ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rockman X {x} Zero no Tsukaima : โลกใบใหม่

    ลำดับตอนที่ #49 : TotW - V: จอภาพสีน้ำเงิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 218
      5
      27 ส.ค. 59

    เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังมาจากบนยอดไม้ เงาที่เกิดจากแสดงอาทิตย์ยามเช้าทอดลงไปที่พื้นถนน ใบไม้ไหวเบาๆ ตามสายลมที่พัดมาพร้อมกับความเย็นและความชื้น แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านใบและกิ่งก้านตกลงบนผ้าคลุมสีน้ำตาลของผู้ที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ ดวงตาสีเขียวมรกตมองทอดออกไปเบื้องหน้า

     

    ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรตามถนนสายนี้ลงเนินไปไม่สูงมาก เมืองขนาดกลางตั้งอยู่บนที่ราบมีทุ่งหญ้าห้อมล้อม ป้องกันด้วยกำแพงหินและหอสังเกตการณ์ มีประตูเมืองสามจุดและถนนสามสายเป็นทางเชื่อมต่อกับภายนอก อาคารภายในเมืองจัดเรียงค่อนข้างเป็นระเบียบไม่หนาแน่น หลังคาทั้งแบบหน้าจั่วและแบบลาดรอบด้านสีน้ำตาลบ้างเทาบ้างเรียงรายทั่วเมือง มีหอคอยหลังคากลมโค้งให้เห็นบ้างประปราย อาคารที่สูงและฟู่ฟ่าที่สุดคือโบสถ์ประจำเมือง

     

    สัญญาณมาจากในเมืองสินะ

     

    เสียงพึมพำดังขึ้นจากร่างใต้ผ้าคลุม ทั้งที่รอบข้างก็ไม่มีใคร แต่ก็มี<เสียง>ตอบกลับมา

     

    (...ถูกต้อง...)

     

    <เสียง>ตอบเสียงแรกเรียบนิ่งปราศจากความรู้สึกใดๆ  <เสียง>ต่อมาทุ้มนุ่ม ให้ความรู้สึกหยิ่งนิดๆ

     

    (ฮึ่ม เป็นเมืองที่ล้าหลังจริงๆ  ถึงการตกแต่งจะใช้ได้ แต่ไม่มีสะเก็ดของเทคโนโลยีเลย)

     

    นายก็พูดอย่างนี้ทุกเมืองนั่นล่ะ ที่จริงก็แค่อยากขโมยของไม่ใช่รึไง

     

    ริมฝีปากใต้ผ้าคลุมยิ้มเจื่อนๆ  จังหวะเดียวกันนั้นเสียงที่สี่ก็แทรกขึ้นมา

     

    (เรื่องไม่มีเทคโนโลยีฉันไม่ใส่ใจ แต่การตกแต่งแสบตาเกินไป)

     

    ดูเหมือนความเห็นจะไปขัดกับเสียงก่อนหน้าเข้า

     

    (สัตว์เลื้อยคลานคงไม่เข้าใจความงดงามของศิลปะ ได้แต่อยู่ในป่าในเขา)

     

    (แล้วนายเองล่ะ เห็นบอก อยากดื่มด่ำกับธรรมชาติอันสวยงาม เลยขอไม่กลับไซเบอร์สเปซไม่ใช่รึไง?)

     

    (ไม่ใช่ ธรรมชาติ  กุหลาบ ตะหาก ไซเบอร์สเปซจืดชืดมอซอไร้สีสัน อยู่กันได้ยังไงน่าเบื่อ)

     

    เสียงถอนหายใจลอดออกมาจากใต้ฮู้ดเงียบๆ ท่ามกลางคำโต้แย้งที่โยนไปมา ก่อนที่ใบหน้าจะเงยขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวมรกตกับขอบโลหะสีน้ำเงินเหนือหน้าผาก ส่วนที่เรปลิลอยด์เอ็กซ์ ยอมเผยต่อสายตาภายนอกมีเพียงเท่านั้น

     

    เอ็กซ์ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะดีใจดีไหมที่คนรู้จักเก่าแก่ยังเหมือนกับที่จำได้

     

    [สไปค์ โรสเรด] คือหนึ่งในอิเร็กกุล่าร์ที่เขาเผชิญหน้าเมื่อครั้งวิกฤติยูราเซีย โรสเรดถือเป็นสิ่งประหลาดในหมู่เรปลิลอยด์ เพราะเกิดจากการกลายพันธุ์ที่หาได้ยาก ระหว่างยูนิตควบคุมธรรมชาติในประเทศยูเครนกับไวรัสซิกม่า หลังจากนั้นโรสเรดก็ซ่อนตัวและออกตระเวนเก็บเทคโนโลยีตามใจ หนึ่งในนั้นเป็นเครื่องยนต์กระสวยอวกาศที่จำเป็นสำหรับจรวดที่ต้องใช้ทำลายยูราเซีย เป็นเหตุผลให้เอ็กซ์กับโรสเรดต้องต่อสู้กัน

     

    อีกเสียงหนึ่งคือ [สติง คาเมลิโอ] อดีตอิเร็กกุล่าร์ฮันเตอร์หัวหน้าหน่วย 9 หน่วยพิเศษ(ทหารพราน) เป็นหนึ่งในแปดอิเร็กกุล่าร์ฮันเตอร์ขั้น A พิเศษที่เข้าฝ่ายกบฏซิกม่าในสงครามครั้งแรกสุด หนึ่งในคนรู้จักและศัตรูแรกๆ ของเอ็กซ์

     

    นับตั้งแต่ซินนามอนเมื่อสี่ปีก่อน คาเมลิโอเป็นไซเบอร์เอลฟ์ตัวแรกที่ขอไม่กลับไซเบอร์สเปซ เขาพบคาเมลิโอบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่(มาก)ต้นหนึ่งกลางป่าเมื่อสามปีก่อน และทั้งคู่ก็เดินทางมาด้วยกันนับแต่นั้น จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว เขาพบโรสเรดท่ามกลางกอกุหลาบประดับสวนคฤหาสน์หลังหนึ่ง คณะเดินทางแสนหรรษาจึงกลายมาเป็นสามคน

     

    ทั้งหมดพูดคุยกันได้ในฐานะคนรู้จักเก่าแก่ แม้จะไม่ถึงขั้นสนิทเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่มีความเป็นศัตรูดังเช่นเมื่อก่อน สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะความมุ่งร้ายที่เคยมีต่อกันหายไป เอ็กซ์รู้สึกซาบซึ้งในตัวมาเธอร์เอลฟ์มากขึ้นยิ่งกว่าที่เคย

     

    เอ็กซ์พร้อมด้วยไซเบอร์เอลฟ์ที่ล่องหนต่อสายตามนุษย์ทั้งสามเดินลงเนินไปตามถนน กระชับผ้าคลุมซ่อนร่างกายที่เป็นโลหะจากสายตาแพร่งพราย

     

    (...)

     

    ร่างในผ้าคลุมเดินไปบนถนนที่ปูด้วยหินสีเทา ผ่านร้านรวงและผู้คนที่สัญจรไปมา ต่างคนต่างสนใจธุระของตนเอง น้อยนักจะใส่ใจมองคนสวมผ้าคลุมสีจืดชืดเป็นหนที่สอง

     

    ดวงตาสีเขียวมรกตใต้ฮู้ดมองทัศนียภาพริมทางบ้างตามความเคยชิน เป็นนิสัยที่ได้มาหลังจากขจัดความกังขาออกไปและให้อิสระกับตัวเองมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าลืมเป้าหมายเดิมของตัวเองไป...ไม่ใช่ทุกบ่อย

     

    ปึก

     

    เอ็กซ์ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง หรือใครบางคน เพราะมัวแต่มองข้างทาง

     

    ขอโทษที/ครับ

     

    สองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เอ็กซ์กับชายที่เขาเดินชนชะงักไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

     

    ฉัน/ผมไม่ระวังเอง

     

    ทั้งสองชะงักไปอีกอึดใจ ก่อนจะต่างสำรวจอีกฝ่ายให้ชัดๆ

     

    เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเอ็กซ์มีความสูงเท่าๆ กับเขา ผมสั้นระต้นคอสีบลอนด์สว่างรวบขึ้นท้ายทอย ใบหน้าละอ่อนคล้ายผู้หญิงแต่ยังพอมองออกว่าเป็นชาย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายใสที่มองมาทางเขาแสดงความประหลาดใจนิดๆ

     

    ขณะเดียวกัน ดวงตาสีน้ำเงินที่อยู่ตรงข้ามก็มองเห็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง ผมสั้นสีน้ำเงิน ดวงตาสีเขียวมรกต สวมชุดผ้าลินินแขนยาวขายาวและรองเท้าบูทหนึ่งคู่ใต้ผ้าคลุมเก่าๆ ผืนหนึ่ง

     

    ตั้งแต่ได้คาเมลิโอมาร่วมทางด้วย เอ็กซ์ก็ใช้รูปร่างนี้ทุกครั้งเวลาเข้าเมือง ไม่อย่างนั้นก็ผ่านด่านตรวจที่ประตูไม่ได้

     

    ฉันมัวแต่มองข้างทางเลยไม่ทันเห็นนาย ขอโทษทีนะ เอ็กซ์ยิ้มแล้วขอโทษอีกครั้ง

     

    ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่มองข้างหน้าเหมือนกัน เด็กหนุ่มยิ้มกว้างพลางเอ่ยอย่างอ่อนน้อม

     

    เอ็กซ์ก้าวหลบด้านข้าง ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะต่างคนต่างไปทางของตัวเอง

     

    ทันทีที่เดินจากมา เสียงแขวะก็ตามมาทันที

     

    (เป็นเด็กเข้าสวนสนุกรึไง?)

     

    (ทำบ้านนอกเข้ากรุงไปได้)

     

    ทียังงี้สามัคคีกันดีจริงนะ เอ็กซ์ย้อนเบาๆ  แต่ใบหน้ายิ้ม

     

    เด็กหนุ่มเมื่อครู่ถือว่าสุภาพมากทีเดียวเมื่อวัดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา แต่ก็ใช่ว่าเป็นคนแรกหรือหายาก ไม่มีอะไรที่น่าจดจำเป็นพิเศษ ภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ก็คงจะหายไปจากฐานข้อมูลของเขา ตรงจุดนี้เขาก็ไม่ต่างกับมนุษย์

     

    อย่างไรก็ตาม สัญญาณของไซเบอร์เอลฟ์อยู่ใกล้แค่สามร้อยเมตรแล้ว ความคิดเรื่อยเปื่อยควรจะพักเอาไว้แล้วมาใส่ใจกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก่อนดีกว่า

     

    (...)

     

    จำนวนคนบริเวณชานเมืองนับว่าเบาบางมากเมื่อเทียบกับใจกลางเมือง เพราะเป็นเพียงแหล่งพักอาศัย นอกจากแม่บ้านไม่กี่คนแล้วก็เป็นถนนโล่งๆ ที่มีแต่ความเงียบสงบ

     

    ภายในบ้านหลังหนึ่ง เด็กชายหญิงประมาณสิบคนนั่งรวมกันที่พื้นไม้สีซีด ตรงหน้าแต่ละคนเป็นกระดาษหนึ่งแผ่น มือขวาถือแท่งสีเทาคล้ายเศษถ่านก้อนเล็กๆ หุ้มด้วยเศษผ้าต่างสี หญิงวัยกลางคนในชุดคลุมยาวและผ้าคลุมผมสีดำยืนอยู่กลางห้อง ชะโงกหน้าดูแต่ละคนง่วนกับการขีดๆ เขียนๆ เส้นสีเทาลงบนพื้นหลังสีมอ

     

    ก๊อกๆ

     

    แต่ละมือที่ขยับอยู่หยุดเขียนแทบจะพร้อมกัน เด็กหญิงคนหนึ่งกระโดดผลุงขึ้นวิ่งไปเปิดประตู เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเด็กหญิงก็ยิ้มกว้าง

     

    ฟิลิป!”

