คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 10th Tale : Remembering you
ดวงไฟนับร้อยดูราวกับฝูงหิ่งห้อยเมื่อมองจากความสูงของเชิงเขา ท่วงทำนองรื่นเริงดังแว่วเคล้าไปกับสายลมหวีดหวิวผ่านกลุ่มใบไม้ ชีวิตเล็กๆขยับเบียดเสียดกันไปมาตามจังหวะเต้นของเพลงพื้นบ้าน วันสุดท้ายของงานเทศกาลให้ความรู้สึกสงบเมื่อมองจากที่ไกลๆ เช่นเดียวกับแผ่นหลังโปร่งเหยียดตรงที่ปราศจากแววขึงเครียด แต่เป็นการตื่นรับรู้เพื่อซึมซับสัมผัสของสิ่งรอบกาย ให้ความรู้สึกราวกับมีกระแสน้ำเย็นชื่นสงบนิ่งไหลเอื่อยๆเข้ามาในอก
เสียงย่ำพื้นแผ่วเบาไม่ทำให้เด็กหนุ่มหันมาสนใจได้ หรือเป็นไปได้ว่าอาจวางใจกับผู้มาใหม่จนไม่คิดระวังตัว ไนทริคหยุดยืนข้างลอเฟย์ที่ยังคงปล่อยสายตาไปตามทัศนียภาพของเมือง การขยับก้มใบลงเล็กน้อยเป็นเครื่องบ่งบอกว่ารับรู้ตัวตนของคนข้างๆแล้ว
“เจ้ามาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? ปล่อยให้ข้าหาอยู่ตั้งนาน”แอซไพรส์หนุ่มน้อยใจอย่างไม่จริงจังนักพลางกวาดมองภาพเบื้องหน้า น่าสนใจว่ามีอะไรให้จ้องอยู่ได้นานสองนาน เสี้ยวหน้าขาวซีดตามลักษณะชาวเหนือยิ้มให้กับคำถามที่ออกแนวกระเซ้าของอีกฝ่าย แต่ยังคงไม่ละสายตาออก
“ผมแค่รู้สึกอยากดูน่ะ”
เสียงดนตรีบรรเลงเซื่องเซาลงกลายเป็นทำนองเพลงช้าแฝงไปด้วยมนต์ขลังของอารยะธรรมเก่าแก่ เป็นสัญญาณเริ่มพิธีบวงสรวงในคืนสุดท้าย ชาวเมืองยืนล้อมลานพิธีที่ถูกดำเนินอย่างสงบตามประเพณีของน่านฟ้าเหนือโดยเหล่านักบวช
“พวกเขาคงลำบากแย่ที่จู่ๆต้องเปลี่ยนประธานสงฆ์กะทันหัน แต่จะให้ตาเฒ่านั่นไปทำก็คงไม่ได้กระมัง”ชายหนุ่มกระเซ้าด้วยอารมณ์ขันเจ็บแสบ พูดไปถึงไพเซลที่เคยเป็นตัวแทนในพิธีตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้เป็นอันต้องจบหน้าที่ลงเพราะเหตุการณ์เมื่อสี่วันก่อน ไม่แคล้วว่าคงที่กำลังโบกรวงข้าวอยู่นั่นคงจะเป็นครูเฒ่าของเกรซกระมัง
“ก็ไม่มีใครห้ามเขานี่ครับ”ต้นเหตุของเรื่องหัวเราะเบาๆ “ถ้ายังกล้าน่ะนะ หน้าแตกยับเสียขนาดนั้น”ไนทริคต่อคำ
“หน้าเหี่ยวขนาดนั้นด้วยล่ะนะ” ตามด้วยเสียงหัวเราะดังๆของทั้งคู่
“เจ้านี่ปากเสียเหมือนกันนะเนี่ย!”
