คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #53 : 48th Tale : ด้วยสายตามนุษย์ 1 ครบ
เส้นผมที่ปลิวอยู่ในอากาศค่อยๆร่วงหล่นอย่างเชื่องช้า
มันถูกแสงแดดสะท้อนเป็นสีน้ำตาลอ่อน แต่ละจุดถูกลูบไล้แว่บหนึ่งก็หมดประกาย
ซิลอยด์หรี่ตาลงเพื่อหลบจากกระจกสีน้ำตาลวิบวับเหล่านั้นขณะที่เสียงซ่อกแซ่กของกรรไกรตัดลงบนช่อผมหนาหยักศกของตนดังเป็นระยะ
“พวกเขาจะพูดถึงมัน”ราฟรีนกล่าวขณะไล่นิ้วมือลงไปยังปลายผมที่ยังไม่เรียบร้อย
“ข้ารู้”
“นี่เป็นวันแรกที่เจ้าเข้าเป็นผู้นำของสภาเหนือ
แต่เจ้ายังขอให้ข้าตัดผมให้ พยายามจะเป็นกบฏหรืออย่างไร?”
“ข้าไม่แน่ใจว่าเรื่องผมของข้าสมควรจะเป็นประเด็นแรกในวันประชุม”ชายหนุ่มตอบกลับ
เขารู้ว่าเพื่อนสนิทพูดถูก แต่ก็ยังไม่ดูเดือดเนื้อร้อนใจสักเท่าไหร่
“ที่พวกเขาจะถามจริงๆคือวิธีที่เจ้าแก้ปัญหาเรื่องดินเป็นพิษ”ดวงตาสีอ่อนเหลือบขึ้นจากมือของตน
“นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ขุนนางเก่ายอมรับเด็กอายุไม่ถึงครึ่งของครึ่งมาปกครอง”
“ไม่ใช่เรื่องที่ข้าส่งจดหมายขอขยายเขตน่านฟ้าไปหาอีลิจา
บัลดอร์หรอกหรือ?”
“นั่นก็ใช่กระมัง”
ลอร์ดแห่งเลแรงก์คนปัจจุบันหัวเราะ
“ข้านำตัวอย่างดินหลายๆที่ไปแยกส่วนประกอบ
ในน่านฟ้าของเราไม่มีวิชาเคมีเหมือนโลกเก่า แต่ก็พอจะหาธาตุต่างๆในธรรมชาติเพื่อถ่วงสมดุลส่วนที่เป็นกรดได้
ถึงอย่างนั้นกระบวนการสูญสลายก็มีเวลาของมัน
หลายที่ในน่านฟ้าเหนือเริ่มเปลี่ยนเป็นทรายเพราะโครงสร้างของโมเลกุลในดินถูกกัดกร่อนจนพัง”
“แม้แต่ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดก็มีสิทธิ์กลายเป็นทะเลทรายได้งั้นเหรอ.....”คนด้านหลังพึมพำ
ยากที่จะนึกภาพออกเมื่อภูมิประเทศของตนเต็มไปด้วยป่าสนเขียวชอุ่ม
“เจ้าจำช่วงที่ข้าออกไปสำรวจโบราณสถานเมื่อสองเดือนก่อนได้ไหม?”
“แน่นอน
แม่นเลยทีเดียวกับการพบหน้าเหล่าผู้เฒ่าสองอาทิตย์เต็มๆ”ผู้เป็นมือขวาตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
ซิลอยด์กระแอมเบาๆเป็นการแก้ตัว ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยังเคืองอยู่
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าถัดจากเลแรงก์ออกไปทางตะวันออกคืออะไร”เจ้าของเส้นผมสีเข้มชี้มือไปยังสุดปลายกำแพงแห่งแอร์เซีย
ส่วนที่อยู่ระหว่างยูโธเปียและโอลิมปัส เลยไปจากแผ่นดินรกร้างของชนเผ่านอกศาสนา
คือช่องเขาที่เรียกกันว่าเส้นทางสู่ความว่างเปล่า เขาไม่เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้า แต่ก็รู้คำตอบได้ด้วยความเคยชิน
“.......! เจ้าไปที่นั่นหรือ!?”
“ทะเลทรายสีเทา
ทุกอย่างผุพังไปหมด ไม่มีต้นไม้ ไม่มีสิ่งมีชีวิต
มีแค่หิมะที่ตกลงมาปนกับละอองฝุ่นเท่านั้น”
เขาทอดสายตาออกไป นึกถึงช่วงเวลาที่เหยียบเข้าไปสู่โลกต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้ำกราย
แสงแดดที่ส่องลงมายังมัวหมองเพราะเศษธุลีในอากาศ
เกล็ดน้ำแข็งโปรยปรายเบาบางถูกย้อมด้วยสีสกปรกและร่วงหล่นลงสู่พื้นทรายที่เหมือนถูกโรยด้วยละอองเถ้า
สายลมนำพากลิ่นเหม็นที่แห้งผาก พวกมันผสมผสานอยู่ด้วยกันในดินแดนที่ว่างเปล่าไปจนถึงเส้นขอบฟ้า
“พวกนอกศาสนาอาศัยอยู่ได้อย่างไรกันนะ?”ราฟรีนรำพึง
ความจริงที่เพิ่งเคยได้ยินก็น่าตกใจแล้ว
แต่เมื่อคิดถึงว่ามีมนุษย์บางส่วนรอนแรมในดินแดนแบบนั้นยังทำให้พิศวง
“เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ.....”เขาลงกรรไกรครั้งสุดท้าย
ก่อนจะยกผ้าที่ห่อหุ้มเส้นผมยาวสลวยของลอร์ดแห่งเลแรงก์ด้ยความระมัดระวัง
“ข้าเองก็ไม่รู้
บางทีมนุษย์นั่นแหล่ะที่น่าอัศจรรย์”คนที่นั่งอยู่พูดติดตลก
“เจ้าคิดว่าที่นี่ก็เหมือนกับ ‘ที่นั่น’ ยังงั้นหรือ?”