     

    เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์สว่างยิ้มและลูบศีรษะเด็กหญิงที่มาต้อนรับ ก่อนจะก้าวผ่านประตูเข้าไปพลางทักทายคนอื่นๆ ในห้อง เริ่มจากหญิงวัยกลางคน

     

    สวัสดีครับ ซิสเตอร์

     

    ซิสเตอร์พยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มตอบ

     

    เด็กๆ คิดถึงเธอแย่แล้ว

     

    บางคนที่ไม่ได้ยินเสียงเคาะและเสียงเปิดประตูเมื่อครู่ เมื่อเด็กหนุ่มสนทนากับซิสเตอร์ก็เงยหน้าขึ้นมากันครบ

     

    สบายดีกันรึเปล่า เด็กหนุ่มเอ่ยทักทาย

     

    ฟิลิปนี่นา!” หายไปไหนตั้งหลายวัน? เมื่อวานก็ไม่มา วันก่อนก่อนนั้นก็ไม่มา

     

    และอื่นๆ ที่สื่อความหมายคล้ายๆ กันถาโถมเข้ามาจากร่างน้อยๆ ทั้งหลายจนเด็กหนุ่มฟิลิปได้แต่ยิ้มแห้งๆ และยกมือสองข้างขึ้นในลักษณะยอมแพ้

     

    ขอโทษทีๆ  งานยุ่งนิดหน่อยน่ะ

     

    งานยุ่งอะไรกันเล่า เป็นแค่พ่อบ้านไม่ใช่รึไง

     

    เจ้าของที่โหดขนาดนั้นเลยเหรอ?

     

    โดนใช้งานหนักรึเปล่า?

     

    สำนึกว่าสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น ฟิลิปสงบใจแล้วค่อยๆ ตอบคำถาม

     

    พ่อบ้านมีหน้าที่หลายอย่างนะ ยิ่งเวลามีแขกมาที่คฤหาสน์ยิ่งยุ่งจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าเจ้านายโหดอะไรหรอก

     

    สังเกตเห็นกระดาษที่วางอยู่หน้าแต่ละคน

     

    ทำอะไรกันอยู่น่ะ?

     

    เด็กผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ ยิ้มอย่างมั่นใจ แล้วลุกขึ้นชูกระดาษให้เด็กหนุ่มดู

     

    เป็นไง เจ๋งใช่ปะ

     

    หืม? ภาพแอ็บสแตร็คท์เหรอ?

     

    ไม่ใช่! ชื่อฉันตะหากล่ะ ชื่อฉัน! เห็นมั้ยเนี่ย!” เด็กชายโวยลั่นพลางชี้เส้นยึกยือบนกระดาษของตัวเอง

     

    ฟิลิปจ้องภาพแอ็บตัวอักษรบนกระดาษอีกราวสองวินาที แล้วจึงย่อตัวลงข้างเด็กชาย

     

    เอ่อ...อัลเล็ค?

     

    เรียกทำไม? แค่สามวันลืมชื่อฉันแล้วเหรอ?

     

    อา...วางกระดาษลงก่อนสิ

     

    อัลเล็คทำตามอย่างงงๆ  ฟิลิปขอแท่งสีเทาจากเด็กชาย แล้วลงมือขีดเขียนใต้รอยเดิมด้วยลายเส้นที่เป็นระเบียบกว่า

     

    ชื่ออัลเล็คเขียนแบบนี้ ถ้าตกสองตัวนี้ไปจะเป็นชื่อของอัลเก้

     

    เด็กชายอีกคนได้ยินชื่อตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมามอง หยิบกระดาษแล้วเดินเข้ามาดูด้วย

     

    ชื่อผมเขียนแบบนั้นเหรอ? แล้ว...

     

    ฟิลิปรับกระดาษมา ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งๆ

     

    ...นี่อ่านว่า อัลเล็ค...

     

    เด็กชายสองคนมองหน้ากัน ไม่รู้จะพูดอะไร

     

    หลังจากนั้นเพียงอึดใจ เสียงก็เริ่มดังขึ้นจากทั่วห้องไม่ขาดสาย

     

    ฟิลิป! ของฉันล่ะ?” ฟิลิปมานี่แป๊บนึง!”

     

    เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยิ้มบางๆ  เป็นยิ้มที่ให้กับภาพตรงหน้ามากกว่าใครคนหนึ่ง แล้วเริ่มเข้าไปหาจากเด็กหญิงที่อยู่ใกล้ๆ

     

    ทีละคนนะ ฉันมีแค่คนเดียว

     

    ซิสเตอร์ยืนอยู่ห่างๆ เฝ้ามองด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

     

    นี่ก็เกือบปีแล้วสินะ...

     

    บ้านเด็กกำพร้าที่ตั้งขึ้นในนามของศาสนจักรและมีเธอเป็นผู้ดูแลนี้ แม้ไม่ขัดสนทางทุนทรัพย์ แต่ช่องว่างขนาดใหญ่สองช่องของเด็กแต่ละคนนั้น เธอคนเดียวไม่สามารถเติมเต็มทั้งหมดได้ ตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนี้เริ่มมาที่นี่ เธอก็รู้สึกว่าช่องว่างนั้นตื้นลงมากทีเดียว

     

    แต่ที่บอกว่าเป็นพ่อบ้านของลอร์ดเอร์ฮาร์ทเจ้าของที่ของเมืองนี้นี่...

     

    หืม?

     

    เด็กผู้หญิงตัวเล็กไม่มารวมกับกลุ่มคนอื่นๆ  ยืนก้มหน้าอยู่คนเดียวด้วยท่าทีอึกอักลังเล

     

    อิลเช่? เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ? ฟิลิปเดินเข้าไปหาและคุกเข่าลงเอามือแตะหน้าผากของเด็กหญิง

     

    ดวงตากลมใสมีน้ำปริ่มขึ้น แล้วเสียงสะอื้นก็ตามมา

     

    ฮา~ ฟิลิปทำผู้หญิงร้องไห้ซะแล้ว ทั้งที่ห้ามเราไม่ให้ทำเองแท้ๆ นะ

     

    เสียงให้กำลังใจ(?)ดังขึ้นด้านหลัง เด็กหนุ่มผมบลอนด์ตีความได้ว่าเขาเป็นสาเหตุของบ่อน้ำล้นนี้

     

    นึกว่า...ฮึก!...จะไม่มาอีกแล้ว... เด็กหญิงเอ่ยปนเสียงสะอื้น หน้ายังก้มงุดไม่สบตากับเด็กหนุ่ม

     

    ฟิลิปผงะไปด้วยอาการงุนงง พลันเสียงให้กำลังใจจากด้านหลังก็ดังขึ้นอีก

     

    อิลเช่เข้ามาทีหลังพวกเรา เด็กที่สุดแต่ก็ติดฟิลิปที่สุดเลยนี่นะ

     

    แถมตั้งแต่ตอนนั้นฟิลิปก็มาทุกวันไม่เคยขาดเลยด้วย จนกระทั่งสามวันมานี้

     

    เด็กหนุ่มผมบลอนด์เข้าใจสถานการณ์ชัดแจ้ง เลื่อนมือจากหน้าผากไปที่หลังศีรษะของเด็กหญิงแล้วดึงเข้ามากอดเบาๆ

     

    ขอโทษนะที่ไม่มาตั้งหลายวันโดยไม่บอกกล่าว เดี๋ยววันนี้จะอยู่ด้วยเป็นพิเศษเลย นะ

     

    เด็กหญิงซบหน้าอยู่ขานรับ อื้อ เบาๆ จากอกของเด็กหนุ่ม

     

    ซิสเตอร์เห็นว่าเป็นจังหวะให้เข้าแทรกได้ก็ตบมือเรียกความสนใจจากทุกคน

     

    เอาล่ะ ทุกคนกลับไปตั้งใจเขียนชื่อของตัวเองให้ได้นะ เดี๋ยววันนี้จะให้ฟิลิปเป็นคนตรวจ

     

    ฟิลิปถอดกระเป๋าที่สะพายมาด้วยออกมาวางกับพื้น

     

    วันนี้มีของมาฝากทุกคนด้วย เด็กหนุ่มชูนิ้วชี้ขึ้นพลางหลับตาข้างหนึ่ง แต่ต้องเขียนชื่อตัวเองให้ถูกแล้วเอามาให้ฉันตรวจก่อน ถ้าช้าล่ะก็อาจจะโดนแย่งของดีๆ ไปก่อนนะ

     

    คำประกาศของเด็กหนุ่มเรียกเสียงโอดครวญได้ดีเยี่ยม

     

    เอ๋~ อะไรกันน่ะ~” ตัวเองหายหน้าไปตั้งหลายวันแท้ๆ นะ เล่นอย่างนี้ใช่มั้ย ก็ได้!”

     

    ฟิลิปเลื่อนสายตาไปที่กระดาษในมือเด็กหญิงข้างๆ เขา ก่อนจะยิ้มและขอดู เด็กหญิงส่งให้เขาด้วยอาการประหม่า

     

    อิลเช่ เขียนถูก รับรางวัลไปก่อนใคร

     

    ฟิลิปส่งกระดาษคืนให้ แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ทำหูทวนลมกับเสียงประท้วงน้อยใหญ่ทั้งหลาย

     

    เป็นกิ๊บหนีบผมโลหะอันเล็กสีเหลืองอ่อน เด็กหนุ่มค่อยๆ ใช้มือเสยปอยผมสีน้ำตาลแดงที่ปรกหน้าผากเด็กหญิงขึ้น แล้วสอดกิ๊บหนีบผมเข้าไปพร้อมทั้งจัดให้เข้าที่

     

    เอาล่ะ

     

    ฟิลิปขยับตัวไปด้านข้างพร้อมทั้งดันไหล่สองข้างของเด็กหญิงให้ออกมายืนให้เห็นกันทุกคน

     

    เป็นยังไง อิลเช่น่ารักใช่รึเปล่า ฟิลิปยิ้มและเอ่ยทั้งมือยังจับไหล่ของเด็กหญิงไว้อยู่

     

    เสียงอุทานกับแววตาประหลาดใจบ้างทึ่งบ้างที่ส่งมาทำให้เด็กหญิงได้แต่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย

     

    แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่กิ๊บอย่างเดียว ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง...ก็รู้นะว่าต้องทำยังไง

     

    เมื่อมีของมาล่อ แต่ละคนก็หันไปเขียนยุกยิกในกระดาษด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

     

    เด็กหนุ่มผมบลอนด์มองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาอบอุ่น เป็นเครื่องบ่งบอกได้อย่างดีถึงความสุขที่เขาได้รับในขณะนี้

     

    (...)

