คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #57 : 52th Tale : HEAVEN'S FALL
ตูม
เสียงระเบิดเลื่อนลั่นดังก้องทั่วท้องนภาในขณะที่วงคลื่นสีฟ้าและแดงพุ่งเข้าใส่กัน
เกิดเป็นวงแหวนสองวงกลืนกินพื้นที่สีดำทะมึนของรัตติกาล
เป็นภาพที่ดูราวกับว่าผืนฟ้าจะถล่มลงมายังไงยังงั้น
เรียกสายตาแตกตื่นตะลึงงันจากเหล่านักสู้เบื้องล่าง ไม่ว่า ณ ปราสาทดัชเชส
เวอร์ดันซา หรือยอดเขาแห่งเลแรงก์ก็ต่างต้องตกอยู่ในแสงสว่างที่ดูเหนือจริงนั้น
จุดสีขาวเล็กๆปรากฏขึ้นคล้ายเป็นดาวดวงที่หกซึ่งทอแสงริบหรี่
แต่มันกลับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนเห็นเป็นแสงสีน้ำเงินจ้าพุ่งรี่ลงมาจากความมืด
ดุจดั่งดาวหาง
“!?”
ราฟรีนเป็นคนแรกที่ขยับตัวจากที่เฝ้ามองเหตุการณ์ด้านบนอย่างจดจ่อทุกขณะ
ฝั่งจอมเวทย์และดาราพยากรณ์ต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกัน
แม้จะไม่สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันได้ ทว่าเป็นฝ่ายพี่ชายซึ่งรวดเร็วกว่า
มือผอมเรียวของเขาบิดหมุนเป็นทรงกลม
พร้อมๆกับสร้างกรอบสี่เหลี่ยมด้วยนิ้วโป้งและชี้ของมือทั้งสองข้าง
ดวงตาสีเข้มมองลอดกรอบนั้นไปยังตำแหน่งดวงดาวสีแดงสดของตอนเองที่อ่อนแสงลง
“ท่านเซียร์! เราทำได้หรือเปล่าคะ!?”รีเวฟ์ก้าทรุดไหล่ลงฮวบในทีเดียว
เรี่ยวแรงมหาศาลที่เคยมีในตัวหายไปหมดในเวลาเดียวกับที่แสงจากเวทมนตร์อสูรมอดลง
สะเก็ดดาวที่ตกลงจากฟ้าในสายตาของเธอแล้วช่างเหมือนกับหยาดน้ำตา
เทพราชันย์กลับไม่ตอบคำถามนั้น
ตอนที่เขากำลังจะเผยอปากนั้นเองภาพเบื้องบนก็เปลี่ยนผันอีกครั้ง
กระชากหัวใจของคนดูด้วยความหวาดกลัว!
ตอนนั้นเองที่หลุมอากาศสีดำสนิทเรี่ยมด้วยขอบสีเงินเปิดขึ้น
ชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดตาดึงดูดให้มองเป็นสิ่งแรก ตามด้วยคันธนูที่มีขนาดยาวเกือบเท่าผู้แกว่งไกว
“กระผมพลตรีซิกกัน
ฟรอลิทแห่งลัสท์เทรล ได้รับมอบหมายจากทวิเทพฝ่าขวาไนทริค
ลูเฮมไฮม์ให้เป็นกำลังสนับสนุนในภารกิจนี้”เขาโค้งตัวลงอย่างสวยงาม
กิริยาไม่แข็งกร้าวเหมือนทหารทั่วไป
“คนอื่นไปไหนกันล่ะ?”
หนึ่งในสี่ขุนพลยิ้ม
ไม่ผิดจากสมญานามที่ได้ยินมา ราชาแห่งยูโธเปียช่างมีสายตาที่กว้างไกลจริงๆ
“กองพันสัประยุทธ์หนึ่งหน่วยกำลังเข้าประจำตำแหน่ง
ส่วนนักเวทมนตร์อีกคนหนึ่ง.....”เขาเว้นช่วง ดวงตารีพลันเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด “ดูเหมือนว่าจะไปทำธุระขอรับ”
.
.
“นั่นมันอะไรน่ะ!?”อโฟรเดสมองแสงสีแดงที่อาบบนหลังฝ่ามือของตนเอง
มันย้อมสีของหิมะให้แดงฉานดังโลหิต
แม้แต่อัลเธียที่ตัวแนบติดกับพื้นก็ยังตอนดิ้นรนหมุนคอด้วยความยากลำบากพอที่ก้อนแสงมัวๆนั้นจะเข้ามาในคลองจักษุ
ถัดมาคือใบหน้าของซิลอยด์ที่เขาพยายามรุดเข้าหาแบบเจียนตายที่อยู่ห่างไม่ถึงห้าเมตร
มันแสดงรอยยิ้มบ้าคลั่งที่กลับดูถูกที่ถูกทางภายใต้แสงสีแดงนี้มากกว่าความสุขุมเยือกเย็นของเจ้าตัวมีอยู่เสมอเสียอีก
“[เค็ค] [ไค]
[เซ็น] [เซ็น]”
“อื๋อ!?”
ลอเฟย์ก้างมือปิดหน้าเมื่อดวงดาวทั้งสองระเบิด
ตัวเขาที่อยู่ใกล้ๆถูกแสงสีดวงสีฟ้ากระแทกหล่นลงจากชั้นบรรยากาศ
แต่เพียงไม่ถึงนาทีแสงสีแดงก็ลุกจ้าขึ้นอีกครั้ง แทรกผ่านร่องนิ้วของเขา
กลายเป็นทรงเลขาคณิตสีเหลี่ยมซ้อนทับวงกลมอย่างชัดเจน
กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนกับเป็นหลังคาของโลกไม่มีผิด
นั่นไม่ใช่ภาษาทั้งแอร์เซียร์และวาเนอร์?
เด็กหนุ่มเพ่งมองลวดลายที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนถูกวาดด้วยพู่กันล่องหนนับสิบเล่ม
ภาพของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จารึกอยู่ตรงกลางทับสิ่งที่ดูเหมือนเส้นรุ้งและแวง
หรือว่ามันคือวงแหวนเวทย์กันแน่?
เขากำลังทิ้งห่างจากมันด้วยความเร็วสูง
กระนั้นภาพที่เห็นผ่านเปลวไฟสีน้ำเงินกลับทำให้สังหรณ์ใจไม่ดีเลยสักนิด
ทันใดนั้นเองลำแสงสีแดงเข้มข้นเหมือนกับแส้ก็ลอดผ่านแผนภูมินั้นลงอย่างรวดเร็ว
กลายสภาพเป็นอสรพิษสีแดงพุ่งลงมายังร่างเล็กกระจิ๋วหลิวของแอซไพรซ์ระดับศูนย์ มันลอดผ่านออกมาทั้งๆที่อีกฝั่งของมันคือความว่างเปล่า!
“[นภา] [อา] [ดูร]”
“งูพวกนี้มันมีชีวิตหรือไง!”ลอเฟย์ตาเหลือกถลน
ยิ่งมันโฉบเข้าใกล้ก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดถึงทุกลายระเอียด
ที่แม้ว่าร่างของสัตว์ร้ายขนาดยักษ์นี้จะเรืองแสงจากภายในเหมือนถ่านคุร้อน
แต่พวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยมานาไม่ผิดเพี้ยน
อสูรงูสิบหัวพุ่งเข้าฉกฉวัดเฉวียนอย่างดุร้าย
มันไล่ตามความเร็วของเด็กหนุ่มอย่างจวนเจียน ร่างกายยาวยืดไม่รู้จบ ไอร้อนจากปากของมันเผาได้เหมือนกับไฟที่คลุ้งกลิ่นน้ำกรดร้ายแรง
แค่สูดหายใจผ่านยังแทบอาเจียนออกมา
“Safír Kastala!!”
ไม่ติด!
ลอเฟย์ปัดป่ายมือผ่านเปลวไฟสีน้ำเงิน
ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวที่สัมผัสได้ด้วยผิวหนัง
เหมือนกับว่าพวกมันพัดผ่านตัวเขาไปมาเท่านั้น
ดวงตาสีเดียวกับแสงสว่างมองตรงเหนือศีรษะเมื่อขากรรไกรขนาดใหญ่ที่อ้ากว้างกำลังพุ่งลงมาครอบร่างเขาทั้งเป็น!