ลอเฟย์ยักคิ้วรับคำชม เขาอาจเป็นไม่ใช่คนช่างพูด แต่ก็ยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งอยู่ในวัยจุดเดือดต่ำ
“คุณได้ยินเพลงนั้นไหม? เขาร้องให้คุณน่ะ”คนผมดำเบือนสายตาไปยังทิศของเมืองอีกครั้ง ชักจูงความสนใจของคนบนฟ้าให้ไล่ตามไปด้วย “ที่ฟอร์ลีเราฉลองก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิห้าวัน เพราะว่าคืนสุดท้ายของเทศกาลจะเป็นรุ่งอรุณของฤดูใหม่พอดี เพื่อเป็นการต้อนรับเทพธิดาดีมิเธอร์”
“ข้าออกเดินทางไปหลายที่ พวกเจ้ามักจะมีเรื่องเล่าอยู่ตลอด”ร่างสูงร้องอ๋อ ก่อนหลับตาเงี่ยหูฟังสักพัก “ก็พอจะคุ้นหูอยู่บ้าง แต่บทสวดของภาคเหนือข้าไม่ค่อยจะได้ฟัง ข้ามันสิงห์ทางใต้น่ะ”ไนทริคยิ้มบางๆ เสียงสูงต่ำนับร้อยประสานกันออกมาเป็นเพลงสวดภาวนาที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาต่อทวยเทพ ฝากแทนคำขอบคุณไปกับสายลมสุดท้ายก่อนรุ่งอรุณของฤดูใบไม้ผลิ
“ผมก็เคยสงสัยอยู่ว่ามันได้ผลจริงๆน่ะหรือ”หากคู่สนทนาเป็นคนเคร่งศาสนาล่ะก็เขาต้องถูกเทพโอดินลงโทษเอาแน่ๆ ข้อหาที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้า “ผมคงไม่โดนโอดินลงโทษอย่างเขวี้ยงสายฟ้าใส่ใช่ไหมเนี่ย?”
“มหาเทพไม่สนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆหรอกน่า”หางเสียงติดจะเบื่อด้วยซ้ำไป
“พวกเขากำลังขอบคุณพวกคุณ”ลอเฟย์ยกมุมปากคล้ายจะยิ้ม ไม่ได้ยิ้มเยาะหรือยิ้มแย้ม ในสายตาเทพเจ้ามนุษย์คงเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่วิ่งเต้นด้วยความเชื่อกลวงๆก็เป็นได้ คงเป็นเหมือนฝันสลายไม่ต่างจากไพเซล ถ้าได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาศรัทธาไม่เป็นไปอย่างที่หวัง
ตัวตนของเทพเจ้าก็คือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองไม่ใช่หรอกหรือ?
ลอเฟย์หันไปมองไนทริคเป็นครั้งแรกในรอบสี่วัน ผิวกร้านแดดของเขาทอประกายดุจทองแดงใต้แสงจันทร์ ร่างกายที่ยังหนุ่มแน่นและใบหน้าอารี ยิ่งยามพูดคุยสบายๆยิ่งเหมือนเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ให้ความรู้สึกประหลาดนักเมื่อรู้ว่าชายคนนี้คือเทพเจ้าที่เชื่อกันว่ามีอยู่เพียงบนฟ้า
“งั้นพวกเขาก็กำลังขอบคุณเจ้าเช่นกัน”ไนทริคไม่กล่าวต่อถึงความหมายในประโยคนั้น ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่ง คู่หนึ่งด้วยความเข้าใจและอีกคู่หนึ่งด้วยความสงสัยที่ล้นเอ่อ
“ในโลกของเรา ทั้งข้าทั้งโอดินหรือเทพองค์ไหนๆที่เจ้ารู้จักก็ไม่ต่างจากคนธรรมดา เราทุกคนมีบทบาทในโลกของเรา เช่นเดียวกับที่เจ้ามีบทบาทในโลกของเจ้า เราต่างไม่ใช่คนสำคัญแต่ก็เป็นคนๆเดียวที่ไม่มีใครทดแทนได้ เราอาจมีชีวิตที่ยืนยาว แต่ก็ไม่ได้มีความฝันที่สวยงามไปกว่ามนุษย์ เทพเจ้าก็ยังมีเรื่องที่ผิดหวังและเสียใจ หรือยินดีในสิ่งเล็กๆ”แววตาของไนทริคจริงจังและอบอุ่นสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเขาใต้หน้ากากแห่งความเยาว์วัย “ไม่ต่างกันเลยใช่ไหม?”
