คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : 24th Tale : สิ่งหนึ่งที่หายไป
ร่างผอมซูบดึงมือในอากาศเผยจอสีขนาดใหญ่
ก่อนที่ส่วนประกอบต่างๆในห้องจะเปลี่ยนไปกลายเป็นห้องโล่งที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ต่างๆ
“ก่อนอื่นที่เจ้ากำลังสงสัย
ข้ารู้จักไนกี้มาตั้งนานแล้วและข้าไม่ได้เป็นคนของกองพันรัตติกาล”เขาพูดต่อไปในขณะที่ลอเฟย์ตาโตในจังหวะที่ชื่อกองพันหลุดออกมา “และข้าออกเสียงไนคก์ได้แต่ข้าไม่เรียก ถ้าเจ้ากำลังคิดในใจน่ะนะ”...สมแล้วที่เป็นเจ้าแห่งการตัดบท
“แต่คุณก็รู้เรื่องกองพันรัตติกาล”
“เราทำงานประสานกัน
แต่ข้าไม่อยู่ใต้คำสั่งของนางหรอกนะ”จาเวิร์ดขยายความ
ก่อนจะเป็นไนค์ผู้เบื่อหน่าย “กองพันรัตติกาลอาจะเป็นความลับก็จริง
แต่ยังมีหลายคนที่ทำงานช่วยเหลือให้ภารกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและพวกเขาไม่ใช่คนของกองพัน
คิดเสียว่าเป็นเหมือนเครื่องมือที่ฉันจะใช้”
“เครื่องมือเลยหรือ
เธอใจร้ายจริง”คุณหมอหนุ่มแกล้งตัดพ้อทั้งที่ยังเดินวนไปทั่วเหมือนพายุ
“แต่ด้วยเหตุนั้นเองเมื่อเจอปัญหาทางด้านพันธุกรรม
ข้าจึงเป็นคนหาคำตอบ”
“ขอเชิญมาฝั่งนี้หน่อยได้ไหม?”
หญิงสาวโคลงศีรษะพลางถอนหายใจ
เมื่อหล่อนก้าวผ่านไปลอเฟย์ก็ตามไปด้วย
มวลอากาศเปลี่ยนผันกลายเป็นบรรยากาศเย็นชื่นของศูนย์แพทย์แทน
ห้องที่พวกเขามาเยือนนี้แตกต่างจากห้องในศูนย์แพทย์ทั่วๆไปมาก
เมื่องมองอีกทีหลายๆอย่างก็ไม่คุ้นตา เขามองเข้าไปในจอภาพเพื่อพบรูปจำลองที่คุ้นเคยอีกครั้ง
สีเหลี่ยมผืนผ้าโปร่งแสงในอากาศร่อนมาวางในแนวราบที่ระดับหน้าอกของเขา
แต่ระดับพอดีของอีกสองคน
“ก่อนอื่นข้าขอถามเจ้าว่าเคยเลือดออกหรือเปล่า?”แสงสีฟ้าส่องกระทบใบหน้าเปื้อนยิ้มของจาเวิร์ด
“ไม่ครับ ไม่เคย”เขาชะงักตอบ
“เคยมีบาดแผลไหม?”
“ก็ไม่เคยเหมือนกันครับ”ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ฟอร์ลีเขาก็สังเกตร่างกายของตัวเองมาตลอด
ทว่านอกจากอาการปวดกระดูกแล้วก็ไม่เคยมีแผลอะไรเป็นจริงเป็นจังเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ข้าจะอธิบายง่ายๆก็แล้วกัน
ตามปกติแอซซึ่งเป็นพลังงานพิเศษของแอซไพรซส์จะวนเวียนอยู่ในรูปของสิ่งที่จับต้องไม่ได้และเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเจ้า
แอซไพรส์ทุกคนจะมีความสามารถในการป้องกันตัวเองพื้นฐานก่อนจะใช้เวทมนตร์ได้อยู่แล้วนั่นก็คือการใช้แอซ
เอาล่ะจำไว้แค่นั้นก่อน”
จาเวิร์ดแบมือออก
สร้างลูกบอกเล็กๆสีฟ้าขึ้นมา
“แอซกับเวทมนตร์ต่างกันที่
แอซคือพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้จากธรรมชาติ
ในขณะเดียวกับถ้ามีแอซมากก็จะเรียกใช้เวทมนตร์ได้มากตามไปด้วย
พูดง่ายๆว่าแอซเป็นตัวสร้างเวทมนตร์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีการแบ่งระดับแอซไพรส์ว่าใครทำอะไรได้บ้าง
เวทมนตร์ที่เกิดจากแอซที่ไหลเวียนปกติจะมีสีฟ้าอมเขียวอย่างของลัสท์เทรลเป็นต้น
แต่.....”
