คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : 23th Tale : กองพันรัตติกาล
ความรู้สึกแรกที่เขาสัมผัสคือความเย็น
ก่อนที่จะเป็นอาการเสียวไส้ราวกับตกลงไปในเหว
ลอเฟย์ต้องปิดหน้าเมื่อถูกแสงสว่างพุ่งวาบผ่านตาอีกครั้ง
เมื่อดวงตาสีน้ำเงินเปิดขึ้น...ก็ไม่ทันที่จะรับมือกับอะไรได้ทั้งสิ้น
“โอ๊ยยยยย!”
ร่างของเด็กหนุ่มตกกระแทกพื้นดังปัก
แผ่นหลังบิดโค้งอยู่บนพื้น
รอบตัวสว่างจ้าเสียจนนัยน์ตาที่ต่อสู้กับความมืดมาหลายชั่วโมงไม่สามารถเพ่งมองได้ตรงๆ
เขาต้องกระพริบตาหลายครั้งกว่าที่อาการนั้นจะหายไปและเพดานห้องมืดสลัวกับผนังที่คุ้นตาจะปรากฏขึ้นช้าๆ
ลอเฟย์ลุกขึ้นนั่งพลางหมุนศรีษะไปรอบๆเขาเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว
แต่นี่คือห้องหมายเลข 128 ไม่ผิดแน่! ผลึกที่กลางห้องยังตั้งอยู่เหมือนเดิม
หน้าต่างทรงสามเหลี่ยมที่เปิดให้แสงจันทร์ลอดผ่านตั้งอยู่ที่เดียวกันยามอาบแสงอาทิตย์
ฝ่ามือสัมผัสพื้นหินสีเข้มยิ่งมั่นใจได้ว่าเป็นที่ๆเข้าเคยล้มหมดสภาพในวันทดสอบ
เขามาที่นี่ได้อย่างไร? ในสมองลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ยูลิสท์ล่ะ
เขาจะหนีไปได้ไหม? ลอเฟย์ค่อนข้างมั่นใจว่าชายหนุ่มผมทองน่าจะปลอดภัยหายห่วง
แต่ต้องหนักใจมากขึ้นเมื่อนึกถึงอัลเธีย เจ้าของชื่อจะไปตามที่นัดกันหรือไม่?
ในที่ที่อีดริกท์เกือบจะฆ่าเขาตายน่ะหรือ? เมื่อครู่เขายังไม่เห็นเงาของอีกฝ่ายก็จริง
แต่เขาอยากไปเตือนอัลเธีย
อยากถามเรื่องราวเป็นรอยพันทว่าตอนนี้แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
ร่างโปร่งที่สะบักสะบอมไปทั้งตัวทิ้งลงกับพื้นอย่างหมดแรง....ถ้านี่เป็นความฝันขอให้มันผ่านไปเร็วๆเถอะ
เขาจะยอมไปเจอบทลงโทษของไฮเกลด้วยความยินดีเลย
ดวงตาปรือลงเมื่อความเหน็ดเหนื่อยเข้าจู่โจมพาสติจมหายไปในห้วงนิทรา จนกระทั่ง...
“ไลน์สเตรนจ์”
เสียงนั้นไม่ดังมากนักแต่กังวานก้อง
ไม่ดุดันแต่กระชับจนร่างที่นอนแน่นิ่งต้องกระเด้งตัวลุกขึ้นมา
ลืมความปวดระบมของกล้ามเนื้อไปจนหมดสิ้น
เบื้องหน้าเขาเหมือนกับภาพเดจาวู
รองเท้าบูทหัวแหลมที่น่าหวั่นเกรงใต้ชุดเครื่องแบบสีแดงเข้มไล่ไปจนถึงเรือนผมสีเงินกระจ่างทอประกายภายใต้แสงเบาบางของดวงจันทร์
หากแต่ดวงตาคู่นั่นคมกริบแม้แต่ในความมืดไม่ต่างจากครั้งแรกที่เจอ
ชแฮนเดอร์!
“ครับ ครับ!”เขาโค้งตัวแล้วแอ่นหลังตรงแน่ว ดวงตาเบิกกลมทั้งตกใจและตะลึงไปพร้อมกัน
หล่อนย่นหน้ามองลงมาจากส่วนสูงที่มากกว่าเล็กน้อย
ปล่อยในห้องมีแค่เสียงลมหายใจของลอเฟย์ที่เขาพยายามทำให้มันเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ทำไมฉันถึงเจอนายในสภาพดูไม่ได้ตลอดเลยนะ”คล้ายจะเป็นคำเหน็บแนมเสียมากกว่าคำถาม
แอซไพรซ์ผมดำกลืนน้ำลายเมื่อร่างสูงระหงที่เหมือนดวงวิญญาณเคลื่อนผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ
ลอเฟย์มองแผ่นหลังที่วุ่นวายอยู่กับผลึกที่กลางห้องแล้วตัดสินใจถาม
“ผมมาที่นี่ได้ยังไง?”
