คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : 11th Tale : การเดินทางที่ไม่คาดคิด
“สามสิบดาลล์”
เหรียญเงินขนาดใหญ่สามเหรียญถูกวางลงบนเคาเตอร์ไม้สีเข้มจากร่องรอยเลอะเทอะ กุญแจดอกหนึ่งเลื่อนสวนมาตรงหน้า เจ้าของร้านเหล้ารูปร่างอ้วนท้วนเหลือบมองลูกค้าคนใหม่ที่กำลังลงชื่ออยู่ด้วยสีหน้าแส่รู้ในที ทั้งสองคือนักเดินทางตัวปอนๆท่าทางเจ้าชู้ไม่น้อยกับเด็กหนุ่มที่เนื้อเต้นจนออกหน้า ชวนให้คิดว่าเป็นพวกต้มตุ๋นพาเด็กหนีออกจากบ้านอย่างไรชอบกล
“ห้องเดี่ยวนะ ถ้าอยากได้อีกเตียงก็จ่ายเพิ่มสิบดาลล์”ศีรษะของเขาล้านโล่งราวกับเอาเส้นผมบนหัวมาประดับเป็นหนวดดกหนาไปเสียหมด
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราพักกันคืนเดียวเอง”ชายหนุ่มวัยไม่เกินยี่สิบห้าปียิ้มกว้างตอบด้วยท่าทีสบายๆ เขาหยิบกุญแจแล้วเคาะที่ระฆังเงินหนึ่งที “ขอบคุณมากลุง” เจ้าของร้านโคลงศีรษะส่งแล้วกลับไปสู่ความวุ่นวายของเหล่าขี้เมาทั้งหลาย
ร้านเหล้าชั้นล่างที่เปิดบริการห้องพักเล็กๆครึกครื้นด้วยบรรยากาศสนุกสนานวุ่นวายจากลูกค้านักดื่มมากหน้าหลายตา บางก็กระดกเหล้ากันอย่างเฮฮา บางโต๊ะดวลดื่มจนมีคนมุงเฮคอยเชียร์เสียงดังลั่นเป็นระยะๆ เหล่าบริกรและสาวสวยในเสื้อผ้าน้อยชิ้นเดินกรีดกรายหาลูกค้ากระเป๋าหนักไม่ขาดสาย ลอเฟย์มองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น ร่างโปร่งต้องคอยหลบถาดเบียร์และทรวงอกอวบอัดที่เบียดเข้าชิดอย่างยั่วยวน
“ตื่นเต้นจริงนะเจ้า ไม่เคยมาหรือไง?”ไนทริคเหลียวกลับไปถามขณะส่งยกนิ้วเชียร์ให้ตาลุงนวดเฟิ้มหน้าแดงแจ๋ที่ดวลเหล้าอยู่โต๊ะข้างๆ “เจ๋งมากลุง!”อีกฝ่ายยกแก้วตอบด้วยเสียงคำรามคล้ายจะหัวเราะ
“ไม่ล่ะ ผมไม่ค่อยได้เข้าเมือง”เด็กหนุ่มมองตาตื่น สอดส่องไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพียงแค่เสียงครื้นเครงของสถานที่แห่งนี้ก็ปลุกให้เลือดลมสูบฉีดได้ไม่ยาก ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“โอ้! ขอโทษครับ”ร่างของผู้ปราชัยในฤทธิ์สุรานอนเกลือกกลิ้งอยู่ตามพื้นจนสะดุดเซถลา โชคดีที่ปะทะเข้ากับหญิงสาวพราวเสน่ห์คนหนึ่ง ไม่งั้นคงลงไปนอนกองไม่ต่างกันแน่