     

    อาคารตรงหน้าเอ็กซ์เป็นอาคารขนาดใหญ่มาก เฉพาะหน้ากว้างประมาณ 20 เมตรได้ ความสูงประมาณ 7 เมตรมีชั้นเดียว มีปล่องควันขนาดใหญ่กลางหลังคา ผนังสร้างด้วยหินสีเทาเรียงสลับซ้อนกัน ประตูหน้ากว้าง 4 เมตร มองเห็นภายในเป็นห้องโถงใหญ่ ชายหลากหลายวัยทำงานกันเหงื่อไหลไคลย้อย ต้นเหตุคงจะมาจากเตาหลอมขนาดใหญ่ที่กลางห้อง เสียงค้นกระทับกับเหล็กแดงร้อนดังลั่นปนกับเสียงพูดคุยและเสียงตะโกน

     

    (ที่นี่มันคืออะไรกันน่ะ? บรรยากาศเป็นเหงื่อกับควันเกิน 80% แล้วมั้งเนี่ย น่าขยะแขยงจริงๆ)

     

    โรงตีเหล็กน่ะ แต่ก็เพิ่งเคยเห็นที่ใหญ่ขนาดนี้ครั้งแรก เอ็กซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงปนทึ่งนิดๆ

     

    ปกติในเมืองหนึ่งจะมีร้านตีเหล็กหลายร้าน แต่ละร้านล้วนเป็นสมาชิกของสมาคม(Guild)ซึ่งคล้ายกับแฟรนไชส์ในโลกของเขา สมาชิกทุกคนถูกกำหนดมาตรฐานผลผลิตขั้นต่ำและตีราคาตามมาตรฐานนั้น หากทำผิดกฎหรือมาตรฐานที่ตั้งไว้โดยสมาคมก็จะถูกลงโทษโดยสมาคมเอง เป็นเหมือนตรารับรองความเป็นธรรมที่ลูกค้าจะได้รับจากการค้ากับสมาชิกในสมาคม

     

    แต่ที่เมืองนี้เป็นไปได้ว่าร้านตีเหล็กทุกร้านอาจมารวมกันที่นี่ทั้งหมด ดูจากขนาดของเตาที่กลางห้อง คำนวณคร่าวๆ จากเฉพาะด้านที่เขามองเห็น รอบเตาหลอมนั้นมีช่องพอสำหรับช่างตีเหล็ก 10 - 12 คน ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกอีก เพราะถ้าเขาจำไม่ผิด เตาหลอมสำหรับตีเหล็กต้องมีช่องน้อยที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศเข้าไปลดคุณภาพของไฟ

     

    ...อย่างนี้นี่เอง

     

    เอ็กซ์ตั้งใจเพ่งที่เตาหลอมนั้น และเขาก็มองเห็นดวงแสงสีแดงอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ร้อนระอุ เป็นตามที่เขาคาด ไซเบอร์เอลฟ์อยู่ข้างในนั้น และคงเป็นสาเหตุของเตาหลอมที่ผิดหลักปกตินี้

     

    ต้องการให้ช่วยอะไรรึเปล่าฮะ?

     

    เด็กฝึกงานคนหนึ่งเข้ามาทักเขา

     

    สินค้าของเราวางขายตามสาขาต่างๆ ทั่วทั้งฮาลเคกิเนีย ขอให้มองหาสัญลักษณ์ของสมาคมเราไว้ เด็กฝึกงานชี้ให้เอ็กซ์ดูสัญลักษณ์ที่ข้างประตู เป็นตัวอักษรสีทองสองตัวในวงกลมสองชั้น

     

    ถ้าต้องการสั่งงานใดเป็นพิเศษหรือมารับงานที่สั่งไว้ก็เชิญทางนี้ฮะ เด็กฝึกงานผายมือให้ตามตัวเองไปหากต้องการ

     

    อา เปล่าหรอก ฉันเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก แล้วก็...สนใจเตาหลอมที่อยู่ตรงนั้นนิดหน่อย เอ็กซ์แก้ความเข้าใจผิด

     

    เด็กฝึกงานไม่มีท่าทีประหลาดใจ คาดว่าอาจมีผู้ถามเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ

     

    ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่า แต่สมาคมตีเหล็กชูเป้ของเราถึงจะเพิ่งตั้งได้ไม่นาน แต่ก็ได้ชื่อว่ามีคุณภาพงานที่เยี่ยมที่สุดในฮาลเคกิเนียมาห้าปีติดกันแล้ว แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือเรื่องของเตาหลอมที่ว่ากันว่าโวลุนด์รนักตีเหล็กในตำนานใช้

     

    เห็นว่าเอ็กซ์ยังมีสีหน้างงงวย เด็กฝึกงานอธิบายต่อ

     

    โวลุนด์รตีอาวุธในตำนานออกมาหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นคาลัดโบล์ก กรัมร์ ดูรันดัล...

     

    เด็กฝึกงานร่ายไป ก็เหมือนมนตร์ที่เข้าหูซ้ายออกหูขวาเอ็กซ์ แต่เขาก็พอจำชื่อบางชื่อได้รางๆ จากหนังสือที่เคยอ่าน

     

    เด็กฝึกงานเห็นใบหน้าของเอ็กซ์สับสนยิ่งกว่าเดิมก็รู้สึกตัวว่าเผลอพล่ามอีกแล้วจึงกระแอมไอหนึ่งทีแล้วตัดจบ

     

    อะแฮ่ม เอ่อ...สรุปได้ว่าเตาหลอมนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ไฟที่จุดมีขนาดใหญ่กว่าปกติมาก มีอุณหภูมิและปริมาณ<ธาตุ>ในบรรยากาศสมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้งานออกมามีคุณภาพสูงที่สุดฮะ

     

    เอ็กซ์ทำเสียง หืม ในลำคอแล้วถามต่อ

     

    เตานี่ใช้ตลอดเลยเหรอ?

     

    ปกติก็ใช่ฮะ งานที่ตีที่เตาหลอมนี้เป็นของมีคุณภาพและราคาสูงที่สุดของสมาคมเราและมีรายการสั่งเข้ามาตลอด เลยมีช่างผลัดกันใช้ตลอด เตาของเราทำจากวัสดุกันความร้อนและร่ายคาถาเสริมความทนทานไว้ทำให้ไม่มีปัญหาอะไรแม้จะจุดไฟไว้ตลอด แต่วันว่างเปล่าทุกสัปดาห์อ่า วันนี้พอดี เราจะพักเตาตั้งแต่ตะวันตกดินถึงตะวันขึ้นฮะ

     

    เอ็กซ์พยักหน้า ที่ฮาลเคกิเนีย สัปดาห์หนึ่งมีแปดวัน หนึ่งวันเป็นวันว่างเปล่า ดูเหมือนว่าเขาจะมาถูกเวลาพอดี

     

    ที่จริงแล้ว ในสมาคมเราลือกันว่าในเตาหลอมมีภูตสถิตอยู่ด้วยนะฮะ

     

    ภูต? เอ็กซ์เลิกคิ้ว

     

    ลือกันว่าคุณสมบัติพิเศษของเตาหลอมเป็นพลังของภูตตนนั้น และมีแต่ท่านหัวหน้าชูเป้เท่านั้นที่สื่อสารกับภูตตนนี้ได้ ถึงท่านจะปฏิเสธว่าไม่จริงก็เถอะ

     

    เอ็กซ์พยักหน้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า ภูต ในโลกใบนี้ และทุกครั้งที่ได้ยิน เขามักจะพบกับเป้าหมายเสมอ

     

    ขอบใจที่เล่าให้ฟัง ฉันมีธุระต้องทำ ขอตัวก่อนนะ

     

    ฮะ อย่าลืมนะฮะ ถ้ามีงานเหล็กที่ต้องการ นึกถึงสมาคมชูเป้

     

    เด็กฝึกงานโบกมือลาเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่เดินจากไป

     

    ทั้งสองไม่ได้สังเกตเห็นคนงานคนหนึ่งที่ลอบมองทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มคุยกัน แววตาที่ลุกวาวเมื่อได้ยินเรื่องข่าวลือของเตาหลอม

     

    (...)

     

    ประตูคฤหาสน์บานคู่เปิดออก เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์สว่างก้าวบนพรมสีแดงที่ปูยาวลงมาตั้งแต่บันไดกลาง ชายหนุ่มไว้ผมสีบลอนด์สว่างสั้นเรียบร้อยใบหน้าเกลี้ยงเกลาสวมชุดพ่อบ้านยืนสำรวมอยู่กลางพรม

     

    วันนี้กลับค่ำนะขอรับ

     

    เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์สว่างยิ้มรับคำทักทาย

     

    ไม่ได้ไปหลายวันเลยต้องชดเชยหน่อยน่ะ

     

    ชายหนุ่มในชุดพ่อบ้านพยักหน้ารับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

     

    น้ำอาบเตรียมไว้ให้ท่านแล้ว เชิญขอรับ

     

    เด็กหนุ่มเดินตามพ่อบ้านไป ระหว่างทางก็ถามคำถามตามปกติทุกวัน

     

    วันนี้เป็นยังไงบ้าง?

     

    ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องแจ้งท่านเอร์ฮาร์ทเป็นพิเศษ เรื่องเล็กน้อยกระผมจัดการให้แล้วขอรับ ชายหนุ่มตอบ เด็กหนุ่มพยักหน้า

     

    ขอบคุณมาก มีฟิลิปอยู่ด้วยช่วยได้เยอะเลย

     

    พ่อบ้านหนุ่มเหลือบมองกระเป๋าที่เจ้านายสะพาย มันดูเบาโหวงกว่าเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัด

     

    เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ของขวัญที่ท่านทำเอง

     

    เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ด้วยท่าทางเหมือนกับยอมแพ้

     

    รู้ด้วยเหรอ ไม่สิ ต้องบอกว่าสมกับเป็นฟิลิป เด็กหนุ่มหยิบถุงขึ้นเขย่าพอให้รู้ว่าว่างเปล่า

     

    ก็หมดอย่างที่คิดไว้ โชคดีที่ฉันพอแปรธาตุได้บ้าง

     

    ระดับการแปรธาตุของท่านเอร์ฮาร์ทนับว่าน่าทึ่งมากสำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญธาตุน้ำขอรับ

     

    แม้จะเอ่ยชม แต่น้ำเสียงเรียบสนิท เด็กหนุ่มหัวเราะกับลักษณะที่ไม่เหมือนใครของพ่อบ้านหนุ่มอย่างเงียบๆ

     

    แล้วท่านคิดจะเปิดเผยตัวเมื่อไรหรือขอรับ?

     

    เด็กหนุ่มรู้ว่าคำถามนั้นมีอีกความหมายหนึ่งว่า จะใช้ชื่อกระผมไปถึงเมื่อไร?

     

    คนที่รู้เรื่องที่เขาปลอมตัวไปที่บ้านเด็กกำพร้าก็มีฟิลิปพ่อบ้านคนสนิทของเขา และซิสเตอร์ที่ดูแลบ้านเด็กกำพร้าเท่านั้น

     

    นั่นสินะ เด็กหนุ่มรำพึงพลางชายตามองชุดเกราะและรูปภาพประดับผนังทางเดิน ทั้งหมดล้วนเป็นของประดับที่มีอยู่แล้วก่อนที่เขาจะได้รับที่ดินและคฤหาสน์หลังนี้จากบิดา

     

    ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โต คงจะเก็บเงินได้พอภายในต้นปีหน้า ก็คงเป็นตอนนั้นล่ะ

     

    แผนพัฒนาความเป็นอยู่และการศึกษาของเด็กกำพร้าที่ท่านแอบร่างไว้สินะขอรับ

     

    อย่าพูดดังสิ ถ้าสมาคมตีเหล็กรู้เข้าอาจโดนเหน็บแนมก็ได้นะ เพราะฉันเก็บภาษีสมาคมเพิ่มตั้งสองเปอร์เซ็นต์ เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ  รู้ว่าคนสนิทเข้าใจความหมายของคำว่า เหน็บแนม

     

    สมัยที่บิดาของเขายังใช้อำนาจบริหารเมืองนี้โดยตรงก็เก็บภาษีด้วยอัตราเก่ามาตลอด เพราะการคัดค้านจากสมาคมใหญ่นั้นมีอำนาจต่อรองสูง และบิดาของเขาเองก็มีที่ดินต้องดูแลมาก ไม่มีเวลาจะมาดูแลที่ดินผืนเดียวอย่างใกล้ชิด

     