“[ประหาร]”
มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน
เป็นจังหวะเดียวกับที่คมเขี้ยวของความตายกลืนกินดาวดวงน้อย ราฟรีนรู้สึกถึงกลิ่นไอของเวทมนตร์ที่รุนแรงจึงหันไปทางระเบียงเดิมซึ่งยูลิสท์เพิ่งจะตกลงไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“โอ้โห
นี่หรือจอมเวทย์ของยูโธเปีย เป็นเพชรในตมเลยนี่นา ไม่คิดจะมาอยู่กับข้าดูหน่อยรึ?”
ร่างที่นั่งชันเข่าอยู่บนขอบหินสลักคือเด็กผู้ชายอายุราวสิบปี
เครื่องแต่งกายสูงค่ารวมกับหมวกทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่ใหญ่จนประหลาดทำให้รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา
...รวมทั้งไอเวทย์ที่เข้มข้นเต็มไปด้วยกลิ่นของพิษร้าย
“ตอนร่อนมาที่นี่ข้าเก็บขยะได้ชิ้นหนึ่ง
โชคดีที่ไม่ต้องเสียเวลาตามหาเจ้าเหมือนเจ้านั่น ที่หน้าผากนั่นคือมณีโลหิตของเผ่าโยธานใช่ไหม?
การลากสังขารมานี่ค่อยดูคุ้มค่าขึ้นมาหน่อย”มิเรียนอมยิ้มจนแก้มยุ้ยเหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไปไม่มีผิด
ถึงข้าจะต้องมาเพราะต้องแก้ตัวเรื่องกองพันรัตติกาลก็เถอะ
ดวงตากลมโตฉายแววอำมหิตที่ปิดไม่มิด
เพียงแต่มองสบครั้งเดียวก็เห็นถึงธาตุแท้ใต้หน้ากากบริสุทธิ์ได้ไม่ยาก
“ของหายากอย่างเจ้ารับรองว่าจะถนอมอย่างดีเลยล่ะ
ตอนนี้ทัพเสริมมาถึงยูโธเปียแล้ว
นอกจากมหาปราชญ์อย่างข้าก็ยังมีสี่ขุนพลและกองพันสัประยุทธ์
คงเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหม?”
อ้อ
พันตรีผมยาวนั่นกล่าวเอาไว้ตอนแรกว่าถ้าลอร์ดราฟรีนเปลี่ยนใจไปอยู่ฝั่งลัสท์เทรลคงมีตำแหน่งว่างรอเหลือเฟือ
ดูท่าว่าเด็กคนนี้คงจะเป็นเจ้าของตำแหน่งที่ว่า
“ว่าอย่างไรราฟรีน รอนซาน?”
“น่ารำคาญ”คนพูดน้อยตัดบท
“เจ้านี่สำบัดสำนวนไม่เก่งเอาซะเลยนะ
แต่ข้าจะให้อภัยก็แล้วกัน
เพราะว่าข้าไม่ได้เจอจอมเวทย์ที่ทำให้ตื่นเต้นมานาน...นานมากแล้ว!”หัวหน้าหอคอยนักปราชญ์แสยะยิ้มวิปลาส
ก่อนที่แสงสีเขียวแสบตาจะสาดซัดทั่วบริเวณ
ดูเหมือนว่ามิเรียน
มอบริคจะไม่สนใจช่วยเหลือเหยื่อของงูร้ายที่ตีลังกาไม่รู้เหนือใต้อยู่บนฟ้าแม้แต่น้อย
.
.
“ได้โปรดเถอะโอดิน! อะไรก็ได้!! อะไรก็ได้แล้ว!”
ลอเฟย์ดึงขาหลบปลายลิ้นของมันได้อย่างเฉียดฉิว
ร่างกายคู้ตัวเป็นลูกบอลเมื่อปากบนล่างงับลงมา ชื่อหนึ่งหลุดลอยออกมาโดยบังเอิญ ไม่ว่าด้วยจิตใต้สำนึกหรือสัญชาติญาณ
มันปลดปล่อยแสงสีน้ำเงินให้ระเบิดออก กระชากหัวของงูตัวนั้นขาดวิ่น
เศษซากของมันไหม้เป็นไฟ ลอยละล่องท้าลมหนาวหางแดนเหมันต์ เสียงร้องกรีดลั่น
อสรพิษที่เหลืออยู่ต่างพุ่งลงมารวมเป็นจุดเดียวเหมือนปลายดินสอปักใส่มดตัวจ้อย
“ORION!!”
“Let there be light!”
ลำแสงเส้นเล็กยิ่งผ่านลงมาจากบนฟากฟ้าเหมือนกับประตูแห่งวาเนอร์
มันทะลุกลุ่มขดของงูร้ายมาที่ร่างของเขาอย่างแม่นยำ
นัยน์ตาดำกลืนหายไปกับแสงสีน้ำเงินเจิดจ้าที่แผ่ตัวครอบน่านฟ้าเบื้องบน
สะท้อนมหาเวทย์ของฝั่งโยธานด้วยแสงสว่างที่เลื้อยเลาะตามเส้นของสัตว์ร้ายขึ้นไปจนถึงวงแหวนเวทย์จนปริแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ร่วงโรยลงมาปะปนกับหิมะ
ลอเฟย์หอบเหนื่อย
เขามองเปลวไฟที่โลมเลียผิวกาย มันจับต้องไม่ได้เหมือนที่เคย
ว่างเปล่าไม่มีแม้อุณหภูมิจนเขารู้สึกวูบโหวงพิกล
แต่ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเองจมลงไปในกระแสพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวตนของตัวเอง
เขาเงยหน้าขึ้นไปยังจุดที่ตนเองเคยลอยเท้งเต้งอยู่
บัดนี้ทิ้งห่างออกมารวดเร็วจนน่าใจหาย
ซิลอยด์ตื่นตัวทันทีที่สัมผัสกลุ่มพลังงานที่ไม่คุ้นเคยจากด้านบน มันพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูงเสียจนเขากะไม่ถูก
ละอองสีแดงกระจายตัวอยู่เหนือหลังคาแก้วสีน้ำเงินเข้ม
ลอร์ดแห่งเลแรงก์เดาได้ตั้งแต่เสี้ยววินาทีนั้นว่าเกม....ได้พลิกกลับเสียแล้ว
ขุนนางหนุ่มตัดแรงโน้มถ่วงด้านบนออกในฉับพลัน
แค่ความรู้สึกที่จับได้ด้วยกายเนื้อก็รู้แล้วว่ามันรุนแรงยิ่งกว่าจะจินตนาการได้เสียอีก
ต่อให้เป็นเขาเองก็ไม่มีทางปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนแน่นอน
4600
เมตร
2300
เมตร
952
เมตร
ทั้งแรงและความเร็วของมันไม่ลดลงสีกนิดเดียว!
ร่างสูงยกแขนข้างที่หัวไหล่สมบูรณ์ดีขึ้น
แอซที่เหลืออยู่รีดเร้นออกมาเป็นเกราะ โดยที่มืออีกข้างตรึงสนามพลังและร่างของไนท์
ออฟ วีนัสไว้กับพื้น แต่ด้วยแรงกระเพื่อมของความโน้มถ่วงเพียงนิดเดียว
อัลเธียก็ดันตัวหลุดออกมาจากเงื้อมมือที่มองไม่เห็นของเทพฤทธิ์ได้ กระดูกของเขาร้าวแทบทั้งตัว
ความรู้สึกตอนที่ปักขาซ้ายลงไปบนพื้นก็เหมือนว่ามันแตกร้าวมาจากปลายนิ้วเลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนั้นนั่นแหล่ะที่ปลายดาบยื่นเข้าถึงรัศมีของซิลอยด์ได้
เพราะมันพะวงกับด้านบนมากกว่า
ขอบเขตของแรงโน้มถ่วงที่ผืนดินถึงไม่เสถียร
400
เมตร
อีกแค่นิดเดียว! ชายทั้งสองต่างคิด
แขนของอัศวินหนุ่มอดทนต่อแรงที่กำลังกระชากร่างของตนกลับไป
หากขึ้นสูงได้อีกแค่สักนิดจะต้องหยุดเจ้าของสนามพลังนี้ได้อย่างแน่นอน
ฝั่งซิลอยด์หันกลับมาอย่างว่องไว
“ข้างบนอาจจะไม่ทัน
แต่อย่างน้อยต้องตัดเจ้าทิ้งให้ได้ก่อน!”
