ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #56 : 51th Tale : Seize the stars (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 80
      0
      20 พ.ย. 60











                ลอเฟย์ นายยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า!?

                อโฟรเดส ทาเลสซาคิดในขณะที่เงาดำร่วงหล่นลงมา ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีในตอนนี้ยาวนานเหมือนหนึ่งชั่วโมงพอๆกับที่มองเห็นร่างกายของตนเองเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าลง แขนซ้ายหลุดออกนอกรัศมีที่จะโดนบดขยี้แล้ว กระสุนนัดแรกผลักก้อนหินให้ถอยหลังได้เล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ช่วยดันส่งลำตัวพ้นออกมาได้

                บ้าฉิบ! ขาของเราไม่พ้น อีหรอบนี้ต้องแหลกเป็นผงฟื้นสภาพไม่ได้แน่! มือคว้าที่ต่างหูซึ่งเปล่งแสงสีแดงส้มราวกับเป็นคำเตือน แต่นั่นก็เป็นคำเตือนที่ต้องเมินเฉยเสียแล้ว

                ปลาขนาดยักษ์สามารถทำลายเรือลำใหญ่ได้ด้วยการฟาดหางในวิธีการที่ถูกต้อง เรื่องนั้นเขาเรียนรู้มาตั้งแต่เกิดเป็นชาวแอตแลนติส ว่ากันว่านางเงือกมีกำลังและความเร็วเป็นสองเท่าของปลา ถึงจะไม่รู้ว่ากล้ามเนื้อของปลาทำงานยังไง

                แต่ก็ต้องมาดูกันแล้วล่ะว่าจริงไหม!? อโฟรเดสเร่งมานาที่เพิ่งถูกกล่อมสู่นิทราจะถึงขีดสุด เสียงแก้วลั่นเปรี๊ยะดังข้างใบหูพร้อมๆกับขาทั้งสองข้างดึงเข้าชิดติดกัน

    ในจังหวะสุดท้ายห่ากระสุนพุ่งเข้าใส่ก้อนหินที่ห่างจากพื้นไม่ถึงหนึ่งเมตร มือทั้งสองยันพื้นเพื่อเหวี่ยงหางที่ยาวกว่าเรียวขากลับมาเหมือนบูมเมอแรงที่เชิดสูงเพื่อเบี่ยงแรงตกในทางตรง แรงปะทะและความกระด้างของผิวหินครูดเนื้อลึกลงไปหลายมิลลิเมตร เรียกเลือดสีเข็มพุ่งอาบพื้นหิมะก่อนที่ก้อนหินจะตกลงมาทับด้วยเสียงสนั่นเลื่อนลั่น

    ดวงตาสีน้ำผึ้งยังคงเหลือกลืม หล่อนมองเลือกสีแดงเข้มจนเกือบดำที่กระเซ็นเป็นทางและปลายแหลมของครีบส่วนบางที่สุดซึ่งจมอยู่ระหว่างพื้นสีขาวและรอยทับของก้อนหิน ส่วนที่เหมือนข้อต่อหัวเข่าค่อยๆงอเพื่อดึงหางเข้าหาตัว ครีบทั้งหมดหลุดออกมาได้ไร้รอยขีดข่วนเพราะส่วนเว้าของหินที่บังเอิญทำมุมอย่างพอดิบพอดี อโฟรเดสตัวสั่นระริกขณะลมหายใจพรั่งพรูออกมา

    “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สิ้นลายง่ายๆหรอก”

    เสียงของซิลอยด์ดังจากด้านหลัง โชคดีที่ตอนนี้ไซเรนเบลเวหันไปมองไม่ทันจึงได้เห็นประกายดาบวาววับนับสิบเล่มพุ่งเข้าหาตัวเป็นอันดับแรก มันแล่นฉิวตามแรงดึงดูดลงเป็นแนวแทยง

    “ซิลอยด์!

                มือที่แทบหมดเรี่ยวแรงกำปืนในมือแน่น แต่ก่อนที่เขาจะได้ลั่นไกออกไป เสียงกระทบกับเคร้งคร้างก็ดังต่อกันเป็นพรวน มันเรียกความสนใจของลอร์ดแห่งเลแรงก์ให้หันกลับมาพบกับปราการน้ำแข็งสีขาวโพลน

                กลุ่มไอเย็นที่ยะเยือกยิ่งกว่าสายลมแห่งแดนเหนือระเบิดขึ้นเป็นสีขาวฟุ้งกระจายในอากาศราวกับรากไม้เล็กๆคืบคลานลงสู่ดิน ดาบสองเล่มตรงกลางที่ถูกกระแทกออกเพื่อเปิดทางลอยคว้างแหง๋แก๋เหมือนกับทุกสิ่งในอาณาเขตเยือกแข็งที่ยุ่งนิ่งราวกับเข็มนาฬิกาหยุดเดิน เหนือกลุ่มก้อนนั้นคือร่างของบุรุษที่มีดวงตาเย็นชาไม่ต่างจากฤดูหนาว

                “θʹ(theta)  īsaz : reoite heimur (Frozen world)

    สตาร์เฟลล์!