    ไม่ใช่เหตุผลให้ต้องประท้วงนี่ขอรับ เงินที่ท่านเก็บก็มาจากการตัดการใช้จ่ายส่วนตัวทั้งนั้น ส่วนเงินที่ท่านเก็บเพิ่มก็เพื่อนำไปซ่อมแซมถนน กำแพงเมือง และอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการดูแลสมัยที่บิดาของท่านบริหาร

     

    ยิ่งกว่าครั้งที่แล้วอีกนะ อย่าพูดดังสิ ถ้าใครที่ไม่ใช่ฉันได้ยินเข้า นายอาจจะเดือดร้อนก็ได้ เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ  คราวนี้พูดเสียงเบากว่าเดิม

     

    ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ บิดาของท่านก็รับรู้ถึงข้อนี้ดี จึงได้มอบหมายให้ท่านมาดูแลที่นี่แทน

     

    เอร์ฮาร์ท ฟอน นอยน์บูร์กก้มลงมองตัวเอง ชุดที่เขาสวมเรียกว่าเป็นชุดเดียวที่เขามีที่สามารถใช้ปลอมตัวกลมกลืนกับชาวเมืองได้ เขาบอกตัวเอง รออีกไม่นาน

     

    ว่าแต่ท่านคิดจะให้คนอื่นผ่านมาเห็นท่านในสภาพนี้ก่อนหรือขอรับ? เสียงพ่อบ้านถาม

     

    เด็กหนุ่มระลึกได้ก็หยุดเดิน

     

    สงสัยความจำจะไม่ค่อยดีอย่างที่อัลเล็คว่าจริงๆ  แค่สามวันก็ลืมซะแล้ว

     

    เด็กหนุ่มชักคทาออกมาแล้วบริกรรมคาถา พลันเส้นผมที่เคยเป็นสีบลอนด์สว่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีบรอนซ์เทา เมื่อดึงผ้าที่ใช้รวบผมออก เส้นผมก็ตกลงมาเคลียใต้กราม

     

    ถ้ามีใครมาเห็นเข้ามีหวังความแตกก่อนเวลาแน่

     

    (...)

     

    ดวงจันทร์สองดวงเด่นประดับท้องฟ้าของฮาลเคกิเนียเช่นทุกค่ำคืน ศูนย์ใหญ่ของสมาคมตีเหล็กชูเป้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นสถานที่ที่มีแสงไฟอยู่เสมอแม้ในยามราตรี ทว่าวันนี้ครบรอบสัปดาห์ที่ความมืดจะมาเยือนบ้าง

     

    ทางเข้าด้านหน้าของโรงตีเหล็กถูกปิดด้วยประตูไม้ขนาดใหญ่เสริมแผ่นเหล็ก เป็นประตูแบบที่ใช้ไม้ขัดจากด้านใน พิจารณาจากขนาดของประตู ขนาดของท่อนไม้ขัดประตูคงจะเท่าลำตัวผู้ใหญ่หนึ่งคนและน่าจะมีมากกว่าหนึ่งท่อน ยิ่งกว่านั้นหากเป็นสถานที่สำคัญขององค์กรที่ร่ำรวยอย่างนั้นจริงก็คงจะมีคาถาเสริมความทนทานร่ายไว้ด้วย

     

    เอ็กซ์ไม่สนใจประตูหน้า กระโดดขึ้นไปบนหลังคา หลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาเช่นเดียวกับอาคารหลังอื่นๆ ปูลาดเอียงสี่ด้าน เขาตรงไปที่ปล่องควัน

     

    ปล่องควันสูงจากหลังคาอีกประมาณสามเมตร ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเอ็กซ์ เขาปีนขึ้นไปถึงปากปล่องอย่างง่ายดาย ความกว้างพอจะให้ช้างสามตัวลงไปพร้อมกันได้อย่างสบาย ปากปล่องมีหลังคากันฝนสูงจากปากปล่องประมาณห้าสิบเซนติเมตร

     

    เอ็กซ์ชะโงกหน้ามองลงไปด้านล่าง เห็นกองไฟลุกโชนอยู่ในเตาหลอม ดวงแสงสีแดงสถิตอยู่ที่พื้นเตาหลอมอย่างสงบตามคาด

     

    แปลก ไม่ใช่ว่าพักเตาอยู่เหรอ?

     

    เอ็กซ์ส่งเสียงเรียก

     

    ไซเบอร์เอลฟ์ นี่เอ็กซ์นะ ขึ้นมาคุยกันหน่อย

     

    อาจจะดูเป็นคำเรียกที่ไร้ความรับผิดชอบไปหน่อย แต่ก็ผ่านการทดลองมาแล้วว่าได้ผลดีที่สุด เอ็กซ์ค่อยๆ ไถลตัวลงจากปากปล่องควันลงไปรอที่หลังคา ผ่านไปประมาณสามสิบวินาที ดวงแสงสีแดงก็ถอดตัวจากที่สถิตและลอยขึ้นมาหาเขา

     

    แต่ที่ลอยขึ้นมาไม่ได้มีแค่ดวงแสงสีแดงเท่านั้น มีชายสูงวัยสวมเสื้อแขนสั้นเปื้อนเหงื่อลอยตามขึ้นมาด้วยอีกคน เอ็กซ์ผงะตกใจและประหลาดใจ

     

    เป็นชายวัยราวห้าสิบไว้หนวดเคราไม่สั้นไม่ยาว จ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ทั้งสงสัยและอยากรู้

     

    (เอ็กซ์จริงๆ เหรอ?) ไซเบอร์เอลฟ์ถาม

     

    อา ฉันจริงๆ  แค่พรางตัวไว้ เอ็กซ์ตอบ พลางพิจารณาลักษณะโดยละเอียดของไซเบอร์เอลฟ์ไปด้วย

     

    ...ดิโนเร็กซ์

     

    (...ถูกต้อง แล้วท่าทางจะมีผู้ติดตามมาด้วยสินะ)

     

    ในฐานะที่เป็นไซเบอร์เอลฟ์ด้วยกัน ดิโนเร็กซ์ย่อมสังเกตเห็นคาเมลิโอกับโรสเรดที่มากับเขาด้วย

     

    แล้วคุณคือ?

     

    เอ็กซ์หันไปถามชายสูงวัย

     

    ชูเป้ ฉันเคยมีสกุลต่อท้าย แต่ตอนนี้แค่ชูเป้

     

    น้ำเสียงที่ตอบยังแสดงถึงการระวังตัว แต่ก็น้อยลงจากทีแรก อาจเป็นเพราะบทสนทนาระหว่างเขากับดวงแสงสีแดง

     

    คุณคือหัวหน้าสมาคมตีเหล็กแห่งนี้ เอ็กซ์กล่าว ไม่ใช่การถาม เป็นเพียงการกล่าว แล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองควรจะแนะนำตัวบ้าง

     

    ผมชื่อเอ็กซ์ ออกตามหา...สิ่งที่เหมือนกับเพื่อนของคุณนี้ เอ็กซ์พูดพลางหันไปทางดวงแสงสีแดง พร้อมกันนั้นก็ส่งสัญญาณให้ไซเบอร์เอลฟ์ทั้งสองที่อยู่กับเขาแสดงตัว

     

    ชายสูงวัยเบิกตากว้าง แสดงความประหลาดใจอย่างไม่เก็บสีหน้า

     

    แล้วคุณกับดิโนเร็กซ์รู้จักกันได้ยังไงเหรอ? เอ็กซ์เปลี่ยนมาถามเรื่องระหว่างมนุษย์กับไซเบอร์เอลฟ์บ้าง

     

    ชายสูงวัยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเล่า

     

    ชูเป้ได้ชื่อว่าเป็นจอมเวทยอดนักแปรธาตุของเยอร์มาเนีย ยี่สิบปีก่อนมีเรื่องที่ทำให้ต้องเสียที่ดินและทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ไป หลังจากระหกระเหินอยู่ราวสองเดือนก็ใช้ทุนที่เหลือตั้งโรงตีเหล็กขึ้นที่เมืองนอยน์บูร์กแห่งนี้ ซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองที่เล็กกว่านี้และยังไม่มีสมาคมตีเหล็กใดมาลงหลักปักฐาน

     

    สองปีแรกกิจการก็เป็นปกติทั่วไป จนกระทั่งคืนหนึ่งขณะที่จัดของในโรงตี ดิโนเร็กซ์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ฮาลเคกิเนียเป็นครั้งแรกต่อหน้าต่อตา หลังจากรู้ว่าชูเป้ประกอบกิจการตีเหล็ก ดิโนเร็กซ์ก็แสดงความสามารถในการควบคุมไฟให้เห็น นั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของสมาคมตีเหล็กอันโด่งดังแห่งนี้ รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์คนหนึ่งกับไซเบอร์เอลฟ์

     

    (ฉันชอบเปลวไฟกับอุปกรณ์อาวุธ ถ้ามีสองอย่างด้วยกันก็แทบไม่ต้องคิดเลย)

     

    ช่วงหลังมานี้ร่างกายฉันเริ่มจะรับงานหนักไม่ไหว ต้องเกษียณออกไปนั่งเซ็นเอกสารอย่างเดียว แต่บางครั้งก็จะแอบใช้เตาตอนกลางคืนตีอะไรนิดๆ หน่อยๆ กับเพื่อนรัก แววตาของชายสูงวัยเป็นประกายราวกับวิญญาณภายในยังเป็นชายที่เริ่มร้านตีเหล็กจากศูนย์คนเดิมเมื่อยี่สิบปีก่อน

     

    (ฮึ่ม นิดๆ หน่อยๆ ของนายยังขายเป็นงานราคาสูงสุดมาจนถึงวันนี้นะ มีทั้งไฟของข้า ทั้งวิชาแปรธาตุของเจ้า เกือบเหมือนโกงเลย) เสียงของไซเบอร์เอลฟ์หยาบใหญ่สมกับเคยมีร่างเป็นไดโนเสาร์ แต่ขณะเดียวกันมีความอบอุ่นที่ต่างจากความรุนแรงของเปลวไฟแฝงอยู่ในน้ำเสียง

     

    ฉันเองก็ต้องรีบหาผู้สืบทอดด้วย คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวกัน ชูเป้เอ่ยปนเสียงหัวเราะ

     

    (จะรีบหาไปไหน นายอายุยังไม่ห้าสิบดีเลย แค่หน้าไปก่อนวัยเท่านั้นเอง)

     

    ทำงานอยู่แต่กับควันมันก็ต้องยังงี้ล่ะ

     

    เอ็กซ์ฟังเรื่องเล่าและบทสนทนาระหว่างชายสูงวัยกับไซเบอร์เอลฟ์ไดโนเสาร์ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ใครอาจจะเห็นว่าน่าเบื่อ(เช่นไซเบอร์เอลฟ์สองตัวข้างๆ) แต่เขาชอบฟังเรื่องราวเหล่านี้ของไซเบอร์เอลฟ์ มันคือประสบการณ์ คือเรื่องราวในชีวิตของผู้ที่หมดโอกาสในโลกเบื้องบนไปแล้วครั้งหนึ่งก่อนจะได้รับโอกาสครั้งใหม่ เรื่องราวที่มีความนึกคิดของหลายๆ คน

     

    นี่ไม่ใช่กรณีแรกที่มนุษย์รู้ถึงการมีอยู่ของไซเบอร์เอลฟ์ แม้ที่ผ่านมาทุกครั้งต่างก็ลงเอยด้วยการกลับไซเบอร์สเปซ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาที่ผ่านมาไร้ค่า สิ่งที่ไซเบอร์เอลฟ์แต่ละตัวเหลือทิ้งไว้ล้วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และเอ็กซ์รู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่ได้เห็นความสุขของใครหลายๆ คนเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

     

    ความหวังที่เคยสูญเสียไปครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วของเขาถูกหล่อเลี้ยงด้วยความสุขเหล่านี้ ทำให้เขาสามารถเชื่อมั่นในอนาคตได้อีกครั้ง

     

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องกล่าวตามหน้าที่ของเขา

     

    ผมมีหน้าที่ต้องส่งพวกเขากลับบ้าน

     

    ชูเป้หันมองเขาด้วยอาการตระหนก ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลง เอ็กซ์ก็รีบแก้ความเข้าใจผิด

     

    ถ้าต้องการ

     

    ชูเป้เลิกคิ้วอีกครั้ง พอเห็นรอยยิ้มของเอ็กซ์ก็เข้าใจและคลายคิ้วที่ขมวดลง สายตาทั้งสองคู่หันไปจับจ้องที่ดวงแสงสีแดง เห็นตรงกันว่าอยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าตัว

     

    (หึ ถ้านายตั้งใจฟังไม่สัปหงกล่ะก็น่าจะรู้คำตอบของฉันอยู่แล้ว) ดิโนเร็กซ์ไม่เสียเวลาแม้สักนิดในการตอบ

     

    เกิดรอยยิ้มขึ้นไม่เพียงแต่บนใบหน้าของชายสูงวัย แต่บนใบหน้าของเอ็กซ์ด้วยเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดก็สื่อความคิดให้กับไซเบอร์เอลฟ์สีแดงได้ ว่าเขาร่วมยินดีด้วย

     

    (ฮึ่ม ที่ที่มีแต่ควันกับเหงื่อ แล้วก็โลหะล้าสมัย น่าอยู่ตรงไหนนะ) โรสเรดแขวะ

     

    (แล้วนายเป็นใคร?)

