะดูเป็นคนไม่ค่อยเต็มเต็งในสายตาชาวบ้าน แต่นายท่านคนนี้ก็สุดประหลาด อาภรณ์เลอค่าของเขาช่างไม่เข้ากับทุกสิ่งรอบตัวในตอนนี้เอาเสียเลย อีกครั้งที่คู่สนทนาเงียบใส่เป็นเวลานาน สายตาไม่ละออกจากแสงของหลอดไฟ

                “....ไฟฟ้าที่เจ้ากล่าวถึง คือกระแสเดียวกับไฟฟ้าในสายฟ้าใช่หรือไม่?”

                “ใช่ ถ้ามีสายฟ้าล่ะก็จะสามารถดึงมันออกมาได้มากกว่านี้อีก โดยไม่ต้องใช้เครื่องปั่นไฟเลยนะ!”ไม่น่าเชื่อว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้จะเข้าใจในสิ่งที่มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะรู้ซึ้งแบบนี้ด้วย “ฉันน่ะอยากจะสร้างของที่ไม่เคยมีมาก่อนบนมิดการ์ดแห่งนี้!”นักประดิษฐ์เตรียมสาธยายทฤษฏีขนานใหญ่ด้วยความตื่นเต้น หากว่าไม่ถูกหยุดไว้ด้วยประโยคต่อมา

                “....นี่เจ้า สามารถชิงพลังของโอดินเอาไว้ในครอบครองได้หรือนี่?”

                ดวงตาสีเข้มที่หันมาพาให้ขยับถอยหนี มันดำมืดและไร้ความรู้สึกใดๆขณะที่ร่างสูงสง่ายืดตัวขึ้น แสงไฟสาดส่องจากด้านหลังของเขาเหมือนกับมัจจุราช ฮาว์เล็ทนึกว่าตบปากตัวเองสักร้อยครั้งที่เผลอพูดความลับคอขาดบาดตายเช่นนี้ออกไปง่ายๆ ....กะแล้วเชียวชายคนนี้ก็เหมือนกับคนพวกนั้น! มนุษย์ตัวจ้อยถอยหนีจนชนกับผนัง ไม่มีที่ทางให้หลีกนี้อุ้งมือที่ยื่นมาหวังจะกระชากคอเสื้อออกไปทรมานให้สมกับที่ลบหลู่มหาเทพ

                ทว่ามันกลับไปที่กระสอบหนึ่งที่แขวนเอาไว้ใกล้ๆกับอุปกรณ์อีกมากมาย

                “เอ๋?”คนหัวกระเซิงหันไปมองมือเรียบไร้ริ้วรอยคว้าเอาผลึกสองสามก้อนออกมาจากที่ซ่อนลับของเขา ก่อนที่อาคันตุกะแสนประหลาดจะถอยกลับในที่จุดเดิม และเริ่มแจกแจงอะไรบางอย่างที่สมองของเขาติดตามไม่ทัน

                “ผลึกไหลเวียนเป็นแร่ที่มีการดูดซับพลังงานต่างๆดีกว่าผลึกเรืองแสงที่ทำปฏิกิริยากับแสงสว่างเท่านั้น แต่ว่าในการกักเก็บพลังงานพวกนี้จำเป็นต้องใช้แอซเป็นพื้นฐาน การทำงานของแร่เวทมนตร์ก็เหมือนกับการทำงานของแอซ แต่ว่าต่างกันอยู่สักหน่อยในจุดที่แอซคือพลังของการสร้างปฏิกิริยากับทุกสิ่งบนโลกนี้ด้วยการดึงประจุบริสุทธิ์ของสิ่งนั้นๆเข้ามารวมตัวและส่งออกไปในรูปของเวทมนตร์ต่างๆ แต่ผลึกจะเข้าคู่กับระดับพลังงานเฉพาะของชนิดผลึกเท่านั้น”ร่างสูงหยิบผลึกที่มีสีแดงขึ้นดู ริมฝีปากขยับเป็นคำที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ ก่อนที่มันเปล่งแสงจ้าเหมือนถ่านร้อนโชน