    เจ้าของชื่อไม่พูดพล่ามทำเพลง ร่างของเขาดิ่งผ่าอากาศที่แข็งจนเป็นสีขาวมาถึงตัวของแอซไพรซ์ต้องสาป เขาไม่แม้แต่จะชะงักกับสภาพแปลกพิสดารและรอยเลือดพร้อมกับที่คว้าเอวอโฟรเดสไปยังจุดที่ปลอดภัย ตำแหน่งของพวกเขาอยู่เยื้องกับซิลอยด์มากกว่าเดิม

    “ในอุณหภูมิศูนย์องศาสัมบูรณ์ทุกอย่างจะถูกหยุดนิ่งแม้แต่อากาศ นั่นคือเวทมนตร์เฉพาะของที่สลักรูนลงไปในดาบกรันเต สมแล้วที่เป็นดาบประจำกายไนท์ ออฟ วีนัส  ถึงข้าจะสงสัยว่าเจ้าโผล่ออกมาจากอากาศได้อย่างไรมากกว่าก็เถอะ”ขุนนางหนุ่มปรบมือเหมือนชื่นชมนักแสดงบนเวที สายตาที่เฉียบคมไม่พลาดวงแหวนมืดมิดที่มีขอบสีเงินยวงซึ่งหายไปในเสี้ยววินาที

    “ทำไมห่างกายรีเวฟ์ก้าเสียล่ะ?”

    อัลเธียไม่ตอบ เขากวาดสายตาสำรวจทุกอย่างด้วยความระแวดระวัง ประตูแห่งวาเนอร์เป็นภาพที่ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านอย่างแท้จริง

                ไอ้หมอนี่มันพูดน้อยต่อยหนักของแท้ อโฟรเดสนึกในใจ เรื่องที่จู่ๆก็มีนางเงือกแถมยังเป็นปีศาจแถมยังเป็นเทพเจ้ามาก่อนอีกต่อ นอนเล่นอยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้าไม่สะกิดใจชายหนุ่มเลยสักนิด ร่างของหล่อนค่อยแปรสภาพกลับเป็นแอซไพรซ์อีกครั้ง หางที่ได้รับบาดเจ็บดูน่าสยดสยองกว่าเดิมมากในสภาพของขาสองข้าง มันถูกย้อมด้วยเลือดจนเหมือนกำลังสวมกางเกงสีน้ำตาลเข้ม

                “เดินได้รึเปล่า?”ร่างสูงถาม เขายืนอยู่ด้านหน้า

                “ไม่ได้”น่าเจ็บใจ แต่ตอนนี้เจ้าของคำสาปฝืนสังขารไม่ไหวจริงๆ

                “ไลน์สเตรนจ์อยู่ที่ไหน?”

                “บนนั้น”

                คราวนี้อัลเธียส่งสายตาเป็นคำถามมาให้ ก่อนจะมองขึ้นไปตามที่ปลายนิ้วของคนบาดเจ็บชี้ หากไม่ได้เห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่กำลังปะทะกันอยู่ เขาก็อาจจะก้มลงมองอโฟรเดสด้วยสายตาที่มีความหมายว่า บ้าหรือเปล่า?แต่ไม่พูดออกมาก็เป็นได้

                “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเวก้าทำอะไร แต่มันกวนใจซิลอยด์อย่างหนักเลยทีเดียว ลอเฟย์โดนดีดกระเด็นไปสักพักแล้ว เกราะของหมอนั่นก็สลายไปด้วย....”

                “เวก้าจะขัดวิถีของดาวดวงสุดท้ายด้วยพลังของดาราพยากรณ์ ดูเหมือนว่าประตูนี่จะรับพลังงานจากดวงดาว ถ้ามันไม่เรียงตัวก่อนเราก็คงหยุดการทำงานได้”สภาพการณ์ในตอนนี้สั่นคลอนความมั่นใจของไนท์ ออฟ วีนัสไม่มากก็น้อย

                “น้ำแข็งของนายสู้มันได้หรือเปล่า?”