ทันใดนั้นเขาก็ซัดลูกบอลในมือใส่กลางหน้าอกของลอเฟย์
ความรุนแรงของเจ้าสิ่งที่ดูไม่อันตรายกระแทกร่างของเขาจนถอยหลังไป
แสงสีน้ำเงินดุจไพลินสว่างวาบจากจุดที่ถูกโจมตีเมื่อครู่
“!!!”
“สิ่งที่หุ้มตัวเจ้าอยู่เป็นสีน้ำเงินเข้ม”ไนค์มองตามด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยความสนใจ
“จากการทดสอบและความเป็นไปได้แค่หนึ่งในล้าน...แม้แต่ข้าเองก็ว่ามันน่าเหลือเชื่อ
ตอนที่เจ้าตกลงมาจากฟ้าแอซทั้งหมดแปรสภาพเป็นผลึกเพื่อป้องกันแรงกระแทก
จึงเกิดเป็นดาวหางสีน้ำเงินตกลงไป ง่ายๆคือค่าพลังของเจ้ามันเข้มข้นกว่าแอซที่ไหลเวียนอยู่ปกติไงล่ะ”
ในภาพจำลองวัตถุชิ้นหนึ่งตกลงมา
มันค่อยๆลุกไหม้จากจุดเล็กๆด้วยไฟที่มีสีเหมือนอัญมณี และลามเลียจนครอบคลุมทั้งหมด
กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่ที่หล่อหลอมสิ่งที่อยู่ด้านในจนเป็นผลึก
เหมือนกับในบันทึกของกราเซียที่เขียนว่าร่างทารกถูกห่อหุ้มในผลึกประหลาด
“นี่คือตัวอย่างแอซที่ถูกแปรสภาพอย่างไม่สมบูรณ์ที่ฉันเอามาจากอีดริทก์”หัวหน้ากองพันรัตติกาลโยนหินก้อนเล็กที่มีสีเข้มกว่าเวทมนตร์ทั่วไปให้จาเวิร์ด
“อืม...ถ้าเปรียบเทียบกันแอซของเจ้าของคือหินก้อนนี้
เพียงแต่มันอยู่ในตัวเจ้าแล้ว
คิดให้สบายใจซะคือมันกลายเป็นของที่เรียกคืนมาไม่ได้เท่านั้นเอง”
“สรุปง่ายๆคือไม่มีเวทมนตร์หรือแม้แต่อาวุธใดๆในโลกนี้จะทำอันตรายเจ้าได้”
“ถ้างั้นอีดริทก์พยายามจะใช้แอซของเทพเจ้าคนอื่นสร้างเป็นโล่งั้นหรือครับ?”เขาถามแทรกอย่างร้อนรน ข้อสงสัยที่ตั้งไว้ก่อนที่ความจริงจะถูกชี้แจงกลับมีเหตุผลขึ้นมา
“โล่ที่ทำอย่างไรก็ไม่แตก
ไม่ใช่สิ่งที่วิเศษที่สุดหรอกหรือ? เพียงแต่ถ้าทำแบบนั้นกับแอซของตัวเองมันก็จะใช้เวทมนตร์ไม่ได้
เหมือนอย่างเจ้ายังไงล่ะ
และที่น่าสนใจกว่าคือใครก็ตามที่บงการมันอยู่นั้นรู้เรื่องของเจ้า ที่แม้แต่เรายังพึ่งจะรู้”
“อันที่จริงจะบอกว่าหนึ่งในล้านก็คงเป็นเรื่องที่ผิด..ยังมีแอซไพรส์บางส่วนที่มีความสามารถในการใช้ผลึกฟ้า
เพียงแต่มันเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นและความเข้มข้นของผลึกก็ไม่มากเท่าของเจ้า”ไนค์สอดส่องข้อมูลที่ได้จากก้อนหินอย่างใกล้ชิด
แสงของจอแสดงผลสร้างความน่ายำเกรงและอึดอัดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวสมกับเป็นหัวหน้ากองพันลึกลับ
“หนึ่งในล้านคือวิธีที่มันเกิดขึ้นจากการตกลงมาแล้วรอดตายต่างหาก”คุณหมอหนุ่มชี้
ลอเฟย์เองก็ตระหนักถึงข้อนี้เช่นกัน
เขาไม่มีโอกาสได้เจออัลเธียอีกตั้งแต่วันนั้น ไม่แน่ชิ้นส่วนอื่นๆของเรื่องประหลาดนี้อาจจะอยู่ที่อัศวินแห่งยูโธเปียและท่านหญิงรีเวฟ์ก้าก็ได้
“แล้วแอซไพรส์พวกนั้นเป็นยังไงหรือครับ?”