ดาบอีกหลายเล่มพุ่งฉิวมาจากด้านหลังลอร์ดแห่งเลแรงก์
เจ้าของเรือนผมสีเงินเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นจะๆว่าชายหนุ่มสามารถบังคับแรงโน้มถ่วงได้ถึงสามทางในเวลาเดียวกัน
แขนขาของเขาหนักจนยกไม่ขึ้น มันเพิ่มแรงโน้มถ่วงขึ้นอีกหลายเท่าตัว
อวัยวะภายในบดเข้าหากันจนเลือดข้นคลั่กทะลักออกมาทางปาก
ปลายดาบพร้อมจะเสียบเข้าหน้าผากในไม่กี่วินาทีข้าวหน้า
กรันเตจะใช้รูนได้อีกแค่ครั้งเดียว
หมายความว่าถ้าเราป้องตัวเองตอนนี้ เราก็จะฆ่ามันไม่ได้! หมายความว่าต้องเป็นตอนนี้เท่านั้น
อย่างน้อยหากพุ่งออกไปอย่างไม่รักชีวิตก็คงพาผลักดาบออกได้สักเล่มสองเล่มและส่งรัศมีไอเย็นเข้าถึงตัวซิลอยด์ได้
ไนท์ ออฟ
วีนัสตั้งกระโจนออกโดยมีร่างกายร่อแร่ของแอวไพรซ์ต้องสาปยกปืนขึ้นในท่าเตรียมพร้อม
“สตาร์เฟลล์! ถ้าแกเอาจริงฉันก็เอาด้วย!”
เสียงหวานคำรามดุดันยิ่งกว่าบุรุษเพศ
อัลเธียไม่ได้หันไปมองแต่ก็รับรู้ได้ถึงเส้นพลังแหวกอากาศผ่านใบหน้าของตนเอง
ในทีแรกอัศวินแดนเหนือไม่ได้ชอบหน้าอดีตท่านชายแห่งทะเลตะวันตกนัก
คงเป็นอาการที่เรียกว่าเขม่นหน้าที่ผู้ชายมักจะเป็นกัน เพราะหากอโฟรเดสอยู่ในร่างเดิมพร้อมด้วยฝีปากจองหองเช่นนี้ก็คงจะเข้ารายการคนที่อัลเธียเหม็นขี้หน้าแน่นอน
แต่ด้วยช่วงสั้นๆที่ชี้เป็นชี้ตายไปด้วยกันก็ทำให้ชายหนุ่มถูกโฉลกกับเจ้าของปืนคู่ขึ้นมาจนได้
น่าขำที่ตอนร่างกายครบสามสิบสองดันคุยกันไม่รู้เรื่อง แบบนี้กระมังที่เขาเรียกว่าเพื่อนตาย
พอจะตายพร้อมๆกันถึงได้ต่อกันติดซะพอดิบพอดีแบบนี้
แอซไพรซ์ผมสีเงินหัวเราะออกมาเบาๆอย่างหาได้ยาก
“ว่ากันว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อเห็นดาวตก
ถึงตอนนี้จะไม่มีก็ตาม แต่ว่าฉันยังไม่อยากตายหรอกนะ”
100
เมตร
ตูม!
วินาทีที่ทุกอย่างปะทะกัน
โลกในวิสัยทัศน์ของเขาก็ตกลงสู่ความเชื่องช้า
ดวงตามองเห็นละอองน้ำแข็งเล็กละเอียดฟุ้งในอากาศ
สีเงินคมแปลบปลาบของปลายดาบที่สะท้อนแสงสีขาวและฟ้า
สะเก็ดไฟสีน้ำเงินกระเด็นกระดอนเหมือนกับเศษหินที่ลุกไหม้ท่ามกลางก้อนกรวดและซากปรักหักพังซึ่งลอยสูงจากพื้นดิน
พวกมันเหมือนล่องลอยในทะเลที่ไร้แรงโน้มถ่วง
เขายังเห็นแรงดึงดูดที่บิดมิติภาพให้เบี้ยวบูดกระเพื่อมแทรกซ้อนกันหลายทิศทาง
เป็นภาพที่พิศวงจนลืมความเป็นตายที่กำลังจะเกิดขึ้น
ภายใต้กระแสธารเรืองรองคือบุรุษที่ร่างลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
เขาคุกเข่าข้างหนึ่งแตะพื้น มือทั้งสองยันร่างไม่ให้เสียหลัก พื้นหินใต้เท้ายุบเป็นวงขนาดใหญ่ทั้งพื้นที่
ไอร้อนเย็นปะทะกันโชยขึ้นจากผิวดิน
เมื่อจางออกก็เผยเรือนผมสีดำสนิทที่พลิ้วไหวในกระแสอากาศอย่างเชื่องช้า
ดวงตาที่เคยเป็นสีเดียวกับไพลินทั้งสองข้างสว่างจ้าเหมือนกับคบเพลิง
กลายเป็นสีน้ำเงินแวววับที่ไม่มีทั้งลูกตาดำและขาว
“อ...โฟรเดส”ใบหน้าขาวซีดที่ดูเย็นจัดหันมาทางนี้
เมื่อขยับปากพูดผิวก็ปริออกเกิดเป็นเส้นแสงสีเดียวกัน เหมือนกับใต้เปลือกที่ดูเป็นแอซไพรซ์นั้นมีก้อนไพลินเผาไหม้อยู่
“ลอเฟย์....หรือ?”เจ้าของชื่อถามกลับ
ร่างที่พุ่งดิ่งจากท้องฟ้าลุกยืนขึ้น
ทำให้เปลวไฟรอบตัวเขาแผ่ออกกว้างตามไปด้วย
มันลุกโหมขึ้นสูงหลายเมตรราวกับจะแสดงแสงยานุภาพไม่สิ้นสุด สว่างแสบตาจนผู้ที่มองต้องเผลอลดตัวลงเพื่อหลบจากแสงนั้น
ถึงจะย้อนแย้งกับความเป็นจริงสักแค่ไหนแต่ทั้งอโฟรเดสและอัลเธียต่างรู้สึกเหมือนกับว่า
‘อยู่เบื้องหน้าเทพเจ้า’
“หูดีนี่นา”อัศวินผมเงินกุมบ่าที่ถูกคมดาบเฉือนลึกอย่างหวุดหวิด
“ตกลงมาถูกเวลาเลยล่ะ ไลน์สเตรนจ์”
ตอนที่ตกลงมานั้นลอเฟย์รู้สึกว่าโลกหมุนคว้างและกลายเป็นสิ่งที่ไร้รูปธรรม
การพุ่งผ่านท้องฟ้าเหมือนกับเดินทางผ่านห้วงอวกาศและเวลาที่ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว
มันให้ความรู้สึกว่างเปล่าและโหยหา
ในขณะเดียวกันก็คุ้นชินเหมือนเป็นบรรยากาศที่โอบล้อมเข้ามาเป็นเวลาเนิ่นนาน เป็นทั้งบ้านที่คิดถึงและอยากลาจาก
เมื่อกำปั้นกระแทกพื้น
แรงสะเทือนที่ส่งผ่านร่างกายถึงจะไร้ผลกระทบใดๆแต่ก็รู้สึกว่าตัวเขาที่ยืนขึ้นบนพื้นโลกอีกหนหนึ่งได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว
ภาพพื้นดินที่เห็นเป็นสิ่งแรกและทุกอย่างที่ผ่านมาไม่ถึงสองชั่วโมงที่แล้วต่างก็ดูแปลกใหม่เมื่ออยู่ใต้ไฟสีน้ำเงิน
“ไม่ตลกนะครับเนี่ย”เด็กหนุ่มเปล่งเสียงต่ออดีตเพื่อนร่วมกองพันด้วยความลำบาก
“ลองขึ้นไปเองดูสักทีคุณจะได้ยิ้มไม่ออก”เหมือนในลำคอจะมีแรงดันอย่างกับน้ำไหลโกรกตลอดเวลา
แต่ดันให้ความรู้สึกที่แห้งผาก
ดวงตาที่ลุกเป็นไฟทั้งลูกมองไปทางคู่หูเล็กน้อยก่อนจะเสไปยังตำแหน่งที่ระวังอยู่ตลอดเวลา
“ลอร์ดซิลอยด์”
เจ้าของนามลุกขึ้นยืนอยู่ก่อนแล้ว
อัลเธียพึ่งสังเกตว่าสนามแรงโน้มถ่วงไม่สามารถคุกคามเปลวไฟสีน้ำเงินได้
รอบกายของแอซไพรซ์ระดับศูนย์เหมือนมีชั้นบรรยากาศอื่นครอบทับอยู่
กล่าวถาม
“เจ้ารู้อยู่แล้วหรือเปล่า?”