“ฉันพามาเอง”หล่อนตอบในไม่ถึงอึดใจ เหมือนกับการพูดคุยโต้ตอบทั่วไป
“วงแหวนสีเงินเป็นผีมือคุณหรือ?!”เขานึกถึงการโจมตีสุดท้ายของเสาที่เลี้ยงที่หายไปในพริบตา
วงแหวนขนาดใหญ่ที่ดูดเอากระสุนเวทมนตร์ทั้งหมดไปและเสียงระเบิดจากห้องทำงานของอีดริทก์
ตอนนี้ทุกที่กลับตาลปัตรกำลังเผยตัวออกมาอย่างเหลือเชื่อ
“นั่นเป็นความสามารถของฉัน”จบคำก็มีเสียงดีดนิ้ว คราวนี้ลอเฟย์ไม่ทันตั้งตัว
เขารู้สึกเหมือนหล่นทะลุพื้นในแนวตั้งอย่างรวดเร็วก่อนจะโผล่ลงมาในห้องเดิม
ฝ่าเท้ากระแทกพื้นด้านหลังชแฮนเดอร์อย่างรงจนต้องนิ่วหน้า
“....เอ่อ..นั่น..”เขาอ้าปากค้าง
“เปิดมิติ....เฮ่อ
ท่าทางต้องไปอีกไกล”หล่อนกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย
แสงในห้องสว่างขึ้นภายใต้สัมผัสจากนิ้วมือของหญิงสาว
ใบหน้าที่ประกอบด้วยสัดส่วนคมชัดของหล่อนดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
แต่ไม่ได้คลายความเข้มงวดลง ชแฮนเดอร์ยื่นมืออกมาหาเขา ลอเฟย์มองมันอย่างไม่ไว้ใจ
เขายังจำได้แม่นว่าครั้งล่าสุดเกิดอะไรขึ้นในเหตุการณ์นี้
ใช้เวลาตัดสินไม่นานภายใต้ดวงตาคมกริบก่อนที่มือเปื้อนคราบฝุ่นจะค่อยๆเช็ดกับชายเสื้อแล้วประสานไปหาอีกฝ่าย
“เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว
ฉันไนคก์ ชแฮนเดอร์ หัวหน้ากองพันรัตติกาล”
ลอเฟย์นิ่งไปเหมือนถูกสาป
สรรพเสียงรอบตัวที่แม้จะเงียบสงบกลับกลายเป็นเงียบงัน
เหมือนกับว่าทุกชีวิตรอบตัวของเขาหยุดนิ่งไปหมดพร้อมๆกับคำพูดของหล่อน
ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนของไนคก์ค่อยๆเหยียดมุมปากอย่างสะใจกลายเป็นสีหน้าที่โหดร้ายต่อผู้ฟังอย่างที่สุด
ในภายหลังเขากลับมาสงสัยอยู่หลายครั้งว่าทำไมจึงหลงเชื่อหล่อนไปได้...
“กองพัน...รัตติกาล?”เขาได้ยินเสียงตัวเองทวนคำพูดอย่างกระท่อนกระแท่น
“นายมาสอบเองไม่ใช่รึ?
มาตกใจอะไรตอนนี้กัน”หญิงสาวสะบัดมือออก
แล้วเช็ดถุงมือกับผ้าสะอาดด้วยกิริยารังเกียจ “ห้อง 128 เป็นห้องสอบของกองพันฉันมาตั้งนานแล้ว”
“แต่ว่าผมเข้ากองพันอัศวินแล้วนี่ครับ?”ลอเฟย์เลิกแขนเสื้อขึ้นมาดูแถบที่ข้อมือ มันกระพริบหลายครั้งกว่าจะทำงาน
ไนคก์เพียงแค่เลิกคิ้วกับข้อโต้แย้งนั้น
“วันทดสอบฉันบอกว่าสถานที่สอบต่อไปจะบอกผ่านเกจที่ข้อมือ
คิดว่าโชคช่วยหรือไงที่ลูกไก่อ่อนอย่างนายได้เข้ากองพันอัศวิน”
เด็กหนุ่มอ้าปากค้างจนคิดว่ากรามแทบร่วง
ตลอดเวลาที่เขาอยากคิดบัญชีกับไนทริคอยู่ตลอดเวลาแต่เป็นหล่อนเองหรือที่จับเขาโยนเข้าไป! กองพันอัศวินเป็นแค่บททดสอบหนึ่งของชแฮนเดอร์งั้นหรือ!? กองพันรัตติกาลมีอำนาจมืดขนาดที่ส่งคนเข้าไปอยู่ในกองพันอันดับต้นๆของลัสท์เทรลได้ง่ายๆเชียว?
ราวกับรู้ถึงความคิดของลอเฟย์ หล่อนเหยียดยิ้มเย็นยะเยือกเป็นคำตอบ
“คุณคิดยังไงถึงส่งผมไปที่แบบนั้น”เขาเอ่ยถามเสียงหลง
ใจคอไม่ดีนักเมื่อคิดว่ากำลังจะมีสิ่งที่ทำใจยากจะรับฟังตามมาอีกมากแค่ไหน
“ฉันมีงานต้องจัดการที่นั่น
ก็เลยส่งนายไปที่เดียวกับเจ้าอัศวินหัวหงอกนั่นซะเลย”เรื่องนี้ยังไม่น่าตกใจเท่าไหร่ในเมื่อหล่อนปรากฏตัวขึ้นมาในคืนนี้ก็คงจะมีความเกี่ยวข้องกับอัลเธียไม่มากก็น้อย
เขามองตามแผ่นหลังที่ปกคุลมด้วยเส้นผมสีเงินยวงของหล่อน นึกสงสัยในใจว่าผมสีเทากับเงินนั้นต่างกันอย่างไร
ถ้าหล่อนจะเรียกอัลเธียว่าหัวหงอกน่ะนะ....