     

    (เป็นผู้ที่มีรสนิยมกว่านาย) โรสเรดพูดเสียงเชิด

     

    (พูดยังงี้มันน่าเผา)

     

    เอ็กซ์ต้องเข้าไกล่เกลี่ย ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าทั้งสองจะลงมือกันเป็นจริงเป็นจัง แต่ถ้าปะทะกันขึ้นมาแม้เพียงแค่เล็กน้อยก็อาจทำให้ผู้คนแตกตื่นได้

     

    (ว่าแต่สิบแปดปีที่ผ่านมานี่นายไปอยู่ไหนมากันน่ะ?) ดิโนเร็กซ์หันมาถามเขาบ้าง

     

    ฉันเพิ่งมาถึงได้สี่ปีเอง

     

    (ว่าไงนะ? ...อ้อ คงเป็นความขัดแย้งของเวลาสินะ อย่างนี้ก็ต้องมีคนที่ยังมาไม่ถึงอยู่ด้วยสิ?)

     

    อา แต่เรื่องนั้นไม่มีปัญหาแล้ว ฉันให้มาเธอร์เอลฟ์เชื่อมต่อไซเบอร์สเปซกับที่นี่เมื่อเดือนที่แล้ว ตอนนี้เวลาของทั้งสองมิติเดินไปพร้อมกัน

     

    เหลือบไปเห็นใบหน้างุนงงของชายสูงวัย เอ็กซ์หันไปพูดด้วย


    ไม่ต้องสนใจก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก

     

    ชูเป้พยักหน้า ไม่คิดก้าวก่ายเรื่องของคนที่เพิ่งรู้จัก

     

    ว่าแต่ เอ็กซ์ชูนิ้วขึ้น เป็นท่าทางบอกว่าเปลี่ยนประเด็น ที่ว่าเตาหลอมข้างล่างนี้เป็นเตาที่ช่างตีเหล็กในตำนานใช้เนี่ยจริงรึเปล่า?

     

    ชายสูงวัยหัวเราะ

     

    พอมีชื่อเสียงก็จะเริ่มมีข่าวลือแปลกๆ แบบนี้แหละ เป็นเรื่องธรรมดา เตานี่ฉันเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง คนแรกที่ใช้ก็คือฉันนี่ล่ะ คนที่ปรับปรุงจนเป็นอย่างที่เห็นวันนี้ก็คือฉัน แต่ข่าวลือก็นั่นล่ะ เรื่องธรรมดา ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะไม่เห็นว่าเสียหายอะไร

     

    เอ็กซ์พยักหน้า แอบรู้สึกผิดหวังนิดๆ

     

    (หึ ต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่เหนือไปกว่างานที่ใช้ไฟของฉันหรอกน่า) ดิโนเร็กซ์ยืดอก

     

    ฮะๆ...

     

    เห็นว่าไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เอ็กซ์หันบอกลาไซเบอร์เอลฟ์กับชายสูงวัย

     

    งั้นฉันไปนะ ถ้าแวะมาทางนี้อีกจะมาเยี่ยม

     

    ครั้งหน้าที่เจอกันถ้าข้ายังไหวอยู่จะตีดาบดีๆ ให้ซักเล่มเป็นยังไง ชูเป้ว่าพลางจับต้นแขนชูหมัดราวกับจะแสดงออกว่ากำลังยังเหลือเฟือ

     

    น่าสนใจ ผมจะตั้งตารอ

     

    เอ็กซ์กลับหลังหัน แล้วไถลตัวลงไปตามหลังคาจนกระทั่งพ้นขอบลงไป เหลือเพียงชายสูงวัยกับไซเบอร์เอลฟ์สีแดง

     

    ...นายแน่ใจนะ ไม่คิดถึงบ้านเหรอ?

     

    (ตอนที่นายเล่าชีวิตตัวเองให้ฉันฟังตั้งแต่เจอกันใหม่ๆ  นายพูดไม่ใช่เรอะว่าที่ที่เราเต็มใจจะอยู่นั่นล่ะคือบ้าน)

     

    จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนนั้นนายบอกไม่สนใจฟังไม่ใช่เหรอ?

     

    (...ความจำฉันดีเท่านั้นล่ะ)

     

    ฮะๆ  อย่างนั้นก็ได้ เอาล่ะ ลงไปทำต่อให้เสร็จดีกว่า

     

    (ไหวเร้อ กระดูกกระเดี้ยวหักไปฉันช่วยไม่ได้นะเฟ้ย)

     

    อย่าดูถูก นายพูดเองนะว่าฉันยังมือหนึ่งอยู่

     

    (เอาใจคนแก่น่ะ)

     

    บ๊ะ!”

     

    (...)

     

    บนเตียงหลังใหญ่ชั้นสองของคฤหาสน์ เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาหลับอยู่อย่างสงบ ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดม่านไว้ พอมองเห็นข้าวของในห้องเป็นรูปร่างจางๆ

     

    เวลาผ่านไป แสงในห้องค่อยๆ สว่างขึ้น จนกระทั่งสว่างเกินกว่าจะมาจากดวงจันทร์ เปลือกตาของเด็กหนุ่มไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันก็ขยับเปิดขึ้น

     

    ? แสงอะไร? มาจากเมือง...

     

    เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่หน้าต่าง

     

    (...)

     

    แสงไฟจากเตาหลอมส่องสว่างในความมืด ชายสูงวัยสวมเสื้อแขนสั้นเหวี่ยงค้อนเหล็กหัวใหญ่ลงบนโลหะแดงร้อน เสียงเคล้งดังก้องต่อกันเป็นจังหวะในความเงียบ

     

    (แรงตกไปจากสมัยหนุ่มๆ นะ)

     

    ไม่ต้องย้ำทุกครั้งก็ได้ เสียงตอบของชูเป้มีอาการเหนื่อยปนมานิดๆ

     

    ทั้งคู่ง่วนกับกิจกรรมที่ทำร่วมกันเป็นปกติ ไม่สังเกตเห็นร่างสวมผ้าคลุมที่หลบอยู่ใต้เงาของกองกล่องไม้ด้านหลัง

     

    ดวงตาใต้ฮู้ดจับจ้องที่ดวงแสงสีแดงข้างชายสูงวัย ปากแสยะเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนร่างออกจากที่กำบัง

     

    ดิโนเร็กซ์เพ่งสมาธิกับไฟในเตาและงานตี แต่ประสาทที่ต่างจากมนุษย์จับการเคลื่อนไหวของร่างแปลกปลอมได้

     

    (ข้างหลัง!)

     

    ชูเป้หยุดมือและรีบหันหลังกลับ ทันเห็นโลหะวาววับสะท้อนแสงของเปลวไฟ แต่ความเหนื่อยล้าบวกกับร่างกายที่ไม่แข็งแรงอย่างเมื่อก่อนทำให้การตอบสนองช้าไปชั่วอึดใจ

     

    สวบ

     

    ดวงตาของชูเป้เบิกโพลง ปลายแหลมของดาบสั้นโผล่ทะลุหลังออกมาส่องประกายวาวปนของเหลวสีแดง

     

    ความมืดใต้ฮู้ดถูกขจัดด้วยแสงจากเตาหลอม เผยใบหน้าของผู้ลงมือ

     

    เจ้า...ที่เข้ามาเมื่ออาทิตย์ก่อน... ชายสูงวัยเอ่ยด้วยเสียงที่แหบแห้ง

     

    ใบหน้าที่แสยะยิ้มเป็นใบหน้าเดียวกับที่ลอบมองเอ็กซ์และเด็กฝึกงานเมื่อตอนกลางวัน ตั้งแต่แอบได้ยินบทสนทนาตอนนั้นก็วางแผนเอาไว้

     

    แกรับฉันเข้ามาอย่างง่ายดาย ไม่สงสัยจุดประสงค์ที่แท้จริงของฉันเลย

     

    คนงานซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำดึงกระชากดาบออกมา วัตถุที่อุดบาดแผลไว้หายไป เลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด ร่างของชายสูงวัยเซไปพิงกับผนังเตาหลอม

     

    แกคงรู้ดีว่ามีสมาคมตีเหล็กอยู่มากมายที่มีความแค้นกับแก สมาคมของพ่อฉันอยู่มาตั้งเป็นร้อยปีก่อนแกเกิด และยังที่อื่นๆ ที่มีประวัติยืนยาว จู่ๆ ถูกสมาคมที่ไร้หัวนอนปลายเท้ามาชิงลูกค้าไป แกคิดว่าจะไม่มีคนอย่างฉันโผล่มาบ้างเลยรึยังไง?

     

    ชายฉกรรจ์หันไปทางดวงแสงสีแดงที่เปล่งแสงวูบวาบ

     

    ตอนนี้ข้ารู้ความลับของเตาหลอมนี้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ถ้าได้ตัวภูตนั่นไป สมาคมของพ่อก็จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในยุคของฉัน ห้าปีที่ต้องเสียรายได้ไป จะขอถอนทุนคืนให้หมดล่ะ

     

    ชายฉกรรจ์เก็บดาบและชักคทาออกมา พร้อมกันนั้นมือซ้ายก็ล้วงเอาตุ๊กตาอัลวี่ออกมาด้วยหนึ่งตัว

     

    ไม่เคยจับภูตเหมือนกัน แต่คงไม่ยากกว่าจับคนหรอกน่า

     

    หนีไป... ชูเป้พูดกับดวงแสงสีแดงอย่างยากลำบาก เรี่ยวแรงเหือดหายไปพร้อมกับใบหน้าที่ซีดขาว สีแดงที่หล่อเลี้ยงเส้นเลือดใต้ผิวหนังถูกสูบออกมาเป็นแอ่งอยู่ใต้ร่างชราภาพ

     

    (เจ้าบ้า...จะให้ไปอย่างนี้ได้ยังไง) ดวงแสงสีแดงตอบ แสงที่เปล่งจากแก่นกลางไหววูบ

     

    ฉันไม่รอดหรอก...

     

    (ดูแผลก็รู้แล้ว แต่นายอยู่ดูวินาทีแรกที่ฉันมาถึงโลกนี้ ฉันก็จะอยู่ดูวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะนายจะจากโลกนี้ไปเหมือนกัน...)