“โอดินมีจริงไหมครับ?”
“แล้วเจ้าเห็นข้ามีจริงไหมเล่า?”ฝ่ามือใหญ่ขยี้ศีรษะของเด็กช่างถามอย่างที่ติดทำเป็นประจำ “แอซไพรซ์มีอยู่จริง เจ้าเองก็มีจริงเหมือนกัน!”
“....แต่ผมไม่เคยได้ยินชื่อคุณนี่...”คนอายุน้อยกว่าหลายสิบรอบบ่นอุบอิบ
“แล้วเจ้ารู้จักทุกคนในมิดการ์ดรึเปล่าล่ะ? ใช่ว่าแอซไพรส์จะมีแค่โอดินกับเฮสเทียเสียหน่อย!” มือสองข้างต้องปัดผมให้หายยุ่งเป็นพัลวัน ลอเฟย์มั่นใจเลยว่าไม่เคยเจอใครขยี้ผมได้ยุ่งขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ไม่ว่าจะด้วยความหมั่นไส้หรืออารมณ์อยากจะทำก็ตามไนทริคยังมือหนักอย่างคงเส้นคงวาเสมอ
แค่ในเมืองเล็กๆอย่างฟอร์ลีเขายังแทบไม่คุ้นเคยกับใครเลย เด็กหนุ่มคิดดูผ่านๆ นึกถึงใบหน้าของผู้คนและร้านรวง ฉับพลันก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็น ‘คนแปลกหน้า’
แปลกเหลือเกิน...บันทึกเล่มเดียวทำให้ทุกสิ่งแปลกไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ? ทิวทัศน์รอบตัวที่เหมือนเดิมทุกๆวัน ทั้งตึกรามบ้านช่องที่เห็นมาตั้งแต่จำความได้กลับดูไม่เหมือนเคย ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนพื้นดิน เบาหวิวราวกับร่างกายของเขาทำจากกระดาษ เพียงแค่ก้อนหินหรือต้นหญ้าริมทางก็แปลกตาไปเสียหมด เสียงจอแจของผู้คนที่วุ่นวายกับชีวิตประจำวันของตนหรือแม้แต่ดวงไฟยามค่ำคืนที่มองไกลๆไม่ต่างจากหิ่งห้อยนับร้อยตัว
ผิวเนื้อรับรู้ถึงอุณหภูมิของอากาศ
สายลมรอบตัวคมกริบ
ภาพของฟอร์ลีเหมือนภาพวาดสีน้ำมันชั้นดีที่ได้เห็นเพียงเดินผ่านไปมาในคฤหาสน์ขุนนาง
สายตาโลกแล่นไปทุกซอกทุกมุมของถนน แต่หัวใจของเขาหยุดนิ่ง หนักอึ้งด้วยแรงบีบคลึงเบาๆที่ไม่หนักสักเท่าไหร่ แต่ให้ความรู้สึกที่ ‘แปลกประหลาด’
ราวกับในทุกๆแห่งที่เดินผ่านได้มีกำแพงล่องหนบางๆกั้นเอาไว้ มันบางจนเห็นทุกสิ่งชัดจน แต่หนาพอที่จะรู้สึกห่างไกล โปร่งใสจนได้ยินเสียงโหวกเหวก แต่ทึบแน่นจนรอบตัวเงียบงัน
เขาทั้งได้ยินอยู่ที่ตรงนั้น มองดูทุกสิ่งผ่านมาและผ่านไปราวกับไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
ทุกสิ่งรอบตัวที่เคยคุ้นกลายเป็นละครเรื่องหนึ่งที่เขาได้ยืนดูมันจากมุมหนึ่งของหลังฉากตระการตาที่สีสันทุกอย่างจืดจางลงด้วยสีน้ำตาล โดยที่นักแสดงเหล่านั้นไม่อาจรับรู้หรือสนใจตัวตนของเขา เขากำลังมองดูละครเวทีของเมื่อวาน
ที่ๆเขาไม่เคยอยู่ตรงนั้นหรือหากจะพูดอีกแบบคือที่ตรงนั้นไม่เคยมีเขาอยู่เสียมากกว่า
งานเทศกาลอยู่ไกลเสียจนเป็นบ่อความวุ่นวายเล็กๆที่เต็มไปด้วยหิ่งห้อยบินอวดแสง แต่ในหัวยังเห็นภาพชายกระโปรงหลากสียามหมุนตัวของหญิงสาวรุ่น คณะดนตรีเร่ร่อนและร้านค้าต่างๆที่เคลือบด้วยแสงไฟสีส้มทองในโคมกระดาษสา ภาพเขียนทีแปรงเบลอๆนับร้อยรูป....