“ผมไม่เคยรู้อะไรทั้งนั้น”
เมื่อได้ยินคำตอบขุนนางใหญ่ก็ยิ้มเยาะให้กับตนเอง
“เป็นเรื่องบังเอิญงั้นหรือ
ข้านี่โชคไม่ดีเอาเสียเลยนะ”ซิลอยด์สูดลมหายใจเข้า ร่างสูงยังอยู่ในท่วงท่าสง่างาม
หากแต่ว่าบรรยากาศที่ก่อตัวขึ้นใหม่กลับสร้างความหวาดหวั่นแก่แอซไพรซ์อีกสามคนที่เหลือ
“แล้วเจ้าได้เห็นอะไรหรือเปล่า?”
“....ครับ
ผมเห็น”ลอเฟย์ตอบอย่างระมัดระวัง “ผมเห็นสิ่งที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร สัมผัสกับสิ่งที่เกินกว่าขอบเขตของความเข้าใจ
ผมคงจะเห็น....สิ่งที่คุณตามหามาตลอด”
“เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังปรารถนาที่จะอยู่ใต้ท้องฟ้าของมหาเทพอีกหรือไม่?”
ปลายนิ้วที่ถูกย้อมด้วยโลหิตชี้ไปยังสารรูปผิดแอซไพรซ์ของฝั่งตรงข้าม
คราวนี้เจ้าของเรือนผมสีดำเงียบไม่ครู่หนึ่ง ไม่เพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้น
ผู้ร่วมสังเวียนอีกสองคนต่างก็รอฟังอย่างไม่มีใครคิดจะสอดปาก
“ใช่”
ดาวหางสีน้ำเงินเอ่ยตอบพลางหมุนตัวประจันหน้ากับลอร์ดแห่งเลแรงก์อย่างเต็มตัว
น้ำเสียงที่เคยแฝงด้วยความเยาว์วัยดังก้องอย่างหนักแน่น
“สำหรับผมแล้วท้องฟ้านี้คือของมหาเทพ
ผู้คนที่ผมรักและสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญต่างก็กำเนิดขึ้นมาใต้ท้องฟ้าผืนนี้
สิ่งที่หล่อหลอมให้พวกเราเป็นพวกเราในวันนี้ก็คือโลกของพระองค์
ดังนั้นถึงจะมีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่กว่า....ผมก็จะเลือกสถานที่แห่งนี้”
เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงสลด “เราต่างกันก็เพราะเห็นความสำคัญในสิ่งที่ต่างกัน
ถึงมันจะเป็นโลกที่ไม่สวยงาม แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็อยากจะปกป้องสิ่งที่ผมรัก”
“นั่นก็คือเรื่องที่ข้าได้บอกเจ้า
เพราะความเขลาถึงได้ยึดติด เพราะความเขลาจึงได้งมงาย”ซิลอยด์ยิ้มบางๆ “ในอดีตกาล
ในโลกที่รุ่งเรือง เคยมีสงครามที่เกิดขึ้นเพราะความรักต่อสิ่งสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เทิดทูนบูชา
แม้ว่าพวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วของสิ่งนั้นคืออะไร มาจากที่ไหน
มีจริงหรือไม่ ความไม่รู้ถึงได้นำจุดจบมาให้มนุษย์เหล่านั้น ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์
เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเห็นฟันเฟืองของโลกใบนี้แต่ก็กลับปฏิเสธมัน เรื่องนี้กลับทำให้ข้าเศร้าใจยิ่งกว่าการเพลี่ยงพล้ำของตัวเองเสียอีก”
ลอเฟย์ไม่ตอบ
ทว่าคำพูดนั้นได้ซึมลึกลงในจิตใจของเขา ร่างสว่างจ้าสะดุ้งตัวเมื่อชายหนุ่มยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้า
ครั้งหนึ่งบิดาของซิลอยด์เคยกล่าวว่าชะตากรรมของทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ในมือของพระผู้เป็นเจ้าไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือโชคดี
พรหมลิขิตหรือลางร้ายต่างก็ดลบันดาลตามประสงค์ของพระองค์ การที่เขาลุกขึ้นท้าทายโชคชะตาและจบลงที่ความพ่ายแพ้เพราะแค่
'เรื่องบังเอิญ' ก็อาจเป็นสิ่งที่ลิขิตมาแล้วเช่นกัน
…สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ใดๆที่ได้เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเพราะอะไร
เขาก็ไม่อาจรู้เลย...ซิลอยด์เสียเวลาคิดในเรื่องนี้มาทั้งชีวิต
จู่ๆบ่าที่หนักอึ้งก็รู้สึกเบาขึ้น
ความโล่งใจไล่ปัดเป่าสิ่งที่น่าอึดอัดจนเกลี้ยงในชั่วพริบตา
“เป็นลิขิตที่ว่าท้องฟ้าไม่มีวันเสื่อมสลาย
แต่ถึงต้องยอมศิโรราบก็ขอเป็นเวลาที่ขาทั้งสองไม่มีแรงจะฝืนยืนแล้วเท่านั้น”
“นี่ท่านจะ-“
พูดไม่ทันขาดคำ
ม่านแรงโน้มถ่วงที่บิดเบี้ยวก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
สนามพลังกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วไล่จากด้านนอกเข้าหาความเข้มข้นที่มีลอร์ดแห่งเลแรงก์เป็นศูนย์กลาง
อดีตสมาชิกกองพันอัศวินที่อยู่ตรงกลางรีบพุ่งตัวไปหาร่างที่ไร้หนทางขยับของอโฟรเดสที่ใช้แขนทั้งสองข้างลากตนเองอย่างทุลักทุเล
“อย่ามาล้อเล่นกับฉันนะ!”หล่อนคำรามเมื่อเทพฤทธิ์ร่นมาถึงปลายเท้า
พอดีกับที่ต้นแขนสองข้างถูกกระชากเข้าหาแสงสีน้ำเงินซึ่งกระจายตัวเป็นลูกบอลโปร่งใสอย่างหวุดหวิด
แอซไพรซ์ต้องสาปเงยหน้าขึ้นพบสองหนุ่มที่มีสีผมตรงข้ามกันดึงแขนของตนไว้คนละข้าง
“ตาเป็นอะไร?”พันตรีทาเลสซาอ้าปากค้างครู่หนึ่ง ความตกตะลึงทำให้สมองรวนไปหมด
“ก่อนหน้านั้นผมมีข่าวร้ายจะบอก
ผมกางเกราะแบบเดิมไม่ได้เลย”
“ห๊า?”สีหน้าของไซเรน
เบลเวจัดว่าเป็นวินาทีหายาก
ลอเฟย์วางร่างคู่หูลง
สายตามองไปที่พื้นนอกอาณาเขตที่ยุบตัวแตกลงเป็นชั้นไม่หยุดยั้งราวกับมีค้อนยักษ์ล่องหนกระหน่ำทุบทั่วพื้นดิน
ไม่ใช่แค่ในบริเวณที่ตั้งประตูนี้เท่านั้น
แต่ยอดเขารอบๆก็ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนตามไปด้วย
เสียงลั่นผ่านอากาศดังซ้อนกันเหมือนการหวดแส้นับสิบเส้น
“นี่มันยิ่งกว่าปีศาจแล้ว....”อโฟรเดสหลุดปากออกมาเมื่อเห็นยอดเขาเริ่มถล่มลงมาต่อหน้า
ระยะทางที่พลังของซิลอยด์คืบคลานไปถึงในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่าตอนที่โจมตีปราสาทเวอดันซาร์ครั้งแรก
ผนวกด้วยความเข้มข้นที่ทลายภูเขาได้หลายสิบลูก
เลแรงก์ที่รองรับอยู่คือรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเหนือ
แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างรอบตัวก็กำลังพังพินาศ
“นี่หรือผลึกฟ้าที่ร่ำลือ
ไม่ทำให้อุ่นใจเลยนะ”อัลเธียแหงนหน้ามองท้องนภาที่หลั่งน้ำตาเป็นเศษหินน้อยใหญ่
ความรู้สึกเหมือนถูกฝังทั้งเป็นในตอนที่ซิลอยด์บดแนวเขาครั้งแรกกลับมาอีกครั้ง
แถมยังคูณเข้าไปร้อยเท่าในคราวเดียว
“เมื่อก่อนมันก็มีหลังคาอยู่หรอกครับ”
สองร่างที่ยืนอยู่ค้อมตัวลงตามแรงกดดันทางโสตประสาทที่เกินจะทานทนไหว
ทั้งดวงตาและแก้วหูไม่อาจทนแรงกระทบกระเทือนได้อีกต่อไป ในตอนนี้ทั้งสามได้แต่ภาวนาเท่านั้น
กระแสธารที่ไหลหลั่งจากร่างของลอเฟย์ทวีความเข้มข้นขึ้นแข่งกับภัยพิบัติภายนอก
นี่เมื่อกี้เราตาฝาดไปหรือยังไงกัน?