“ไม่เป็นไรจ้ะสุดหล่อ”หล่อนหรี่ตายิ้ม ฉวยโอกาสประทับจูบกับแก้มขาวนวลไปทีหนึ่งก่อนจะย้ายสะโพกดินระเบิดออกไป ไม่วายหันมาขยิบตาให้เป็นการทิ้งท้าย
“ฮ่าฮ่าๆๆๆ”ไนทริคคว้าคอลอเฟย์ที่ตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลงเข้ามากอด “แดงแปร๊ดเลย”มือกร้านดึงแก้มจนเด็กหนุ่มร้องโอ้ย “เกิดเป็นชายอย่าให้เสียหลายไอ้หนู”ทั้งคู่หัวเราะเสียงดังโดยลอเฟย์ต้องคอยประท้วงการขยี้หัวเป็นระยะ
“ผมจะเสียคนอย่างคุณน่ะสิ!”เขากัดตอบ
“นี่พูดกับสุภาพบุรุษอย่างนี้ได้ยังไงกัน? เอ้า ขึ้นห้องเสียที ข้าง่วงจะแย่แล้ว!”แอซไพรส์หนุ่มลากคอเพื่อนร่วมทางขึ้นบันไดเล็กๆด้านหลัง เสียงสองหนุ่มถกเถียงกันดังไปตลอดทางเรียกความสนใจจากลูกค้าสาวไม่ไกลจากมุมบันได
“ต๊าย! เธอดูหนุ่มคนนั้นสิ หล่อไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย!”หญิงสาวตาโตรีบชี้มือไปทางชายหนุ่มร่างสูงกำยำในผ้าคลุมเดินทาง รอยยิ้มคมคายพาให้หัวใจสาวเจ้าเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ฉันว่าคนผมดำหล่อกว่านะ หน้าคมดีออก”เธอชะเง้อมองเด็กหนุ่มผมสีดำอีกคน เจ้าของใบหน้าคมคายจนออกไปทางสวยที่ถูกเป้าหมายของเพื่อนสาวล็อคคออยู่
“ก็ใช่น่า! แต่ยังเด็กอยู่เลยนี่ ฉันชอบผู้ชายตัวสูงๆมากกว่า!”สีหน้าของหล่อนเคลิ้มฝันราวกับเขาจะเดินมาหาเธอเสียเดี๋ยวนั้น
“แต่...เธอไม่รู้สึกมาว่าแปลกๆเหรอ? มาด้วยกันแบบนั้น แถมดีไม่ดี....”สายตาสองคู่จ้องอากัปกิริยาใกล้ชิดราวกับกระซิบกระซาบกันจนหายลับไปบนบันได สองสาวอุทานเสียงเบาหวิวอย่างพร้อมเพรียง
“....ตายจริง”
ประตูห้องกระแทกปิดด้วยความเกียจคร้าน ไนทริคไม่รอช้าที่จะโยนสัมภาระลงพื้นอย่างไม่ไยดี เขาโถมร่างลงบนเตียง ใบหน้าซุกกับหมอนที่แฝงกลิ่นอับบางๆราวกับเป็นของรักของหวง ในขณะที่อีกคนเลือกจะพิงตัวกับขอบหน้าต่างไม้ ฟังเสียงของชีวิตในถนนสายบันเทิงของเมือง
“นี่....ถ้าสมมุติว่าผมไม่ผ่านล่ะ?”ลอเฟย์ทุบไหล่ไล่ความปวดเมื่อยจากการเดินทาง พวกเขาออกจากฟอร์ลีมาได้สองอาทิตย์กว่าจนเดินทางมาถึงเขตชายแดนของภาคเหนือด้วยการกึ่งโบกกึ่งวิ่งเท่าที่สังขารจะอำนวย