และในหนึ่งนาทีต่อมาเขาก็เดินไปดูรูปอื่นๆ
ในที่สุดเขาก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง
“คุณเคยรู้สึกไหม ว่าตัวเองกำลังจะเสียบางอย่างที่คุ้นเคย แต่พอคิดดูอีกทีเราก็ไม่เคยจับต้องมันมาก่อน?”เด็กหนุ่มยังคงเหม่อมองข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายแน่นอน กวาดสายตาตั้งแต่สุดขอบของเทือกเขาจนกลับมาที่ภาพวาดของฟอร์ลีอีกครั้ง
“แบบไหนล่ะ?”ไนทริคย้อนถาม แม้ว่าประกายเศร้าเบาบางในดวงตาสีน้ำเงินเข้มจะบ่งบอกความหมายของมันได้ดี
“แบบที่คุณไม่ใช่อย่างที่คุณรู้ว่าคุณเป็นอยู่ มันรู้สึกเหมือน...มีคนเอาสีดำสาดใส่ตรงหน้าเลย ยิ่งรับรู้ผมก็ยิ่งสงสัย.....”ลอเฟย์เว้นช่วงไป
“ว่าจริงๆแล้วผมเป็นใคร? ถ้าวันนั้นดาวหางสีน้ำเงินไม่ตกลงมา ผมจะเป็นใครที่ไม่ใช่ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์ ที่ที่ผมยืนอยู่จะเป็นที่ไหนกัน?”เขาเงยหน้ามองดวงดาวเจิดแสงที่ประดับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มราวกับไข่มุกเม็ดงาม วาดภาพว่าหนึ่งในนั้นกำลังเปล่งประกายเหมือนไพลินและตกลงมา
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเองก็ตอบไม่ได้ อาจจะมีแค่เจ้าที่รู้ก็ได้นะ”แอซไพรส์หนุ่มระบายลมหายใจ ยิ้มให้กำลังใจกับใบหน้างงงวย
“ผมจะรู้ได้ยังไง?”
“ข้าก็ไม่รู้สิ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้า มันก็คงมีแค่เจ้าที่จะหาคำตอบได้ไม่ใช่หรือ?”ไนทริคหัวเราะพลางลูบศีรษะแก้เก้อ “ถ้าเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายๆ มันก็คงไม่ใช่สิ่งสำคัญล่ะมั้ง?”