ดวงตาที่ไร้จุดดำฝืนมองขึ้นเพื่อยืนยันสิ่งที่ได้เห็น อาจจะเพียงแค่นิดเดียว
แต่ราวกับว่าท้องฟ้ากำลังสั่นสะเทือนด้วยเทพฤทธิ์ของแอซไพรซ์เพียงคนเดียว
“ซิลอยด์! คุณคิดจะลากท้องฟ้าทั้งผืนลงมาหรือไง!? มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ! คุณทำไม่ได้!”
เสียงกรีดร้องสุดลำคอส่งไปไม่ถึงร่างสูงสง่าที่ยังคงหยัดยืนภายใต้พายุโหมกระหน่ำ
ดวงตาของเขาเองก็ลุกโชนด้วยสีของแอซเช่นเดียวกัน
มันมองมายังใบหน้าของคนที่ไม่ควรสิ้นหวังอย่างลอเฟย์ พร้อมกับคลี่ยิ้มที่ดูปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด
เป็นรอยยิ้มของนักเดินทางที่รอนแรมจนถึงจุดหมาย
บทบรรเลงอันบ้าคลั่งดำเนินยาวร่วมห้านาที
ในห้วงเวลาที่ไม่มีใครสามารถเปิดตาขึ้นมองหรือเงี่ยหูเพื่อฟังแม้แต่เสียงลมหายใจของตนเอง
ทุกสิ่งถูกกลืนเข้าไปในพายุที่เหมือนกับเงื้อมมือมัจจุราชที่กวาดทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง
ไม่มีเบื้องบนไม่มีเบื้องล่าง พวกเขาเหมือนกบดานอยู่ในตาพายุ
ที่ซึ่งเสียงดังที่สุดเร่งทวีจนกลายเป็นความเงียบ และความเงียบก็ทอดยาวน่าอึดอัดจนก่อเสียงหลอกหลอนดังก้อง
กว่าที่จะรู้ตัวทุกอย่างรอบกายก็หยุดนิ่งเรียบร้อยแล้ว
แสงสีฟ้ายังลุกโชนสว่างจ้า
ถัดออกไปจากอาณาเขตนั้นมีแต่ความว่างเปล่า ลึกโหวงเป็นสีดำอนธกาลเหมือนราตรี
ลอเฟย์ยืดตัวขึ้นมองทัศนียภาพที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
บนพื้นหินที่ทลายลงเป็นชั้นระเกะระกะปรากฏหลุมลึกขรุขระอยู่ทั่ว
พื้นที่มีระดับเดียวกันกลายเป็นเสาหินน้อยใหญ่ไม่กี่ต้นทอดกายจากลูกบอลสีฟ้าไปจนถึงประตูแห่งวาเนอร์
แต่ถึงอย่างนั้นผืนนภาก็ยังคงอยู่
ณ
จุดที่ร่างของลอร์ดแห่งเลแรงก์นั่งพิงอยู่ ร่างสูงใหญ่เอนหลังอย่างผ่อนคลาย
ไม่มีท่วงท่าใดๆที่น่าเกรงขาม
เป็นครั้งแรกที่เจ้าของเส้นผมสีดำเห็นว่าเขาช่างเหมือนผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งเหลือเกิน
สีหน้าที่มักจะดูสมบูรณ์แบบคลายลงเหมือนคนงานที่นั่งพักหลังตะวันตกดิน
เรียบง่ายแต่ดูสงบอย่างเหลือเชื่อ เมื่อมองให้ดีก็พบว่าพื้นที่ตรงนั้นถูกย้อมด้วยสีเข้มของโลหิต
ขาทั้งสองข้างของซิลอยด์หักไปคนละทิศละทาง
ความเจ็บปวดมหาศาลขนาดนั้นคงจะทำให้เจ้าตัวชาหนึบโดยไม่รู้ถึงเลือดมากมายที่ไหลนอง
รวมทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาก็ด้วย
“นั่นมันคุ้มแล้วหรือครับ?”ลอเฟย์เอ่ยถาม
แม้จะเป็นศัตรูกันแต่ก็อดรู้สึกจุกในลำคอไม่ได้
สายตาคาดคั้นเอาคำตอบจากคนที่ไม่ขยับเขยื้อน
“นั่นสินะ
ลำพังแค่กำลังของคนๆเดียว ก็ไม่อาจเคลื่อนท้องฟ้าได้”ซิลอยด์หัวเราะเบาๆ
แผ่วเบาจนน่าใจหาย ถึงชีวิตจะแตกสลายก็ไม่สามารถต่อกรกับโชคชะตาได้
อัลเธียขยับขาหลังในท่าเตรียมพร้อมเมื่อม่านแสงสลายตัวลง
“กางไว้ก่อนได้ไหม?”
“ไหนบอกไม่อุ่นใจไงครับ?”ลอเฟย์ย้อน
เขาไม่ทันรู้สึกตัวว่าร่างกายกลับมาเป็นปกติที่ตอนไหน แต่ก็อดพลิกฝ่ามือด้วยความกังวลไม่ได้
ขณะนั้นเองฝุ่นที่คลุ้งหนาก็จางลงเผยให้เห็นชิ้นส่วนสีขาวขนาดยักษ์นอนเท้งเต้งอยู่หลังซากของกำแพงแห่งแอร์เซีย
มันมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าประตูโบราณเสียอีก แทบจะนับเป็นบ้านหลังหนึ่งได้แล้ว
“ไอ้นั่นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมาก่อนนะ”อโฟรเดสยันตัวขึ้นมาเท่าที่สังขารอำนวยเมื่อเห็นว่าเจ้าวัตถุปริศนานั้นมีการเคลื่อนไหว
ลองเพ่งมองให้ดีก็เห็นว่าเป็นแสงสีฟ้ากระพริบไปมาอยู่บนพื้นผิวจนเหมือนกับมันขยับได้
“เจ๊งแล้วไม่ใช่เหรอน่ะ”หล่อนออกความเห็น
“ผมไม่เชื่อใจอะไรก็ตามที่เรืองแสงได้”สมาชิกกองพันรัตติกาลยึดถือคำขวัญประจำใจเป็นที่หนึ่ง
“ชู่! ฟังก่อน”
ทั้งสองหยุดเถียงกันตามคำสั่งของไนท์
ออฟ วีนัส แอซไพรซ์ต้องสาปเป็นฝ่ายถอดรหัสได้ก่อนสมชื่อนางเงือก “เสียงเหมือนเครื่องจักรกับไฟฟ้า
แต่ก็มีเสียงคล้ายกับคนกำลังพูดอะไรอยู่
ฉันฟังไม่ออกแต่มันพูดคำหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาหลายทีแล้ว....”