กว่าจะรับรู้ว่าความเหนื่อยของแอซไพรส์เป็นยังไงก็ตอนที่วิ่งติดกันทั้งคืนจนข้ามไปสองเมืองรวดนั่นแหล่ะ วันถัดมากล้ามเนื้อทั้งตัวปวดร้าวแทบกระดิกไม่ได้ โดยผู้มากประสบการณ์เพียงแค่ยิ้มกวนๆพร้อมบอกว่า ‘เพราะเจ้าไม่ได้ออกกำลังมาเลยน่ะสิ เจ็ดสิบปีนี่เป็นตาแก่ได้แล้วนะเนี่ย’ ไนทริคไม่เป็นอะไรสักนิด แต่เจ้าตัวก็บ่นว่าปวดขาอยู่เหมือนกัน
“การคัดเลือกน่ะรึ? สอบๆไปเถอะเดี๋ยวก็ผ่านเองล่ะ”ชายหนุ่มตอบเสียงอู้อี้ ไม่สร้างความกระจ่างแก่ลอเฟย์แม้แต่น้อย
“ก็คุณเล่นไม่บอกอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยนี่ครับ”
“ก็ข้าไม่ใช่อาลักษณ์นี่....”ไนทริคลากเสียงเอื่อย พลิกตัวขึ้นมานั่งได้ในที่สุด “มันไม่ยากหรอก เจ้าแค่ทำไปตามระบบเท่านั้นเอง”
“แต่ผมไม่รู้อะไรเลยนะ!”เขาโพล่งประโยคนี้ออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะน่า เจ้าเห็นข้าเป็นพวกหนอนหนังสือหรือยังไงกัน?”แอซไพรส์หนุ่มเก๊กท่ายิงปืนใส่ ตลอดการเดินทางไนทริคเล่าเรื่องบนฟ้าให้ฟังมากมาย ทั้งจริงจังหรือขำขัน เพียงแค่เรื่องเดียวที่ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างแข็งขันคือ ‘การสอบของพวกหนอนหนังสือ’ ด้วยเหตุผลที่ดีมากคือเขาเป็นทหารผู้ไม่มีใจรักในงานละเอียดอ่อนแม้แต่น้อย และ....“ทุกอย่างจะกระจ่างเมื่อเจ้าไปถึงลัสท์เทรล”
หรือจริงๆแล้วไนทริคอาจจะไม่รู้อะไรเลยจนต้องไปถามเอาที่นั่นก็ได้ ลอเฟย์ถอนหายใจพรืด รู้สึกโหวงเหวงกับชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาหันไปมองเงาของนครลอยฟ้าที่กลืนหายไปในความมืดมิดของรัตติกาลเป็นเครื่องปลอบใจ
ลัสท์เทรลรึ
เป็นชื่อที่ให้ความรู้สึกหลากหลาย
“อีกนานไหมครับกว่าเราจะถึง?”
“ไม่นานหรอก ส่วนมากมนุษย์จะเดินทางด้วยสะพานไบฟรอสต์เป็นสิบๆต่อ แต่ว่าเราไปไม่ถึงอาวิลาแน่ๆ”ไนทริคเดินเข้าหาเพื่อนร่วมทางที่ยังคงมองออกไปด้านนอก เป็นท่าทียามครุ่นคิดของลอเฟย์ที่เขาเริ่มจะชินตา
“จุดอื่นก็ติดสงครามระหว่างคาร์ธและดูฟาไฮม์”เด็กหนุ่มเสริม
“ถูกต้อง หรือจะใช้วิธีคลาสสิคอย่างลอยตัวจากยอดปราสาทแอมเพอเรอส์ รีล์มก็ได้ แต่ทางนั้นสงวนสำหรับพวกอายุเลขสี่หลักเท่านั้น แต่สำหรับเจ้า...”หนุ่มรุ่นใหญ่เล่นตลอก จู่สองมือกร้านก็ทิ้งน้ำหนักลงบ่าที่ผอมจนสัมผัสถึงกระดูก ออกแรงดึงเบาๆให้คนช่างคิดหันหน้ามาเจอกัน