“นั่นสินะครับ”ริมฝีปากบางหยักยิ้ม บางทีเขาคงจะโชคดีที่นั่งแช่จนไนทริคมาเจอก็ได้ "ส่วนเรื่องที่ว่าข้ารู้ได้ยังไงว่าเจ้าเป็นแอซไพรส์....."ชายหนุ่มยกนิ้วชี้คล้ายคุณครูกำลังสอนเด็กขัดกับรูปร่างกำยำและใบหน้ากร้านโลกไม่น้อย
“ข้ารู้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าส่งศิลาคืนมาครั้งแรกแล้วล่ะ หากไม่ใช่แอซไพรซ์ศิลาผนึกอสูรก็จะไม่เปล่งแสง แต่มันก็น่าสงสัยว่าทำไมถึงมีแอซไพรส์มาอยู่แถวนี้ได้ มันบ้านนอกสุดๆเลยนะ แถมยังดูเอ๋อๆซะอีก”เมื่อเห็นลอเฟย์ทำท่าจะประท้วงก็ต้องรีบแก้ “ก็ข้าเห็นเจ้าดูไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยน่ะสิ ใช่ว่าจะลงมาป้วนเปี้ยนได้ตามใจชอบนะพวกเราน่ะ”
“คุณเล่นเสียผมคิดว่ากระดูกจะหักซะอีก”น้ำเสียงของเด็กหนุ่มกดต่ำลงเล็กน้อยเป็นการคาดโทษ
“แต่ก็ไม่เป็นไรนี่ ยังครบสามสิบสองอยู่เลยดูสิ อย่างเจ้าน่าจะมีสมองเกินมาอีกก้อนด้วยซ้ำ ข้านึกว่าจะได้เห็นหน้าเหวอหรือแบบที่รู้ตัวว่าพึ่งกินแมลงสาบอะไรเทือกนี้ซะอีก ใครมันรู้ตัวว่าเป็นแอซไพรส์แล้วยังนิ่งสนิทอย่างเจ้าบ้าง”ชายหนุ่มต้องยกมือห้ามทัพก่อนที่สายตาคมยิ่งกว่ามีดจะเชือดคอเขาให้เสียก่อน
“คงไม่มีใครปลิวทะลุบ้านสิบหลังแล้วยังไม่ตายหรอกครับ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันนั่นแหล่ะ แต่ตอนนั้นจะให้พูดอะไรได้เล่า สถานการณ์มันตึงเครียดจะตายไป”ผู้เสียหายยอมให้กับท่าทีประนีประนอม แต่ยังไม่วายโวยเสียรอบหนึ่ง
“ข้าพึ่งเคยเห็นเจ้าอารมณ์เสียนะเนี่ย”แต่ไนทริคดันเห็นเป็นเรื่องตื่นเต้นไปซะอย่างนั้น
“เฮ้อ ผมน่าจะต่อยคุณอีกสักหมัดด้วยซ้ำ”ไม่สิสิบหมัดยังน้อยไปเลย “ครั้งเดียวข้าก็เจ็บแล้วนะ อีกครั้งนี่ข้อหาอะไรกัน?”ลอเฟย์ต้องส่ายหัวให้กับใบหน้าละห้อยของพ่อยอดชาย ก่อนยกยิ้มมุมปากและดวงตาเป็นประกาย
“ข้อหาปิดบังเป็นอย่างไรครับ?”
งานนี้แม้แต่ไนทริคก็หยุดเล่นไปด้วย
“บางทีผมก็งกสัญญาเหมือนกัน”สัญญาที่ทำคนให้เม้มปากนิ่ง ร่างสูงถอนหายใจตามด้วยรอยยิ้มยอมแพ้ “เจ้าเหมือนเกรซมากกว่าที่คิดนะ รู้หรือเปล่า? โดยเฉพาะเรื่องทวงสัญญาเนี่ย”ชายหนุ่มยืดตัวตรง แล้วกระแอมออกมาเหมือนพวกขุนนางแก่
“ไนทริค ลูเฮมไฮม์เป็นทหารกองพลในมหาเทพโอดิน อยู่ระหว่างภารกิจสำรวจตราผนึกขอรับ เกิดที่แอสการ์ด เป็นหนุ่มภาคกลางของแท้ ตอนนี้ยังโสด ส่วนที่เหลือเป็นความลับทางราชการ”นักรบหนุ่มโค้งเคารพด้วยสีหน้าล้อเลียน
“คุณอายุเท่าไหร่ครับ?”
“อันนั้นก็ความลับทางราชการเหมือนกัน”ไนทริคแยกเขี้ยว ก่อนลงแรงขยี้ผมสีดำอีกครั้ง จนมันแทบกลายเป็นรังนกด้วยความหมั่นไส้ ไม่สนใจเสียงโวยวายเบาๆของงผู้ถูกกระทำ
“แล้ว...หยุดก่อนสิ! คุณจะไปไหนต่อ?”ลอเฟย์พยายามต่อสู้กับมือกร้านที่ยังรุกรานไม่หยุด คำถามของเขาทำให้ศีรษะเป็นอิสระได้ในที่สุด
“ข้าต้องกลับแอสการ์ด”
ฝ่ามือที่เล่นหัวกันอยู่เมื่อครู่ทิ้งน้ำหนักลงบนบ่าของเด็กหนุ่ม ดวงตาสีน้ำตาลไหม้เพ่งมองร่างตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง ประกายสับสนครุ่นคิดฉายชัดก่อนจะระบายลมหายใจออก ในความเงียบที่โรยตัวลงมาช้าๆ สายลมคมกริบก็พัดปะทะลอเฟย์
ราวกับมีมือกระชากตัวให้ตื่น
“ลอเฟย์ เจ้าไปลัสท์เทรลกับข้าไหม?”
