คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 10: ความว่างเปล่า ทายาทแห่งองค์ศาสดา
(ภาพตัวละคร Arc 3 : [ความว่างเปล่า] ธาตุที่ศูนย์ / Credit: baka-tsuki.org)
ปลายสุดของถนนบัวร์ดุนนีคือพระราชวังทริสเทน อัศวินของกองราชองครักษ์ลาดตระเวนทั้งบนฟ้าและพื้นดิน เหตุเพราะสองสามวันที่ผ่านมามีข่าวลือว่าสงครามได้แผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง ว่า<เรกองกิสตา>เข้าบดขยี้ราชวงศ์ที่จนมุม ยึดครองราชอาณาจักรอัลเบี้ยนได้สำเร็จ และเป้าหมายต่อไปก็คือราชอาณาจักรทริสเทนแห่งนี้
บรรยากาศของทหารที่เฝ้ารักษาการณ์นั้นตึงเครียด ไม่ว่าอสูรมนตราหรือเรือเหาะชนิดใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้บินผ่านมาทางน่านฟ้าเหนือพระราชวัง ผู้ที่จะผ่านประตูเข้าไปได้ต้องถูกตรวจค้นอย่างละเอียด ตั้งแต่ช่างตัดเสื้อยันคนขายลูกกวาด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เวทมนตร์หรือผู้ที่ถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์แฝงตัวเข้าไปก่อการร้ายภายในพระราชวัง
ด้วยเหตุนี้ทำให้เมื่อมังกรสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้นเหนือปราสาท กองทหารรักษาการณ์ก็รีบปฏิบัติการณ์ในทันที
กองราชองครักษ์มีทั้งหมดสามหน่วย ขณะที่อีกสองหน่วยพักผ่อนหรือไม่ก็ทำการฝึก หน่วยหนึ่งก็จะทำการเฝ้าระวัง และหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ขณะนี้คือหน่วยอัศวินแมนติคอร์ ชนชั้นสูงบนหลังอสูรมนตราที่เหมือนกับสิงโตมีปีกบินขึ้นมาล้อมมังกรสีน้ำเงินซึ่งบรรทุกคนห้าคนไว้บนหลัง กับตุ่นยักษ์ในปากอีกหนึ่งตัว
อัศวินแมนติคอร์เตือนทั้งห้าว่านี่เป็นเขตห้ามบิน แต่เด็กสาวสวมแว่นก็ไม่สนใจ บังคับมังกรลงจอดที่สวนในวัง ทหารลาดตระเวนรีบตามลงไป ทหารเวทแต่ละคนกระโดดลงจากหลังอสูรมนตรา ชี้คทาที่ปลายส่องแสงจางๆ ไปที่ผู้บุกรุก สั่งให้ปลดอาวุธลงแต่โดยดี
คนทั้งห้าทำตาม เด็กสาวผมสีชมพูก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับประกาศตัว
“ข้าคือบุตรีคนที่สามของดยุคลา วาลลิแยร์ หลุยส์ ฟรังซัวส์ ขอเข้าเฝ้าองค์หญิง”
หัวหน้าของหน่วยอัศวินแมนติคอร์บิดหนวดตัวเองเล่นขณะที่จ้องมองเด็กสาวอย่างพิจารณา เขาต้องรู้จักตระกูลมีชื่ออย่างวาลลิแยร์อยู่แล้ว
“ข้าเห็นแล้ว...ดวงตาของท่านเหมือนกับมารดา พวกท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”
หัวหน้าหน่วยตามถึงจุดประสงค์ในการเข้าพบ แน่นอนว่าหลุยส์ต้องตอบไปว่าเป็นความลับ หัวหน้าหน่วยพิจารณาดูคนอื่นๆ อย่างลวกๆ สามคนดูเหมือนจะเป็นชนชั้นสูง แต่ว่าเด็กหนุ่มอีกคนท่าทางจะไม่ใช่ เครื่องแต่งกายมันฟ้อง
“พาสามัญชนเข้ามาในเขตพระราชฐาน ซ้ำยังไม่ยอมบอกจุดประสงค์ ข้าคงให้เข้าเฝ้าองค์หญิงไม่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ต้องรับผิดก็คือหัวบนบ่าของข้า” หัวหน้าหน่วยก็มีความรับผิดชอบของตัวเอง
“นี่ๆ อย่าตืดไปหน่อยเลยน่า~” ไซโตะพยายามพูดตีซี้
“เป็นแค่บ่าวไพร่อย่าบังอาจสอดปากการสนทนาระหว่างชนชั้นสูง” หัวหน้าหน่วยเอ่ยด้วยสายตาดูแคลน
“หนอย...อุตส่าห์พูดดีด้วยแล้วนะ หลุยส์ ฉันขอซัดเจ้าหมอนี่ซักทีได้มะ?” ไซโตะพูดเสียงลอดไรฟัน
“อย่าคุยโวไปหน่อยเลย แค่นายฟลุคชนะวาลด์ไม่ได้หมายความว่านายจะทำเบ่งไปทั่วได้นะ” หลุยส์ดุอสูรรับใช้ที่ไม่เจียมตัว
ได้ยินคำว่า ‘ชนะวาลด์’ ยิ่งทำให้หัวหน้าหน่วยอัศวินแมนติคอร์ระแวงหนัก คทาที่ลดลงไปตอนที่หลุยส์แนะนำตัวชึ้กลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับแสงที่ใหญ่กว่าเดิม หลุยส์กับไซโตะผงะ และเริ่มการกระทบกระทั่งตามกิจวัตร
“นั่นไงล่ะ! เพราะนายพูดไม่เข้าท่า!”