“แล้วก็หยุดเรียกฉันด้วยสรรพนามแบบนั้นได้แล้ว”หล่อนติเสียงห้วน
“เอ่อ..ครับ ท่านไนกี้?”ในเมื่อมันเป็นคำที่ใช่ได้ถึงมหาเทพก็คงจะใช้กับหัวหน้ากองพันได้เหมือนๆกัน
แผ่นหลังของหล่อนตึงขึ้นทันทีตามด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์
“ไนคก์”
“ไนกี้”
ลอเฟย์พยายามเลียนแบบสำเนียงหนักแน่นของหล่อน
แต่มันกลับทำให้ไนคก์ต้องยกมือขึ้นนวดขมับ ดีที่สุดที่เขาจะออกเสียงได้คือ ‘ไนกี้’ ซึ่งไม่ต่างจาก ‘ไนคก์’ ในหูของลอเฟย์เสียเท่าไหร่
เขาเริ่มหายใจเขาออกอย่างอึกอัดเมื่อหล่อนออกคำสั่ง
“ลองอีกทีซิ”
“ไนค์”เด็กหนุ่มพูดออกมาในที่สุด แค่พยางค์เดียวยังออกเสียงได้ยากลำบากขนาดนี้
ไม่แปลกที่หล่อนจะไม่อยากให้เขาเรียกนามสกุล
“ได้! จบที่อันนั้นแหล่ะ”เจ้าของชื่อโบกมือไล่อย่างรำคาญ หล่อนถอนหายใจยาว “เฮอะ พวกหางเปียลิ้นสั้น การเอาหัวกระแทกพื้นโลกไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนไปบ้างเลยเรอะ?”
“เอ่อ
ผมโตในมิดการ์ดครับ” ลอเฟย์ยิ้มแหยๆสะดุดหูกับคำบ่น
เขามองไนค์ที่จบกระบวนการบางอย่างกับผลึกสามเหลี่ยมแล้วหันมามองเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่ตลอดเวลา
“แกตกลงมาจากน่านฟ้ายูโธเปีย
และนั้นไม่ทำให้พันธุกรรมอะไรเปลี่ยนไปเลย โดยเฉพาะผิวซีดๆนั่นด้วย”หญิงสาวยืนอยู่ที่เดิม
มองทะลุดวงตาสีน้ำเงินที่เบิกกว้างของลอเฟย์ด้วยสายตาเฉียบคม
ก่อนโบกมือในอากาศครั้งหนึ่งเพื่อปิดระบบที่กำลังทำงานอยู่ “คิดว่ามีแต่เจ้าหัวหงอกที่รู้เรื่องดาวหางสีน้ำเงินหรือไง
เจ้าเปี๊ยก”ไนคก์กอดอก ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“74 ปีก่อนมีรายงานดาวหางสีน้ำเงินพุ่งลงมาจากน่านฟ้ายูโธเปียที่เมืองฟอร์ลี
แคว้นเซมิเนีย สถานการณ์รอบด้านไม่ได้รับความผิดปกติ
ทว่าดาวหางนั้นกลายเป็นแอซไพรส์ ภายหลังคือลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์
รายงานของนายส่งมาพร้อมกับการลาดตระเวนของไนทริค ลูเฮมไฮม์ในเหตุการณ์ที่ฟอร์ลีเมื่อสามเดือนก่อน
เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อลัสท์เทรล...แม้แต่นายก็คงรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่แอซไพรส์คนหนึ่งจะถูกขนส่งอย่างลับๆโดยไม่มีข้อมูลอะไรเหลือทิ้งไว้
แม้ว่าการขนส่งนั้นจะพลาดจนสัมภาระหล่นหายไปก็ตาม”
ผลึกสามเหลี่ยมที่ไนค์วุ่นวายอยู่ก่อนหน้านี้ฉายภาพก้อนหินขนาดใหญ่ที่จำลองเป็นรูปดาวหางที่กำลังพุ่งลองมาจากท้องฟ้า
“ลอเฟย์
ไลน์สเตรนจ์ แม้แต่ฉันก็ไม่รู้ว่านายเป็นใคร
ข้อมูลทุกอย่างของนายตั้งแต่ประวัติโดยย่อจนถึงความสามารถพิเศษต่างๆเป็นเรื่องที่เราพึ่งค้นพบ
สิ่งที่ฉันอยากให้นายรู้ซึ้งก็คือการมีตัวตนของนายมีอาจมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อแอสการ์ด
จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
นายต้องอยู่ในการดูแลของกองพันรัตติกาล...มันเป็นทางเดียวที่ทุกอย่างจะเป็นความลับ”
ไนค์ไม่พูดอะไรต่อ
ในน้ำเสียงของหล่อนไม่มีความกดดันหรือการบีบบังคับ เป็นแค่การบอกเล่าที่ลอเฟย์ตระหนักถึงความหมายที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
“ผมเป็นแค่แอซไพรส์ระดับ
0 จะไปทำอะไรแอสการ์ดได้ยังไงกัน?”เขาหัวเราะ
รู้สึกว่าเสียงของตนเองไม่มั่นคงนัก
ภาพดวงดาวเคลื่อนที่ไปที่ขอบด้านล่างของรูปจำลองก่อนแตกออกเป็นกลุ่มแสงขนาดย่อมสีน้ำเงิน
หัวหน้ากองพันรัตติกาลนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดออกมา
“....นายไม่ใช่แอซไพรส์ระดับ 0”ค่าตัวเลขต่างๆเริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้งเมื่อดาวหางสีน้ำเงินวนกลับมาเริ่มต้นใหม่
ลอเฟย์ก้าวเข้าไปหาหล่อนด้วยสีหน้าที่ใกล้เคียงกับความเหลือเชื่อ
“แอซคือพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเทพเจ้าทุกคนโดยไม่มีข้อแม้และการสูญสลาย
มันคือพลังงานที่หล่อเลี้ยงจนกว่าชีวิตจะสูญสิ้น
อีกนัยหนึ่งคือพลังงานที่ทำให้แอซไพรส์เป็นแอซไพรส์
ซึ่งเกี่ยวพันถึงดวงวิญญาณมากกว่าพลังเวทมนตร์ใดๆ
ในกรณีของนายถูกสมมุติขึ้นมา....ความสูงที่ดาวหางเริ่มปรากฏเหนือพื้นดิน
ไม่นับรวมระดับที่อยู่ในไบฟรอสต์และมีม่านพลังแน่นหนา คำนวณปัจจัยเหล่านี้เข้าไป
แม้แต่แอซไพรส์ระดับสูงที่โตเต็มวัยก็อาจจะไม่รอดชีวิต....”