“นึกภาพไม่ออกเลย”ซิลอยด์หัวเราะ “หลังเลิกประชุม
ข้าจะลงไปที่โบราณสถานสักหน่อย ฝากทางนี้กับเจ้าด้วยล่ะ”ร่างสูงคว้าเสื้อคลุมมาสวม
รู้สึกเย็นบริเวณต้นคออย่างประหลาดเมื่อไม่มีเส้นเปียหนาคอยปกป้องจากอากาศหนาวเหน็บ
“ท่านคิดจะโดดประชุมตั้งแต่ครั้งแรกเลยรึ?
ลอร์ดซิลอยด์”ผู้เป็นสหายล้อเลียนกึ่งเหน็บแนม แม้ว่าจะเดาคำตอบได้อยู่แล้วก็ตาม คนเดินนำหน้าชะงัก
ครั้งแรกเขาหันกลับมาด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนจะพัฒนาเป็นพึงพอใจ
“ข้ายังไม่มีความคิดนั้นจนกระทั่งเจ้าพูดออกมานี่แหล่ะ”
การประชุมครั้งแรกในวาระการดำรงตำแหน่งของลอร์ดซิลอยด์สั้นกว่าใครๆ
ทว่าไม่มีขุนนางคนไหนอยากเอ่ยปากถามถึงสาเหตุ ผู้นำของพวกเขาในอดีตนั้นมุ่งมั่นและกระตือรือร้น
แต่หลังจากการจากไปของบิดาซิลอยด์ก็เปลี่ยนไป
ดูเหมือนมีกำแพงแก้วบางๆขวางกั้นตัวเขาไว้
เป็นรัศมีที่ชวนอึดอัดกดดันและพร้อมจะดึงใครก็ตามที่เข้าใกล้ลงแทบเท้า
เขามักจะอยู่ที่ใจกลางของมัน ครุ่นคิดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
และจ้องมองออกมาผ่านแก้วสีดำด้วยดวงตาลุ่มลึกที่ยากเกินจะหยั่ง
มันสุขุมแต่ก็เป็นแววตาที่น่าเกรงขามและเย็นเฉียบเหลือกำลัง
อีกอย่างหนึ่งคือทุกครั้งที่นายท่านหายตัวไป
ก็ยังมีขุนนางหนุ่มคนสนิทที่เคี้ยวยากเกินชั่วโมงบินรับหน้าแทนอยู่เสมอ
ราฟรีนเองก็คาดโทษในใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้นิยมสังสรรค์กับเหล่าชนชั้นสูงมากนัก
แต่ความชิงชังที่ได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อมนั้นเป็นความผิดของซิลอยด์เพียงคนเดียว
ทว่าคำพูดจิกกัดของเลขาหนุ่มไม่ส่งถึงท่านลอร์ดเลยแม้แต่น้อย
“ฝนใกล้ตกแล้วหรือ?”ซิลอยด์มองไปที่ท้องฟ้าด้านบนที่ยังสว่าง
แต่ก็แว่วเสียงฟ้าคำรามรำไร เพราะเป็นฤดูร้อนที่มิดการ์ด หยดน้ำที่กลั่นลงมาจึงไม่แปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
แต่กระนั้นในชั้นบรรยากาศหนาวเย็นของนครแห่งเหมันต์ยังถูกปกคลุมด้วยหิมะเช่นเดิม
เขาตัดสินใจกลับด้วยสัญญานนั้น ขณะเดินตัดไปบนพื้นที่รกชัฏที่ไร้ทางเดิน
บริเวณนี้อยู่ลึกเข้ามาในป่าที่มีทางสัญจรคั่นกลางระหว่างเขตปศุสัตว์ที่เงียบเชียบและความมืดครึ้มของร่มไม้
ชายหนุ่มแวะดูสภาพผืนดินหลังออกจากโบราณสถานด้วยความสงสัย
พลันประสาทหูได้ยินเสียงซ่อกแซ่กของใบหญ้า ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจ
เขาหยุดเดินด้วยความสงสัย ไม่นานคำตอบก็โผล่ออกมาจากส่วนพงไม้รอบกาย
"โอ๊ะ! โอ๊ย!"ศีรษะหนึ่งพุ่งทะลุหมู่ใบไม้
หกคะเมนตีลังกาจนหมดท่า ข้าวของในอ้อมแขนหล่นกระจาย
กระเด็นกระดอนมาหยุดตรงปลายเท้าของลอร์ดแห่งเลแรงก์ แอซไพรส์หนุ่มเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเพราะปกติแทบไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้ง่ายๆเช่นนี้
แต่เขายั้งมือไม่ให้เผลอกดผู้บุกรุกให้จมดิน
“ไม่นะ! งานของฉัน!”
คนที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่พื้นเป็นชายวัยหนุ่ม
ยากจะดูออกว่าเขาอายุประมาณเท่าไหร่
ในเมื่อในสายตาของผู้ถือครองความเยาว์วัยอันเป็นนิรันดิ์แล้ว
รูปลักษณ์ของความหนุ่มแน่นก็ดูเหมือนกันไปหมด
เขาสวมชุดสีอ่อนหยาบๆที่เปื้อนโคลนเต็มไปหมด
มือกวาดสะเปะสะปะเพื่อรวบรวมกระดาษบนพื้น ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อคลำไปโดนปลายเท้าของซิลอยด์เข้า
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาประหวั่นพรั่นพรึง
“ขอโทษครับ! ขอโทษจริงๆนายท่าน!”ชายคนนั้นรีบก้มหัวลง
ในอ้อมแขนกอดแผ่นกระดาษที่พอเก็บได้แน่น
“..............”แอซไพรซ์ยืนนิ่ง
สายตาของเขายังอยู่ที่ปลายรองเท้าบู๊ทเนื้อดีที่เพิ่งโดนโคลนป้ายหมาดๆ
มันเหยียบอยู่บนกระดาษแผ่นหนึ่งโดยบังเอิญ สิ่งที่สะดุดตาเขาอยู่ในนั้น
ซิลอยด์ก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาท่ามกลางดวงตาที่ยังหวาดกลัวของชาวมิดการ์ด
หลังผ่านไปชั่วขณะหนึ่งที่ไม่มีเสียงใดนอกจากเค้าลางของฝนที่กำลังจะโปรยปราย
ฝั่งขุนนางหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “เจ้ารู้จักผลึกเรืองแสงได้อย่างไร?”