                “ถ้าข้าเข้าถึงตัวซิลอยด์ได้ในระยะสองเมตร กรันเตจะแช่แข็งเขาได้ในพริบตา แต่ก่อนระยะนั้นอุณหภูมิไม่มีผลต่อแรงโน้มถ่วง”

                “ลอเฟย์เองก็ใช้ไม้นี้ บอกเลยว่าไปไม่ถึงยกเว้นจะถูกลากเข้าไปเองนั่นล่ะ....”

                ฉับพลับบนท้องฟ้าเกิดแสงสีแดงจ้าระเบิดจากดวงดาวที่รีเวฟ์ก้าควบคุมวงคลื่นสีแดงแผ่ตัวออกเป็นวงรีรอบด้านจนเหมือนเบญจมาศดอกโตตัดกับท้องฟ้าสีดำสนิทกลบแสงเทอร์ควอยซ์ของแอซที่ต่อสู้สุดกำลัง

                “นั่นมันอะไรกัน!?”แอซไพรซ์ต้องสาปผวา ประกายสีแดงเจิดจ้าสะท้อนในดวงตาของพวกเขาทั้งสามคนที่อยู่บนยอดเขาเลแรงก์ จุดอารมณ์พลุ่งพล่านแตกต่างกัน

                อโฟรเดสเคยเห็นมันในวันที่ชีวิตของเขาถูกกระชากลงสู่ผืนทะเล แสงสีแดงปลุกความหวาดกลัวในส่วนลึกของจิตใจ อัลเธียจดจำได้ในห้วงสุดท้ายของสติสัมปชัญญะตอนที่ลงไปสำรวจในมิดการ์ด มันเร่งความโกรธที่สั่งสมไว้ภายใต้หน้ากากอันเยือกเย็น และซิลอยด์ได้เห็นมันนับครั้งไม่ถ้วน แสงสีแดงดุจดั่งอัญมณีที่เรียกรอยยิ้มยินดีดั่งได้รับพรจากเทพธิดาแห่งชัยชนะ

                “...ซ่า.......ซ่า”เสียงแปรปรวนของคลื่นดังจากกระเป๋าที่หน้าอก อุปกรณ์สื่อสารที่คิดว่าพังไปแล้วส่งเสียงติดๆขัดๆ “......สต....ฟล....เมื่อกี้ที่บอกว่า...อุณ-ภูมิไม่มีผลต่อ แ-งโน้มถ่วงน่ะ....มัน...มี”

                “วาอินนาเรอะ!?”เจ้าของชื่อที่ขาดหายกรอกเสียงลงไปทันควัน

                “....ลุยเข้าไ-เลย...พอใกล้ถึง...ตัว มันจ---ต้อ---ลดแรงโน้มถ่ว...งลง...แ...แน่...น่!

                “วาอินนาเห็นบนฟ้าหรือเปล่า!?

                “.....โ-กาส....มีครั้---งง---เ....ดียว”

                สายตาของซิลอยด์มองมาทางพวกเขาแล้ว ระยะห่างนี้ต่อให้มีคำไหนเล็ดลอดออกไปก็ไม่มีทางพ้นเสียงลมไปได้ สีหน้าของเขาสุขุมอ่านยากอย่างทุกที

                “เฮ้ย! วาอินนานี่นายอยู่ที่ไหน!?”อโฟรเดสตะโกนถาม แต่สัญญาณดันขาดหายไปแล้ว เหลือเพียงเสียงซ่าเหมือนเม็ดทรายพรั่งพรู “เราจะทำยังไงสตาร์เฟลล์?”

                ทว่าคนตอบคำถามนั้นกลับไม่ใช่เจ้าตัว

                “อัลเธีย เจ้าคิดจะพุ่งเข้ามาในระยะที่สามารถใช้ไม้ตายของกรันเตได้ใช่ไหม? เพราะว่าแรงโน้มถ่วงมีผลต่อเวลาและอุณหภูมิ ยิ่งแรงโน้มถ่วงน้อยอุณหภูมิจะยิ่งต่ำ แต่เมื่อแรงโน้มถ่วงมากเวลาก็จะยิ่งช้า

    ข้าจะต้องเพิ่มสนามแรงเพื่อลดเวลาในการเยือกแข็งที่ทำได้ในพริบตาของกรันเต และถ้าข้าตัดสินใจลดแรงโน้มถ่วงของเจ้าให้เหลือศูนย์ในทันทีเจ้าก็จะลงเอยเหมือนกับลอเฟย์ แต่ว่าความเร็วของข้ากับเจ้าใครจะมากกว่ากันข้าเองก็ไม่รู้ ดังนั้นข้าจะต้องไม่ลดมันลงมากพอที่เจ้าจะกระเด็นออกนอกชั้นบรรยากาศ แต่ก็ไม่เพิ่มมากจนเจ้าสิ้นใจหากว่าเจ้าแตะตัวข้าได้ก่อน