แสงสีน้ำเงินของมันกระทบนัยน์ตาที่ไม่อาจบ่งบอกความรู้สึกของเขา
เกิดเป็นประกายบางๆที่หางตา ตัวเลขในภาพจำลองหมุนสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว
“แอซทั้งหมดในร่างกายของนายแปรเปลี่ยนเป็นเกราะที่แข็งแกร่งที่สุด
เพื่อปกป้องลมหายใจในยามที่ยังเป็นทารก....นั่นเป็นสาเหตุที่ในร่างของนายไม่มีแอซเหลืออยู่เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว”เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของหล่อนมาจากที่ไกลๆ
เมื่อดาวหางระเบิดอีกครั้งเขาจ้องไปในกลุ่มควันกลมฟูฟ่องที่เกิดจากแรงระเบิดเล็ก
ในนั้น...เหมือนมีเสียงกัมปนาทที่ทำให้หูอื้อ
แสงเรืองรองปะทะกัน
ในนั้นที่เขารู้สึกเหมือนถูงดึงกลับไปในม่านควันที่ห่อหุ้มกายด้วยกลิ่นเผาไหม้ในกาลเวลาที่เนิ่นนานเกินกว่าจะจำได้
ในกลุ่มแสงที่เจิดจ้านั้น
เด้กหนุ่มรู้สึกว่าเขาได้สูญเสียอะไรบางอย่างไป
ความรู้สึกวูบโหวงที่ผลักให้ปลายนิ้วคว้าไปยังภาพจำลองที่ได้กลับมาเพียงสัมผัสของอากาศว่างเปล่า...
ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย
“ถ้าอย่างนั้นผมก็เสียแอซไปหมดแล้วหรือครับ?...”
“ไม่ มันยังคงอยู่
แต่ในรูปแบบของสิ่งที่ไม่ใช่พลังงาน ....ลอเฟย์นายเป็นข้อพิสูจน์แรกของการแปรสภาพแอซ
ส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณให้เป็นสิ่งของที่จับต้องได้ นี่!
คือเกราะที่แข็งแกร่งที่สุด”ไนค์จับข้อมือของเขาขึ้นมา
ความรู้สึกของผิวกายที่สัมผัสกับเนื้อผ้าของถุงมือสีขาวประหลาดไป
ปลายนิ้วที่เปรอะเปื้อนคราบฝุ่นสั่นระริก
‘นี่คือเกราะที่แข็งแกร่งที่สุด’
“คงเข้าใจใช่ไหมว่า ‘นาย’ มีผลกระทบต่อลัสท์เทรลอย่างไร? ไม่ใช่ทุกคนที่อยากครอบครองภูมิปัญญานี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจหรอกนะ
สิ่งที่อีดริกท์ทำเป็นเพียงการทดลองจำลองสถานะของนายขึ้นมาเท่านั้น
สิ่งนี้เกี่ยวโยงไปหาเรื่องที่ใหญ่หลวงจนไม่อยากจะฟังเชียวล่ะ”หล่อนปล่อยมือลงแล้ว
แต่แขนข้างนั้นของเขายังคงค้างอยู่ในท่าเดิม
ลอเฟย์มองผิวเนื้อที่ไม่ต่างจากคนทั่วไปด้วยดวงตาที่สั่นคลอ
เกจสามเหลี่ยมที่ข้อมือเรืองแสงขึ้นมาแล้ว
มันฉายประวัติของเขาที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือนับร้อยหมุนเปลี่ยนไปมา ไม่มีสักชื่อ
สักตำแหน่งที่เหมือนกัน สุดท้ายมันก็จบลงที่จอว่างเปล่า
“แล้วคนที่รู้เรื่องของผมก่อนหน้านี้ล่ะครับ
พวกเขาจะเป็นยังไง?”จาเวิร์ด ปารีส ไนทริค เฮเลน
แม้แต่อัลเธีย แล้วก็ยูลิสท์... ชื่อเหล่านี้ก้องอยู่ในหัวเขา
ลอเฟย์มองไปที่ร่างของไนค์ เรือนผมสีเงินดูดแสงสว่างรอบตัว
อำพรางขอบเขตของเธอให้ดูเหมือนไม่มีอยู่จริง
“ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น
เพราะนายไม่มีชีวิตอยู่ในความเป็นจริง ฉันจะอนุญาตให้นายมีชีวิตอยู่ในความทรงจำ”ไนค์เบือนหน้าไปที่ผลึกควบคุมอีกครั้ง
แค่นิดเดียวแต่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าหล่อนหนักแน่นกว่าทุกครั้งที่เคยพูด
“จนกว่าเรื่องนี้จะเรียบร้อย
ยินดีต้อนรับสู่กองพันรัตติกาล”
สิ้นเสียงข้อมือของเขาก็กระตุก
“โอ้ย!”มันไม่แรงนัก
แต่ลอเฟย์รู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าแล่นวาบผ่านไปเหมือนครั้งแรกที่ไนค์ประทับตรานี้ลงบนข้อมือ
วินาทีที่ประจุเล็กๆแทรกไปทั่วกายความรู้สึกต่างๆถูกพวกมันพัดหายไปด้วยแรงแตกตัวที่เหมือนดวงดาวนับล้านวิ่งไปจนถึงปลายนิ้วมือ
เกจสีเงินเปลี่ยนไป
พื้นผิวของมันถูกเคลือบด้วยประกายเหลือบมุกที่ชัดเจนกว่าครั้งก่อน
ภาพเบื้องต้นในอากาศเป็นข้อมูลแท้ของเขา พร้อมด้วยสัญลักษณ์ต่างๆที่เปลี่ยนไป
“ของพวกนั้นมีไว้ใช้งานในภารกิจ