     

    รู้สึกซึ้ง...ซะไม่มี... เปลือกตาที่เหี่ยวย่นปิดลง

     

    ประสาทของไซเบอร์เอลฟ์สามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องจับชีพจร ดวงแสงสีแดงสั่นรุนแรงจนแทบจะไม่เป็นรูปร่างเดิม ดูคล้ายกับภาพโฮโลแกรมที่สัญญาณขัดข้อง

     

    ล่ำลากันแล้วก็ได้เวลาเข้ามาอยู่ในตุ๊กตานี้ ชายฉกรรจ์กระดิกปลายคทาแตะอัลวี่ในมือ ถ้าไม่ไปฉันก็จะฉีกวิญญาณแกเป็นชิ้นๆ ซะเท่านั้น อย่าคิดว่าเป็นภูตแล้วฉันจะทำอะไรไม่ได้นะ วิธีสู้กับภูตน่ะ ใครที่มีการศึกษาก็รู้ทุกคนนั่นล่ะ

     

    (ภูตเหรอ? หึ ต่อให้ฉันเข้าข่ายภูตจริงแล้วจะทำไม?) เสียงที่ตอบกลับมาดังแปร่งๆ

     

    มั่นใจเหลือเกินนะ...?

     

    ชายฉกรรจ์เพิ่งจะสังเกต แสงที่เปล่งจากภูตตนนี้มันสว่างกว่าทีแรกหรือเปล่า? ...สว่างกว่าแน่ๆ  สว่างกว่ามากด้วย ที่จริงแล้ว ห้องนี้เองก็ไม่ได้สว่างถึงขนาดนี้ เปลวไฟในเตาหลอมไม่ได้รุนแรงเท่าตอนนี้ แล้วอุณหภูมิในห้องมันสูงจนทำให้เหงื่อชุ่มเพียงแค่ยืนเฉยๆ ตั้งแต่เมื่อไร?

     

    ดวงแสงสีแดงเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้น ขณะที่เปลวไฟในเตาหลอมเริ่มพวยพุ่งอย่างน่ากลัว

     

    (แกคิดว่าทำให้ฉันโกรธแล้วจะได้รอดกลับไปงั้นเหรอ?)

     

    ทำไมร้อนอย่างนี้ หหายใจ...!”

     

    บรรยากาศในห้องเริ่มระอุ ราวกับกำลังมองอากาศเหนือเตาย่างเนื้อ ทั่งเหล็กที่อยู่ใกล้เตาหลอมละลาย ห้องนี้ทั้งห้องกำลังเปลี่ยนเป็นเตาหลอมขนาดใหญ่

     

    ไหล่ของชายฉรรจ์กระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าแทบไม่รู้สึกถึงอากาศที่เข้าไปในปอดเลย

     

    (บรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการตีเหล็กคือบรรยากาศที่มีคาร์บอนเท่ากับหรือสูงกว่าออกซิเจนในอากาศ แกอยากจะลองสัมผัสดูบ้างมั้ย? ตกลงหรือตกลง?)

     

    ชายฉกรรจ์วิ่งไปที่ประตูซึ่งเชื่อมกับอาคารส่วนอื่น ทว่าสองก้าวก่อนจะถึง ลูกไฟก็ลอยมาจากด้านหลัง ชนเข้ากับประตูจนมันถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิงในพริบตา

     

    ชายฉกรรจ์ค่อยๆ หันหลังกลับไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตานั้นไม่ต่างจากนรกอเวจี เตาหลอมถูกปกคลุมด้วยไฟราวกับเป็นเสากำเนิดของหนึ่งในธาตุหลักทั้งสี่เอง มีเปลวเพลิงลอยอยู่ในอากาศเป็นสายวนรอบเสานั้นสองสายอย่างผิดธรรมชาติ วัสดุที่ทำหลังคาเริ่มหลอมหลุดลงมาเป็นชิ้นๆ เริ่มจากส่วนที่อยู่ใกล้กับเตาหลอมและค่อยๆ ขยายเป็นวง

     

    ร่างชายฉกรรจ์หล่นลงกับพื้นดังตุบ สติและลมหายใจดับไปก่อนนั้นแล้ว ขณะที่เปลวไฟยังคงขยายต่อไป

     

    (...)

     

    เอ็กซ์อยู่ระหว่างทางขึ้นเนินเตี้ยๆ ออกจากเมืองมาได้ราวสองร้อยเมตรตอนที่เขารู้สึกว่าสว่างผิดสังเกตและหันหลังกลับไปดู

     

    เรปลิลอยด์หนุ่มไม่มีคำพูดหรือแม้แต่เสียงจะบรรยายภาพที่ปรากฏต่อสายตาเขาในขณะนั้น

     

    ราวกับมีดวงอาทิตย์อยู่บนพื้นดิน กว่าครึ่งค่อนเมืองตกอยู่ใต้เปลวเพลิง จุดศูนย์กลางของมันคือเสาเพลิงขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่ที่ใจกลางเมือง เป็นภาพที่ราวกับตะโกนชัดว่าไม่ใช่ฝีมือของธรรมชาติ

     

    เสาไฟนั้นอยู่ที่สมาคมตีเหล็กชูเป้ เอ็กซ์รู้สึกเหมือนถูกค้อนที่ชื่อว่าความเป็นจริงตีแสกหน้าอย่างจัง

     

    ประสาทที่เหนือล้ำกว่ามนุษย์ของเขาจับภาพและเสียงได้รางๆ  พี่น้องที่หนีออกมาจากบ้านที่ลุกเป็นไฟ สามีภรรยากอดกันท่ามกลางวงล้อมของเปลวเพลิง ผู้คนร้องตะโกนเตือนบอกให้หนี ผู้ที่พยายามสู้ด้วยน้ำที่มีอยู่น้อยนิดและถอดใจเมื่อเห็นสภาพรอบตัว

     

    สัญชาตญาณแรกบอกเขาว่าต้องช่วย สมองสั่งให้เขาไปทุกๆ ที่ในเวลาเดียวกัน ร่างกายที่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้หยุดนิ่งอยู่กับที่

     

    (มัวเหม่ออะไรอยู่!)

     

    เสียงของโรสเรดดึงเขาออกจากภวังค์ แต่เสียงพูดยังไม่กลับมา

     

    (นอกจากพวกเราแล้วมีใครที่หยุดไซเบอร์เอลฟ์ได้รึไง?!)

     

    เสียงที่สองจากคาเมลิโอทำให้เอ็กซ์ก้าวขาออกไปในที่สุด

     

    ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะคิดพรางร่างตัวเอง เอ็กซ์แดชไปที่ประตูเมืองด้วยความเร็วสูงที่สุดที่เค้นออกมาได้

     

    (...)

     

    ร่างของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเคลื่อนผ่านฝูงชนที่แตกตื่น เขาไม่มีเวลาจะเปลี่ยนออกจากชุดนอน ได้แต่หยิบผ้าคลุมมาสวมแล้วก็ขึ้นหลังม้าเข้ามาจนถึงเมืองพร้อมกับพ่อบ้านคนสนิท เมื่อเห็นความวุ่นวายเขาจึงตัดสินใจลงจากม้าและวิ่งด้วยเท้าแทน

     

    ในฐานะเจ้าเมืองเขาควรช่วยในการอพยพ แต่หน้าที่นั้นเขาไว้วางใจให้ฟิลิปทำแทน เพราะรู้ว่าไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้นึกถึงทุกคนที่บ้านเด็กกำพร้าได้

     

    นั่นไง!’

     

    ที่ปลายสุดของสายตาเขาลิบๆ  หญิงวัยกลางคนในชุดนักบวชพากลุ่มเด็กเล็กวิ่งออกมาจากอาคารที่ลุกไหม้

     

    ซิสเตอร์!”

     

    หญิงวัยกลางคนได้ยินเสียงที่คุ้นหู หันไปเห็นเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาวิ่งเข้ามาหา

     

    ...ท่านเอร์ฮาร์ท!” เธอเลือกชื่อนี้หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง

     

    เด็กหนุ่มสำรวจกลุ่มเด็กเล็กที่บางคนร้องไห้จ้าบางคนหันมามองเขาด้วยแววตาพิศวง

     

    ...อิลเช่ล่ะครับ?

     

    ซิสเตอร์ชะงักไป สำรวจกลุ่มเด็กๆ อีกครั้งแล้วก็หน้าถอดสี

     

    เพียงเห็นแค่นั้นเด็กหนุ่มก็สลัดผ้าคลุมและวิ่งผ่านประตูที่เปิดอยู่เข้าไปทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ

     

    ฟิลิป...? อัลเล็คพึมพำขณะมองตามหลังชายแปลกหน้า

     

    (...)

     

    เอ็กซ์แทบไม่อยากเชื่อว่าเบื้องหน้าเขาคือสถานที่เดียวกับที่เขาอยู่เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อน อาคารที่ตั้งตระหง่านบัดนี้เหลือเพียงกองเศษหินที่ไฟลุกท่วม ดูแล้วไม่ต่างกับไฟนรกในแดนร้าง

     

    รอบข้างไม่มีมนุษย์เหลืออยู่...ที่ยังเป็นๆ  มีแต่อาคารที่ไฟท่วม อุณหภูมิบริเวณนี้สูงกว่าห้าร้อยองศาเซลเซียส หากเขาไม่ใช่เรปลิลอยด์คงเข้ามาไม่ถึงที่นี่

     

    (อึก...ร้อน)

     

    (ความร้อนแบบนี้กุหลาบเหี่ยวตายหมดพอดีกัน)

     

    เอ็กซ์หันขวับไปทางไซเบอร์เอลฟ์ทั้งสอง ตามปกติไม่ว่าสสารใดๆ ก็ทำอันตรายไซเบอร์เอลฟ์ในร่างข้อมูลบริสุทธิ์ไม่ได้

     

    หมายความว่าเปลวไฟนี่ไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่เป็นพลังของไซเบอร์เอลฟ์...ของดิโนเร็กซ์

     

    แม้ในกองเพลิงที่สว่างจ้าจนแสบตา แสงของดวงแสงสีแดงก็ยิ่งสว่างกว่า พลังที่ปั่นป่วนรู้สึกได้มาถึงจุดที่เอ็กซ์ยืนอยู่

     

    ดิโนเร็กซ์!!” เอ็กซ์ตะโกน ทำไมถึงทำอย่างนี้?!”

     

    (นี่คือความโกรธของฉัน) น้ำเสียงที่ตอบกลับมาเรียบนิ่ง แต่เนื้อเสียงสั่นเหมือนเครื่องยนต์ที่เร่งจนเกินขีดจำกัด

     

    หมายความว่ายังไง?! เป็นความโกรธถึงขนาดต้องทำลายทุกอย่างเลยงั้นเหรอ?!”

