ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn : Fierce Demon & Little Cute Pineapple [1896]

    ลำดับตอนที่ #26 : ปวดหัวซะจริง ตอนนี้มีแต่เรื่องต้องคิด คิด แล้วก็คิด~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 444
      4
      14 ก.ย. 54

    Ch.24
     
    เช้ามืดภายในห้องรับรองโรงแรมหรูหกดาวซึ่งเป็นที่พักของเหล่ามาเฟียผู้มาเยือนมาเฟียแลนด์แห่งนี้ วองโกเล่แฟมิลี่กำลังประชุมกันแบบไม่ครบองค์ เพราะคนอื่นๆ ยังไม่ตื่น และผู้พิทักษ์แห่งอรุณก็ออกไปฟิตร่างกายรอบเช้า มีเพียงสามคนเท่านั้น บอส มือขวา และผู้ดูแลบอส
     
    “สึนะ ตอนที่เจ้าพวกคัลคัสซาบุกมา นายได้สังเกตเรือรบของพวกมันรึเปล่า? ม่านโปร่งใสที่เจ้าโง่สคัลพูดออกมาซะเต็มไมค์น่ะ” ทารุกชุดดำเปิดประเด็น
     
    “อืม พรางเรือได้ทั้งลำ รู้สึกจะปกคลุมด้วยไฟธาตุหมอก ถึงยุคนี้จะไม่มีแหวน แต่อัลโกบาเลโน่ก็เปล่งไฟออกจากร่างกายได้สินะ” เด็กหนุ่มผมฟูพยายามเดินความจำ
     
    “ถูกต้อง แต่ไฟอัลโกบาเลโน่ของสคัลน่ะเป็นธาตุเมฆา แล้วไฟธาตุหมอกนั่นมาจากไหน นายพอจะจับสัมผัสของเจ้าของไฟได้มั้ย?”
     
    “ไม่เลย ไฟธาตุหมอกที่ฉันรู้สึกได้จากบริเวณนั้นก็มีแค่ของโคลมที่อยู่ด้วยกัน” สึนะส่ายหน้า แต่มือขวาหนุ่มผมเงินรู้สึกสะกิดใจส่วนท้ายของประโยคจึงสวนขึ้นมาทันควัน
     
    “แต่รุ่นที่สิบครับ ยัยผู้หญิงนั่นไม่ได้อยู่กับพวกเรานะครับ”
     
    “เอ๋? แต่ฉันรู้สึกถึงไฟของโคลมแน่ๆ นี่นา!” ผู้เป็นบอสเริ่มสับสน
     
    “ถ้างั้นก็แสดงว่า...ยั่ยนั่นทรยศเราไปเข้ากับพวกคัลคัสซา! เดี๋ยวผมจะไปเค้นเอาคำตอบมาเดี๋ยวนี้เลยครับ!” โกคุเดระคิดเอง ตัดสินใจเอง และก็กำลังจะออกไปจัดการเอง แต่ทารกชุดดำเรียกเอาไว้ซะก่อน
     
    “อย่าลืมสิ นั่นเป็นไฟของโคลมก็จริง แต่คนที่ใช้ไฟของโคลมได้ ในโลกนี้มีอย่างน้อยๆ สองคนนะ”
     
    “เอ๋? แต่ไฟธาตุหมอกนั่นเป็นของโคลม แล้วจะมีใครใช้ได้อีกล่ะ?” สึนะไม่เข้าใจ แต่คำตอบก็มาหาเขาเอง
     
    “หมายถึงฉันสินะ...”
     
    เสียงอันเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านหลังของสองวองโกเล่ ทั้งคู่หันกลับไปก็พบว่าเป็นใบหน้าที่คุ้นตา เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มผู้มีอักขระรูปจันทร์เสี้ยวสีเงินที่แก้มซ้ายยืนมองพวกเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนเคย
     
    “ดีจ้า” ทารกชุดดำทักทายอย่างไม่ตกใจ ในขณะที่อีกสองคนตื่นตระหนกกันเป็นการใหญ่
     
    “หนอยแก! คิดจะลอบกัดจากข้างหลังยังงั้นเหรอ เล่นสกปรกจริงๆ!” แต่ดูเหมือนจะมีบางคนโอเวอร์รีแอคติ้งไปมาก
     
    “มาทำอะไรที่นี่ล่ะ?” ทารกชุดดามต่อโดยไม่สนใจเสียงตะโกนก่อนหน้า แต่ก็ต้องหันไปสนใจจุกนมที่เปล่งแสง
     
    “เจ้านี่น่ะ มันเป็นลูกศิษย์ฉันไงเว้ยเฮ้ย!”
     