“ก็ลุงนี่ดื้ออยู่ได้นี่หว่า!”
หัวหน้าหน่วยตัดสินใจใช้โอกาสนี้สั่ง ‘จับคนพวกนี้ไว้!’ และอัศวินเวทคนอื่นๆ ก็เริ่มบริกรรมคาถา ทว่าเด็กสาวสวมผ้าคลุมไหล่สีม่วงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา องค์หญิงอังริเอตต้าเห็นหลุยส์ถูกหน่วยราชองครักษ์ล้อมเอาไว้จึงรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์
เพื่อนรักทั้งสองกอดกันกลมต่อหน้ากองอัศวินเวทซึ่งตกใจจับต้นชนปลายไม่ถูก จนกระทั่งองค์หญิงบอกว่าทั้งหมดเป็นแขกของเธอ และให้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ต่อ
องค์หญิงหันซ้ายหันขวาราวกับมองหาใครบางคนในกลุ่มของหลุยส์ ...คนที่เธอมองหาไม่อยู่ด้วย
“...องค์ชายเวลส์สละชีวิตตัวเองจริงๆ ด้วยสินะ...” ใบหน้าของอังริเอตต้าหมองคล้ำลง หลุยส์แสดงความกังวลออกทางสีหน้า
“...แล้วไวส์เคานต์วาลด์ล่ะ? หรือว่าขุนนางผู้เก่งกาจต้องสิ้นลมด้วยน้ำมือของคนโฉดเสียแล้ว?...”
สีหน้าของหลุยส์ดำมืดลง สำหรับเธอแล้วมันเป็นเรื่องที่พูดลำบากเหลือแสน
“ไวส์เคานต์วาลด์เป็นไส้ศึกตั้งแต่แรกแล้วครับ” เด็กหนุ่มผู้เป็นอสูรรับใช้ตอบแทน เขาพยายามทำตัวให้เข้มแข็งแทนหลุยส์ที่กำลังอ่อนไหว
“!? ไวส์เคานต์คนนั้นน่ะหรือจะ...”
องค์หญิงนำทั้งหกเข้าไปในปราสาท ให้หลุยส์กับไซโตะตามไปที่ห้องทำงาน ส่วนที่เหลือให้นั่งพักอยู่ที่ห้องรับรอง
เข้ามาถึงห้องทำงานขององค์หญิง มีเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงหลายชิ้น แต่ไม่ถึงกับเกร่อ อังริเอตต้านั่งลงที่เก้าอี้ วางศอกลงบนโต๊ะไม้ แล้วหลุยส์ก็เล่าเหตุการณ์ที่พวกเธอได้ไปพบมา
เรื่องที่พวกคีร์เก้โผล่มากลางทาง
เรื่องที่ต่อสู้กับฟูเก้ต์และทหารรับจ้างที่ลา โรแชลล์
เรื่องที่ถูกเรือโจรสลัดโจมตี และที่หัวหน้าโจรสลัดเป็นองค์ชายเวลส์
เรื่องที่องค์ชายเวลส์ปฏิเสธทางหนีที่อยู่ตรงหน้าและเลือกที่จะต่อสู้อย่างสมเกียรติ
เรื่องงานแต่งงาน ที่วาลด์เผยตัวตนที่แท้จริงและสังหารองค์ชายเวลส์
และความทะเยอะทะยานของเรกองกิสตา จะรวมฮาลเคกิเนียให้เป็นหนึ่งใต้จักรพรรดิองค์เดียว และกอบกู้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนจากเผ่าพันธุ์เอลฟ์
สุดท้ายคือการส่งคืนจดหมายในภารกิจ
บัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทริสเทนกับเยอร์มาเนียก็ปลอดภัยแล้ว ทว่าต้องแลกด้วยความโศกเศร้าขององค์หญิงอังริเอตต้า
“ไวส์เคานต์คนนั้นเป็นคนทรยศ...มีคนทรยศอยู่ในกองราชองครักษ์...กองราชองครักษ์ของฉัน...โดยที่ฉันไม่รู้เลย...”