                “ถ้าให้กล่าวก็คือ แอซไพรว์ใช้เวทมนตร์ได้ก็เพราะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของมวลสารบนโลกนี้ เพราะเราเรียกขานมัน เราจึงสร้าง”คราวนี้ผลึกก้อนเล็กทั้งสามต่างก็เปล่งแสงแตกต่างกัน หนึ่งเหลือ หนึ่งเขียว รวมตัวในวงกลมล่องหนที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือฝ่ามือของชายแปลกหน้า ใบหน้านิ่งเรียบของเขาเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก

                “เจ้าเองก็เป็นผู้สร้างเหมือนกันไม่ใช่หรือ? นักประดิษฐ์”

                เจ้าของชื่อรู้สึกเหมือนทำเสียงหายไปในลำคอ ถึงจะส่งเสียงอืออาอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ยังแห้งผาก จนกระทั่งเนื้อตัวที่ชาดิกรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งถึงยกมือชี้หน้าฝั่งตรงข้ามอย่างลืมความตายได้

                “ทะ ทะ ทะ ท่านเป็นเทพเจ้า!!!

                “ทฤษฏีที่เจ้าเขียนเกือบจะถูกต้องแล้ว แต่นั่นก็ด้วยขีดจำกัดของการมองผ่านสายตามนุษย์เท่านั้น”ซิลอยด์วางผลึกเรืองแสงที่ส่องสว่างยิ่งกว่าหลอดไฟลงข้างๆกัน ราวกับจะเยาะเย้ยงานที่ทุ่มเทแรงกายนับแรมปีให้เป็นเพียงกระกายไฟริบหรี่เท่านั้น เฝ้ามองได้ไม่นาน เครื่องปั่นไฟขนาดทดลองพกกาที่ขาดพลังงานกับวูบไป เหลือแต่แสงของผลึกเท่านั้น

                “แต่ว่า...แต่ว่า แอซไพรซ์เองก็มองทุกอย่างด้วยสายตาของพวกท่านเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”

                “หืม?”

                “ท่านรู้หรือเปล่าว่าเงินน่ะใช้นำไฟฟ้าได้กว่าทองแดง และไฟฟ้าไม่ได้นำมาแค่แสง แต่ยังมีคลื่นความร้อนด้วย!”จากที่งอตัวอยู่ ฮาว์เล็ทเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่ยังกึ่งกล้ากึ่งกลัว แต่น้ำเสียงที่เถียงค้านนั้นมีแต่จะเร่งความดุเดือดและจริงจัง

                “ของแบบนั้นข้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”ขุนนางหนุ่มตอบง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างก็เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญสำหรับเผ่าพันธุ์ที่สร้างสรรพสิ่งขึ้นด้วยมือเปล่า

                “นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุที่ระเบิดเมื่อโดนน้ำหรืออากาศ! ทั้งไฟฟ้า ความร้อนและทุกๆอย่างต่างก็มีความหมายในตัวมันเอง!”นักประดิษฐ์หนุ่มค่อยๆก้าวมาข้างหน้า ใบที่เปรอะเปื้อนและแว่นตาบูดเบี้ยวทำให้เขาดูไร้ซึ่งกำลัง ทว่าแววตามุ่งมั่นก็ไม่หลบลี้ไปจากเทพเจ้า “ที่ท่านไม่รู้เรื่องพวกนี้ นั่นก็เพราะท่านควบคุมได้ทุกอย่าง ท่านรู้จักมัน แต่ก็ไม่เคยเข้าใจมัน.....”