    เสียงเล็กแหลมดังขึ้นพร้อมกับเหยี่ยวที่โฉบเข้ามาทางหน้าต่างโดยมีทารกผมทองในชุดทหารเกาะอุ้งเท้าอยู่
     
    “ [โคโรเนโร่] !” สึนะจำอีกฝ่ายได้ในทันที จะมีทารกซักกี่คนที่พันหัวด้วยผ้าลายพรางพร้อมกับติดเข็มกลัดเลข 01 แล้วยังแบกปืนไรเฟิลติดหลัง
     
    “ไง ไม่ได้เจอกันซักพักนึงแล้วนะ นายยังตัวกะเปี๊ยกเหมือนเดิม” รีบอร์นทักทายเพื่อนเก่า
     
    “นายเองก็เหมือนกันแหละเว้ยเฮ้ย! ก็อัลโกบาเลโน่มันโตได้ซะที่ไหนล่ะ!” อีกฝ่ายตอบกลับเป็นเชิงรับมุข
     
    “ตอนคัลคัสซ่าบุกโจมตีไม่เห็นโผล่มา ขี้เซาจนเผลอหลับไปสิท่า”
     
    “การพักผ่อนให้เต็มที่ของฉันกับลูกศิษย์เป็นส่วนนึงของการฝึกตะหากล่ะเว้ยเฮ้ย!”
     
    แทบไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี่คือเด็กทารกอายุไม่ถึงสองขวบคุยกัน แต่พวกเราก็คงจะชินกับภาพแบบนี้กันแล้วล่ะเนอะ
     
    “ยังไงก็เถอะ ที่ว่าเจ้านี่เป็นลูกศิษย์ของนายเนี่ย มันเป็นมายังไง?” รีบอร์นถามพลางชำเลืองมองเด็กหนุ่มผู้ตกเป็นประเด็น
     
    “เวลเด้เอามาฝากไว้น่ะเว้ยเฮ้ย ซักหกปีได้แล้วล่ะมั้ง? ฉันไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็เลยสอนเจ้านี่เรื่องวิธีการรบแล้วก็การเอาตัวรอด จนซักสองปีที่แล้วนี่เองถึงได้ปีกกล้าขาแข็ง จากนั้นนานๆ ทีก็มา ‘เช็คสภาพ’ เหมือนอย่างอาทิตย์นี้ไงเว้ยเฮ้ย” โคโรเนโร่อธิบาย
     
    “แล้วนายรู้เรื่องของหมอนี่ดีแค่ไหน?”
     
    “ก็ทั้งหมดที่เวลเด้รู้นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมรับสอนหรอกเว้ยเฮ้ย” คำตอบนี้ทำให้คิ้วรีบอร์นกระตุกไปข้างหนึ่ง เขาไม่ชอบใจเลยซักนิดที่มีเรื่องที่โคโรเนโร่รู้แล้วเขาไม่รู้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน จึงได้เสริมขึ้นอีกว่า
     
    “แต่ฉันไม่บอกนายหรอกนะ อยากรู้ก็ไปค้นดูเอาเองนะเว้ยเฮ้ย!”
     
    “เฮอะ ใครจะไปหวังพึ่งข้อมูลจากทหารเปี๊ยกที่สมองมีแต่กล้ามเนื้อกัน” รีบอร์นพูดเป็นเชิงดูถูก
     
    “พูดยังงี้เจอกันซักยกเลยดีกว่าเว้ยเฮ้ย!” โคโรเนโร่เดือดเล็กน้อย
     
    “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่นายรู้รึเปล่า เรือรบที่เจ้าพวกคัลคัสซาใช้น่ะ...”
     
    --
     
    แสงอาทิตย์ส่งผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้องที่มีผนังสีขาวและปูด้วยพรมสีแดง ตกกระทบบนใบหน้าของเด็กสาวผมม่วงซึ่งกำลังหลับอยู่บนเตียงใหญ่สีขาว ทำให้เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้น
     
    สิ่งแรกที่คนเราทำเมื่อตื่นเช้าก็คือเรียบเรียงความทรงจำของเมื่อวาน และสิ่งที่โคลมจำได้ก็คือเธอขึ้นไปบนชิงช้าสวรรค์แล้วเกิดการขัดข้องขึ้น จากนั้นก็...
     