อย่าฝันว่าฉันจะให้นั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ
ระหว่างนี้สิ่งที่นายต้องทำคือจำทุกอย่างในลัสท์เทรล...ให้หมด!”ไนค์ย้ำเสียงเข้ม บรรยากาศกดดันโรยตัวลงมาปกคลุมหล่อนอีกครั้ง “ถ้ามีอะไร ฉันจะติดต่อผ่านนายไปเอง ทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้อยู่ในเกจที่ข้อมือ
หวังว่าที่อ่านภาษานอร์สโบราณได้จะไม่ใช่เรื่องโม้นะเจ้าเด็กบ้านนอก?”ใบหน้าของนางมารยิ้มเยาะ
“ไม่ครับ”ลอเฟย์สะดุ้งทันทีที่หล่อนเริ่มกอดอก “ท่านไนค์
แล้วคนในกองพันอัศวินล่ะครับ?”ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนที่เอะใจกับความผิดปกติแน่ๆ
คนจำนวนมากขนาดนั้นถ้าไนค์อุ้มหายไปทีเดียวจะเป็นข่าวเงียบๆได้หรือ? ไนค์ไม่หันหลังมาแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกถึงรอยยิ้มที่ทำให้หนาวยะเยือก...
“ฉันยุบไปแล้ว
พวกกระจอกควรจะโผล่หัวที่ชายแดนภายในพรุ่งนี้เช้า”
“ทั้งหน่วยเลยหรือครับ!”
“ทั้งกองพัน”
ลอเฟย์พูดไม่ออก
อันที่จริงหล่อนทำอะไรกับหัวหน้ากองพันไปเขาก็ยังไม่รู้เลย!
ตอนนี้ทั้งกองพันหายไปที่ไหนคงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นคงรู้
เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดที่อันตรายที่สุดของลัสท์เทรล
และบางทีที่หญิงสาววุ่นวายอยู่เป็นระยะตั้งแต่ต้นอาจจะเป็นคำสั่งนี้ก็ได้
ก่อนที่ลอเฟย์จะได้ถามอะไรออกไป ผู้หญิงที่อยู่ในความคิดของเขาก็หันหลังมา
“ให้พูดอีกครั้งไหม? ที่นี่คือกองพันรัตติกาล”
ลอเฟย์พิสูจน์ตำนานได้ข้อหนึ่ง ไนคก์
ชแฮนเดอร์เป็นผู้หญิงที่มีร้อยยิ้มของปีศาจจริงๆ
63 วันหลังจากเข้าสู่ลัสท์เทรล
ลอเฟย์ ไลน์สเตรจน์ หน่วยงาน : กองพันรัตติกาล
ลัสท์เทรลคือศูนย์กลางของภูมิปัญญาโบราณที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเทพเจ้า
สรวงสวรรค์แห่งนี้ปกครองโดยมหาเทพโอดินซึ่งเป็นเอกเทวะหนึ่งเดียวของโลก ทว่านอกจากในนิทานปรับปราทั้งหลาย
ลัสท์เทรลคือมหานครลอยฟ้าขนาดยักษ์ที่ประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆมากมายที่ทำงานด้วยวิทยาการล้ำยุคชนิดว่าเด็กบ้านนอกคนหนึ่งไม่อาจจินตนาการได้
ลอเฟย์หยุดที่หน้าประตูไม้ทรงโค้งขนาดใหญ่ที่เปิดเอาไว้ตอนรับผู้มาเยือนตลอดเวลา
แต่การที่จะเข้าสู่ห้องสมุดรวมของอินเนอร์ไชร์นั้นจะต้องผ่านกำแพงบางๆที่ทำให้ภาพด้านในดูเหมือนมองผ่านคริสตัลไปเสียก่อน
ร่างของเขาซึมซับความเย็นสดชื่นเมื่อเดินทะลุกำแพงเวทมนตร์เข้ามาในหอตำราขนาดย่อมที่ทำด้วยไม้มะฮอกกานีขัดเป็นเงาวับ
สันหนังสือเรียงกันอย่างเป็นระเบียบบนชั้นที่สูงไปถึงเพดานทรงกลมตามแบบท้องฟ้าที่แสดงวิถีโคจรของดวงดาวต่างๆจนไปถึงพยากรณ์อากาศด้วยเวทมนตร์
เนื่องจากในอดีตชนเผ่าเทพเจ้ามีชีวิตอยู่ในยุคสงครามซึ่งมนุษย์กว่าครึ่งเอาชีวิตไม่รอดและต้องสู้รบกับอสูรฝั่งตะวันออกอยู่ตลอดเวลา
ลัสท์เทรลจึงพัฒนาขึ้นมาในรูปแบบของกองทัพ
จึงไม่น่าแปลกใจที่นครซึ่งเจริญด้วยอารยธรรมแห่งนี้จะประกอบด้วยกองพันกว่าสิบกองและกำลังพลมหาศาลในทั่วทุกทวีป
อย่างไรก็ตามมีน้อยคนนักที่จะรู้ถึงกองพันต่างๆที่ทำงานอย่างเป็นความลับ
หนึ่งในนั้นคือกองพันรัตติกาล
...กองพันรัตติกาลปรากฏอยู่ในทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่มีการก่อตั้งลัสท์เทรลอย่างเป็นทางการ
มักเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่หาคำตอบไม่ได้และถูกเชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์สำคัญต่างๆมากมายในรอยต่อของประวัติศาสตร์
ทั้งนี้ทั้งนั้นหลักฐานต่างๆในการยืนยันตัวตนของกองพันปริศนานี้ยังคงมีเพียงคำเล่าลือปากต่อปากที่ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่ากองพันรัตติกาลมีหน้าที่อะไร...