ยิ่งกว่านั้น เธอยังเป็นคนส่งคนทรยศไปในภารกิจสำคัญเองด้วย...เธอส่งคนทรยศไปฆ่าองค์ชายเวลส์
“ไม่ใช่ความผิดขององค์หญิงหรอกเพคะ แม้แต่หม่อมฉันที่เป็นคู่หมั้นเองก็ยังไม่ทราบ จนกระทั่งสายเกินไป...”
ดวงตาสีฟ้าใสจับจ้องที่จดหมายซึ่งเธอเคยเขียนให้เขาคนนั้นเองกับมือ น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มของเธอ
“ท่านเวลส์...ความหวังของข้าตายไปพร้อมกับท่าน...แล้วข้าจะอยู่ต่อไปเช่นไร?...”
“ถ้าหากหม่อมฉัน...ถ้าหากหม่อมฉันพยายามโน้มน้าวใจองค์ชายให้มากกว่านี้ล่ะก็...”
อังริเอตต้ากุมมือหลุยส์ที่ก้มหน้าด้วยความผิด
“ไม่เป็นไร หลุยส์ เธอนำจดหมายกลับมาได้สำเร็จ สัมพันธไมตรีกับเยอร์มาเนียปลอดภัยก็เพราะเธอ เราจะมีกำลังต่อต้านการรุกรานของอัลเบี้ยน เป็นเพราะเธอ วิกฤติของอาณาจักรเราได้ผ่านพ้นไปแล้ว”
แต่ความทุกข์ทรมานของเธอเพิ่งจะเริ่มขึ้น และเป็นความทุกข์ทรมานที่มองไม่เห็นจุดจบ ไม่ว่าเธอจะพยายามซ่อนมันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสักแค่ไหนก็ตาม
หลุยส์ล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่ชายเสื้อ เธอหยิบแหวนทับทิมวารีออกมาและส่งคืนองค์หญิง
อังริเอตต้าบอกให้เด็กสาวสวมเอาไว้ เธอมอบแหวนอันแสนสำคัญนี้ให้เป็นรางวัลที่ทำภารกิจสำเร็จ
“ท่านเวลส์...” อังริเอตต้าพึมพำด้วยความรักและความเศร้า เธอเงยหน้าขึ้นมองหลุยส์ แม้จะเป็นยิ้มที่เศร้า แต่ก็เป็นยิ้มแห่งความขอบคุณ
“เขาคนนั้น เขาตายอย่างกล้าหาญ ใช่หรือเปล่า?”
ไซโตะทำได้เพียงพยักหน้า เขาบอกสิ่งที่เห็นผ่านตาซ้ายของหลุยส์ให้ฟัง เวลส์ตายในการต่อสู้กับวาลด์หลังจากที่รู้ว่าหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟินอยู่ฝั่งเรกองกิสตา
“องค์ชายเวลส์ต่อสู้กับศัตรูของราชวงศ์จนวินาทีสุดท้าย...” ไซโตะพูดลงท้ายพร้อมกับก้มหน้านิ่ง
อังริเอตต้าไม่พูดอะไร หลุยส์และไซโตะขอตัวแล้วออกจากห้องไป
เมื่อประตูปิดลง น้ำตาของอังริเอตต้าก็พรั่งพรูพร้อมกับเสียงสะอื้น
อังริเอตต้าไม่ได้ถามถึงชายอีกคนที่ร่วมเดินทางไปกับหลุยส์และไซโตะ ความเศร้าที่สูญเสียคนรักบดบังความคิดอื่นจนหมด
อย่างไรเสีย เขาก็เป็นเพียงคนอีกคนหนึ่งที่ล้มตายจากไฟสงครามในอัลเบี้ยน เช่นเดียวกับทหารไร้นามคนอื่นๆ อีกมากมาย
...
.....