    ใบหน้าของเด็กสาวขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อนึกถึงเหตุการณ์บนกระเช้า ใครจะคิดว่าคนเย็นชาอย่างเด็กหนุ่มผมดำจะทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นได้ขนาดนั้น
     
    ยิ่งเมื่อสำรวจรอบตัวก็ยิ่งทำให้อาการหน้าแดงของเธอกำเริบหนัก สถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นโรงแรม ซึ่งเธอจำได้ว่าไม่เคยได้เข้าห้องที่ถูกจองเอาไว้มาก่อน ชุดที่เธอใส่อยู่ตอนนี้เป็นชุดนอน ซึ่งเธอแน่ใจว่าเธอไม่ได้ใส่ชุดนอนออกไปเดินกลางสวนสนุก และจุดที่สำคัญ รวมทั้งเด่นชัดแบบสุดๆ คือร่างที่นอนหลับอุตุอยู่ข้างๆ เธอ
     
    ใบหน้าของเธอตอนนี้แดงจนมะเขือเทศเกรดเอยังต้องอาย เพียงแต่ถึงกินเธอเข้าไปเราก็ไม่ได้วิตามินเอหรือธาตุอาหารใดๆ ทั้งนั้น(แต่หลายคนก็ยังยืนยันอยากจะลองกินเธอดู ซึ่งเราไม่ขอพูดถึงเรื่องนั้น)
     
    ก็จริงที่เธอเคยตื่นขึ้นมาในสภาพเดียวกันนี้มาก่อน แต่ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันโดยสิ้นเชิง สาเหตุเป็นเพราะสายตาเธอมองเด็กหนุ่มคนนี้ต่างไปจากเดิม เธอได้เห็นความอ่อนโยนของเขาซึ่งในครั้งนั้นยังไม่ได้เห็น
     
    เสียงเต้นตึกตักจากหัวใจของตัวเองที่เคยดังขึ้นเพียงเมื่อได้อยู่ใกล้นายอันเป็นที่รักของเธอบัดนี้กลับได้ยินอย่างแจ่มชัด
     
    เธอเคยสาบานเอาไว้ว่า ‘ชีวิตนี้อยู่ได้เพราะท่านมุคุโร่ เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อท่านมุคุโร่ ชีวิตเธอเป็นของท่านมุคุโร่ ท่านมุคุโร่คือทุกอย่างของเธอ’ หรือว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อเมฆาหนุ่มกำลังเพิ่มพูนขึ้น จนใกล้เคียงกับสิ่งนั้นเข้าไปทุกที
     
    ‘เรา...อาจจะชอบท่านเคียวยะ แต่...’
     
    เสียงพลิกตัวของเด็กหนุ่มด้านข้างดึงความสนใจของเธอไปจากสิ่งที่คิดอยู่
     
    ฮิบาริลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มสีขาวหลุดลงไปกองที่ตักเผยให้เห็นเสื้อแขนยาวสีขาวที่เขาใส่นอนลายฮิเบิร์ดเวอร์ชั่นกำลังร้องเพลงแบบขยายยี่สิบเท่า
     
    โคลมคิดในใจว่าอยากได้มั่ง เอ๊ย ไม่ใช่! เธอสบตาอีกฝ่ายด้วยความเอียงอายกับสภาพที่เป็นอยู่ ถึงกับลืมภาษาญี่ปุ่น พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ฮิบาริจึงได้เป็นฝ่ายพูดก่อน
     
    “มองฉันทำไม? ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวสำหรับมื้อเช้าสิ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งสนิทซึ่งไม่เข้าอย่างรุนแรงกับเสื้อนอนลายนกขนปุยสีเหลือง
     
    “ค—ค่ะ!” โคลมรับปฏิบัติในทันที เพราะเธอก็ไม่อยากอยู่ในสภาพที่พูดอะไรไม่ออก
     
    “ภายในสิบนาที” ฮิบาริไม่วายทิ้งท้าย ซึ่งโคลมก็พยักหน้ารับแต่โดยดี
     
    ในระหว่างที่เด็กสาวหายเข้าไปในห้องน้ำ เด็กหนุ่มก็ได้แต่นั่งว่างอยู่บนเตียง แต่เขาก็ไม่ได้นั่งเฉยๆ คนอย่างเขาก็มีเรื่องให้คิดเหมือนกัน
     
    เขาสงสัยมานานแล้ว สำหรับเขา โคลม โดคุโร่เป็นอะไรกันแน่? ทำไมเขาถึงได้รู้สึกแตกต่างอย่างนี้? ทำไมถึงรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอ อยากปกป้องเธออย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน...
     