“ฉะ....ฉันได้มากจากร้านขายอุปกรณ์
มะ....ไม่ได้ขโมยมาจากใครเลยนะ!”คนที่ขดตัวอยู่เงยหน้าขึ้นมา
แว่นตาที่ยืนบนขาโลหะหยาบเบี้ยวไม่ข้างหนึ่ง เมื่อบังเอิญสบดับดวงตาเรียบเฉยสีน้ำตาลเข้มเข้าก็ต้องรีบหลบเป็นพัลวัน
“ที่ข้าถามคือเจ้าเข้าใจการทำงานของมันได้อย่างไร?”ผลึกเรืองแสงเป็นหินแร่ชั้นเลวชนิดหนึ่งคล้ายกับผลึกไหลเวียนที่ใช้อำนวยความสะดวกบนฟ้า
มันยากที่ชาวมิดการ์ดจะหามาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ก็ยากกว่าที่จะเข้าใจองค์ประกอบของมัน
“สิ่งที่เจ้าเขียนไว้ข้างๆ
....สิ่งนี้มันคืออะไร?”เขาหมุนมือไปด้านล่างให้หน้ากระดาษอยู่เหนือศีรษะกระเซอะกระเซิงพอดิบพอดี
ชายหนุ่มสวมแว่นเปิดตามองข้างหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มจนแทบไม่เข้าใจ
“นั่นคือ...หลอดไฟน่ะ”
“หลอดไฟ...?”ซิลอยด์ทวนคำศัพท์ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบ เสียงโหวกเหวกก็ดังขึ้นอีกจากทิศทางเดิม
คนที่พื้นสะดุ้งเฮือก
เขาลืมว่าตนเองกลัวชายที่ยืนค้ำศีรษะอยู่อย่างไรและฉกฉวยทุกอย่างใส่ย่ามหนังใบใหญ่ที่อยู่บนบ่ามาตั้งแต่ต้น
ยิ่งเสียงเหล่านั้นดังใกล้เข้ามาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งขยับตัวราวกับลืมว่าเทพแห่งเลแรงก์ยืนอยู่ตรงนั้น
“ฉันขอโทษนะท่าน ตะ..แต่ให้ฉันไปเถอะ
ฉันต้องไปแล้วจริงๆ!”เขากอดย่ามแน่นขณะผงกหัวแล้วผงกหัวอีก
แต่คงเพราะส่วนสูงชะลูดของผู้เป็นแอซไพรซ์ที่ทำให้เสียงวุ่นวายเหล่านั้นมองเห็นเอาเสียก่อน
“ตรงนั้นมีคน!”
“หวา! หวา!”ชาวมิดการ์ดตกใจเตลิดเปิดเปิง
ขาที่คิจะวิ่งก้ดันลื่นโคลนจนล้มตึงลงไปอีกครั้ง
พอเหมาะกับที่พุ่มไม้ถูกแหวกออกจนล้มระเนระนาดด้วยแรงเหยียบย่ำของชายอีกนับสิบที่ไม่ได้มามือเปล่า
“แกอยู่ที่ไหนวะ! ไอ้คนไม่เต็มเต็ง!!”
ทว่า....สิ่งที่พวกเขาพบกลับเป็นร่างสูงสง่าในชุดคลุมขนสัตว์สีเข้ม
ทับทิมหลายเม็ดที่ฝังอยู่ตามเครื่องไหล่ของเขาสะท้อนแสงแดดยามเย็นตัดกับเสื้อนอกติดกระดุมทองหกเม็ดที่ตัดเย็บจากกำมะหยี่สีน้ำทะเลเข้มเหลื่อมลาย
ทั้งหมดนั้นมีราคามากกว่าชีวิตของไพร่คนหนึ่งเสียอีก
เหล่าชายท่าทางกักฬะนิ่งอึ้งราวกับเป็นใบ้อยู่หลายวินาที
“มีธุระกับข้ารึ?”สำเนียงชั้นสูงที่ฟังแทบไม่เข้าใจยิ่งทำให้บรรยากาศของบุรุษแปลกหน้าที่หนาวเย็นเป็นทุนเดิมทิ่มแทงมากขึ้นไปอีก
พวกยามไม่เคยประสบการจ้องมองที่ทำให้อึดอัดแทบลืมหายใจแบบนี้มาก่อน
“มะ...ไม่เลยนายท่าน
พวกเราคงจะมาผิดทาง”คนที่ได้สติขึ้นก่อนรีบก้มหัวพลางกระชากคอเสื้อเพื่อนที่ยืนตะลึงอยู่ด้วย
“เฮ้ย...แต่....”หนึ่งในนั้นทำท่าจะท้วง แต่ก็ถูกตบจนหน้าหงาย
“เจ้างั่ง! ดูชุดเขาเสียก่อน!”อีกคนกระซิบเสียงเร่งร้อน
ยิ่งอยู่เบื้องหน้าขุนนางผู้นี้นานเท่าไหร่ก็รู้สึกเหมือนชะตาจะขาดเร็วขึ้นมาเท่านั้น
พวกมันพากันสลายตัวไปในเวลานาน เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบหายไป ซิลอยด์ก็เอ่ยขึ้น
“ออกมา”
ก่อนร่างที่เปื้อนโคลนจากการหมอบคลานไปทั้งตัวจะโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เตี้ยด้านหลังที่เสื้อคลุมยาวลากพื้นบังอยู่อย่างเหมาะเจาะ
เขาเหลือกตามองด้านบน งุนงงกับโชคดีที่ไม่น่าเชื่อของตนเอง
“ขอบคุณนายท่าน
ขอบคุณมาก”แต่ว่าผู้มีพระคุณยังนิ่งเฉยจนเขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
ยิ่งสายตาที่น่ากลัวนั่นทำให้อกสั่นขวัญแขวนแทบไม่ต่างจากฝูงยามเมื่อครู่เลย ชาวมิดการ์ดรีบแก้ตัว
“ข้าไม่ได้ขโมยของที่บ้านเศรษฐีที่ไหนมาหรอกนะ! ข้าก็แค่...ขะ ข้าก็แค่....เผลอชกหน้าเขาไปเท่านั้น.....เอง”
.....แล้วถ้าชายคนนี้เป็นเพื่อนเจ้าเศรษฐีนั่นล่ะ!? คราวนี้เขาถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“อ้อ
งั้นหรือ”กลับกันซิลอยด์แค่เออออด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย
ตามด้วยคำถามที่ชายสวมแว่นไม่เข้าใจอย่างที่สุด “หลอดไฟนี้คืออะไร เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง?”