เซทผลักประตูห้องนอนอย่างเบามือ เกรงว่าเสียงเสียดสีกันของไม้ในเวลาเช้าตรู่จะทำให้หลานทั้งสองรำคาญ แม้ว่ามันจะไม่สามารถเอาชนะความขี้เซาของพวกเขาได้เลยก็ตามที ชายชราไม่ได้ออกไปร่วมงานเทศกาลจนถึงเช้าทำให้เขาไม่ต้องใช้วันหยุดประจำเดือนไปกับการนอนอย่างที่หลายๆคนทำ แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่เวลานี้ยังคงเช้าเกินกว่าที่สุริยะเทพจะตื่นนอน
เสียงกุกกักในห้องอาหารทำให้เซทยกเลิกแผนที่จะไปดูหลานตัวดีในห้องนอนอย่างที่ทำประจำทุกวัน เรือนผมสีน้ำตาลประหายส้มยุ่งเหยิงตัดกับเสื้อนอนสีขาวสะอาดอยู่ระหว่างช่องว่างของบานประตู
“หลานตื่นเล้วรึ?”
คนถูกทักยังคงไม่หันมา มือสองข้างจัดของบนโต๊ะวุ่นวายไปหมดจนมีแต่เสียงกระแทกกันของเครื่องใช้ แต่ก็ไม่สามารถปิดบังน้ำเสียงสั่นระริกนั้นได้
“ค่ะ หนูแค่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”เกรซหมุนตัวมาหาผู้เป็นตา มือขยี้ตาเบาๆคล้ายคนง่วงนอน ยิ่งทำให้มันดูแดงหนักขึ้นไปอีก เธอเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของห้อง เท้าแขนกับขอบหน้าต่างไม้ราวกับมองทิวทัศน์ด้านนอก เซทมองแผ่นหลังนั้นโดยไม่แสดงสีหน้าใด
“พี่ชายเจ้ายังหลับอยู่ล่ะสิ”
“ไม่รู้สิคะ พี่อาจจะยังไม่กลับมาล่ะมั้ง? งานเทศกาลพึ่งจะเลิกไปเอง”เด็กหญิงสูดจมูก
เซทเลื่อนเก้าอี้ไม้ที่เข้าชุดกันสามตัว ฝ่ามือลูบสัมผัสกับเนื้อไม้เก่าและสีทาหลุดลอกเป็นแผ่นที่ผ่านมากว่าหกสิบปี มองเห็นเงาของเด็กหนุ่มผมดำและหญิงสาวคนหนึ่งหยอกล้อกันอย่างมีชีวิตชีวาบนเก้าอี้ที่ทาสีเสร็จใหม่เอี่ยมตามสีที่เธอชอบ
ดวงตาสุกใสของชายชราสงบลงเมื่อเห็นหนังสือเก่าเล่มหนาเล่มหนึ่งบนโต๊ะอาหาร ความอาลัยฉายชัดบนใบหน้าที่ฉาบด้วยริ้วรอยกาลเวลา เสียงของเขาแหบแห้งแผ่วเบาเสียยิ่งกว่าเสียงลม
“ลอเฟย์ไปแล้วรึ?”