...แต่กระนั้นก็ยังอุส่าถูกเขียนในหนังสือ
ถึงจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไม่ใช่หนังสือโครงสร้างสถาบันก็เถอะ
เด็กหนุ่มปิดหนังสือเล่มหนาที่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ในยุคกลางถึงยุคฟื้นฟูอารยธรรมของอีเซอร์
หน้าที่ของไนคก์
ชแฮนเดอร์คือดูแลทุกอย่างที่ผิดปกติให้กลายเป็นความปกติด้วยวิธีการที่ไม่จำกัดภายใต้อำนาจมืดของกองพันรัตติกาล
และด้วยข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นกองพันที่รับคำสั่งโดยตรงจากโอดินเท่านั้น
ภารกิจเกือบทุกอย่างจึงเป็นความลับระดับสุดยอด
แอซไพรส์ผมดำเหลือบไปที่วัตถุชิ้นหนึ่งบนชั้นหนังสือที่สูงกว่าชั้นอื่นๆ
อย่างเช่นภารกิจของเขาในวันนี้ที่ต้องมาขยับเจ้าแจกันสีเขียวเข้มที่วางผิดองศาไปแค่นิดเดียว
แต่ใครจะรู้ล่ะว่ามันเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของกลไกระเบิดที่ถูกติดตั้งไว้ที่ฐานของนครลอยฟ้า
ทางที่ดีไม่ควรจะวางมันผิดที่จะดีกว่า....
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมของอันตรายอย่างกลไกเวทมนตร์มหาประลัยถึงถูกตั้งอยู่ในห้องสมุดของอินเนอร์ไชร์นั้นไม่มีอะมากไปกว่า
“มันก็ถูกตั้งอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว”
และคำถามต่อไปที่เขาคิดในวินาทีแรกที่ได้ยินเรื่องนี้คือไม่มีใครรู้จริงๆหรือว่ามีระเบิดติดตั้งอยู่ที่ใต้บ้านของตัวเอง
คำตอบก็คือไนคก์รู้และหล่อนรู้ความลับทุกอย่างในลัสท์เทรล ดังนั้นนอกจากดูแลความสงบในที่ลับแล้ว
กองพันรัตติกาลยังรู้ความลับของสิ่งอย่างและทุกคนในลัสท์เทรลอีกด้วย
คิดไปแล้วเขาก็เลื่อนไปมองขวดเหล่าโบราณที่ตั้งประดับอยู่อีกมุมหนึ่งเพื่อความปลอดภัยว่ามันไม่ได้หันไปผิดด้านจนเกิดเปิดประตูลับบานหนึ่งเข้า
“ก่อนจะอ่านเล่มนั้นนายควรจะรู้โครงสร้างของสิบกองพันเสียก่อน”ปลายนิ้วที่แตะลงบนตำราเบื้องหน้าชะงักลง
ที่ว่างในอากาศด้านหลังของเขาถูกแทนด้วยร่างของหญิงสาวคนหนึ่งอย่างเงียบเชียบ
หล่อนนั่งหันหลังชนกับเขา
“ผมก็แค่สงสัยน่ะครับ”เขาพยายามไม่สะดุ้งกับการมาถึงของไนค์ที่ทำอย่างไรก็ไม่หายตกใจซะที
“นายอ่านเล่มที่ฉันสั่งไปหมดแล้วรึ?”หางเสียงของหล่อนประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงไม่หันมา เช่นเดียวกับลอเฟย์ที่ไม่อยากหันไปเห็นสายตาอันคมกริบของหัวหน้ากองพัน
หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาไนค์ไม่ให้เขาทำอะไรไปมากกว่าศึกษาทุกอย่างในลัสท์เทรล
หล่อนสั่งรายชื่อหนังสือในห้องสมุดให้เขาอ่านเป็นว่าเล่น
นำชีวิตเล็กๆจากลานฝึกของเขาเข้าสู่อินเนอร์ไชร์ เขตชั้นในของลัสท์เทรลที่เป็นดั่งสมองของนครลอยฟ้า
ที่นี่ลอเฟย์ต้องเดินเข้าเดินออกหอตำราในฐานะบรรณนารักษ์ฝึกหัดจากเมืองเล็กๆที่ถูกส่งมาทำงานชั่วคราว
“อ่านหมดแล้วครับ
ผมมีข้อสงสัยหลายข้อ ดูเหมือนว่าจะมีข้อมูลพื้นฐานที่ผมยังไม่รู้
แล้วก็ตรงนี้อีก...”เสียงหัวเราะของไนค์หยุดมือเขาจากการสลับหนังสือตรงหน้าไปมา
ที่มากกว่านั้นคือเสียงเล็กๆเจื้อยแจ้วที่มาจากกลุ่มสาวๆที่เดินผ่านมา