                “โลกใบนี้น่ะ มีอีกตั้งหลายอย่างที่หากเราไม่พยายาม เราก็คงจะไม่มีทางรู้”เขาหยุดลงตรงหน้าซิลอยด์ที่ยังคงเอนกายนั่งบนขอบโต๊ะ ใบหน้าของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน “มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเทพเจ้า แต่มนุษย์อย่างพวกเราก็ยังพยายามที่จะพัฒนาไปข้างหน้า ถ้าหากว่าฉันยอมรับว่าทุกอย่างเป็นแค่ของที่พวกท่านให้มาล่ะก็การคงอยู่ของพวกเราก็ไม่มีความหมายเลยน่ะสิ”ดวงตาสีเขียวใสหลังเลนส์แว่นทั้งเหนื่อยล้าแล้วก็เจ็บปวด ทว่าความทรนงที่ดื้อดึงในสิ่งมีชีวิตอันด้อยกว่ากลับทำให้ลอร์ดแห่งเลแรงก์ตกตะลึง

                “ถึงเราจะไม่สามารถเทียบกับแอซไพรซ์ได้ก็เถอะ แต่ก็ยังมีมนุษย์ที่พยายามใช้ชีวิตให้เต็มที่ในโลกที่เหมือนพวกเราไปหยิบยืมมาอยู่นะ”

                เมื่อมองในระยะนี้แล้วถึงได้เห็นว่าบนใบหน้าของเขามีแผลเป็นอยู่หลายแห่ง ทั้งมือที่ตรากตรำจากการทำงานและร่องรอยของความขัดสนทั้งหลายปรากฏอยู่ใต้แสงไฟจากเปลวเพลิงที่ย้อมทุกอย่างให้เป็นสีแดงจ้า สิ่งที่ซิลอยด์ยังไม่รู้ในวันนั้นคือการที่บุรุษตรงหน้าเขาต้องรับการดูหมิ่นรังแกจากคนทั่วไปมากมายเท่าไหร่ บาดแผลที่ถูกก้อนหินและไม้ฟาดตีตั้งแต่ยังเล็กสมานกลายเป็นแผลเป็น

                แต่สิ่งที่เทพเจ้าเข้าใจได้ในทันทีก็คือฮาว์เล็ทสามารถยืนหยัดผ่านทุกสิ่งที่จารึกบนร่างกายอย่างภาคภูมิ แม้จะไม่มีใครมองเห็นอุดมการณ์ของเขา

    “ทำไมเราต้องเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ หากว่าจะต้องตายอย่างไร้ค่าในสักวัน!

    ....อา จริงด้วย แอซไพรซ์หนุ่มกระพริบตา ดูเหมือนเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวกลับเป็นสิ่งที่เขาหลงลืมไปเสียได้ ....แม้แต่ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เพราะแค่อีกฝ่ายเป็นมนุษย์ถึงได้คิดว่าไร้ความคิดและไร้พลัง แต่ที่สุดแล้วสิ่งใดที่มีชีวิต สิ่งนั้นก็ต่างมีความปรารถนาไม่ต่างกัน....ดั่งที่ข้ามองขึ้นสู่ลัสท์เทรล พวกเขาเองก็คงมองไปบนท้องฟ้าเหมือนกัน

    เฝ้าครุ่นคิดว่าตนเองจะสามารถไปได้ถึงจุดจุดไหนบนโลกที่มีแต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้

    “ก่อนหน้านี้ฉันไปเสนอสิ่งประดิษฐ์ให้กับเศรษฐีคนหนึ่งที่จ้างคนในหมู่บ้านนี้เป็นแรงงาน เพราะว่าทุกคนทำงานหนักแลกกับเศษเงินและฟืนไฟแค่เพียงนิดเดียว ฉันคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยพวกเขาได้.....แต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าเศรษฐีนั่นเอาผลงานที่ฉันตั้งใจทำเผาลงไปในกองไฟ เพียงเพราะว่ามัน...เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรทำ บ้าที่สุด!”ฮาว์เล็ทกำมือแน่น