    Frozen World จะแช่แข็งข้านานขึ้นจนอาจจะเสียส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไปเลยก็ได้”

    ซิลอยด์เผยรอยยิ้มสนุกสนานที่ทำให้หัวใจของฝั่งลัสท์เทรลแทบจะหยุดเต้น

                “น่าประทับใจมาก ไม่มีใครในแอร์เซียเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ระดับนี้มาก่อน พันโทคนนั้น...เขาชื่ออะไรกันนะ? ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่คุ้มค่าต่อการพูดคุยด้วย”

                เหงื่อเย็นเฉียบไหลทะลักจนรู้สึกเปียกชื้นแม้จะอยู่ในอากาศที่หนาวเย็น เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้ซึ้งถึงความน่าสะพรึงกลัวของลอร์ดแห่งเลแรงก์ คำพูดที่อีกฝ่ายสาธยายออกมานั้นฟังเข้าใจได้ไม่ถึงครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นอัลเธียและอโฟรเดสก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณว่าบุรุษผู้นี้ก้าวล้ำไปกว่าแอซไพรซ์ทั่วไป ไปอยู่ในจุดที่ทรงพลังจนไม่อาจเรียกขานได้ถูก

                “อัลเธีย....”

                “อา ช่วยไม่ได้นะ”อัศวินหนุ่มเช็ดหน้าผากของตน มือกำด้ามดาบของตนเองแน่น ขณะที่สายตาหวนมองขึ้นด้านบนที่มีดอกไม้สีแดงสดเริงระบำและความมืดมิดที่กลืนกินลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์ เขาสูดหายใจเข้าลึก

    “โอกาสมีแค่ครั้งเดียว”

    “..ซ่า.........ซ่า”

    “.........”

    “......”

    ยูลิสท์เขย่าเครื่องมือสื่อสารเหมือนกับมันเป็นของเล่น แต่ก็ยังไร้เสียงตอบรับ

    “ให้ตายเถอะ จะบอกว่าวิทยาการของเมืองหลวงแห่งน่านฟ้ากลางที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดต้องมาตายเพราะเทพฤทธิ์ของซิลอยด์คนเดียวเนี่ยนะ? ในฐานะนักวิทยาศาสตร์เวทมนตร์แล้ว ข้าโกรธชะมัดเลย”

    เมื่อครู่เป็นเสียงทาเลสซาสินะ หล่อนถามว่าข้าอยู่ที่ไหนด้วยนี่นะ ท่าทางจะเดือดดาลอยู่น่าดู

    “ถ้าตอบว่าเจอเจ้าแล้วจะใจเย็นขึ้นไหมล่ะเนี่ย?”

                คนตรงหน้ายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาเหมือนเช่นเคย แต่มันยิ่งดูไร้อารมณ์มากกว่าปกติภายใต้แสงสีน้ำเงินเข้มข้นที่ลุกโชนเหมือนเปลวไฟห่อหุ้มร่างซูบเซียวเอาไว้ บนมือทั้งสองข้างปรากฏแหวนสิบวง เป็นไปได้ว่าในชุดของเขาคงจะมีอีก มันเปล่งแสงจ้าขณะที่ถูกสูบพลังออกแทนชีวิตของผู้สวมใส่

                “ข้าไม่น่ารักษาจนเจ้าเดินได้เลยราฟรีน นึกว่าจะหมดฤทธิ์แล้วแต่ก็ยังอุส่าไปหาผลึกฟ้าปลอมมาได้อีกนะ”

                “เจ้าเองก็ดูถูกข้ามากไปพันโท แต่ก็ต้องขอบคุณที่ช่วยเหลือ”

                “นั่นเพราะเจ้าเป็นพี่ชายของท่านหญิงต่างหาก แต่คราวนี้ข้าไม่ให้เจ้ารอดง่ายๆแน่ ปลดพันธะออกเสีย”ยูลิสท์สืบเท้าออกสู่ระเบียงขนาดกลางที่อยู่ในเวอร์ดันซา ชั้นนี้ค่อนข้างสูงจนสามารถมองเห็นเลแรงก์และปราสาทดัชเชสได้คร่าวๆ ตำแหน่งของราฟรีนตอนนี้ห่างจากประตูแห่งวาเนอร์มากกว่าเดิมเสียอีก

                “นี่เจ้าคิดจะถ่วงเวลาให้มันสูบชีวิตของตัวเองจนตายจริงๆน่ะเรอะ? แบบนั้นดัชเชสจะมีตราบาปในใจไปชั่วชีวิตเลยนะ ถึงยังไงหลังจากที่เจ้าตายซิลอยด์ก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้อยู่แล้ว ไม่คิดจะรักษาชีวิตตัวเองบ้างหรือไง?”