ทำเอาลอเฟย์ชะงักบทสนทนาที่จริงจังอยู่เพียงคนเดียวด้วยใบหน้าร้อนฉ่า
“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ”ไนค์หัวเราะอย่างไม่สนใครและไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองเห็นหล่อน
“ท่านก็...รู้แล้วอย่าแกล้งผมเลยครับ”เขาลูบใบหน้าจนแก้มตึง โธ่เอ้ย
เขาน่าจะเอะใจสักหน่อยว่าทำไมผู้บัญชาการกองพันรัตติกาลถึงกล้ามานั่งอยู่ในห้องสมุดตอนกลางวันแสกๆ
“ฉันไม่ได้แกล้ง
แกมันไม่มีไหวพริบต่างหาก”ร่างในเครื่องแบบสีแดงเข้มไหวไหล่ “แค่นี้ก็ไม่รอบคอบแล้ว ชีวิตท่าจะสั้น”ไนค์จงใจพูดต่อให้น้องใหม่ในกองพันอันตรายเจ็บใจดำเล่นๆ
เรียกสายตาเหน็ดเหนื่อยของคนข้างหลัง
“เอาเถอะ ตามฉันมา”เรียวขายาววาดออกจากท่านั่งไขว่ห้างอย่างสวยงาม
หล่อนเดินตรงไปตามทางหลักที่ผ่ากลางห้องสมุดโดยมีลอเฟย์เดินตามหลังแบบเว้นระยะห่าง
ผ่านโต๊ะหนังสือใหญ่นับสิบ
เรือนผมสีเงินถูกแสงแดดจากหน้าต่างรอบหอตำราเป็นสีทองอ่อนๆตัดกับชุดสีสะดุดตาที่ไม่มีใครมองเห็น
มิฉะนั้นรูปร่างที่โดดเด่นจะต้องดึงดูดสายตาคนไม่น้อย
ความสูงของไนค์และรองเท้าบูทอันน่ายำเกรงนั้นเกินกว่าลอเฟย์ไปเกือบคืบ
เป็นอีกครั้งที่แอซไพรซ์ผู้น่าสงสารนึกน้อยใจส่วนสูงของตัวเองอยู่บ้าง.......นึกถึงตรงนี้แล้ว ลอเฟย์มีลางสังหรณ์ว่าหล่อนกำลังยิ้มอยู่
ทั้งสองหยุดลองที่ท้ายของห้องโถงยาว หน้าประตูเล็กๆที่ห่างไกลการบูรณะบานหนึ่ง
“นี่มันห้องเก็บของ...”เขามองหน้าไนค์ด้วยความงุนงงในขณะที่หัวหน้ากองพันรัตติกาลไม่กล่าวอะไร
เปิดประตูห้องเก็บของออกด้วยท่าทางทะมัดทะแมงเช่นเดิม “.....ใช่ไหมครับ?”
สีหน้าของเด็กหนุ่มจืดไปสนิทเมื่อพบกับวงแหวนสีเงินและก้นบึ้งดำทะมึนของมันรออยู่
“อยากรู้ก็เข้าไปสิ”หญิงสาวโคลงศีรษะไปด้านใน
...ไม่ค่อยอยากรู้เลยครับ
แต่กระนั้นแอซไพรส์ชั้นผู้น้อยก็ต้องกลั้นใจแหย่ขาเข้าไปในมิติปริศนาก่อนที่รองเท้าบูทที่ดูไม่น่าไว้ใจคู่นั้นจะส่งเขาไปเอง
เด็กหนุ่มถูกดูดเข้าไปมิติปริศนาตั้งแต่วินาทีที่ร่างกายทุกส่วนผ่านเข้ามาในความมืด
ราวกับมีลมหวนพัดผลัก
ร่างของเขาเซเสียหลักไปเล็กน้อยก่อนที่จะเหยียบลงบนพื้นที่ต่างออกไปจากเดิม
แสงสีทองทักทายดวงตาของลอเฟย์
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็มาอยู่ในโดมแกวขนาดใหญ่ที่มีท้องฟ้าเป็นเพดานและแสงเรืองรองจากทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาของลัสท์เทรล “.....ว้าว”เขามองคานที่พาดกลางหลังคาแก้วเหมือนกับลูกโลกขนาดยักษ์
ที่เสาใจกลางของห้องยังมีบันไดวนขึ้นไปสู่ชั้นลอยเหมือนบนเสากระโดงเรือ
มันเต็มไปด้วยเครื่องมือประหลาดที่ลอเฟย์ไม่เคยเห็นอาบย้อมด้วยผิวทองคำอร่ามตา
อีกมุมหนึ่งมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่และกองหนังสือวางอยู่
เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
“นี่คือห้องทำงานของฉัน”เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นโดยไม่มีที่มา
ไนค์ก้าวผ่านเด็กหนุ่มผมดำไปที่โต๊ะทำงานของหล่อนอย่างปกติ
“ตกใจเรอะ?