En—gin—e-----rrr----o--------r------s---yyy----sst-----m-----f---aail-ed------
“โอไรออน”
“อะไรนะครับ?!”ลอเฟย์มองคู่หูสลับกับซากสีขาวหม่น
ลางร้ายอย่างที่สุดกำลังก่อตัวขึ้นในใจของเขา “อย่าบอกนะว่า นั่น...คือส่วนหนึ่งของดวงดาว”นัยน์ตาสีไพลินกระหวัดไปยังร่างกายหมดสภาพของลอร์ดแห่งเลแรงก์
ชายที่แม้จะทลายท้องฟ้าไม่ได้ แต่ก็ดื้อด้านจนสามารถทำลายดวงดารา
“นั่นไม่ขำเลยนะ”อโฟรเดสเอ่ยเสียงสั่น
พวกเขาพร้อมใจกันมองขึ้นด้านบนเพื่อพบกับแนวดาราที่เรียงตัวเป็นเส้นตรง
วินาทีนั้นรอยยิ้มของซิลอยด์ก็คลี่ออก พร้อมกับลำแสงสีขาวผ่าที่ใจกลางบานประตู
“GATE NEPTUNE : LAST COMMAND – RELEASE”
.
.
“มาถึงก็ต้องเจอแบบนี้เลยเหรอเนี่ย”
คนพูดชักบังเหียนมังกรให้เข้าทางเมื่อแรงกดดันมหาศาลทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกมันถึงกับตระหนก
พวกเขาพึ่งจะพ้นไบฟรอสต์มาได้ไม่นานก็ต้องเผชิญกับกลุ่มฝุ่นคลุ้งม้วนตัวลงมาเหมือนคลื่นทะเลซัดซ่านผ่านทิวเขา
“ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม
เมื่อกี้....ท้องฟ้ามันดูสั่นๆนะ”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็คงไม่ต้องเรียกกำลังเสริมถ่อมาถึงนี่หรอกมั้ง”ตำแหน่งข้างๆกล่าวด้วยน้ำเสียงวิตกขณะแหงนมองด้านบน
เสาสีทองสูงเสียดฟ้าปรากฏเหนือตำแหน่งของเลแรงก์ มันยิ่งใหญ่และสว่างโชติช่วงยิ่งกว่าปรากฏการณ์ใดๆบนท้องฟ้าที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้
แม้จะอยู่ไกลหลายสิบกิโลเมตรก็ยังมองเห็นเด่นเป็นสง่า
เดาได้ว่าอาณาจักรด้านล่างก็คงสังเกตุได้ด้วยเช่นกัน
“มองไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ
วาร์ลเลน งานของเรามาตรงโน้นแล้ว”
“เธอนี่สมาธิดีจังเลยนะ
อลิซา”ชายหนุ่มผู้นุ่มนวลกล่าวชมเพื่อนร่วมหน่วยที่งัดอาวุธคู่กายขึ้นมา
หน่วยสิบห้าที่เหลืออยู่ในตำแหน่งที่ได้ตระเตรียมมาก่อนแล้ว
พวกเขามีความโดดเด่นกว่าทีมอื่นในด้านของการวางแนวรับที่ใช้เป็นค่ายกลเผด็จศึกไปในตัว
แต่ในเวลานี้จะต้องเอามาใช้เป็นกำแพงป้องกันแผ่นดินเบื้องล่าง
“เพราะนายเป็นแบบนี้น่ะสิ
ถึงได้แพ้เฮเลน ไฮเลอีนิส”อลิซา วิเวนเดลสะบัดแส้ประจำกายที่ถูกต่อขึ้นมาใหม่เอี่ยม
แสงสีม่วงเฉพาะตัวแล่นปราดไปถึงปลายส่งผลให้มันตวัดขึ้นมาเหมือนอสรพิษ
“ถ้าปล่อยให้ไอ้ก้อนนั้นตกลงไปข้างล่างล่ะก็
เมืองอะไรก็ตามที่อยู่ตรงนั้นคงได้ราบเป็นหน้ากลองแน่”
วาร์ลเลนรับคำ
ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตำแหน่งหัวหน้าหน่วยนั้นเป็นของใครกันแน่ ในขณะที่หัวหน้าหน่อยตัวจริงซึ่งอยู่อีกตำแหน่งเพียงแค่ยักไหล่ให้
หางตาเบือนไปด้านหลังยังทิศของปราสาทดัชเชสที่ผู้บัญชาการประจำอยู่
ฝั่งเวอร์ดันซาซึ่งถูกปกคลุมด้วยโดมสีรุ้งคือหน้าที่ของทัพนักเวทมนตร์และหัวหน้าหอคอยนักปราชญ์
เบื้องหน้าของเขาคือวงแหวนเวทมนตร์ต่างชนิดที่ปรากฏซ้อนกันจนถึงแปดเหลี่ยมสีม่วงซึ่งเต็มไปด้วยสายฟ้าเริงระบำ
เขายกดาบของตนเองเป็นแนวตั้ง
ก่อนที่สีเขียวใบไม้ของอีจิสจะปรากฏขึ้นเป็นชั้นสุดท้าย
.
.
“แผ่นดินไหว!?”
รีเวฟ์ก้าคงล้มลงกระแทกพื้นหากไม่ได้วงแขนของราชันย์เหนือคอยประคองเอาไว้
ปรากฏการณ์ที่อยู่ไกลออกไปมีแต่จะทรงพลังขึ้นเท่านั้น
เสียงคำรามจากเบื้องบนสะท้านสะเทือนมาถึงแผ่นดินลอยฟ้าจนทุกอย่างเซซวนแทบจะพังทลายไปเหมือนกับปราการแห่งแอร์เซียที่กำลังสลายกลายเป็นฝุ่น
เมื่อเสียงนั้นเงียบลงก็เกิดแสงจ้าพุ่งขึ้นสูงห้องอวกาศ
ดวงตาหลายคู่เบิกมองอย่างไม่เชื่อสายตา
แต่ก็ยังมีนัยน์ตาสีมรกตของเซียนนาที่สามารถมองได้ไกลถึงสุดขอบโลกและยังคงความเยือกเย็นเอาไว้ไม่สร่าง
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะ?”ดัชเชสหันไปยังใบหน้าสุขุมที่ฉายแววตึงเครียดของราชาแห่งยูโธเปีย
ภายในดวงตานั้นฉายภาพที่แม้แต่ผู้มีอำนาจทัดเทียมโอดินก็ยังไม่อยากเห็น
“ประตูแห่งวาเนอร์เปิดออกแล้ว”
ไม่มีแม้แต่ช่วงเวลาที่ผงะ
ซิกกันง้างคันธนูออกทันที ไม่สนใจเสียง “ว่ายังไงนะ!?”
จากเครื่องมือสื่อสารที่ลอยอยู่ระดับใบหน้า
แล้วหันไปหาเทพแห่งน่านฟ้าเหนือ
“คำสั่งสูงสุดจากลัสท์เทรลในการณ์นี้คือทำลายประตูแห่งวาเนอร์
กระผมจะต้องขอปฏิบัติตามหน้าที่นั้น”ร่างสูงโปร่งอยู่ในท่าเตรียมพร้อมทุกกระเบียดนิ้ว
ลำแขนเหยียดตรง
ขณะที่แถบสีเขียวใสปรากฏเหนือดวงตาทั้งสองข้างคล้ายกับเทพฤทธิ์ของเซียนนา
แววตาของหนึ่งในสี่ขุนพลไร้ความลังเล
ไม่แม้แต่จะหันไปมองสีหน้าของผู้เป็นราชาเหนือเขตแดนนี้
แทนที่จะออกปากห้ามอย่างที่พลตรีคิด
“ลัสท์เทรลยังเคร่งครัดเหมือนเดิมนี่”เซียนนากล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
เขารู้สึกสนใจในความเป็นไปของโลกมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเวทมนตร์หายากปรากฏขึ้นบนแอซไพรซ์หน้าละอ่อน
ทำเอาเลขานุการกองทัพสับสนไปชั่วขณะ
“ถึงอย่างไรเราก็คือกองทัพ
ปณิธานของผู้แข็งแกร่งไม่เคยแปรเปลี่ยน”
“มองเห็นชัดหรือเปล่า?