“ข้าขอให้เจ้าสัญญาอะไรบางอย่างได้หรือไม่?”ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ แต่ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ปรากฏแววหนักแน่นอีกครั้ง ลอเฟย์พยักหน้าเบาๆ มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
“เมื่อถึงลัสท์เทรลอย่าพูดเรื่องนี้กับใคร อย่าบอกว่าเจ้ามาจากไหน อย่าบอกว่าข้าเป็นคนหาเจ้าเจอ”
เปลือกตาขยับขึ้นลงเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าลอเฟย์กำลังสงสัยและสงสัยอย่างมากเสียด้วย เขานิ่งไปพักหนึ่งแต่ก็พยักหน้ารับ
“ตกลง” ไนทริคยิ้มกว้าง
“ดี เอาจดหมายนี้ไปยื่นให้ผู้คุมการทดสอบ แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง” มือข้างหนึ่งล้วงซองประณีตสีขาวที่เริ่มมีรอยยับย่นแต่ก็แสดงถึงการถูกเก็บรักษามาอย่างดีจนน่าแปลกใจ มันตัดกับผ้าคลุมมอซอรุ่งริ่งและถูกเก็บเข้าไปอีกครั้งด้านในกระเป๋าย่ามเล็กๆของลอเฟย์
“ห้ามทำหาย เด็ด ขาด”ไนทริคย้ำด้วยสีหน้าหนักแน่น ก่อนยัดวัตถุที่คล้ายเข็มกลัดใส่มือเรียวยาว แล้วบีบมือนั้นให้กำมันไว้
เด็กหนุ่มยังไม่ทันได้พิศดูให้ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นเรียกร้องความสนใจจากสายตาของเขาอีก
“ข้าคงคิดถึงเจ้า”นักรบหนุ่มตบศีรษะพลางยิ้มแยกเขี้ยว สัมผัสความเรียบลื่นของเส้นผมสีดำแผ่วเบา
“อยู่ดีๆ...”ลอเฟย์พึ่งจะอ้าปาก เมื่อมือกร้านตบบ่าแรงๆอีกครั้งหนึ่ง
“โชคดี!”
ก่อนที่โลกทั้งใบจะถูกกระชากดิ่งหายไปและความกดอากาศพุ่งปะทะจากด้านบนอย่างแรง
แอซไพรส์หนุ่มมองพื้นที่ว่างซึ่งเคยมีเพื่อนร่วมทางอีกคนยืนอยู่เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีก่อน แหงนหน้าขึ้นมองยังตำแหน่งเดียวกับที่ลอเฟย์มักทอดสายตาไปอยู่ประจำ ไนทริคจรดริมฝีปากกับห่วงทองที่ซ่อนอยู่ใต้เศษผ้าบนข้อมือ อดระบายลมหายใจแรงๆไม่ได้เมื่อเสียงมหาประลัยโวยวายผ่านเครื่องสื่อสารทันควันแทบไม่ถึงนาทีหลังเปิดการทำงาน ‘ของขวัญ’ ที่ให้ไปเมื่อครู่
หวังว่าคนสนิทของเขาจะไม่ตกใจจนอะไรหลุดมือ....