    “แล้วจะไม่ให้ต่อยไอ้บ้านั่นได้ยังไงกันเล่า!”เขาก้มหน้าตะโกนอย่างเหลืออดกลั้น น้ำตาหยดหนึ่งถูกขยี้จนผุดออกมาที่หางตา ในตอนเวลานี้ที่เขาเสียผลงานที่ทำมาเกือบทั้งชีวิต ทั้งกำลังใจและเงินพอที่จะประทังชีวิต ต่อให้โวยวายกับเทเจ้าแล้วต้องตายไปก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ทั่วกระท่อมมีเพียงความเงียบที่ถูกเติมด้วยเสียงเปลวไฟเต้นระริกเท่านั้น ก่อนที่น้ำเสียงเย็นเยียบดั่งฤดูหนาวจะเอ่ยขึ้น

    “...ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของอาณาจักรแห่งหนึ่งที่ล่มสลายเพราะความทะเยอะทะยานของผู้คนที่อาศัยอยู่ ทว่าข้าก็ไม่คิดว่าการย่ำอยู่กับอดีตจะต่างกับการเดินหน้าไปสู่จุดจบอย่างไร”

    ขุนนางหนุ่มจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของชาวมิดการ์ดที่เพิ่งได้พบ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกับตนเอง การพบกันของลอร์ดแห่งเลแรงก์ในวันนี้กับชายหนุ่มคนหนึ่งได้เปลี่ยนสายตาที่เขามองเห็นโลกใบนี้ไปตลอดกาล มันแจ่มชัดขึ้น เต็มไปด้วยสัมผัสต่างๆ พลันริมฝีปากที่เรียบคลี่ออกเป็นรอยยิ้มอันพึงพอใจและซื่อตรงอย่างที่สุด

    “ข้ามีนามว่าซิลอยด์ เลอรองก์ เดอ เลแรงก์ ลอร์ดแห่งน่านฟ้าเหนือ และผู้นำสภาขุนนางแห่งยูโธเปีย ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า นักประดิษฐ์ฮาว์เล็ท บาตัวร์”

    .

    .

                “ดูอะไรอยู่น่ะซิลอยด์?”

                เสียงทักดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก้พบกับร่างเพรียวของสหายโผล่พ้นออกจากเงามืดของหลังคาที่ถล่มลงมาจากเตี้ยเรี่ยศีรษะ การก้าวเดินของเขาเงียบเหมือนกับลอยมาในอากาศใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ยาวลากพื้นที่ไม่เข้ากับโบราณสถานนัก แต่ร่างกายของแอซไพรซ์แห่งยูโธเปียทุกคนเหมือนถูกอากาศเย็นยะเยือกฝังลึกลงในกระดูกยากจะถอน

                “ภาพเก่าๆน่ะ”

                “นั่นล่ะที่น่าสงสัย ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามองภาพเคลื่อนไหวพวกนั้นแล้วทำสีหน้าผ่อนคลายมาก่อนเลย”ราฟรีนหยุดยืนเคียงข้าง มองภาพในจอไปพร้อมกับเขา สิ่งที่กำลังฉายบนจอไม่ใช่ข้อมูลสำคัญอย่างปกติ แต่เป็นภาพสัพเพเหระที่อวดทิวทัศน์สิ่งปลูกสร้างหน้าตาแปลกประหลาดสลับกับใบหน้ามุมใกล้ของหญิงสาวคนหนึ่ง มีเสียงพูดคุยโต้ตอบกัน หนึ่งในนั้นเป็นสิ่งชองชายที่อยู่ในม้วนความทรงจำอื่นๆด้วย

                “ข้าดูผ่อนคลายรึ?”ลอร์แห่งเลแรงก์ถาม

                “ดูเพลิดเพลินเสียมากกว่า”คนด้านข้างตอบ ไม่ใครเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดมากนัก ม้วนความทรงจำมีมากมาย แต่ซิลอยด์ไม่เคยเอาเวลามาสนใจกับเรื่องเบ็ดเตล็ดเหล่านี้ ในเมื่อยังมีสิ่งที่ต้องเร่งรีบค้นหาคำตอบอีกมากมาย

                ‘What’re y-u doing?’