ไม่คิดว่าเดี๋ยวนี้ยังมีคนใช้ได้อยู่อีกนะ”
“ไม่ชัดเท่าดวงตาของท่านหรอกฝ่าบาท
แต่ก็ไม่เคยพลาดเป้า”คำตอบที่แฝงความอวดดีเฉพาะตัวทำให้ผู้สูงวัยยิ้มออกมา
หากเป็นคนอื่นคงจะนึกหมั่นไส้ชายหนุ่มร่างบางคนนี้เป็นแน่
อย่างเสียงจากปลายทางนั่นไงล่ะ
“ปากดี”
“ใส่ใจด้วยหรือมหาปราชญ์
อย่าให้ข้าต้องรอนานนักล่ะ มันเมื่อย”แม้จะน้ำเสียงที่พูดจะไม่ได้ดังขึ้น
แต่ท้ายประโยคนั่นก็จงใจเน้นให้ได้ยินแบบจะจะ
“ความอดทนมีแค่นั้นหรือพลตรี
ถ้าไม่มีอะไรทำก็ลองใจเย็นดูสักหน่อยสิ ข้าเป็นคนที่งานยุ่งน่ะ”ผู้ที่ถูกพาดพิงว่าเป็นมหาปราชญ์ต่อคำยาวเหยียด
เสียงเล็กๆนั่นฟังอย่างไรก็ไม่พ้นเด็กวัยกำลังโต
สร้างความงุนงงให้กับรีเวฟ์ก้าจนอดชะโงกมองไม่ได้
“งานยุ่งหรือไม่มีปัญญาทำกันแน่
ท่านมิเรียน”คนสนิทของทวิเทพขวากัดฟันเมื่อมาถึงชื่อที่ไม่เคยเรียกได้อย่างสงบเลยสักครั้ง
“ท่านอยู่ตรงไหนกันแน่?”
“มีตาแล้วมองไม่เห็นรึ
แต่เจ้าไม่ต้องรู้หรอก”
“ธุระเสร็จแล้วหรือไง?”
“ยัง
แต่คนที่ทำด้วยหายไปแล้วน่ะสิ”
คำตอบที่ได้ทำให้ซิกกันได้แต่ขมวดคิ้ว
ราฟรีนหายไปแล้ว? หมายความว่าอย่างไร?
ทว่าพลตรีหนุ่มก็เพิ่งสมาธิไปยังเป้าหมายในปัจจุบันโดยไม่สั่นคลอน
“ใน
10 วินาที”เสียงเล็กจากปลายสายให้สัญญาณ
ตัวเขาเองก็ฟังเลขที่ถูกนับถอยหลังโดยสี่ขุนพลอย่างใจเย็น
แสงสีทองไม่ต่างจากเสาที่เป็นเป้าหมายเรืองโรจน์ในครั้งเดียว
วงแหวนที่ฉายประกายดั่งสร้างขึ้นมาจากทองคำปรากฏในพริบตากลางสีดำทะมึนของเหมันต์ราตรี
ทำให้ซิกกันเห็นตำแหน่งของหัวหน้าหอคอยนักปราชญ์ในที่สุด
“กะ...กลางอากาศ?!”ดัชเชสแห่งเลแรงก์ป้องปาก
เหนือกว่าทุกสิ่งที่ประสบพบมาในคืนนี้
ดูท่าว่าร่างเล็กจ้อยของจอมขมังเวทย์จะทำให้เธอตกอกตกใจที่สุด “แอซไพรซ์ลอยได้ด้วยหรือคะ?!”หญิงสาวหันไปถามบุรุษข้างตัว
“หากเก่งถึงระดับหนึ่งก็ลอยได้นะ”เซียนนาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
....หากจะทำลายอารยะธรรมโบราณนี้ คำว่าเก่งก็คงยังไม่พอ น่าสนใจว่าหัวหน้าหอคอยนักปราชญ์คนปัจจุบันจะทรงพลังถึงขนาดไหน
แม้จะอยู่ในภาวะวิกฤต
ราชันย์ที่ขาดการติดต่อโลกภายนอกนานหลายรอยปีก็ดูสนุกสนานขึ้นมา
จนรูเวนคนสนิทรู้สึกระอาใจ
“งั้นพลตรี......”
“ไม่ได้ครับ”ซิกกันตัดบทด้วยน้ำเสียงสุภาพ
แต่แฝงใบมีดที่กะตัดไม่ให้ต่อในทีเดียว
ยิ่งเห็นวงแหวนเวทมนตร์ที่ขยายใหญ่ออกพร้อมด้วยลูกบอลสีฟ้าประทับลงไปเหมือนกับอัญมณียิ่งทำให้เจ้าตัวหงุดหงิด
จังหวะนั้นเขาก็นับถึงเลขสอง
อักษรรูนห้าตัวปรากฏขึ้นตามจำนวนรอบ
ภายในลูกบอลต่างสีมีเวทมนตร์ต่างชนิดปะปนอยู่ถึงหกคำสั่ง
“....ไม่น่าเชื่อ”เวก้ายกมือขึ้นปิดปาก
“Thaurisaz – Anzuz – Tiwaz – Ingwaz – Sowilo
Jyulista
– Langge – Vanette
Skapa
– Eyðileggja – Sveifla
O
Lord brought down to our hands-“
แสงสว่างนั้นค่อยๆโอบล้อมร่างที่อยู่ยังใจกลาง สร้างความเปลี่ยนแปลงแก่ใบหน้าอ่อนเยาว์
เมื่อดวงตาสุกใสลืมขึ้นอีกครั้งก็กลายเป็นใบหน้าของชายหนุ่ม
ผมเปียสั้นประบ่าด้านหลังที่ไม่เคยมีใครสังเกตุเห็นยาวสยายไปกับสายลม
“And by these hand shall deliver- ”
ซิกกันเงื้อคันธนูออกสุดแรง แอซสีฟ้าดั้งเดิมแผ่ซ่านอาบย้อมศาสตรา
ส่งลูกธนูที่ควบด้วยผลึกคู่ซึ่งตอบรับมหาเวทย์จากจอมปราชญ์ไปยังประตูโบราณซึ่งอยู่ไกลถึง
20 กิโลเมตรในพริบตาเดียว ลูกศรแล่นฉิวเป็นสายไม่เหลือละอองใดๆ
“มาจากไหนกัน?!”อัลเธียหันกลับไปยังปราสาทดัชเชส
ทว่าพวกเขาที่อยู่ ณ เลแรงก์ก็ไม่อาจรับรู้ได้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น วินาทีที่มันกำลังจะถึงตำแหน่งของซิลอยด์
มหาปราชญ์ก็ส่งคำสวดสุดท้าย
“HEAVEN’S FALL”
เสียงคำรามลั่นแหวกร้องสวนลงมาจากเบื้องบน
อัสนีและเปลวเพลิงโหมกระหน่ำกลายเป็นทอร์นาโดลูกยักษ์หมุนคว้างลงมาดั่งปลายลูกข่างแหลมคม
ไอน้ำจับในอากาศเกิดเป็นวารีไหลวนสวนทางขึ้นไปยิ่งทำให้กำลังรุนแรงน่าสยดสยอง
มหาเวทย์ผสมผสานกันเป็นสีขาวจ้าไร้สิ่งเจือปนใดๆ เมื่อเทียบกับขนาดของแอซไพรซ์แล้วพวกเขาก็กลายเป็นมดตัวกระจิ๋วหลิวเท่านั้น
“ลอเฟย์! กางผลึกฟ้าออกมาเร็ว!”อโฟรเดสดึงชายเสื้อของเจ้าคนที่ล้ำหน้ากว่าชาวบ้านกลับมา ไฟสีน้ำเงินติดๆดับๆอยู่หลายครา
“ขนาดนี้เลแรงก์ไม่เหลือแน่!”
“ยังไงที่นี่ก็เป็นเทือกเขาที่ติดกับพื้นดิน
ต่อให้ถล่มก็ยังไม่น่ากลัวเท่าน่านฟ้าไหนตกลงไปหรอก”ไซเรน เบลเวประเมินสถานการณ์
ติดก็ตรงที่เจ้าคนผมดำมัวแต่พะวงกับลอร์ดแห่งเลแรงก์จนเกราะที่เกิดขึ้นไม่เสถียร
“ไม่ทันแล้ว
นายช่วยหมอนั่นไม่ได้หรอก!”หล่อนเกี่ยวขาของเขาเอาไว้แน่น
“ถ้านายออกไป...พวกเรานี่แหล่ะที่จะตาย!”