     

    (เอ็กซ์ นายน่าจะรู้ดีกว่าไซเบอร์เอลฟ์อย่างเราเป็นยังไง พลังของเราบิดเบือนสสารในโลกได้ตามใจนึก)

     

    แน่นอนว่าเขาต้องรู้ ตัวเขาเองตอนที่เป็นไซเบอร์เอลฟ์นั้นต่างจากไซเบอร์เอลฟ์ทั่วไป แต่ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือดาร์คเอลฟ์กับเบบี้เอลฟ์

     

    ที่โลกเดิมของเขา ไซเบอร์เอลฟ์ไม่ได้ใช้พลังเปลี่ยนแปลงสสารของโลกโดยตรง แต่เปลี่ยนแปลงข้อมูลในไซเบอร์สเปซที่คู่ขนานกับโลกสสาร เสมือนกระจก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกสสารด้วย แต่ที่ฮาลเคกิเนียแห่งนี้ แม้ไม่มีไซเบอร์สเปซ แต่พลังเวทที่มีในบรรยากาศดูเหมือนจะทำให้โลกใบนี้มีคุณสมบัติพิเศษรองรับพลังของไซเบอร์เอลฟ์ได้ และยังทำให้ไซเบอร์เอลฟ์ใช้พลังได้มากกว่าที่โลกใบเดิมเสียอีก

     

    ไซเบอร์เอลฟ์เปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่รอบตัวได้เพียงแค่คิด เพราะตัวตนของตัวเองนั้นเป็นข้อมูล ไม่จำเป็นต้องผ่านสื่อกลางอย่างแขนหรือขาก็สามารถจัดการกับข้อมูลรอบตัวได้โดยตรง แต่ในขณะเดียวกันก็หมายความว่าไม่สามารถควบคุมการใช้พลังของตัวเองได้

     

    มนุษย์หรือเรปลิลอยด์ แม้จิตจะถูกโทสะครอบงำ สิ่งที่ลงมือสุดท้ายคือร่างกาย หากห้ามร่างกายได้ก็ป้องกันผลร้ายที่จะตามมาได้ ทว่าไซเบอร์เอลฟ์ไม่มีร่างกาย หากถูกโทสะครอบงำ พลังจะแสดงผลออกมาทันที แม้ว่าเจ้าตัวเองจะไม่ต้องการเช่นนั้นก็ตาม หากเทียบเป็นมนุษย์ก็เหมือนกับคนที่มีความควบคุมตัวเองเป็นศูนย์สมบูรณ์ ไซเบอร์เอลฟ์ทุกตนเท่าที่เอ็กซ์รู้เป็นเช่นนั้นทั้งหมดนอกจากตัวเขาเอง

     

    ที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้ ตามที่เจ้าตัวกล่าว คือ<ความโกรธ>ของดิโนเร็กซ์

     

    มาเธอร์เอลฟ์! เปิดประตูมิติดึงดิโนเร็กซ์เข้าไซเบอร์สเปซ!”

     

    สิ้นเสียงของเอ็กซ์ ผ่านไปหลายอึดใจก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    (...พลังงานเข้มข้น...ไม่สามารถเข้าถึงได้...)

     

    อะไรนะ?!”

     

    เอ็กซ์หันกลับไปมองดวงแสงสีแดงกลางกองเพลิง

     

    ต้องสะกดพลังลงก่อนเท่านั้น...แต่ว่าเราไม่ใช่ไซเบอร์เอลฟ์แล้ว...

     

    (พวกเราจัดการให้)

     

    (ช่วยไม่ได้นะ จะช่วยแค่ครั้งนี้ก็แล้วกัน)

     

    เอ็กซ์มองขณะที่ดวงแสงสีเขียวทั้งสองเปล่งแสงจ้าลอยเข้าไปในกองเพลิง

     

    เดี๋ยวก่อน!”

     

    (ไม่ต้องห่วง ถ้ามีสองคน น่าจะพอทำอะไรได้)

     

    (อย่างมากที่สุดก็แค่หมดแรง ไม่ถึงตายหรอก)

     

    แสงที่คาเมลิโอกับโรสเรดเปล่งถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับแสงของดิโนเร็กซ์ แต่เอ็กซ์ก็สัมผัสได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลง เปลวไฟที่ลุกโชนลดความรุนแรงลงแม้จะไม่มากนัก

     

    จากที่เขาเห็น คาเมลิโอกับโรสเรดแทบจะไม่เหลือแรงหลังจากห้าวินาทีแรก

     

    มาเธอร์เอลฟ์ เปิดประตูมิติได้รึยัง?!”

     

    (...พลังงานเข้มข้น...ไม่สามารถเข้าถึงได้...)

     

    (ยังอีกเหรอ...)

     

    (นี่...! ให้มันน้อยๆ หน่อย!)

     

    คาเมลิโอกับโรสเรดเร่งพลังจนถึงขีดจำกัด ทำให้เปลวไฟลดขนาดลงอีก

     

    มาเธอร์เอลฟ์!”

     

    (...เปิดประตูมิติ...)

     

    อุโมงค์สีเขียวปรากฏขึ้นใกล้กับไซเบอร์เอลฟ์ทั้งสาม

     

    (อึก...เอาล่ะ!)

     

    (กิ้งก่าเอ๊ย ได้เวลากลับบ้านแล้ว!)

     

    ดวงแสงสีแดงค่อยๆ ถูกดันเข้าไปใกล้อุโมงค์ทีละน้อย จนกระทั่งหายเข้าไปพร้อมแสงวาบ

     

    ทันทีหลังจากนั้นเปลวไฟก็มอดลงอย่างรวดเร็ว แท้ที่จริงเชื้อเพลิงหมดไปนานแล้ว ที่ไฟยังลุกอยู่เป็นพลังของไซเบอร์เอลฟ์ เมื่อไม่มีดิโนเร็กซ์ ที่เหลืออยู่จะมีเพียงไฟที่ยังมีเชื้อ สามารถดับได้ด้วยวิธีการปกติ

     

    เช่นเดียวกับครั้งแรกที่การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างกะทันหันและพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ จากนรกอเวจีอันร้อนระอุ กลายเป็นซากปรักหักพังที่ไร้ชีวิต บนพื้นหินที่ไหม้ดำ มีเพียงร่างสีน้ำเงินกับไซเบอร์เอลฟ์สามตัวที่ยังหลงเหลืออยู่

     

    (...เมื่อกี้เสียพลังงานไปเยอะ ถ้าไม่กลับเข้าไซเบอร์สเปซอาจจะอันตราย)

     

    (ชิ...เสียของพอดีกัน เพิ่งจะเดือนเดียวเองแท้ๆ...)

     

    คาเมลิโอ โรสเรด...

     

    (พวกฉันคงตามมาได้แค่นี้ แต่ถ้าอยากให้พวกเราช่วยก็เรียกได้เสมอนะ เอ็กซ์)

     

    โรสเรดไม่พูดอะไรและเข้าอุโมงค์ไปก่อน คาเมลิโอพูดจบก็ทำท่าจะตามไป แต่หยุดอยู่ที่หน้าอุโมงค์

     

    (...เอ็กซ์ ฉันรู้ว่านายมีความสุขขึ้นมากแค่ไหนตั้งแต่มาที่โลกนี้)

     

    ...

     

    (ถึงยังไงก็อย่าหมดหวังล่ะ)

     

    แล้วดวงแสงดวงสุดท้ายก็ไป และอุโมงค์สีเขียวก็ปิดลง

     

    แม้สิ่งที่มาทำจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่เอ็กซ์ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับเขายังรับเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเข้าไปไม่ได้ทั้งหมด

     

    เขาเริ่มก้าวขาออกไปทั้งที่ใจยังสับสน

     

    (...)

     

    เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาสอดส่ายสายตาในบ้านที่ลุกไหม้

     

    ภายในแทบจะเรียกได้ว่าปกคลุมด้วยเปลวเพลิง ไม่น่าเชื่อว่าคนร่วมสิบคนเพิ่งจะหนีออกไปจากที่อย่างนี้ไม่ถึงนาที ความเร็วที่ไฟลามนั้นผิดธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง

     

    ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องพรรค์นี้...!’

     

    เขาไล่ดูทีละห้อง ซึ่งก็มีอยู่เพียงสี่ห้อง ห้องโถง/รับแขกที่เขาเข้ามา ห้องครัว ห้องนอน และห้องสุดท้ายคือห้องน้ำ

     

    ไฟลุกมาถึงประตูห้องน้ำ เด็กหนุ่มเอามือดันประตูดูก็รู้ว่าใส่กลอนและคนที่เขาตามหาอยู่ข้างใน

     

    อิลเช่!”

     

    เขาตะโกนสุดเสียง สักพักหนึ่งจึงมีเสียงเล็กๆ ดังกลับมา

     

    ฟิลิป...?

     

    แน่ใจว่าที่จับและกลอนข้างในต้องร้อนมากจนแตะไม่ได้ มีแต่ต้องพังเข้าไป

     

    อิลเช่อยู่ในนั้นใช่มั้ย! ถอยออกไปจากประตู ฉันจะพังเข้าไป!”

     

    หลังจากนับหนึ่งถึงสาม เด็กหนุ่มก็ทุ่มร่างใส่ประตูเต็มแรง ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สามกลอนโลหะจึงกระเด็นหลุด บานประตูดีดเปิดออกอย่างรุนแรง

     

    เด็กหญิงยืนตัวสั่นเทาอยู่ที่มุมห้อง ไฟลามมาถึงหน้าต่างระบายอากาศที่อยู่สูงเกือบถึงเพดาน เขาตรงเข้าไปหาเด็กหญิงทันที

     

    เด็กหญิงแสดงท่าทางหวาดกลัวเมื่อเขาเข้าไปใกล้

     

    ไม่ใช่ฟิลิป...?

     

    เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าไม่มีเวลาอธิบาย อุ้มเด็กหญิงขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันที

     

    ห้องโถงสภาพแย่ยิ่งกว่าที่เขาเข้ามาทีแรก แทบจะไม่มีที่ไหนที่ไม่มีไฟ

     

    เขาวิ่งตรงไปที่ทางออก มองเห็นซิสเตอร์และเด็กคนอื่นๆ กวักมือร้องเรียก

     

    ห้าก้าวจะถึงประตู เขาได้ยินเสียงไม้หักดังขึ้นเหนือหัว ก่อนที่วัตถุหนักจะกระแทกหลังเขาจนล้มคว่ำไปข้างหน้า

     

    เด็กหญิงหลุดจากอ้อมกอดกลิ้งหลุนๆ พ้นประตูออกไป เธอลุกขึ้นและทำท่าจะวิ่งกลับเข้ามาข้างใน

     

    อย่าเข้ามานะ!”

     

    เด็กหญิงตกใจหยุดชะงัก แต่ทำท่าจะวิ่งต่อ หากซิสเตอร์ไม่เข้ามาคว้าตัวเธอไว้ได้ก่อน เด็กหญิงเอื้อมมือออกมาข้างหน้า มองเขาเหมือนกับจะร้องไห้

     

    เด็กหนุ่มรีบสำรวจตัวเอง หลังเขาถูกคานทับไว้ กระดูกดูเหมือนจะไม่หัก ยังขยับตัวได้

     

    เขาเอื้อมไปที่คทาซึ่งเหน็บอยู่ที่เอว เพียงแค่ใช้คาถา<ลอยตัว>ก็ยกคานไม้ออกไปได้ง่ายๆ

     

    ...ไม่มีคทา

     

    เขาลืมหยิบมาด้วยตอนที่รีบออกมาจากคฤหาสน์

     

    เด็กหนุ่มเหลียวมองกลับไปที่กลุ่มเด็กกำพร้า ประสานดวงตากับร่างเล็กๆ ที่จ้องเขม็งมาที่เขา

     

    ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาไม่อยากแสดงใบหน้าสิ้นหวังให้เด็กๆ เหล่านั้นเห็น เขาจึงยิ้ม

     

    และเป็นภาพสุดท้ายของเด็กหนุ่มผมบรอนซ์เทาที่สะท้อนในดวงตาน้อยๆ ก่อนที่บ้านทั้งหลังจะถล่มลงมา

     

    (...)

     

    เอ็กซ์วิ่งผ่านบ้านเรือนที่ลุกไหม้ ดวงตารับเอาใบหน้าที่หวาดกลัวของผู้คน หูฟังเสียงร่ำไห้ของเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงเสียงของคนที่ชี้มือชี้ไม้มาทางเขา เป็นเพราะผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายของเขาไหม้ไปกับไฟแล้ว

     

    นั่นมันตัวอะไรน่ะ?!”

     

    ปีศาจ!”

     

    เจ้านั่นเหรอที่เป็นคนทำ?

     

    เอ็กซ์มองตรง เพ่งสายตาที่ประตูเมืองเพียงอย่างเดียว เขาในเวลานี้สมองชาจนไม่รู้สึกอะไรกับคำสาปแช่งที่ส่งมา

     

    ตุบ!