“เอ้อ....ก็ได้
แต่ว่ามันก็....ลำบากอยู่สักหน่อย”เมื่อเห็นว่าอภิมหาเศรษฐีตรงหน้าไม่ใส่ใจกับวีรกรรมอื่นใดนอกจากภาพวาดบนกระดาษของตน
เขาจึงตัดสินใจเอ่ยปากดู “ฝนมันกำลังจะตกแล้ว งานวิจัยของฉันก็เหลือแค่เท่านี้
ยังไงท่านไปที่ห้องทำงานของฉันดูไหมล่ะ? จะได้เห็นเจ้าหลอดไฟนี่ไง”
“เจ้าสร้างสิ่งนี้รึ?”คนทั่วไปอาจมองไม่ออก
แต่หากราฟรีนอยู่ตรงนั้นด้วยแล้วล่ะก็
เขาคงจะบอกว่าซิลอยด์กำลังสนใจสิ่งที่เจ้าคนดวงซวยนี้พูดเอามากๆ
“ใช่แล้ว
ก็ฉันเป็นนักประดิษฐ์ยังไงล่ะ”มิดการ์ดตัวเล็กลุกขึ้นมาปัดเนื้อปัดตัว แม้จะไม่ทำให้อะไรดูดีขึ้นเลยก็ตาม
ขนาดยืนเต็มส่วนสูงแล้วเขายังสูงเท่าไหล่ของแอซไพรซ์หนุ่มเท่านั้น “ฉันชื่อฮาว์เล็ต
บาตัวร์
ขอบคุณมากๆนะที่ช่วยเอาไว้เมื่อกี้”เขาชี้หน้าด้วยเองที่ประกอบด้วยแว่นตาล้าสมัยบูดเบี้ยวและผมหยักศกชี้ไปทุกทิศทุกทาง
“มิดการ์ดมีนักประดิษฐ์ด้วยรึ?”ซิลอยด์ไม่สนใจการแนะนำด้วยอย่างมีมารยาทนั้น
แม้จะเป็นแบบชาวบ้านๆก็ตาม การปฏิเสธยังไม่ทำให้ฮาว์เล็ตเหนื่อยเท่ากับสิ่งที่เขาถามย้อนมา
“เฮ่อ....ถ้าท่านตามมาก็จะรู้เองล่ะนะ”
.
.
เสียงฝนตกกระทบหลังคาโครมใหญ่
ซิลอยด์เงยหน้ามองคานไม้ฝุ่นเขรอะที่ห้อยไว้ด้วยข้าวของต่างๆมากมาย
แล้วเลยไปถึงหลังคาซอมซ่อที่น่าสงสัยว่ากันฝนได้จริงหรือเปล่า
ห้องทำงานของชาวมิดการ์ดคือกระท่อมไม้ผสมหินก้อนขนาดกลาง ด้านในเต็มไปด้วยอุปกรณ์หน้าตาประหลาดและม้วนกระดาษนานาชนิดว่างแน่นทุกสัดส่วน
แทบจะไม่มีแม้แต่ที่ให้เดินกางแขนกางขา เตาเผาใหญ่ที่มุมห้องให้ความอบอุ่นและแสงสว่างต่อโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ประกอบขึ้นโดยไม่มีความงามผสมอยู่เลย
“ทำไมเจ้าถึงมีของพวกนี้?”ลอร์ดแห่งเลแรงก์หยิบจับทุกอย่างไปทั่ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใกล้เคียงกับเครื่องอำนวยความสะดวกบนแอสการ์ด
จนมาหยุดอยู่ที่ลูกแก้วทรงกลมที่มีขดลวดอยู่ด้านใน
เมื่อเพ่งมองก็เห็นประจุไฟฟ้าเล็กๆอยู่ด้วย
“นั่นล่ะหลอดไฟที่ท่านถามถึง
มันเอาไว้ให้แสงสว่างโดยไม่ต้องรอให้พระอาทิตย์ขึ้นยังไงล่ะ”ฮาว์เล็ทฉวยมันมาจากมือแล้วต่อเข้ากับฐานที่มีแต่แท่งโลหะรูปทรงพิลึก
หลังจากวุ่นวายกับหลายๆอย่างที่ซิลอยด์ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ลูกแก้วที่วางบนโต๊ะก็ส่องสว่างขึ้น แม้จะติดๆดับๆในช่วงแรก
แต่ก็กลายเป็นแสงสีเหลืองอ่อนที่เรืองรอง
ดั่งประกายในดวงตาของแอซไพรซ์หนุ่มซึ่งย่อตัวลงเพื่อให้ใบหน้าอยู่เสมอกับแสงเท่าฝูงหิ่งห้อยนี้
“ข้าได้มาจากผลึกที่พวกแอซไพรซ์ใช้กัน
หินนั่นสามารถดึงแสงมาเก็บเอาไว้ได้แล้วก็ปล่อยออกมาในเวลาที่ต้องการ
แต่ว่าฉันยังไม่รู้วิธีทำแบบนั้นหรอก
ไอ้ข้างในนั่นน่ะคือไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟน่ะ”นักประดิษฐ์อธิบายเครื่องมือต่างๆที่ต่อเป็นสายระโยงรยางค์
“มะ ถ้าฉันทำให้มันสะดวกกว่านี้ได้อีกสักหน่อยก็คงจะดี” พอดันคันโยกหนึ่ง
ทั่วห้องทำงานก็สว่างไสวขึ้นด้วยหลอดไฟที่แขวนซ่อนอยู่ในอวนตาข่ายมากมาย
“ตอนนี้ก็ใช้ได้แค่ในที่เล็กๆเท่านั้นล่ะ
นายท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม?”ชายสวมแว่นปาดหน้าผากพลางหันมามองแขกที่ไม่ได้ตั้งใจรับเชิญนัก
เขาอาจจะดูเป็นคนไม่ค่อยเต็มเต็งในสายตาชาวบ้าน แต่นายท่านคนนี้ก็สุดประหลาด