                คราวนี้ราฟรีนกลับยิ้มออกมา

                “เดินออกมาสิพันโท พวกเจ้าต่างหากที่จะเป็นฝ่ายแพ้”

    ดวงตาสีที่เปิดเพียงข้างเดียวมองขึ้นบนท้องฟ้า เมื่อพ้นประตูออกสู่ที่โล่งดวงดาวสีแดงจ้าก็ส่องประกายทักทาย เปลวเพลิงสีน้ำเงินสดที่ลุกไหม้กำลังแตกริ้วออก แสงสว่างใหม่ปรากฏขึ้นแทรกชั้นของผลึกฟ้าออกมา ห่อหุ้มเหมือนอุ้งมือกำไฟให้ดับมอบ ใบหน้าซีดขาวที่ถูกย้อมด้วยสีของแอซมีฉายความมาดมั่นที่ชวนให้ขนลุกเมื่อแสงสีแดงอาบครอบกาย

    “ราฟรีน.....นี่เจ้า”ยูลิสท์ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเขามีแต่ความแตกตื่นเมื่ออัญมณีสีแดงสดดั่งทับทิมเม็ดใหญ่แทรกขึ้นจากชั้นผิวหนังบนหน้าผากเนียนเกลี้ยง

    “เป็นแสงแห่งทิวางั้นเรอะ....?”แอซไพรซ์จากลัสท์เทรลพ่นคำพูดอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ได้เห็นตรงหน้านั้นเกินกว่าจินตนาการจะยอมรับได้เสียอีก

    “เอาคำเรียกของคนทรยศในสงครามเอทรานซีมาใช้กับข้าไม่เป็นเรื่องที่เกินไปหน่อยรึ?”ร่างผอมสูงขยับตัว เส้นผมยาวสีอ่อนของเขาดูแข็งกระด้างแม้ว่าจะลอยอยู่ในอากาศ “แต่เอาเถอะนะ ข้าไม่ได้สวามิภักดิ์กับมหาเทพมาตั้งแต่ต้นแล้ว!

    แสงสีแดงพุ่งรวมกันเหมือนหลาวขนาดยักษ์จู่โจมเข้ากลางลำตัวเร็วเกินกว่าจะป้องกันไหว ยูลิสท์ลอยละลิ่วไปด้านหลัง เขาสร้างเกราะเหนือผิวหนังขึ้นทัน ทว่าแรงโจมตีของฝ่ายตรงข้ามมหาศาล ไอความร้อนแทบจะทำให้ร่างกายที่หนาวยะเยือกเดือดพล่านขึ้นมาในพริบตา

    “ชอบแบบนั้นมากกว่าไหม?”เสียงกระซิบดังขึ้นด้านหลัง วินาทีที่หันไปเห็นราฟรีนยืนอยู่ตรงนั้นแทนที่ขอบระเบียงซึ่งว่างเปล่า เขาก็ถูกสายพลังอีกเส้นซัดเข้ากลางหลังจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นเหมือนสายฟ้าฟาด

    “แก! โยธันไฮม์!

    ชายหนุ่มกรรโชกก่อนที่ห่าธนูจะเลือดจะผลักร่างกำยำตกลงจากยอดปราสาทเวอร์ดันซาเหลือเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมคลั่ง ราฟรีนเดินตามไปดูให้แน่ใจ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ซึ่งวิถีแห่งดารากำลังถูกยื้อยุดอย่างดุเดือด           

                “ดูเหมือนว่าดาราพยากรณ์จะมีชะตาที่ต้องลากโลกนี้ด้วยมนตราของโยธันไฮม์”เขายกมือขึ้นโบกแล้วดึงกลับมาตั้งที่หน้าอก ทันใดนั่นดอกไม้สีแดงที่ผลิกลีบบ้านก็กลายเป็นกล่องสีเหลี่ยมลูกบาสก์ขนาดใหญ่ มันค่อยหมุนตัวออกจากกันกลางท้องฟ้าสร้างรูปทรงสมมาตรแปลกประหลาด

                [ดา] [รา] [เคลื่อน] [คล้อย]

                “โอ๊ย!