    เป็นนักเรียนในโรงเรียนของเขามันก็ใช่ แต่คนแบบนั้นก็มีอยู่ทั่ว
     
    เป็นสัตว์กินพืชก็ไม่ใช่ สัตว์กินเนื้อก็ไม่เชิง
     
    เป็นคู่ปรับรึก็ไม่ได้ใกล้เคียงเลยซักนิด(ในหลายๆ ด้าน)
     
    เป็นคนในปกครองที่ไว้ใจได้ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุซาซาเบะซะด้วย
     
    เป็นเพื่อนก็น่าจะน้อยไป เป็นคู่ก็ไม่น่าจะใช่ ...รึจะเป็นนก?(อะไรวะ?)
     
    รึจะเป็น—
     
    “ท่านเคียวยะคะ...”
     
    เขาหันไปทางต้นเสียง เด็กสาวผมม่วงผู้เป็นสาเหตุแห่งการคิดมากของเขายืนแอบอยู่หลังประตูห้องน้ำที่แง้มออก บางส่วนของร่างกายเธอแพลมออกมาให้เห็นว่าเธอนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
     
    “มีอะไร?”
     
    “น—น้ำ...น้ำไม่ไหลค่ะ ทำยังไงดีคะ...” เธอเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา แก้มของเธอแดงระเรื่อด้วยความเขินอายกับความไม่เอาไหนของตัวเอง
     
    เด็กหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดในหัวเขาจะลงล็อกกันเป๊ะ
     
    ที่แท้ในสายตาของเขา โคลม โคุโร่ก็เป็น...
     
    ...เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้...
     
    ...
     
    “อันนี้ตะหากเปิดน้ำ อันนั้นปรับอุณหภูมิ เธอหมุนผิดก๊อกแล้ว”
     
    --
     
    R:”จบเอาดื้อๆ แหละตอนนี้ ได้เขียนสิ่งที่อยากเขียนแล้ว”
     
    DX:”เฮ้ย จนป่านนี้แล้วไอ้เจ้าสองคนนั่นมันยังเป็นได้แค่ ‘เด็กน้อย’ กับ ‘ผู้ปกครองเอง’ เองเหรอฟะ?”
     
    R:”ก็แหงสิ ถ้าเจ้าสองคนนั้นมันสิบเจ็ดเหมือนในการ์ตูนเลิฟโคเมดี้เรื่องอื่นๆ ฉันจะไม่ห้ามเลยซักนิด แต่—ให้ตายเถอะฟะ—โคลมเพิ่งสิบสี่เองนะเฟ้ย ยังมีหนทางของสาวน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอีกยาวไกล ส่วนฮิบาริก็สิบหก แต่ความรับผิดชอบใหญ่เกินตัว ดูแล้วมันห๊างห่างกัน”
     
    DX:”อ้อ เจ้านั่นก็เลยจะเลี้ยงต้อยยัยเด็กผมม่วงนั่นว่างั้น?”
     
    R:”ใช่—เอ๊ย! จะบ้าเรอะ! ความสัมพันธ์แบบนี้ฉันว่ารู้สึกน่าอิ่มเอมใจกว่าเป็นไหนๆ อีกอย่าง ฉันก็อยากจะลองเขียนดูว่าถ้าสองคนนี่มีสายสัมพันธ์กันแบบนี้แล้วจะเป็นยังไง ว่าจะเขียนซักตอนนึงเต็มๆ”
     
    DX:”เออๆ จะเขียนอะไรก็เขียนไป อย่าให้ยืดเยื้อน่ารำคาญเป็นพอ”
     
    M:”แล้วก็อย่าลืม ให้บทผมด้วยนะครับ”
     
    R:”ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีกเรอะ บทแกน่ะยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้แล้วเฟ้ย เป็นฟันเฟืองตัวสุดท้ายในการตัดสินความสัมพันธ์ของสองคนนั่นเลยนะ”
     
    M:”คุฟุฟุ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอเป็นฟันเฟืองบิดๆ เบี้ยวๆ ที่ทำให้ไม่สมหวังจะดีกว่านะครับ”
     
    R:”ปากไม่ดีแล้วสมองยังคิดไม่ดีอีกเรอะ มันน่า...”
     
    M:”น่าอะไรครับ ^ ^?”
     
    R:”...คิดไม่ออกเฟ้ย แต่ขอรับรองว่าโยนแกเข้าบาร์เกย์แถวๆ สี่ทุ่ม ออกมาได้เมื่อไรก็คิดออกตอนนั้นแหละ”
     
    M:”ช่วยคิดให้ออกเดี๋ยวนี้เลยนะครับ = =;”
     
    --
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×