“...อโฟรเดส”
วินาทีที่เขากำลังลังเลอยู่
วงกลมสีแดงที่ต่างจากไนค์กก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าของชายหนุ่มที่หมดสภาพ
ร่างอันคุ้นตาของขุนนางผู้เย็นชาแห่งแดนหิมะปรากฏขึ้น อาภรณ์หรูไหม้เสียสภาพกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว
กระนั้นผิวขาวซีดกลับไร้ร่องรอยบาดแผล เส้นผมสีใบไม้แดงทวีความเข้มภายใต้แสงสีเดียวกัน
ยิ่งทำให้ร่างของเขาดูเลือนรางเหมือนภูตผี ทับทิมเม็ดใหญ่ฝังอยู่กลางหน้าผากทอประกายพิศวง
“ราฟรีน!”
แม้แต่อัลเธียก็ยังต้องตระหนกกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงพอๆกับที่ไม่มีใครคาดคิดว่าชายคนนี้จะยังเหลือลมหายใจ
ไม่ต้องพูดถึงว่าไร้ริ้วรอย! แค่เห็นแสงสีโลหิตที่อาบร่างอยู่ ลอเฟย์ก็เดาได้แล้วว่าวิบากกรรมต่างๆบนท้องฟ้านั้นเป็นฝีมือของใคร
มือเรียวยาวเหมือนโครงกระดูกยกขึ้นขนานเข้าหากันอีกครั้ง
ยืนยันข้อสันนิษฐานของดาวหางสีน้ำเงินด้วยวงแหวนเวทย์หน้าตาประหลาดลอยเหนือศรีษะของตน
“[เค็ค] [ไค]
[เซ็น] [เซ็น]”
มนต์ประหลาดดังฉะฉาน
อัญมณีที่หน้าผากปริแตกเมื่อมานาทั้งหมดเผาผลาญเป็นกองเพลิงดังจะโหมเอาทุกอณูในร่างกายให้ระเหิดตามไปด้วย
ปลายแหลมของมหาเวทย์รูนพุ่งลงมาอย่างเกรี้ยวกราดราวกับโทสะของพระผู้เป็นเจ้า
อันที่จริงหากว่าราฟรีนไม่มาที่นั่น
เขาก็คงยังมีชีวิตอยู่ นั่นเป็นเรื่องที่หลังจากนั้นลอเฟย์สงสัยไปตลอดหลายปี
สีหน้าของชายหนุ่มในเสี้ยวนาทีสุดท้ายก็เหมือนกันกับสหายของเขาเอง
คือนักเดินทางที่กลับถึงบ้าน
“ [ดั่ง] [ดวง]
[หฤ] [ทัย] ”
เบญจมาศสีแดงสดบานออก
เข้มจัดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา บุบผาบอบบางไม่อาจต้านปลายเข็ม
ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องฉีกขาดเป็นเศษซาก กลีบเบาปลิวว่อนไสวไม่ต้านลม
ดูไปคล้ายกับหิมะแรกของฤดูหนาวปะพรมลงบนพื้นดินสีขมุกขมัว ทั้งละอองแสงจากเกราะสีชาดและหยาดเลือดของผู้สร้างมันต่างก็ปะปนกันจนแยกไม่ออก
แสงหิ่งห้อยสีแดงฉานเป็นภาพที่ลอเฟย์จดจำได้อีกนานแสนนาน
-------
*******ขอแทรกก่อนว่า อยากถามผู้อ่านทุกคนว่ารู้สึกยังไงกับซิลอยด์ค่ะ ไม่ใช่เพราะเป็นลูกรักของผู้เขียนนะคะ แต่อยากรู้จริงๆ ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วไม่เคยคอมเม้นท์เลย ถ้าจะกรุณาตอบคำถามข้อนี้ให้ เราจะรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งมากๆค่ะ เราไม่เคยขอคอมเม้นท์แบบจริงๆจังๆ เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ต้องขอค่ะ ยังไงก็เขียนเพราะตัวเองชอบอยู่แล้ว แต่การมีคนมาอ่านเป็นเพื่อนก็เป็นสิ่งที่รู้สึกดีค่ะ ผู้เขียนไม่เคยเป็นนักอ่านเงา และก็หวังว่านักอ่านเงาทุกท่านจะช่วยตอบคำถามของตอนนี้ให้สักนิด
ขอบพระคุณค่ะ
อีกอย่างคือซิลอยด์เป็นตัวที่เรารักมาก ต้องบอกว่าเป็นตัวแทนส่วนหนึ่งของตัวเองเลย เพราะฉะนั้นความที่ใช้อารมณ์เขียนมากมันก็เลยทำให้เขียนไม่ออกถ้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้นจริงๆ
ตอนนี้ยาวมากๆ สวัสดีค่ะทุกคน หายไปนานเลย อันที่จริงคอมก็เจ๊งอยู่ช่วงนึง แต่ที่พี้คกว่าคือคิดว่าเรียนจบแล้วแต่ดันไม่จบ WTF มากๆค่ะ หัวปั่นเลยทีเดียว
แต่ถึงจะวุ่นวายจริงๆ ตอนนี้ก็ควรจะคลอดออกมานานแล้วค่ะ ที่มันช้าก็เพราะว่ามันเขียนยาก ยาก....ยา........กเหลือเกิน ตั้งแต่เช้าช่วงสุดท้ายของภาคเราก็ต้องใช้สติมากๆ เพราะเหตุการณ์หลายที่เกิดขึ้นต่อๆกัน ถึงจะเขียนพล็อตไว้แล้วแต่พอเขียนเป็นฉากจริงๆ จะตัดตรงไหน เล่าตรงไหนก่อนก็ยากมากๆ หวังว่าจะไม่งงกัน บางช่วงเลยตัดสินใจย้อนไว้ด้วย
พอเขียนไม่ติดต่อกันก็จะยิ่งเรียงลำดับยากเข้าไปใหญ่ ตัวละครจะหลุดคาแรกเตอร์แรกก็เยอะ ฝืนเขียนทุกวันมันก็ฝืด บอกเลยว่าเป็นตอนที่เขียนแล้วเครียดมากๆ เครียดจน เอ๊ะ เราเขียนเพื่อความสนุกนี่ ทำไมเขียนแล้วตัวเองเครียดไปด้วยล่ะ???????? เป็นภาคที่บู๊ตลอดจนบอกไม่ถูกว่าไคลแม็กซ์มันคือตรงไหน ที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่ในที่สุดมันก็จบลงที่ตอนนี้จนได้ค่ะ/ปาดเหงื่อ ต้องขอบคุณซิกกันกับมิเรียนเจ้าเก่าจากลัสท์เทรล ถ้าไม่มี 2 คนนี้คงจะเครียดมากแน่ๆ เขียนไปเขียนทำไมจิ้นกันได้ก็ไม่รู้ ไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ
สุดท้ายนี้เรื่องเวทมนตร์ของราฟรีนก็เป็นสิ่งที่คิดไว้นานแล้ว ถ้าใครจำคืนที่แม่ของซิลอยด์ตายได้ โยนาก็พูดชื่อเมืองของตัวเองออกมาด้วย เมืองที่เป็นภาษาเกาหลีนั่นล่ะค่ะ ทุกคนคงจะรู้แล้วว่าที่ผ่านมาเรามีน่านฟ้าแทนทวีปของโลก แล้วทวีปเอเซียมันหายไปไหนล่ะ? คำตอบก็กำลังจะมาในภาคหน้า ที่ไม่เคยปูเร่องนี้ไว้เลยเพราะไม่เคยคิดว่าจะเขียนถึง orz แต่ก็ถึงแล้วจริงๆ อีกไม่กี่ตอนเราก็จะออกจากภาค 2 โดยสวัสดิภาพ ทั้งที่คิดว่าจะไม่เอื่อยแล้วเชียว ทำไมมันเอื่อยจนไดนะ หรือเพราะเราเป็นคนเอื่อยๆล่ะมั้ง คิดแล้วอันตายชะมัดเลยค่ะ แต่สัญญาว่าภาคหน้าจะสนุกขึ้น ถ้ายังมีแรงใจอยู่อ่ะนะ....
ความคิดเห็น