                รีเวฟ์ก้าทรุดตัวลงจนไหล่ข้างหนึ่งกระแทกพื้น แรงดีดจากเวทมนตร์ที่ต้านกันสร้างบาดแผลยาวเป็นทางจนเกือบจะเผลอยกแขนออกจากวงแหวนเวทย์ ดัชเชสแห่งเลแรงก์เงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้าที่ถูกลูกบาสก์ครอบคลุม แสงสีฟ้าของแอซกระพริบริบหรี่ทั้งบนดาวดวงนั้นและใต้ฝ่ามือของตนเอง

                นี่มันพลังอะไรกัน เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!? มันกำลังลากดวงดาวกลับไปที่เดิมแถมยังทำร้ายเราอีกด้วย! หล่อนหอบหายใจ น้ำหนักที่กดลงบนพื้นหินยิ่งแน่นขึ้น รีดเร้นทุกหยดของเทพฤทธิ์ที่หลับใหลในร่างกาย เส้นสายของพลังงานผุดขึ้นมาตามกระแสโลหิตเหมือนกับรากฝอยของต้นไม้ชอนไชทั่วร่างกายจนถึงใบหน้า หญิงสาวกัดริมฝีปากแม้ไม่อาจปิดกั้นเสียงร้องในลำคอเมื่อเรียวแขนถูกกรีดเป็นทางอีกครั้ง เม็ดเหงื่อและหยดน้ำตาก่อตัวขึ้น

                แต่ยังไงเราก็ปล่อยมือออกไม่ได้!

                “พอได้แล้วท่านหญิง”

                เสียงนุ่มนวลของบุรุษด้านหลังห้ามปราม เสียงฝีเท้าของเขาแผ่วเบาและสงบจนเกือบจะเหมือนการปลอบโยน วงแหวนเรืองแสงขึ้นหนึ่งครั้งเมื่อร่างของชายคนนั้นก้าวเข้ามาอยู่ในรัศมี เขายืนค้ำศีรษะดัชเชสแหล่งเลแรงก์ด้วยความสูงดั่งหอคอย

                “ไม่”เสียงปฏิเสธอ่อนแรงแต่แฝงด้วยความมุ่งมั่นและดื้อรั้น

                “ท่านเอาชนะเวทมนตร์ของโยธันไฮม์ไม่ได้หรอก อีเซอร์ไม่ใช่ชนชาติที่มีพรสวรรค์ด้านนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”อีกฝ่ายพูดด้วยคล้ายว่าจะมีความขบขันเจืออยู่ด้วย

                “......โยธันไฮม์?”รีเวฟ์ก้าจับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าเมื่อมันเข้าถึงสติของเธอ ใบหน้าละมุนก็รีบหันไปมองผู้มาใหม่ เงาดำตกลงบนใบหน้าของชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้แสงจากคบเพลิง

                “สิ่งที่ข้าจะบอกนั่นคืออย่าสู้ศึกที่ท่านไม่มีทางชนะ”เขายิ้มให้ในความมืดอันเลือนราง “ในวิถีนั่นมีดาวอยู่อีกดวงที่ยังหลับใหล การทุ่มพลังไปหามันจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากดาวดวงนั้นตื่นขึ้นมันจะขัดสัญญาณของกลุ่มดาวที่กำลังเรียงตัวได้”ผู้เฝ้าดูเงยหน้าขึ้นวงกลมคล้ายฟันเฟืองหลายตัวซ้อนกันอยู่เหนือใบหน้าของเขา หากมองให้ดีจะเห็นว่าลักษณะของมันคล้ายเป้าธนูลอยอยู่เหนือตาข้างขวา

                “...ท่านเป็นใคร?!”ดาราพยากรณ์เห็นเพียงแต่ค้างที่แหงนเสียจนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มไหลจากบ่าไปยังแผ่นหลัง แสงจากวงกลมบนหน้าของเขาส่องให้เห็นเสี้ยวหนึ่งที่ยังอ่อนเยาว์

                “ตั้งสมาธิสิดัชเชส เรียกหาดวงดาวที่หลับใหล”

                “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ! ต่อให้มีดาวดวงไหนที่อยู่ในสภาพไร้พลังแต่ไม่ดับสูญลง เราก็ไม่มีพลังพอที่จะปลุกมันได้หรอก! เรื่องนั้นมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้!”เวก้าร้อง สายตาที่สอดส่ายไปทั่วมองไปเห็นร่างหนึ่งที่คล้ายจะคุ้นตา คนคนนั้นยืนอยู่อย่างเงียบเชียบจนแทบจะไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของอีเซอร์

                นั่นมัน...ท่านรูเวนหรือเปล่า?