“อย่าตกใจไปยาหยี ข้าสบายดี ขอบคุณที่ปรับพิกัดให้นะ แต่เดี๋ยวคงต้องขอไปพึ่งใบบุญที่โอลิมปัสอีกแล้ว”
ลอเฟย์ถูกแรงประหลาดกระชากสูงขึ้นเรื่อยๆด้วยความเร็วมหาศาลที่ไม่คงที่เลยแม้แต่น้อย ร่างของเขาหมุนคว้างไปมาในห้วงความกดอากาศที่อัดแน่นกับทุกส่วนของผิวหนัง อากาศเย็นเฉียบยิ่งหนาวจับใจขึ้นเรื่อยๆตามภาพรอบๆตัวที่เปลี่ยนไปเร็วจนกลายเป็นสีเบลอๆผสมปนเปกันมั่วไปหมด
อาการคลื่นไส้ถาโถมจู่โจมกระเพาะจนแทบจะขย้อนเอาของเก่าออกมาเสียให้ได้ หากแต่เขาไม่สามารถขยับอวัยวะส่วนไหนได้เลยสักนิด เพียงหายใจยังลำบากเหลือทน ศีรษะปวดหนึบราวกับมีเสียงกลองตุบตับอยู่ในกะโหลก จวบจนแสงสีขาวสว่างจ้าแยงตาจึงรู้สึกว่าความเร็วนั้นลดลง ผ้าคลุมและย่ามสะพายลอยคว้างในอากาศ รอบกายมีแต่ทะเลเมฆสีเทากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลำแสงสีฟ้าเดินทางเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระเบียบราวกับเส้นด้ายสีสดผูกโยงตึงแน่น สวยงามและแปลกพิกลจนเขาต้องอุทาน
“ไบฟรอสต์?”
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก่อนที่ตะขอล่องหนจะเกี่ยวกระชากร่างไปอีกครั้ง คราวนี้เด็กหนุ่มปลิวถอยหลังด้วยระดับความเร็วที่ยิ่งกว่าเดิม ลอเฟย์พยายามต่อสู้กับความจุกในขณะที่แสงสว่างสีน้ำทะเลรอบตัวจัดจ้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ววูบดับลงในที่สุด
มึนหัว.....
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มปรือขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ภาพที่เห็นมีแต่สีขาวโพลน ต้องกระพริบตาอยู่หลายครั้งจึงเริ่มจับเค้าลางๆได้ เพดานสีขาวสะอาดทำจากหินอ่อน กลิ่นสมุนไพรหอมเย็นพัดมาตามสายลมเอื่อยๆ เมื่อจะยันตัวขึ้นก็พบว่ากล้ามเนื้อเมื่อยไปหมดราวกับโดนเหวี่ยงทะลุกำแพงอีกรอบก็ไม่ปา หลังจากบิดตัวไล่ความเมื่อยขบอยู่สักพักแขนขาจึงกลับมาขยับได้ดังเดิม ดีที่ไม่ร้าวไปถึงกระดูกอย่างที่กลัว
ที่ไหน?
คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจ ทุกอย่างรอบๆตัวเขาเป็นสีขาว พื้นและผนังของห้องทรงรีเป็นหินอ่อนที่ดูมันวาวกว่าปกติ มันสะท้อนแสงแดดเป็นสีฟ้าเหลือบเงิน ประหลาดแต่สวยงามอย่างบอกไม่ถูก เตียงทุกหลังตั้งหันหน้าเข้าหากันคั่นระหว่างเตียงด้วยผ้าม่านโปร่งบางปักลายดอกไม้ เครื่องเรือนทำจากหินชนิดเดียวกันแกะเป็นลวดลายที่ไม่เคยเห็น
ลอเฟย์แน่ใจว่าเจ้าของสถานที่นี้หากไม่ใช่พระราชาคงจะเป็นมหาเศรษฐี เพราะแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้เกือบทั้งหมดก็ทำจากเงินขัดมันวับ
“ตื่นได้ฉิวเฉียดจริงๆ ข้ากำลังจะเข้ามาปลุกพอดี”เสียงทักทายดังขึ้นตามด้วยชายคนหนึ่งแหวกม่านปักผืนหนาที่ดูหมือนเป็นกระตูห้องเข้ามา ร่างกายสูงสมส่วนอายุราวๆสามสิบปี สวมเสื้อนอกเรียบๆติดกระดุมถึงคอคาดเอวด้วยผ้าสีดำตัดกับทั้งชุดที่เป็นสีครามอ่อนๆ
“มาโผล่สะพานสิบหกได้นี่ไม่เบานะเรา แต่ก็เดี้ยงไปเกือบครึ่งวันเลยล่ะนะ”แม้ภายนอกจะดูไม่ถึงวัยกลางคน แต่เรือนผมหยักศกเป็นสีดอกเลาประกอบกับแว่นตาขอบทองทรงกลม เดาได้ไม่ยากเลยว่าอายุจริงคงทำให้ตกใจได้แน่ๆ
“ข้าชื่อจาเวิร์ด เทธนอร์ธ เป็นแพทย์ประจำศูนย์เยียวยาแล้วเจ้าล่ะหนุ่มน้อย?”ผู้เยียวยายิ้มให้อย่างเป็นมิตรพลางส่งแก้วเงินบรรจุน้ำเปล่าให้
“ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์ครับ”มือรับประคองแก้วน้ำไม่ลืมที่จะขอบคุณน้ำใจ
“ปีนี้มีคนมาลงที่เดียวกับเจ้าแค่สามคนเอง แต่มีแค่เจ้าคนเดียวที่มาทั้งที่สลบอยู่”เขาจัดแจงข้าวของโดยมีสายตาของลอเฟย์ติดตามไปด้วย “ไม่ทราบว่า....”