อาภรณ์เลอค่าของเขาช่างไม่เข้ากับทุกสิ่งรอบตัวในตอนนี้เอาเสียเลย
อีกครั้งที่คู่สนทนาเงียบใส่เป็นเวลานาน สายตาไม่ละออกจากแสงของหลอดไฟ
“....ไฟฟ้าที่เจ้ากล่าวถึง
คือกระแสเดียวกับไฟฟ้าในสายฟ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่ ถ้ามีสายฟ้าล่ะก็จะสามารถดึงมันออกมาได้มากกว่านี้อีก
โดยไม่ต้องใช้เครื่องปั่นไฟเลยนะ!”ไม่น่าเชื่อว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้จะเข้าใจในสิ่งที่มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะรู้ซึ้งแบบนี้ด้วย
“ฉันน่ะอยากจะสร้างของที่ไม่เคยมีมาก่อนบนมิดการ์ดแห่งนี้!”นักประดิษฐ์เตรียมสาธยายทฤษฏีขนานใหญ่ด้วยความตื่นเต้น
หากว่าไม่ถูกหยุดไว้ด้วยประโยคต่อมา
“....นี่เจ้า
สามารถชิงพลังของโอดินเอาไว้ในครอบครองได้หรือนี่?”
ดวงตาสีเข้มที่หันมาพาให้ขยับถอยหนี
มันดำมืดและไร้ความรู้สึกใดๆขณะที่ร่างสูงสง่ายืดตัวขึ้น
แสงไฟสาดส่องจากด้านหลังของเขาเหมือนกับมัจจุราช ฮาว์เล็ทนึกว่าตบปากตัวเองสักร้อยครั้งที่เผลอพูดความลับคอขาดบาดตายเช่นนี้ออกไปง่ายๆ
....กะแล้วเชียวชายคนนี้ก็เหมือนกับคนพวกนั้น! มนุษย์ตัวจ้อยถอยหนีจนชนกับผนัง
ไม่มีที่ทางให้หลีกนี้อุ้งมือที่ยื่นมาหวังจะกระชากคอเสื้อออกไปทรมานให้สมกับที่ลบหลู่มหาเทพ
ทว่ามันกลับไปที่กระสอบหนึ่งที่แขวนเอาไว้ใกล้ๆกับอุปกรณ์อีกมากมาย
“เอ๋?”คนหัวกระเซิงหันไปมองมือเรียบไร้ริ้วรอยคว้าเอาผลึกสองสามก้อนออกมาจากที่ซ่อนลับของเขา
ก่อนที่อาคันตุกะแสนประหลาดจะถอยกลับในที่จุดเดิม และเริ่มแจกแจงอะไรบางอย่างที่สมองของเขาติดตามไม่ทัน
“ผลึกไหลเวียนเป็นแร่ที่มีการดูดซับพลังงานต่างๆดีกว่าผลึกเรืองแสงที่ทำปฏิกิริยากับแสงสว่างเท่านั้น
แต่ว่าในการกักเก็บพลังงานพวกนี้จำเป็นต้องใช้แอซเป็นพื้นฐาน
การทำงานของแร่เวทมนตร์ก็เหมือนกับการทำงานของแอซ
แต่ว่าต่างกันอยู่สักหน่อยในจุดที่แอซคือพลังของการสร้างปฏิกิริยากับทุกสิ่งบนโลกนี้ด้วยการดึงประจุบริสุทธิ์ของสิ่งนั้นๆเข้ามารวมตัวและส่งออกไปในรูปของเวทมนตร์ต่างๆ
แต่ผลึกจะเข้าคู่กับระดับพลังงานเฉพาะของชนิดผลึกเท่านั้น”ร่างสูงหยิบผลึกที่มีสีแดงขึ้นดู
ริมฝีปากขยับเป็นคำที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ ก่อนที่มันเปล่งแสงจ้าเหมือนถ่านร้อนโชน
“ถ้าให้กล่าวก็คือ
แอซไพรว์ใช้เวทมนตร์ได้ก็เพราะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของมวลสารบนโลกนี้
เพราะเราเรียกขานมัน
เราจึงสร้าง”คราวนี้ผลึกก้อนเล็กทั้งสามต่างก็เปล่งแสงแตกต่างกัน หนึ่งเหลือ
หนึ่งเขียว รวมตัวในวงกลมล่องหนที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือฝ่ามือของชายแปลกหน้า ใบหน้านิ่งเรียบของเขาเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
“เจ้าเองก็เป็นผู้สร้างเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
นักประดิษฐ์”
เจ้าของชื่อรู้สึกเหมือนทำเสียงหายไปในลำคอ
ถึงจะส่งเสียงอืออาอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ยังแห้งผาก
จนกระทั่งเนื้อตัวที่ชาดิกรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งถึงยกมือชี้หน้าฝั่งตรงข้ามอย่างลืมความตายได้
“ทะ ทะ ทะ
ท่านเป็นเทพเจ้า!!!”