ยอดปราสาทลัสท์เทรลมองเห็นทุกส่วนในแอสการ์ด
เว้นเสียแต่หอคอยดาราของมหาเทพ”หล่อนเบือนหน้าไปด้านนอก
มีเงาของหอคอยสูงชะลูดตั้งอยู่ไกลๆ
“หมายความนี่คือปราสาทของมหาเทพโอดินหรือครับ?”เขายืนอยู่บนยอดปราสาทลัสท์เทรล! ในใจกลางของนครลอยฟ้า
เขาต้องลูบแขนตนเองอย่างอดไม่ได้เมื่อรู้สึกขนลุกขึ้นมา
เงาปราสาทสีขาวที่เขาเฝ้ามองมาตั้งแต่เด็ก
แม้ว่าจะอยู่ในลัสท์เทรลก็ยังไกลเหมือนเกินเอื้อมมือ
มันเป็นไปได้อย่างไร...?
“เราอยู่ในเงามืด
จะไปไหนไม่จำเป็นต้องผ่านประตู ลัสท์เทรล...จะเป็นเหมือนเขาวงกตในมือเจ้า”ดวงตาคมกริบถลำลึกเข้าสู่ห้องความคิดของตนขณะมองเด็กหนุ่มในวัยเยาว์ที่ตื่นตัวออกนอกหน้าจนลืมท่าทางยำเกรงที่มีต่อหล่อนไป
“ต่อไปนี้ให้มาหาฉันที่นี่”ไนค์ตวัดเสียง เรียกความสนใจจากลอเฟย์อีกครั้ง “วันนี้เป็นเรื่องของนาย”
“เรื่องของผม?”
“ไม่อยากรู้ความจริงแล้วหรือ?”หล่อนเลิกคิ้วใส่คำทวนนั้น
ก่อนจะลุกขึ้นเดินวนไปที่อีกด้านตามด้วยลอเฟย์ที่อยากรู้อยากเห็น “ฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้
เพราะฉะนั้นฉันจะให้คนที่ถนัดอธิบายกับนายเอง ...แต่ด้วยความงี่เง่าของหมอนั่นทำให้ฉันต้องเสียเวลา”
จินตนาการไม่ออกเลยว่าใครทำให้คนอย่างไนค์ต้องหัวเสีย
ดวงตาสีน้ำเงินมองตามปลายนิ้วชี้ที่ลากไปในอากาศเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่
เส้นแสงสีเงินปรากฏตัวตามปลายวิถีนิ้วของหล่อนจนบรรจบกันเป็นวงกลมและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
กลายเป็นวงแหวนสีเงินขนาดเท่าตัวคนลอยอยู่กลางอากาศ
ลอเฟย์ไม่ละสายตาไปจากมือในถึงมือสีขาวที่ชูขึ้นด้านหน้า
นิ้วกลางแตะกับนิ้วโป้งชั่วครู่เหมือนเล็งอะไรสักอย่าง
และในตอนนั้นเองมันดีดออกจากกัน
พร้อมๆกับทิวทัศน์หลังวงกลมปลิวหายไปในจุดศูนย์กลางดุจน้ำวน เบื้องหลังของมันคือสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
“ปีกพยาบาล?”ยิ่งมองยิ่งแน่ใจว่าเป็นปีกพยาบาลที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาร่วมสองเดือนอย่างแน่นอน
แล้วไนค์มีธุระอะไรกับที่นี่กัน? ก่อนที่เขาจะลั่นปากถามออกไป
เสียงของตกหล่นจากอีกฝั่งหนึ่งดังขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงที่เขายิ่งกว่าคุ้น
“เกือบจะตัดเตียงออกเป็นสองท่อนอีกแล้ว”
“จาเวิร์ด!!”
“ว่าไงหนุ่มน้อย
สวัสดีไนกี้ ขอบใจที่ไม่ผ่ากลางตัวข้าอีกนะ”หัวหน้ากองพันรัตติกาลแผ่รังสีอำมหิตอย่างไม่ปิดบัง
เมื่อจาเวิร์ดผู้ดูปกติดีทุกกระเบียดนิ้วโผล่เข้ามาในวงแหวนหรืออีกฝั่งของวงแหวนถ้าจะเจาะจง...
“อันที่จริงฉันกำลังเล็งอยู่”หล่อนยิ้มมาดร้ายให้เป็นเครื่องยืนยัน ลอเฟย์ที่ยืนข้างๆถึงกับกลืนน้ำลาย
ต่อไปนี้ทุกวินาทีเขาคงจะพะวงกับการมีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไปกระทันหัน
“ข้ารู้น่ะสุดสวยว่าเธอเล็งแม่น”นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้วคุณหมอร่างผอมยังยิ้มกลับอีกด้วย
ไม่น่าแปลกใจถ้าจาเวิร์ดจะเป็นคนต่อกรกับปีศาจร้ายแห่งกองพันรัตติกาล
“เอ่อ...สวัสดีครับ?”เขาพยายามพูดอย่างปกติเหมือนที่พึ่งพูดกับจาเวิร์ดไปเมื่อเช้านี้
“ยินดีต้อนรับ
ถึงจะได้ไม่ก้าวขาเข้ามาก็เถอะ
บ่ายนี้เป็นนัดของข้ากับเจ้าเรื่องแอซที่หายไปกับเกราะมหัศจรรย์สีน้ำเงิน
เจ้าเป็นคนไข้เจ้าประจำของข้าเลยนะรู้ไหม?”
-------------------------------------------------
ต่อไปจะเป็นเรื่องที่คนงงกันมากที่สุดแล้ว กับพลัง 0 ของลอเฟย์ 55555555555555
ใครอ่านมาถึงตรงนี้ขอเสียงหน่อยค่าาาา
ความคิดเห็น