“พวกเขาใช้เวทมนตร์ได้ตามปกติ
แต่ผลึกฟ้าที่เกิดขึ้นเองก็อยู่ในลักษณะเดียวกันคือเป็นเครื่องป้องกันตัว
อย่างที่ฉันเคยบอกไปแล้วว่าตัวนายคือเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไรล่ะ”หญิงสาวตัดบท
“ต่อจากนี้คือเรื่องที่ต้องจำให้ได้ขึ้นสมอง
ฉันจะพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่ว่านายจะอยากฟังหรือยอมรับได้หรือไม่ก็ตาม...เพราะนี้เป็นเรื่องของตัวนายที่เกี่ยวข้องกับลัสท์เทรลโดยตรง....”หล่อนเท้าแขนพลางโน้มตัวมาหน้าข้าง
ราวกับเงามืดที่ปกคลุมเครื่องจำลองแสง
แม้แต่จาเวิร์ดเองก็หยุดฟังไปด้วยทำให้เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
เมื่อดวงตาสีน้ำเงินมองสบด้วยความกล้าทั้งหมดที่มี
ริมฝีปากของหญิงสาวก็เหยียดยิ้ม
“มีใครบางคนที่ยูโธเปียกำลังมองหาสิ่งนี้อยู่
ก่อนที่นายจะขึ้นมาที่ลัสท์เทรล ลอร์ดอีดริกท์ก็เข้ามาแทรกซึมและทำการทดลองอยู่เงียบๆก่อนแล้ว
ประจวบเหมาะกับการเดินทางของไนทริค ลูเฮมไฮม์
...ดัชเชสแห่งเลแรงก์ถูกส่งมาที่นี่เหมือนจะกันออกนอกวง แต่หล่อนก็ไม่ได้รามือจากการตามหาของชิ้นเดียวกัน
แต่ว่าอาจเป็นในจุดประสงค์ที่ตรงข้ามกับยูโธเปีย....”
“อัลเธียถึงจงใจเข้ากองพันอัศวิน!”ลอเฟย์โพล่งขึ้นท่ามกลางการพยักหน้ารับของแอซไพรส์รุ่นใหญ่ทั้งสอง
“แน่นอนว่าดัชเชสแห่งเลแรงก์อาจมีคำตอบให้เจ้า
แต่ในเวลานี้ที่เจ้าไม่รู้อะไรเลย อ่อนแอ
ไร้ซึ่งพลัง....แน่ใจแล้วหรือว่าคำตอบนั้นจะเป็นสิ่งที่นายพร้อมจะฟัง?”หัวหน้ากองพันรัตติกาลมองตรงเข้าไปในดวงตาซึ่งเป็นสีเดียวกับดาวหางลุกโชติช่วง
“ฉันจะไม่อ้อมค้อม...นายจะวิ่งออกไปหาท่านหญิงก็ย่อมได้
แต่ฉันก็ไม่สัญญาว่าจะปล่อยชีวิตของนายลอยนวลไปแบบนั้นเช่นกัน
เพราะมันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะกำจัดทุกอย่างที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อลัสท์เทรลยิ่งในเวลาที่ขั้วอำนาจต่างๆยังไม่ชัดเจนเช่นนี้....”ดวงตาคมกริบของหล่อนไม่มีแววล้อเล่นราวกับพร้อมจะปลิดชีพของเขาได้ทุกเมื่อ
มันเขย่าร่างของลอเฟย์ให้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวยามเมื่อน้ำเสียงแข็งกร้าวคำรามออกมาอีกครั้ง
“นายมีแค่สองทางให้เลือก
จะเลือกดัชเชสแห่งเลแรงก์หรือจะเป็นคนของกองพันรัตติกาล?