     

    หินก้อนขนาดกลางกระทบกับใบหน้าด้านขวาของเขา เอ็กซ์หยุดวิ่งและหันหน้าไปมองทางที่หินถูกขว้างมา เป็นชายฉกรรจ์เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยแววตาพยาบาท หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ดึงตัวชายฉกรรจ์ให้หนีพลางมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว

     

    เอ็กซ์เบือนหน้ากลับมา แล้วออกวิ่งต่อ

     

    (...)

     

    ไม่รู้ว่าเขาขึ้นมาถึงเนินเขาจุดเดิมตั้งแต่เมื่อไร เขาหยุดวิ่งและค่อยๆ หันหลังกลับไป

     

    เมืองด้านล่างเนินไม่เหมือนกับดวงอาทิตย์บนดินเหมือนอย่างทีแรก ไฟบริเวณกลางเมืองมอดไปแล้วทำให้แสงสว่างลดลงมาก ที่เหลืออยู่คือเปลวไฟที่ยังลุกไหม้ทั่วทั้งเมือง ไม่มีเว้น ไม่มีอาคารแม้แต่หลังเดียวที่รอดพ้น

     

    เสียงคร่ำครวญของความเศร้าโศก เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องตะโกนจากความโกรธ ได้ยินชัดเจนในหูของเอ็กซ์ราวกับเหล็กร้อนตรามันลงไปในสมองของเขาโดยตรง

     

    ภาพของร่างที่ถูกฝังอยู่ใต้กองเพลิง ชายชราที่ไม่มีแรงจะหนีออกจากบ้านที่ไฟลุกท่วม กลุ่มเด็กเล็กๆ กับนักบวชหญิงวัยกลางคนที่ร้องไห้อยู่หน้าซากบ้านที่ถล่ม

     

    วินาทีนั้นเอ็กซ์เพิ่งจะรู้สึกตัว

     

    เมืองทั้งเมืองเพิ่งถูกทำลายลงในชั่วข้ามคืน ต่อหน้าต่อตาของเขา เมืองที่ผู้คนอาศัยอยู่ บ้าน ครอบครัว บุคคลอันเป็นที่รัก สูญสิ้นไปด้วยเปลวเพลิงจากไซเบอร์เอลฟ์ ไซเบอร์เอลฟ์ที่เขามาตามกลับไซเบอร์สเปซ แต่ไม่ได้ทำตามหน้าที่

     

    เขาอยู่ด้วยตอนที่ดิโนเร็กซ์ปฏิเสธจะกลับไซเบอร์สเปซ เขาอยู่ด้วยตอนที่เมืองตกอยู่ใต้เปลวเพลิง เขาอยู่ด้วยตอนที่ชีวิตค่อยๆ ถูกกลืน

     

    เขามีทางเลือกที่จะไม่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ แต่เขาปล่อยมือจากมัน และท้ายที่สุดสถานการณ์ก็บานปลายจนเกินกำลังของเขา

     

    กว่าจะรู้สึกตัว เขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ร้องตะโกนออกไปได้ทัน ยูนิตสร้างเสียงของเขาทำงานจนสุดกำลังของมัน

     

    ร่างของเขาเซไปด้านหลัง แต่ประคองตัวเองไว้ได้ก่อนจะล้ม พลันคำพูดก่อนจากของไซเบอร์เอลฟ์ก็หวนเข้ามา

     

    (ถึงยังไงก็อย่าหมดหวังล่ะ)

     

    เอ็กซ์ยิ้มอย่างขมขื่น คาเมลิโอรู้สิ่งที่อยู่ภายในใจของเขา

     

    แต่ว่าเขาคงทำตามที่ขอไม่ได้ ความหวังเป็นสิ่งที่เปราะบางกว่าที่ใครหลายคนคิด มันสามารถนำมาซึ่งความสุขที่มหาศาลได้ ก็สามารถนำมาซึ่งความทุกข์มหันต์ได้เช่นกัน

     

    เขาได้ลิ้มรสความทุกข์ที่มากับความผิดหวังหลายต่อหลายครั้ง หรืออาจต้องบอกว่าชีวิตเขาทั้งชีวิตคลุกคลีอยู่แต่กับความหวังที่ไม่เป็นจริง เป็นบ่วงโซ่ที่เขาไม่อาจหนีได้แม้หลังจากที่ตายไปแล้ว เขาเคยสูญสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงทั้งหมดแล้วครั้งหนึ่ง คนที่ดึงเขาให้ลุกกลับขึ้นมาได้คือเด็กหญิงผมสีน้ำตาลเกาลัด จากนั้นก็เป็นเด็กสาวผมสีชมพูคนนั้นที่ทำให้เขามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าตอนนี้...

     

    เขายกผลึกสีม่วงที่มีดอกไม้กระดาษสีน้ำเงินขึ้นมอง เป็นสิ่งเดียวที่เขาสนใจนำออกมาตอนที่ผ้าคลุมไหม้ไฟ เขาจ้องมันด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะเงื้อแขนขึ้น...

     

    มือของเขาชะงักก่อนที่จะได้ปาออกไป เขาหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นขณะที่ในหัวปั่นป่วนด้วยความคิดที่สับสน ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงข้างตัว

     

    ความคิดที่ปั่นป่วนเริ่มจะสงบลง ขณะที่ดวงตามองทะเลเพลิงด้านล่าง ใจเขาก็ตัดสิน

     

    หากความหวังของเขาจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดเช่นนี้ทุกครั้งไป เขาก็จะเลิก

     

    เมื่อคิดด้วยเหตุผลทุกประการรวมเข้าด้วยกันแล้ว การส่งไซเบอร์เอลฟ์ทุกตนกลับไซเบอร์สเปซเป็นทางที่ให้ผลลัพธ์โดยรวมที่ดีที่สุด แต่เขาเลือกที่จะเชื่อในความหวังของตัวเองมากกว่าการไตร่ตรองด้วยเหตุผล ถือว่าเขาได้ใช้โอกาสของเขาแล้ว และจะไม่มีครั้งต่อไป

     

    เอ็กซ์หันหลัง แล้วออกเดิน ทิ้งเมืองที่ถูกทำลายและเสียงกรีดร้องของผู้คนไว้เบื้องหลัง แต่ความทรงจำของมันจะอยู่กับเขาตลอดไป หากเขาคิดจะหวังอะไรอีก ภาพนี้จะคอยเตือนเขาเสมอ

     

    (...)

     

    (.....)

     

    ฝนตกพรำๆ  ท้องฟ้ามืดมิดแม้สำหรับเวลากลางคืน

     

    ถนนแถบบ้านนอกของเยอร์มาเนียตัดผ่านที่ราบที่มีเพียงต้นไม้เป็นหย่อมๆ

     

    เรปลิลอยด์สีน้ำเงินห่มผ้าคลุมที่เปียกชุ่มย่างก้าวอย่างช้าๆ ไปบนพื้นที่ชื้นแฉะ

     

    เป็นวันที่แปดนับตั้งแต่เอ็กซ์สัญญากับตัวเองว่าจะละทิ้งซึ่งความหวังลมๆ แล้งๆ

     

    มาเธอร์เอลฟ์ ยืนยันตำแหน่งสัญญาณ

     

    (...สัญญาณอยู่กับที่...ทิศตะวันออกเฉียงใต้ 116.45 องศา...ระยะทาง แนวราบ 5,236.45 เมตร แนวตั้ง -78.41 เมตร...)

     

    บัดนี้เขาตั้งมั่นแต่เพียงภารกิจเท่านั้น ทำแต่สิ่งที่เขาควรทำเท่านั้น

     

    อีกห้ากิโลเมตรเหรอ...

     

    เบื้องหน้าถนนที่ทอดยาวในความมืด มีแสงไฟสว่างขึ้น ขนาดของมันไม่น่าจะมาจากตะเกียงหรือคบเพลิง

     

    ด้วยความสงสัย เอ็กซ์เร่งฝีเท้าขึ้น

     

    ชายหนึ่งคนกับรถม้าที่ลุกไหม้ถูกล้อมด้วยกลุ่มคนสวมผ้าคลุม

     

    ชายผมสีขาวที่ดูเป็นหัวหน้ากลุ่มชูไม้เท้าหัวเหล็กขึ้น เอ็กซ์ดีดตัวออกไปทันที

     

    ถ้าเพียงแค่นี้ เขาพอเข้าไปช่วยได้ แต่จะให้หวังอะไรมากกว่านั้น จิตใจที่บอบช้ำของเขาไม่สามารถ

     

    หนีไปเร็วเข้า!”

     

    ถ้าหากจะมีอะไรบางอย่างที่สามารถช่วยเขาจากเขาวงกตที่ไร้ทางออกนี้ได้ ก็คงมีแต่ปาฏิหาริย์

     

    ...หึ อย่างเช่นว่าถ้าเขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วพบว่าตัวเองกลายเป็นมนุษย์ไป

     

    ...ฮะ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ความหวังลมๆ แล้งๆ พรรค์นั้น

     

    (...)

     

    (.....)

     

    นี่ เจ้าชื่อว่าอะไร? ชายชราถามเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่นั่งอยู่บนเตียง

     

    ...ชื่อของผมคือ...ซาวิเยร์...

     

    (...)

     

    --

     

    PBW:“จบไปจนได้ TotW - V และอาจจะเป็น TotW สุดท้าย

     

    DX:“คราวนี้มีตอนเดียวแฮะ

     

    PBW:“ก็ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น เป็นจุดสำคัญที่จะปูเรื่องใน Arc ต่อๆ ไป โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับรูทเอ็กซ์

     

    DX:“ไอ้ เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา ที่ชื่อ [เอร์ฮาร์ท] นั่น?

     

    PBW:“เออน่ะ อย่าถามมาก รู้แค่ว่าเลือกชื่อมาจากบนเว็บก็พอแล้ว สำหรับตอนนี้ก็ค่อนข้างจะ...ไม่ได้ใส่ใจคุณภาพมากนัก(ช่วงท้าย) เพราะเวลาค่อนข้างเร่ง

     

    DX:“ตกลงแต่ละตอนแกใช้เวลาเท่าไหร่กันแน่?

     

    PBW:“ในช่วงเปิดเทอม คนเขียนพยายามกำหนดให้ได้หนึ่งตอนต่อสองสัปดาห์ แต่ในความเป็นจริงแล้วทำไม่ได้ เพราะเวลาว่างในการเรียนมหาลัยนั้นแต่ละสัปดาห์ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะช่วงหลังสอบกลางภาคนี้ จะเต็มไปด้วยงานหนักทั้งหลายซึ่งทุกหลักสูตรวิชาเห็นพ้องต้องกันว่าให้นำมาสุมท้ายภาคให้หมด อาจเป็นไปได้เลยว่าคนเขียนจะไม่อัพเดทอีกเลยจนถึงสิ้นเดือนเมษายน(จบภาคเรียน) แต่หลังจากปิดภาคเรียนไปแล้ว(หลังเดือนพฤษภาคม) ก็จะกำหนดให้ได้หนึ่งตอนต่อหนึ่งสัปดาห์

     

    DX:“เรอะ? ทำไมฉันไม่รู้สึกยังงั้นเลยฟะ?

     

    PBW:“ก็ไม่เคยทำได้เลยนี่หว่า

     

    DX:“ว่าแต่ตอนหน้าใช่มะที่จะได้ใช้ไอ้<โปรเจค>นั่นซะที

     

    PBW:“อ่าฮะ จนเกือบลืมไปเลยนะเนี่ย ไม่ได้สิ ต้องใช้ ไม่ใช้ไม่ได้ อุตส่าห์เสียแรงแปลร่วมเดือน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×