              ‘I’m g--ng to the museum. There’s a new exhibition today – you rememb-r what we talk about last w-ek?’

                สีของท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ตึกสูงตระการตาเต็มไปด้วยสีขาว น้ำเงิน และเขียวดูสะอาดสะอ้าน มีรางเหล็กคดเคี้ยวพันพันไปทั่ว มนุษย์ในอาภรณ์ประหลาดเดินขวักไขว่ ต่างก็สนใจฝ่ามือของตนเอง จอภาพขนาดใหญ่เคลื่อนไหวเปลี่ยนสีสันรูปทรงได้ หมู่กล่องหลากรูปทรงเคลื่อนที่บนเส้นสีเทาราวกับเป็นถนน ทุกสิ่งดูสดใสยิ่งกว่าโลกที่เคยเห็น

                ‘Yea-- ,  abo-ut V-n Goh. It wasn’t-t a g—d thing to keep –p with the time, Lo-t—‘

              ‘I jus-sss-t t- t-try to give y-u what the stati—doesn-t have’

                หญิงสาวในภาพหัวเราะออกมา ฉากหลังของหล่อนเป็นพีระมิดแก้วขนาดใหญ่สะท้อนแสงแวววับ

                ‘I do—t need aesthet-cs h-re’

              ‘Com-on--- W-r—e-nn----L-l-l-l-lo-uvr-e’

                ภาพกำลังขาดตอน เสียงของหล่อนกลายเป็นชิ้นส่วนกระจัดกระจาย แว่วเพียงเสียงหัวเราะร่าเริงหยอกล้อ ก่อนทุกอย่างจะดำมืดและสว่างจ้าขึ้นมาใหม่ วนซ้ำเป็นวงจรเดิม ซิลอยด์ยืนนิ่งจ้องมองเข้าไปด้านในราวกับจิตใจของเขาหลุดลอยไปยังโลกแห่งนั้นไม่ว่าม้วนความทรงจำจะเปิดวนขึ้นสักกี่ครั้ง

                “ราฟรีน เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นมนุษย์หรือเปล่า? หรือว่าเป็นแอซไพรซ์กัน?”

                “ตามสมมุติฐานก็ควรจะเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ?”เจ้าของชื่อตอบไปตามความจริง แม้จะงุนงงในการกระทำของสหาย แต่ก็ยังคงพินิจภาพนั้นอยู่ด้วยกัน คำพูดที่ฟังไม่เข้าใจซึมลึกลงไปในโสตประสาท ทั้งเสียงหัวเราะของเธอและเสียงจากอีกโลกหนึ่ง มันช่างมีชีวิตชีวาเสียจนไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนั้นได้สาบสูญไปแล้วและวันนี้เธอก็ไม่มีซึ่งลมหายใจเช่นที่เคย

                “ด้วยความสัตย์...ข้าไม่รู้สึกว่าพวกเรามีอยู่ในที่แห่งนั้นเลย”บุรุษผมยาวตัดสินใจแสดงความเห็นของตนออกไป เพราะแม้แต่เขาที่ไมมีแรงจูงใจในการมองสิ่งเหล่านี้ก็ยังรู้สึกได้ ว่าในโลกของเธอ...ผู้คนที่เห็นตามถนนเหล่านั้นต่างก็ไม่มีอะไรผิดแผกจากกัน เป็นความลงตัวที่แปลกแยกอย่างน่าอัศจรรย์

                “นั่นสินะ....”ซิลอยด์รับคำแสงสีฟ้าสะท้อนในดวงตาของเขา “เพราะรู้ว่าเป็นพวกเขาข้าถึงได้คิดมาตลอดว่าต้องเหนือกว่าพวกเราแอซไพรซ์ แต่ความเป็นจริงแล้ว...ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่กลับรังสรรค์สิ่งที่เราในตอนนี้ก็ไม่อาจทำได้”