“ทฤษฏีที่เจ้าเขียนเกือบจะถูกต้องแล้ว
แต่นั่นก็ด้วยขีดจำกัดของการมองผ่านสายตามนุษย์เท่านั้น”ซิลอยด์วางผลึกเรืองแสงที่ส่องสว่างยิ่งกว่าหลอดไฟลงข้างๆกัน
ราวกับจะเยาะเย้ยงานที่ทุ่มเทแรงกายนับแรมปีให้เป็นเพียงกระกายไฟริบหรี่เท่านั้น เฝ้ามองได้ไม่นาน
เครื่องปั่นไฟขนาดทดลองพกกาที่ขาดพลังงานกับวูบไป เหลือแต่แสงของผลึกเท่านั้น
“แต่ว่า...แต่ว่า
แอซไพรซ์เองก็มองทุกอย่างด้วยสายตาของพวกท่านเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
“หืม?”
“ท่านรู้หรือเปล่าว่าเงินน่ะใช้นำไฟฟ้าได้กว่าทองแดง
และไฟฟ้าไม่ได้นำมาแค่แสง แต่ยังมีคลื่นความร้อนด้วย!”จากที่งอตัวอยู่ ฮาว์เล็ทเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่ยังกึ่งกล้ากึ่งกลัว
แต่น้ำเสียงที่เถียงค้านนั้นมีแต่จะเร่งความดุเดือดและจริงจัง
“ของแบบนั้นข้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”ขุนนางหนุ่มตอบง่ายๆ
ไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างก็เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญสำหรับเผ่าพันธุ์ที่สร้างสรรพสิ่งขึ้นด้วยมือเปล่า
“นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุที่ระเบิดเมื่อโดนน้ำหรืออากาศ! ทั้งไฟฟ้า
ความร้อนและทุกๆอย่างต่างก็มีความหมายในตัวมันเอง!”นักประดิษฐ์หนุ่มค่อยๆก้าวมาข้างหน้า
ใบที่เปรอะเปื้อนและแว่นตาบูดเบี้ยวทำให้เขาดูไร้ซึ่งกำลัง
ทว่าแววตามุ่งมั่นก็ไม่หลบลี้ไปจากเทพเจ้า “ที่ท่านไม่รู้เรื่องพวกนี้
นั่นก็เพราะท่านควบคุมได้ทุกอย่าง ท่านรู้จักมัน แต่ก็ไม่เคยเข้าใจมัน.....”
“โลกใบนี้น่ะ
มีอีกตั้งหลายอย่างที่หากเราไม่พยายาม เราก็คงจะไม่มีทางรู้”เขาหยุดลงตรงหน้าซิลอยด์ที่ยังคงเอนกายนั่งบนขอบโต๊ะ
ใบหน้าของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน “มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเทพเจ้า
แต่มนุษย์อย่างพวกเราก็ยังพยายามที่จะพัฒนาไปข้างหน้า
ถ้าหากว่าฉันยอมรับว่าทุกอย่างเป็นแค่ของที่พวกท่านให้มาล่ะก็…การคงอยู่ของพวกเราก็ไม่มีความหมายเลยน่ะสิ”ดวงตาสีเขียวใสหลังเลนส์แว่นทั้งเหนื่อยล้าแล้วก็เจ็บปวด
ทว่าความทรนงที่ดื้อดึงในสิ่งมีชีวิตอันด้อยกว่ากลับทำให้ลอร์ดแห่งเลแรงก์ตกตะลึง
“ถึงเราจะไม่สามารถเทียบกับแอซไพรซ์ได้ก็เถอะ
แต่ก็ยังมีมนุษย์ที่พยายามใช้ชีวิตให้เต็มที่ในโลกที่เหมือนพวกเราไปหยิบยืมมาอยู่นะ”
เมื่อมองในระยะนี้แล้วถึงได้เห็นว่าบนใบหน้าของเขามีแผลเป็นอยู่หลายแห่ง
ทั้งมือที่ตรากตรำจากการทำงานและร่องรอยของความขัดสนทั้งหลายปรากฏอยู่ใต้แสงไฟจากเปลวเพลิงที่ย้อมทุกอย่างให้เป็นสีแดงจ้า
สิ่งที่ซิลอยด์ยังไม่รู้ในวันนั้นคือการที่บุรุษตรงหน้าเขาต้องรับการดูหมิ่นรังแกจากคนทั่วไปมากมายเท่าไหร่
บาดแผลที่ถูกก้อนหินและไม้ฟาดตีตั้งแต่ยังเล็กสมานกลายเป็นแผลเป็น
แต่สิ่งที่เทพเจ้าเข้าใจได้ในทันทีก็คือฮาว์เล็ทสามารถยืนหยัดผ่านทุกสิ่งที่จารึกบนร่างกายอย่างภาคภูมิ
แม้จะไม่มีใครมองเห็นอุดมการณ์ของเขา
“ทำไมเราต้องเกิดขึ้นมาบนโลกนี้
หากว่าจะต้องตายอย่างไร้ค่าในสักวัน!”