ปลายนิ้วลูบขอบซองจดหมายสีครีม ลายมือสวยงามเรียงอยู่ตรงกลางอย่างเป็นระเบียบ เกรซไม่ตอบอะไร เพียงแค่ละมือลงจากขอบหน้าต่างด้วยกิริยาสงบ เธอโผเข้าใส่ร่างของชายชรา แขนเล็กสองข้างกอดผู้เป็นญาติคนสุดท้ายแน่นพลางสะอื้นไห้อย่างไม่คิดปิดบังอีกต่อไป เสียงกรีดร้องแหลมดังแทรกเข้าไปในหัวใจที่ยังคงเจ็บปวด เซทลูบแผ่นหลังเล็กๆสั่นสะท้านของหลานสาว ใบหน้าประดับรอยยิ้มอาวรณ์ราวกับได้รู้คำตอบอยู่แล้ว
ดวงดาวอยู่บนดินก็เป็นเพียงหินก้อนหนึ่ง เพียงท้องฟ้าเท่านั้นมันจึงจะเปล่งประกาย
เพราะผืนดินย่อมไม่ใช่ที่อยู่ของดวงดารา
“ไม่ค่ะ! พี่จะกลับมาแน่ หนูรู้....หนูรู้ว่าพี่ต้องรักษาสัญญา”เกรซกลืนก้อนสะอื้น เธอซุกหน้าลงกับไหล่ของชายชราที่กำลังคลี่แผ่นกระดาษออก เซทไล่สายตาไปตามตัวอักษรทีละตัว
‘ถึงเซทและเกรซที่รัก’
....ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกลา ช่วยฝากหนังสือเล่มนั้นไปที่โบถส์ด้วย ผมแปลมันเสร็จหมดแล้ว
ขอบคุณ....สำหรับ ‘ชีวิต’ ที่ผ่านมา มันเป็นความทรงจำที่มีค่าที่สุด ต่อจากนี้ไม่ว่าแท้จริงแล้วผมจะเป็นใคร พวกคุณยังคงเป็นครอบครัวของผมและ...
น้ำตาของชายชราไหลลงมาเงียบๆ รอยยิ้มของลอเฟย์ยังคงแจ่มชัดราวกับอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามเขา ใบหน้าคมไร้เดียงสายิ้มทักทาย ด้านข้างคือหญิงสาวผมสีเดียวกับหลานสาวตัวน้อยกำลังใส่น้ำตาลในถ้วยชา
“ผมจะจดจำพวกคุณตลอดไป....”
รุ่งอรุณแรกของฤดูใบไม้ผลิหอบเอาลมเย็นสบายที่ไม่หนาวจัดแม้ในเวลาฟ้าสางมาสู่ฟอร์ลี งานเทศกาลที่พึ่งเลิกราไปทำให้หลายบ้านตกอยู่ในความเงียบงัน และกว่ากิจวัตรประจำวันทั้งหลายจะเริ่มก็คงเป็นเวลาบ่ายอย่างที่เป็นไปทุกปี ถนนเส้นสัญจรจึงโล่งกว่าปกติหลายเท่า มีเพียงคนเดินเท้าไม่กี่คนและเกวียนหนึ่งเล่มกำลังเดินทางออกนอกเมือง
“ผมดีใจที่คุณไม่วิ่งไปนะครับ”ลอเฟย์โคลงตัวไปตามแรงสะเทือนของเกวียน ใบหน้ากึ่งสะลึมสะลือทอดสายตาไปไกล
“วิ่งข้ามเขากับข้ามทวีปมันต่างกันนะ”เพื่อนร่วมทางหัวเราะกับความคิดของพวกฉลาดเกินคนที่ออกจะเพี้ยนไปหน่อย
“ผมอยากเห็นมันให้นานๆน่ะ”
ฟอร์ลีเล็กลงเรื่อยๆตามระยะทางที่เกวียนปศุสัตว์แล่นจากมา และเงาที่เลือนรางของลัสต์เทรลบนฟ้ากลับชัดเจนขึ้นนิดหน่อย กลิ่นหอมของรวงข้าวที่ถูกประดับไปทั่วตามรายทางยังฟุ้งอยู่ในอากาศและเจือจางลงทีละน้อย ชวนให้จินตนาการถึงภาพทุ่งข้าวสาลีแตกรวงที่ในปีนี้เขาจะไม่ได้เห็นมัน เด็กหนุ่มจดจำทุกรายละเอียดโดยไม่ละสายตาจวบจนมันกลายเป็นจุดเล็กๆ