                “ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้ท่านยืม”

                พลันแสงสีฟ้าระเบิดขึ้น เข้มข้นส่องสว่างจนต้องหยีตามอง แขนทั้งสองข้างรู้สึกได้ถึงกระแสของเทพฤทธิ์ที่ไหลเอ่อขึ้นมาท่วมทะลักร่างกาย มันยิ่งใหญ่ราวกับว่าตัวของนางเหลือเพียงนิดเดียว ทั้งอบอุ่นและบริสุทธิ์จนน้ำตาไหลออกมาเอง

                “ปล่อยมือขึ้นเถิดท่านหญิง แล้วจนอธิษฐานต่อดวงดาว”ไออุ่นจากร่างที่ใหญ่กว่าทับซ้อนจากด้านหลัง มือทั้งสองถูกกอบกุมขึ้น ใบหน้าของชายคนนั้นไม่ได้หล่อเหลาเป็นพิเศษแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ทำให้ดวงตาของเขาดูงดงามจนทำให้ยอมสยบถึงจิตวิญญาณ

                SIANNA of the north, code UT118 request signal from ORION 3-

                ชายคนนี้คือ เซียนนา เซียร์ โซเวลล์ เทพราชันย์แห่งยูโธเปีย!

                เขายิ้มตอบให้สีหน้าตะลึงพรึงเพริดจนกู่ไม่กลับของเวก้า ก่อนจะชี้ไปที่จุดสีแดงบนท้องฟ้า ดวงตาของเขามองตรงราวกับสามารถเห็นทะลุได้ถึงที่สถิตย์ของเหล่าดารา ดัชเชสสาวประสานมือเข้าหากัน ภพตำแหน่งของดาวดวงใหม่จารึกขึ้นมาในวิสัยน์ เธอไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยยามที่เส้นผมบางหนึ่งไล่เปลี่ยนเปลี่ยนสีขาวจากปลายจนถึงโคน

                “ตื่นขึ้นมาเถอะ! ตอบรับเสียงของฉันสิ!

                .

                .

                “อ๊ะ?”

                ลอเฟย์หันหน้าซ้ายขวา เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเรียก แต่ว่าในท้องสภาอันมืดมิดกลับไปม่ปรากฏสิ่งใด อุณหภูมิที่โหดร้ายอยู่แล้วทวีความสาหัสขึ้นจนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ลมหายใจเบาบางกลายเป็นหมอกสีขาวฟุ้งชัดเจนยิ่งกว่ามือของตนเองเสียอีก

                นี่เราลอยขึ้นมานานเท่าไหร่แล้วนะ? ที่นี่ไม่ใช่ลัสท์เทรลถึงจะพยายามหาพิกัดยังไงก็ จับจุดที่จะเปิดมิติหนีไปไม่ได้เลย แถมยังเคลื่อนที่เร็วขนาดนี้ตลอดเวลาอีกด้วย เราไม่เหลือแอซสำรองแล้วไม่ว่าในรูปแบบไหนก็ตาม

                นี่วันนี้เราคิดว่าเราจะตายมากี่ครั้งแล้วนะ....? แอซไพรซ์ระดับศูนย์ตะเกียกตะกายพลกตัวลงในหน้าหันมองพื้นได้ เขาเห็แนวเขาเลแรงก์และดินแดนสีดำสนิทที่เหมือนปฏิสธแสงของจันทรา

                ข้างล่างนั่นจะเป็นยังไงแล้วล่ะเนี่ย? ลอเฟย์จมอยู่ในภวังค์ของการแก้ปัญหา คราวนี้ปมเชือกในสมองไม่คลายออกง่ายๆมีแต่จะเร่งกดดันเขาให้รู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้น จวบจนแสงสีแดงลอดผ่านช่องระหว่างเปลือกตา

                “เดี๋ยวก่อน....”ลอเฟย์อ้าปากค้าง เมื่อเบื้องหน้าของเขาคือดอกไม่ขนาดใหญ่ที่เหมือนจะกลืนกินชีวิตกระจ้อยร่อยให้หายไปในพริบตา ไม่ใช่แค่นั้นแต่ตัวเขาเองกำลังลอยไปหามันอย่างช้าๆอีกด้วย แรงดึงดูดที่แทบจะไม่รู้สึกเริ่มเกาะตัวทำให้ผิวหนังรู้สึกตึง ทั้งชีวิตของเด็กหนุ่มเคยเห็นสิ่งที่คิดว่าจะไม่มีทางได้เห็นมาก็หลายครั้งหลายครา กระนั้นก็ยังไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะรู้สึกครั่นคร้ามเสียวสันหลังวูบ ไม่ต่างจากเดินเข้าสู่คมเขี้ยวของอสูรกายแบบนี้