....อา จริงด้วย แอซไพรซ์หนุ่มกระพริบตา
ดูเหมือนเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวกลับเป็นสิ่งที่เขาหลงลืมไปเสียได้
....แม้แต่ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เพราะแค่อีกฝ่ายเป็นมนุษย์ถึงได้คิดว่าไร้ความคิดและไร้พลัง
แต่ที่สุดแล้วสิ่งใดที่มีชีวิต
สิ่งนั้นก็ต่างมีความปรารถนาไม่ต่างกัน....ดั่งที่ข้ามองขึ้นสู่ลัสท์เทรล
พวกเขาเองก็คงมองไปบนท้องฟ้าเหมือนกัน
เฝ้าครุ่นคิดว่าตนเองจะสามารถไปได้ถึงจุดจุดไหนบนโลกที่มีแต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้
“ก่อนหน้านี้ฉันไปเสนอสิ่งประดิษฐ์ให้กับเศรษฐีคนหนึ่งที่จ้างคนในหมู่บ้านนี้เป็นแรงงาน
เพราะว่าทุกคนทำงานหนักแลกกับเศษเงินและฟืนไฟแค่เพียงนิดเดียว
ฉันคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยพวกเขาได้.....แต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าเศรษฐีนั่นเอาผลงานที่ฉันตั้งใจทำเผาลงไปในกองไฟ
เพียงเพราะว่ามัน...เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรทำ บ้าที่สุด!”ฮาว์เล็ทกำมือแน่น
“แล้วจะไม่ให้ต่อยไอ้บ้านั่นได้ยังไงกันเล่า!”เขาก้มหน้าตะโกนอย่างเหลืออดกลั้น
น้ำตาหยดหนึ่งถูกขยี้จนผุดออกมาที่หางตา
ในตอนเวลานี้ที่เขาเสียผลงานที่ทำมาเกือบทั้งชีวิต ทั้งกำลังใจและเงินพอที่จะประทังชีวิต
ต่อให้โวยวายกับเทเจ้าแล้วต้องตายไปก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
ทั่วกระท่อมมีเพียงความเงียบที่ถูกเติมด้วยเสียงเปลวไฟเต้นระริกเท่านั้น
ก่อนที่น้ำเสียงเย็นเยียบดั่งฤดูหนาวจะเอ่ยขึ้น
“...ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของอาณาจักรแห่งหนึ่งที่ล่มสลายเพราะความทะเยอะทะยานของผู้คนที่อาศัยอยู่
ทว่าข้าก็ไม่คิดว่าการย่ำอยู่กับอดีตจะต่างกับการเดินหน้าไปสู่จุดจบอย่างไร”
ขุนนางหนุ่มจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของชาวมิดการ์ดที่เพิ่งได้พบ
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกับตนเอง
การพบกันของลอร์ดแห่งเลแรงก์ในวันนี้กับชายหนุ่มคนหนึ่งได้เปลี่ยนสายตาที่เขามองเห็นโลกใบนี้ไปตลอดกาล
มันแจ่มชัดขึ้น เต็มไปด้วยสัมผัสต่างๆ
พลันริมฝีปากที่เรียบคลี่ออกเป็นรอยยิ้มอันพึงพอใจและซื่อตรงอย่างที่สุด
“ข้ามีนามว่าซิลอยด์ เลอรองก์ เดอ เลแรงก์
ลอร์ดแห่งน่านฟ้าเหนือ และผู้นำสภาขุนนางแห่งยูโธเปีย ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า
นักประดิษฐ์ฮาว์เล็ท บาตัวร์”
.
.
“ดูอะไรอยู่น่ะซิลอยด์?”
เสียงทักดังมาจากด้านหลัง
เมื่อหันไปมองก้พบกับร่างเพรียวของสหายโผล่พ้นออกจากเงามืดของหลังคาที่ถล่มลงมาจากเตี้ยเรี่ยศีรษะ
การก้าวเดินของเขาเงียบเหมือนกับลอยมาในอากาศใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ยาวลากพื้นที่ไม่เข้ากับโบราณสถานนัก
แต่ร่างกายของแอซไพรซ์แห่งยูโธเปียทุกคนเหมือนถูกอากาศเย็นยะเยือกฝังลึกลงในกระดูกยากจะถอน
“ภาพเก่าๆน่ะ”
“นั่นล่ะที่น่าสงสัย
ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามองภาพเคลื่อนไหวพวกนั้นแล้วทำสีหน้าผ่อนคลายมาก่อนเลย”ราฟรีนหยุดยืนเคียงข้าง
มองภาพในจอไปพร้อมกับเขา สิ่งที่กำลังฉายบนจอไม่ใช่ข้อมูลสำคัญอย่างปกติ
แต่เป็นภาพสัพเพเหระที่อวดทิวทัศน์สิ่งปลูกสร้างหน้าตาแปลกประหลาดสลับกับใบหน้ามุมใกล้ของหญิงสาวคนหนึ่ง
มีเสียงพูดคุยโต้ตอบกัน หนึ่งในนั้นเป็นสิ่งชองชายที่อยู่ในม้วนความทรงจำอื่นๆด้วย
“ข้าดูผ่อนคลายรึ?”ลอร์แห่งเลแรงก์ถาม
“ดูเพลิดเพลินเสียมากกว่า”คนด้านข้างตอบ
ไม่ใครเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดมากนัก ม้วนความทรงจำมีมากมาย
แต่ซิลอยด์ไม่เคยเอาเวลามาสนใจกับเรื่องเบ็ดเตล็ดเหล่านี้
ในเมื่อยังมีสิ่งที่ต้องเร่งรีบค้นหาคำตอบอีกมากมาย
‘What’re y-u doing?’
‘I’m g--ng to the
museum. There’s a new exhibition today – you rememb-r what we talk about last
w-ek?’
สีของท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
ตึกสูงตระการตาเต็มไปด้วยสีขาว น้ำเงิน และเขียวดูสะอาดสะอ้าน
มีรางเหล็กคดเคี้ยวพันพันไปทั่ว มนุษย์ในอาภรณ์ประหลาดเดินขวักไขว่
ต่างก็สนใจฝ่ามือของตนเอง จอภาพขนาดใหญ่เคลื่อนไหวเปลี่ยนสีสันรูปทรงได้
หมู่กล่องหลากรูปทรงเคลื่อนที่บนเส้นสีเทาราวกับเป็นถนน
ทุกสิ่งดูสดใสยิ่งกว่าโลกที่เคยเห็น
‘Yea-- , abo-ut V-n Goh. It wasn’t-t a g—d thing to
keep –p with the time, Lo-t—‘
‘I jus-sss-t t-
t-try to give y-u what the stati—doesn-t have’
หญิงสาวในภาพหัวเราะออกมา
ฉากหลังของหล่อนเป็นพีระมิดแก้วขนาดใหญ่สะท้อนแสงแวววับ
‘I do—t need aesthet-cs h-re’
‘Com-on---
W-r—e-nn----L-l-l-l-lo-uvr-e’
ภาพกำลังขาดตอน
เสียงของหล่อนกลายเป็นชิ้นส่วนกระจัดกระจาย แว่วเพียงเสียงหัวเราะร่าเริงหยอกล้อ
ก่อนทุกอย่างจะดำมืดและสว่างจ้าขึ้นมาใหม่ วนซ้ำเป็นวงจรเดิม
ซิลอยด์ยืนนิ่งจ้องมองเข้าไปด้านในราวกับจิตใจของเขาหลุดลอยไปยังโลกแห่งนั้นไม่ว่าม้วนความทรงจำจะเปิดวนขึ้นสักกี่ครั้ง
“ราฟรีน
เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นมนุษย์หรือเปล่า? หรือว่าเป็นแอซไพรซ์กัน?”