อยู่ฝั่งเดียวกับลัสท์เทรล ไขว่คว้าพลังของตัวเอง
เพื่อให้พร้อมฟังคำตอบไม่ว่าในวันใดก็ตาม!”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง
ตัวตนที่เล็กจ้อยของเขาตกลงสู่ก้นบึ้งที่ไร้จุดสิ้นสุดของคำถามและความว่างเปล่า
ในนั้นไม่มีอะไรเลยที่จะคว้าจับได้เป็นของตนเอง
แม้ว่าไนคก์จะทำทุกอย่างเพื่อลัสท์เทรล
แต่นั่นก็คือโอกาสเดียวที่ค้นหาที่ยืนของตนเอง
เขาผ่านเส้นทางที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกมาแล้ว ในวันนี้เขามีโอกาสที่จะเลือกด้วยตัวเอง
คำตอบมันแทบจะชัดเจนอยู่แล้ว...เป็นคำขู่แล้วอย่างไร?
เขาจะไม่ตายที่นี่ด้วยมือของหล่อน
“ผมเลือกกองพันรัตติกาล”
น้ำเสียงของลอเฟย์ไม่เหลือแววสั่นสะท้านอีกต่อไป
เรียกรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมแฝงด้วยความพึงพอใจบนใบหน้าของนางมารแห่งลัสท์เทรล
ไหล่ที่ตั้งตึงของหล่อนผ่อนลงพร้อมกับประกายบางอย่างในดวงตาสีเทาที่ลอเฟย์ไม่คาดฝันว่าจะเห็น....ความปลอดโปร่ง
“.....เชื่อใจฉัน
ทุกอย่างจะเปิดเผยเมื่อนายอยู่ในจุดที่เข้มแข็งพอ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆของหล่อน
เขาก็หวังว่าตอนเองได้เลือกสิ่งที่ถูกต้องแล้ว บางทีหนทางข้างหน้า...อาจต้องใช้ความศรัทธาและมุ่งมั่นมากกว่าสิ่งใดๆ
ในตอนนี้ไนคก์เป็นเพียงหลักยึดเดียวที่เขามี
เมื่อบรรยากาศกดดันสลายตัวไป
จาเวิร์ดก็ปรบมือดังๆเป็นการเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟังอีกสองคน
“....ยังไงก็ตาม
กรณีของเจ้าเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งในประวัติศาสตร์เทพเจ้า
ปกติแล้วผลึกฟ้าจะเกิดกับเทพเจ้าระดับสูงในกรณีที่พยายามสุดๆเท่านั้น การเกิดขึ้นตามธรรมชาติยังเป็นเรื่องอัศจรรย์
ฉะนั้นฝั่งโน้นเองก็คงหาทางไม่ได้ง่ายๆหรอก
ในเมื่อแม้แต่ข้าที่เป็นยอดนักปราชญ์ยังหาไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสบายใจได้”จาเวิร์ดยิ้มกว้าง ขัดกับปฏิกิริยาของผู้ฟังโดยชัดเจน
“คุณเป็นนักปราชญ์?!”ลอเฟย์อุทานลั่น ไม่สิ ยอดนักปราชญ์!
เทพนักปราชญ์หรือเหล่านักปราชญ์คือผู้ทรงความรู้ในแขนงต่างๆอย่างล้ำลึกและเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์
ซึ่งถือเป็นแอซไพรซ์ระดับสูงที่ต้องมีระดับมากกว่าสามขึ้นไปจึงจะสำเร็จ
“แหงสิ
เขาเป็นหัวหน้าหอแพทย์หลวงนี่ คิดว่ากองพันรัตติกาลจะไว้ใจคนฝีมือห่วยๆงั้นรึ?”
“เดี๋ยวก่อนครับ
แล้วทำไมคุณถึงไม่อยู่ในปราสาทลัสท์เทรลล่ะ!?”เด็กหนุ่มแทบจะล้มทั้งยืนกับข้อเท็จจริงของคนที่เขาอาศัยห้องใต้หลังคานอนมาตลอด
จาเวิร์ดผู้ชอบตัดบทเป็นชีวิตจิตใจและดูว่างงานอย่างน่าอิจฉา
“อ้าว
ก็พวกนั้นอายุยืนจะตายไปวันดีคืนดีคงไม่มานั่งป่วยให้ข้าดูแลหรอก สู้มาหาอะไรทำข้างนอกยังดีกว่าจริงไหม?”เจ้าตัวพูดอย่างมีเหตุผล แถมยังดูจริงจังกว่าปกติอยู่นิดหน่อยเสียด้วย
“พักหลังไม่ค่อยได้เห็นหน้าเจ้า
ข้าก็คิดถึงอยู่บ้าง ว่าจะย้ายไปแถวๆกองพันสัประยุทธ์ดีไหม?”ช่างเป็นคุณหมอร่างผอมซูบที่เป็นห่วงเขาราวกับพ่อ
ทว่า...