                เขาดิ้นรนเตะแขนขา แต่อนิจจายิ่งมีแต่จะทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้น หนำซ้ำเส้นรัศมีสีแดงยังรวมตัวเข้าหากันและระเบิดออกมาใหม่เป็นลูกบาสก์ที่ดูน่าพิศวงกว่าเดิม ไอความร้อนแผ่แตะผิวกายพร้อมด้วยเสียงสะท้อนของแก้วใสอึงอลที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเม็ดทรายเสียดสี เสียงแบบนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต

                ตื่น

                ใครน่ะ? เสียงมาจากไหน? ลอเฟย์ใช้มือทั้งสองกุมศีรษะที่ปวดแทบระเบิด ภายในอาณาเขตของดวงดาวสีแดงเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงโกลาหล ทั้งที่คล้ายมนุษย์และไม่ใช่ เป็นภาษาที่เข้าใจและไม่เข้าใจ

                ตื่น

                            [กลับมา]

                ดวงดาว            

                            [มาหาข้า]

                เด็กน้อย

                            [จงตื่นขึ้น]

                ข้ามารับแล้ว

                            [จำให้ได้]

               

                “ตื่น!

                แสงสว่างกำเนิดขึ้นในความมืดมิด พริบตาเดียวก็ลุกโชติช่วงส่องสว่างทุกสรรพสิ่ง เจิดจ้าจนมองไม่เห็นใจกลางของมัน แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ขจัดเสียงวุ่นวายสับสนให้จางหายไป ลอเฟย์ล่องลองอยู่ท่ามกลางสำแสงนั้น สีฟ้าที่เหมือนกับแอซพุ่งเข้ามาอย่างเชื่องช้าละมุนละไมเหมือนกับมือของมารดาที่ยื่นหาทารกเป็นครั้งแรก

                …ORION 3- identified complete – status : found….

                เสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทเหมือนเช่นเสียงต่างๆที่ผ่านเข้ามา ทว่ามันชัดเจนกว่าและใสกังวานดุจระฆัง เป็นวินาทีเดียวกับทีปลายนิ้วชี้สัมผัสกับละอองแสง ทุกสิ่งพุ่งพรวดเข้ามารวดเร็วยิ่งกว่าคลื่นใหญ่ถาโถม ทั้งลูกบาสก์สีแดง แสงสีฟ้าและสรรพเสียงต่างๆ เร่งเร้าคละเคล้าเข้ามาในร่างกาย ลอเฟย์ลอยหวือออกไปพร้อมกับกระแสพลังงานขนาดใหญ่ที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่งจนถึงขีดสุด

                ORION, I found you.”

                ดวงตาเปิดขึ้นอีกครั้งเป็นสีน้ำเงินเจิดจ้าดั่งเปลวเพลิง


    ------------- 

     

     

    อาทิตย์ก่อนยุ่งกับการตามหาห้อง พอหาที่ถูกใจได้ก็โดนชวดไปวันเดียวเท่านั้นเองค่ะ!!!! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แค้นใจชะมัดเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย (สลบ)

     

    คราวนี้ลอเฟย์หายไปไม่นานค่ะ เค้าเป็นพวกค่าตัวน้อย แถมไม่มีเรื่องอื่นจ้างเล่นก็ต้องอดทนนิดนึง ถ้าจะมีใครในเรื่องที่ค่าตัวแพง เราว่าน่าจะเป็นยูลิสท์กับอีลิจาค่ะ ทั้งที่เค้าแทรกอยู่ตามที่ต่างๆ ท่านเสก็ดุไม่ออกมาทำงานเป็นจริงเป็นจังเอาซะเลย เฮียเซียร์ที่ว่าตื่นมาตั้งนานแล้วก็ได้โผล่ออกมาซะที ในฐานะแอซไพรซ์ที่อยู่ในระดับเทพสุดคิดว่าต้องมาแบบอลังการซักหน่อย แต่ก้ได้แค่นี้ล่ะนะในเมื่อเฮียเป็นคนมินิมอล  ตอนหน้าน่าจะครบก๊วน ปิดจ๊อบกันไป ทำไมรู้สึกภาคนี้เร็วจังนะ 55555555555 ยังไม่ได้แก้ก่อนหน้านี้เลย ให้ตายสิคะ 55555555 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×