“ไม่ทราบว่าที่นี่ที่ไหนใช่ไหม? ก็สมควรที่เจ้าอยากรู้ ทำไมไม่ไปดูเองเลยล่ะ”จาเวิร์ดพูดตัด ใบหน้าซูบตอบยิ้มกว้าง บุ้ยใบ้ไปทางหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มผมดำค่อยๆลุกจากเตียงไปอย่างขลุกขลัก ปลายเท้าสัมผัสความเย็นของพื้นหินทีละก้าวจนถึงสุดกำแพงที่มีทิวทัศน์รอบนอกรออยู่
“นี่มัน....”
สิ่งปลูกสร้างทรงสี่เหลี่ยมมากมายทำจากหินสีขาวสะอาดทอประกายเหลือบสีเงินใต้แสงอาทิตย์ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ด้านล่างมองเห็นส่วนอื่นของปราสาทที่แกะสลักลวดลายแปลกตาแซมกับเสาเรียบทรงสูงและลานกว้างลดหลั่นเป็นขั้นบันได แสงสีฟ้าวาววับจากผลึกแก้วที่ถูกฝังอยู่ตามหัวเสา เชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนสามเหลี่ยมตามที่ต่างๆ ทั้งหมดถูกตกแต่งด้วยแผ่นเหล็กสีเงินเรียบลื่นไม่เหมือนปราสาทราชวังใด
จาเวิร์ดหยุดยืนข้างๆผู้มาใหม่ที่กำลังทำสีหน้าตกตะลึงด้วยรอยยิ้มบางๆตามแบบฉบับของเจ้าตัว เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์เปลี่ยนองศาตามเข็มนาฬิกาที่เคลื่อนคล้อยไป จากแสงเพียงเล็กน้อยกระทบกับผลึกสามเหลี่ยมกลายเป็นตราสัญลักษณ์ขนาดใหญ่บนท้องฟ้า เสียงระฆังเงินถูกตีดังกังวานเมื่อเส้นแสงทั้งหมดเชื่อมกันเป็นรูปแบบที่ลอเฟย์เคยเห็นบนดาบของไนทริค
ตราลัญจกรแห่งนครลอยฟ้า
“ที่นี่คือ.....”
ดาวหางสีน้ำเงินเอ่ยเสียงแผ่วเบาไม่ต่างจากกระซิบ มือผอมเรียวของจาเวิร์ดวางลงที่ไหล่
“ยินดีต้อนรับสู่ลัสท์เทรลเด็กน้อย”
-----------------------------------
นี่แก้แล้วนะ ไม่มีใครงงอะไรใช่ไหมคะ?
ช่วยเม้นท์บอกกันซักนิดเถิ้ด คลำทางจนทางจะสึกแล้วจ้า
ความคิดเห็น