                ไม่เพียงอนุสรณ์ที่ยิ่งใหญ่ แท่งสี่เหลี่ยมสูงเสียดฟ้า แต่ยังมีโบราณสถานแห่งนี้ที่พวกเขาพำนักอยู่ หากคิดถึงมนุษย์ในสายตาของเทพเจ้าแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ด้วยตนเอง

                “คนเหล่านั้นเองก็คงจะมีสิ่งที่เป็นกังวล สิ่งที่เป็นความฝัน และสิ่งที่ต้องพยายามเพื่อให้ได้มาไม่ต่างกัน ข้าคิดว่า...นั่นคือนิยามของมนุษย์”ราฟรีนเอนหลังลงกับเก้าอี้ที่ทำจากโลหะที่ติดตั้งอยู่ตรงนั้น “เราต่างก็มีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?”เขาเอียงคอให้สายตากึ่งยียวนที่ไม่มีขุนนางคนไหนเคยพบเห็นมองไปทางสหายและเจ้านาย

                “พวกเราเอง ถ้าไม่เพราะมีสิ่งที่อยากจะทำอยู่ ก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอกนะ”

                เขามองตอบคนข้างตัว นึกว่าไม่ได้เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ารื่นรมย์มานานเท่าไหร่แล้ว

                ทำไมเราถึงได้เคยรู้สึกว่าตนเองไร้พลังกันนะ...? เขารำพึงคำถามหนึ่งขึ้นในใจ ทั้งที่ท้องฟ้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เขาเคยโยนความเกลียดชังทั้งหมดให้กับเหล่า ผู้สร้าง ที่วางหมากของโชคชะตาอย่างไม่เป็นธรรม ทว่าถึงตอนนี้แล้วไม่ใช่พวกเขาที่กำลังหายใจอยู่หรอกหรือ? ไม่ใช่การตัดสินใจของตนเองที่เป็นผู้เลือกได้เองหรอกหรือ?

                แม้จะมีเส้นทางที่ปูล่วงหน้าไว้นับร้อยพัน แต่ในความบังเอิญ ในการเคลื่อนไปของโลกใบนี้ ทุกสิ่งของเราต่างก็ประกอบกันขึ้นมาเป็นชะตากรรมของตนเองทั้งนั้น

    ในวิสัยทัศน์ของซิลอยด์ ภาพที่กำลังมองอยู่เคลื่อนทับกับท้องฟ้าไร้เมฆหมอกของแอร์เซีย สายตามุ่งมั่นของนักประดิษฐ์ ประจุไฟฟ้าเล็กจ้อย คำพูดของราฟรีน ต่างก็รวมกันออกมาเป็นรอยยิ้มพาดบนมุมปาก

                “มนุษย์นั้นน่าอัศจรรย์จริงๆนั่นล่ะ ราฟรีน”

    ----------------------------

    โอ่ะโห๊!!!! ทำไมรู้สึกว่าดองไว้แปปเดียว ละกลับมาดูตอนยี่สิบกว่าๆมันหายไปไหน 55555555555 ตายล่ะยังมีอ่านอยู่ด้วยคะเนี่ย

    ต้องขอโทษจริงๆเลย เรางานยุ่งจนลืมไปหลายๆอย่าง แต่พอได้กลับมาทำสิ่งที่ชอบ ถึงจะเป็นงานอดิเรกแต่ก็มีความสุขกว่ากันเยอะ

    สัญญาว่าจะอัพต่อเนื่องแล้วค่ะ ติดการเขียนด้วยล่ะ เหมือนได้พักผ่อนจากโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย - -

    ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามนะคะ สถานที่ในจอแอลซีดีนั่นน่าจะพอเดาออกเนอะว่าคือที่ไหน 5555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×