“ตามสมมุติฐานก็ควรจะเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ?”เจ้าของชื่อตอบไปตามความจริง
แม้จะงุนงงในการกระทำของสหาย แต่ก็ยังคงพินิจภาพนั้นอยู่ด้วยกัน
คำพูดที่ฟังไม่เข้าใจซึมลึกลงไปในโสตประสาท ทั้งเสียงหัวเราะของเธอและเสียงจากอีกโลกหนึ่ง
มันช่างมีชีวิตชีวาเสียจนไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนั้นได้สาบสูญไปแล้วและวันนี้เธอก็ไม่มีซึ่งลมหายใจเช่นที่เคย
“ด้วยความสัตย์...ข้าไม่รู้สึกว่าพวกเรามีอยู่ในที่แห่งนั้นเลย”บุรุษผมยาวตัดสินใจแสดงความเห็นของตนออกไป
เพราะแม้แต่เขาที่ไมมีแรงจูงใจในการมองสิ่งเหล่านี้ก็ยังรู้สึกได้
ว่าในโลกของเธอ...ผู้คนที่เห็นตามถนนเหล่านั้นต่างก็ไม่มีอะไรผิดแผกจากกัน
เป็นความลงตัวที่แปลกแยกอย่างน่าอัศจรรย์
“นั่นสินะ....”ซิลอยด์รับคำแสงสีฟ้าสะท้อนในดวงตาของเขา
“เพราะรู้ว่าเป็น ‘พวกเขา’ ข้าถึงได้คิดมาตลอดว่าต้องเหนือกว่าพวกเราแอซไพรซ์
แต่ความเป็นจริงแล้ว...ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่กลับรังสรรค์สิ่งที่เราในตอนนี้ก็ไม่อาจทำได้”
ไม่เพียงอนุสรณ์ที่ยิ่งใหญ่
แท่งสี่เหลี่ยมสูงเสียดฟ้า แต่ยังมีโบราณสถานแห่งนี้ที่พวกเขาพำนักอยู่
หากคิดถึงมนุษย์ในสายตาของเทพเจ้าแล้ว
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ด้วยตนเอง
“คนเหล่านั้นเองก็คงจะมีสิ่งที่เป็นกังวล
สิ่งที่เป็นความฝัน และสิ่งที่ต้องพยายามเพื่อให้ได้มาไม่ต่างกัน ข้าคิดว่า...นั่นคือนิยามของมนุษย์”ราฟรีนเอนหลังลงกับเก้าอี้ที่ทำจากโลหะที่ติดตั้งอยู่ตรงนั้น
“เราต่างก็มีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?”เขาเอียงคอให้สายตากึ่งยียวนที่ไม่มีขุนนางคนไหนเคยพบเห็นมองไปทางสหายและเจ้านาย
“พวกเราเอง
ถ้าไม่เพราะมีสิ่งที่อยากจะทำอยู่ ก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอกนะ”
เขามองตอบคนข้างตัว
นึกว่าไม่ได้เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ารื่นรมย์มานานเท่าไหร่แล้ว
ทำไมเราถึงได้เคยรู้สึกว่าตนเองไร้พลังกันนะ...?
เขารำพึงคำถามหนึ่งขึ้นในใจ ทั้งที่ท้องฟ้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้
เขาเคยโยนความเกลียดชังทั้งหมดให้กับเหล่า ‘ผู้สร้าง’
ที่วางหมากของโชคชะตาอย่างไม่เป็นธรรม
ทว่าถึงตอนนี้แล้วไม่ใช่พวกเขาที่กำลังหายใจอยู่หรอกหรือ? ไม่ใช่การตัดสินใจของตนเองที่เป็นผู้เลือกได้เองหรอกหรือ?
แม้จะมีเส้นทางที่ปูล่วงหน้าไว้นับร้อยพัน
แต่ในความบังเอิญ ในการเคลื่อนไปของโลกใบนี้
ทุกสิ่งของเราต่างก็ประกอบกันขึ้นมาเป็นชะตากรรมของตนเองทั้งนั้น
ในวิสัยทัศน์ของซิลอยด์
ภาพที่กำลังมองอยู่เคลื่อนทับกับท้องฟ้าไร้เมฆหมอกของแอร์เซีย
สายตามุ่งมั่นของนักประดิษฐ์ ประจุไฟฟ้าเล็กจ้อย คำพูดของราฟรีน ต่างก็รวมกันออกมาเป็นรอยยิ้มพาดบนมุมปาก
“มนุษย์นั้นน่าอัศจรรย์จริงๆนั่นล่ะ
ราฟรีน”
----------------------------
โอ่ะโห๊!!!! ทำไมรู้สึกว่าดองไว้แปปเดียว ละกลับมาดูตอนยี่สิบกว่าๆมันหายไปไหน 55555555555 ตายล่ะยังมีอ่านอยู่ด้วยคะเนี่ย
ต้องขอโทษจริงๆเลย เรางานยุ่งจนลืมไปหลายๆอย่าง แต่พอได้กลับมาทำสิ่งที่ชอบ ถึงจะเป็นงานอดิเรกแต่ก็มีความสุขกว่ากันเยอะ
สัญญาว่าจะอัพต่อเนื่องแล้วค่ะ ติดการเขียนด้วยล่ะ เหมือนได้พักผ่อนจากโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย - -
ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามนะคะ สถานที่ในจอแอลซีดีนั่นน่าจะพอเดาออกเนอะว่าคือที่ไหน 5555
ความคิดเห็น