“ทำไมต้องกองพันสัประยุทธ์ครับ?”ลอเฟย์สะกิดใจ เขาหันไปถามไนค์ผู้นิ่งเงียบผิดปกติมาตั้งแต่ต้น
โดยที่เจ้าหล่อนส่งสายตากลับมาที่จาเวิร์ด
“ก็ในการวัดระดับแอซของเจ้าไม่สามารถทำด้วยวิธีปกติได้เพราะแอซของเจ้าดันแปรสภาพไปแล้ว
ฉะนั้นเราจะใช้วิธีง่ายๆ เกราะของเจ้ารับได้ถึงระดับไหนก็แปลว่าเจ้าอยู่ในระดับนั้น
เจ้าเคยรับวงแหวนมรณะของเสาฝึกไปแล้ว
หมายความว่าเจ้าต้องมากกว่าขั้นต่ำสุดของระดับสี่”ภาพจำลองกลายเป็นรูปตัวคนล้อมรอบด้วยเกราะทรงกลมและตัวอักษรอธิบายลักษณะง่ายๆของกระสุนแต่ละระดับ
ดูจากความแรงที่มากกว่าระดับห้ามาถึงลูกสุดท้ายที่เขาโดนหวดเข้าไปตอนนั้น
“แล้วถ้าผมเจอการโจมตีที่แรงกว่าระดับของตัวเองล่ะครับ?”เขามองตามความเป็นไปได้ที่เครื่องคำนวณออกมาในรูปแบบต่างๆแล้วรู้สึกหวาดเสียวขึ้นมา
ดูเหมือนจาเวิร์ดจะคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ไม่รู้สิเจ้าก็คงได้เห็นเลือดครั้งแรกในชีวิตล่ะมั้ง?”
“ผมไม่อุ่นใจเลยครับ....”ลอเฟย์พึมพำ
“ดังนั้นฉันจะส่งนายไปในที่ๆเหมาะแก่การทดสอบและได้ฝึกฝนความปวกเปียกไปพร้อมๆกัน
นั่นคือกองพันสัประยุทธ์ ...อ้อ หน่วยปฏิบัติการนะเจ้าลูกไก่ ไม่ใช่หน่วยฝึกหัด”หัวหน้ากองพันรัตติกาลคลี่ยิ้ม แสงเรืองๆของจอโปร่งแสงส่องจากด้านล่างทำให้หล่อนดูเหมือนปีศาจที่ชอบหลอกเด็กๆในตอนกลางคืน
....ส่วนระหว่างนั้น
หล่อนก็ต้องติดตามดัชเชสแห่งเลแรงก์อย่างใกล้ชิด
“ปกติก็เป็นกองพันที่รับพวกประหลาดๆอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องกังวลมากล่ะ จะมีมืออาชีพมาคอยดูแลถึงที่เชียวล่ะ"แทบไม่ต้องดูก็รู้ว่าข้อมูลที่เกจของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง
คราวนี้เป็นกองพันที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดหินที่สุดในลัสท์เทรล
ลอเฟย์กระตุกมุมปากเหมือนจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก ไม่ใช่แค่คนละหน่วยกับสองสหาย
แต่ยังเป็นหน่วยที่ฝึกฝนอย่างหนักแน่นที่สุดอีกด้วย
“คงไม่ลืมความตั้งใจเมื่อกี้หรอกนะ...ความแข็งแกร่งของนาย
นอนรออยู่ที่นั่นแล้ว”
และด้วยประการฉะนี้...ลอเฟย์
ไลน์สเตรนจ์จึงได้มายืนขาแข็งอยู่หน้าซุ้มหินทรงโค้งขนาดใหญ่ที่แค่แหงนหน้ามองความสูงของมันก็ทำให้ปวดคอแล้ว
ความคิดเห็น