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหลียวมองเงาของนครบนฟ้าที่หันหลบแสงแรงของดวงอาทิตย์ยามเช้าแล้วหยิบนกหวีดของผู้เป็นน้องสาวขึ้นมาคล้องคอ
“นั่นมันของเกรซนี่?”ไนทริคสังเกต
“ครับ เราเคยสัญญากันว่าถ้ามีใครยืมของไปจะต้องเอามาคืนทุกครั้ง นั่นก็เพราะเกรซชอบทำหายด้วยล่ะนะ”พูดไปก็อมยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าแง่งอนของน้องสาวตัวดี ....นั่นหมายความว่าในวันหนึ่งวันใดตราบเท่าที่ยังไม่ลืมกัน เขาจะต้องกลับมาหาเธอ เขาเก็บความรู้สึกห่วงอาวรณ์ไว้ในอกโหวงๆของตน ก่อนหรี่ตามองขึ้นไปเบื้องบนอีกครั้ง เด็กหญิงใจกล้าอย่างเกรซคงจะขายหน้าแน่ ถ้าหากมีพี่ชายเป็นคนขี้กลัวไม่เอาอ่าว
“เจ้าเป็นอะไรไป? เงียบเชียว”ไนทริคตบบ่าเป็นเชิงปลอบใจ รู้ว่าอีกฝ่ายคงเศร้าใจไม่ใช่น้อย แม้อายุอานามที่แท้จริงจะอ่อนกว่าเขาเพียงไปกี่สิบปี แต่เนื้อในของเด็กคนนี้ยังคงเป็นเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง ลอเฟย์รีบส่ายหน้าทันที ใบหน้าคมประดับรอยยิ้มบางๆ
“อยู่ดีๆผมก็นึกถึงเพลงๆหนึ่งน่ะ”
“เพลงอะไรเหรอ?”
“ไม่รู้สิครับ ผมแค่ได้ยินตอนเด็กๆบ่อยๆน่ะ”ภาพของกราเซียผุดขึ้นมา น้ำเสียงอ่อนหวานเอื้อนเอ่ยทำนองอยู่ในหัวจนอดฮัมออกมาไม่ได้
“โอ๋! ใช้ได้อยู่นี่ ไหนร้องให้ข้าฟังหน่อยสิ”ชายหนุ่มตื่นเต้นออกนอกหน้า
“เอ๊ะ ผมเนี่ยนะ?!” แขนแกร่งรัดคอคนข้างๆคะยั้นคะยอไม่หยุดจนเด็กหนุ่มแพ้ลูกตื๊อในที่สุด กว่าจะยอมก็เล่นเอาหมดแรงไปเหลือหลาย
“แล้วอย่ามาขำทีหลังก็แล้วกัน”ลอเฟย์ขู่เสียงเข้มพลางสูดหายใจเข้าปอด แล้วเริ่มไล่เสียงเป็นทำนองอย่างที่เคยได้ยิน เสียงเพลงนุ่มทุ้มคลอเคล้าไปกับสายลมเย็นๆที่พัดเอากลิ่นข้าวสาลีหายไปในที่สุด เกวียนยังคงโยกเยกอยู่ไม่หยุด แต่ไม่อาจสั่นคลอนจิตใจของเด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีดำดุจปีกกาและดวงตาสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายประหลาดราวกับไพลินได้เลยสักนิด
ฟอร์ลีหายไปแล้วในที่สุด
แต่วินาทีที่ลมพัดย้อนมาก็ราวกับจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆของต้นแอปเปิ้ล
โอ้ กลิ่นของเหล่าบุปผาและบทเพลงแว่วหวานในสายลม
และฉันจะจดจำเธอ ฉันจะจดจำเธอชั่วนิรันดิ์....
-----------------------------------------
คอมซ่อมเสร็จแล้ว ดีใจค่าาาา
คอมเม้นท์ต้อนรับกลับบ้านหน่อยเร๊ววววว เหลือแก้อีกตอนเดียวจะเสร็จแล้ว
ฮูเร่!!!!
ความคิดเห็น