ปราการนิวคาสเซิ่ลครั้งหนึ่งเคยตั้งตะหง่านเป็นฐานที่มั่นที่แข็งแกร่ง บัดนี้ตลบอบอวลไปด้วยความตาย แม้จะยืนหยัดจากการโจมตีอันเลวร้ายได้ ทว่าก็ต้องกลายเป็นทัศนียภาพที่น่าสลดใจ
กำแพงปราสาทที่ถูกกระหน่ำโจมตีจากกระสุนปืนใหญ่แล้วเวทมนตร์กลายเป็นเศษหินอยู่ที่พื้น ศพที่ถูกเผาจนไม่เหลือเค้าเดิมเรียงรายกันอยู่บนพื้น
แม้การต่อสู้จะจบลงอย่างรวดเร็ว คณะปฏิวัติ—ไม่สิ คณะปกครองในปัจจุบันของอัลเบี้ยนได้รับความเสียหายอย่างที่ไม่อาจจินตนาการถึง เพื่อแลกกับกับทหารฝ่ายราชวงศ์สามร้อยนาย ทหารฝ่ายเรกองกิสตาสองพันนายเสียชีวิต อีกสี่พันนาย
เพราะปราการตั้งอยู่ปลายสุดของเกาะลอยฟ้า การโจมตีจึงทำได้เพียงทิศทางเดียว และก่อนที่ทหารฝ่ายเรกองกิสตาจะทะลวงผ่านประตูหน้าเข้าไปได้ ก็ต้องถูกกระหน่ำโจมตีจากทั้งเวทมนตร์และปืนใหญ่ ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย
แต่ท้ายที่สุดแล้วเรกองกิสตาก็เอาชนะได้ด้วยจำนวนล้วนๆ เมื่ออยู่หลังกำแพงปราสาทแล้ว การป้องกันของราชาก็เปราะบาง ผู้ใช้เวทมนตร์หน่วยราชองครักษ์ที่อารักขาราชาแห่งอัลเบี้ยนต่อสู้กับทหารที่บุกเข้ามา แต่เพราะจำนวนที่เทียบกันไม่ได้ ทำให้ล้มตายลงทีละคน จนกระทั่งหมดสิ้น
แม้จะสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้มหาศาล แต่ต้องแลกมาด้วยความพินาศย่อยยับอย่างเบ็ดเสร็จของฝ่ายราชวงศ์ หมายถึงว่าไม่เหลือทหารแม้สักนาย เพราะทหารฝ่ายราชวงศ์ต่อสู้จนถึงคนสุดท้าย
การต่อสู้ชี้ชะตาตัดสินสงครามกลางเมืองของอัลเบี้ยน ศึกนิวคาสเซิ่ลที่กำลังพลของกองทัพฝ่ายราชวงศ์เป็นรองถึงหนึ่งต่อร้อย แต่ยังสามารถสร้างความเสียหายได้สิบเท่าของกำลังพลนั้น กลายเป็นตำนานที่เล่าขานต่อมา
...
สองวันหลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง ใต้แสงแดดที่แผดเผา ท่ามกลางเศษหินและซากศพ
สถานที่แห่งนี้เคยเป็นโบสถ์มาก่อน แต่ถ้าไม่เห็นกางเขนตกอยู่กับพื้นคงไม่มีใครดูออก
เศษอาคารชิ้นใหญ่ที่ต้องใช้หลายคนยกแตกกระเด็นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่างหนึ่งลุกขึ้นบนกองอิฐและหิน เศษอาคารที่ทับอยู่ร่วงหล่นลงด้านข้าง
ตามร่างกายของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเต็มไปด้วยรอยถลอก เสื้อผ้าฉีกขาดเปื้อนดำหลายตำแหน่ง ใบหน้ามอมแมมเปรอะเปื้อนมอมมแมมด้วยเศษฝุ่น ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองร่างของเด็กหนุ่มผมสั้นสีทองที่นอนหลับตาอยู่ข้างเขา เสื้อคลุมสีน้ำเงินที่เป็นชุดของนายพลกองทัพมีรอยแดงเป็นดวงใหญ่ที่หน้าอก ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าซีดเผือดไร้ชีวิต ร่างกายเย็นเฉียบ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ อีกไม่นานจะเริ่มเห็นร่องรอยการเน่าเปื่อยบนผิวหนังส่วนน้อยที่ไม่ถูกเสื้อผ้าบดบัง
โชคเข้าข้างเขาที่เศษอิฐหินของโบสถ์ถล่มลงมาไม่ถูกร่างของเขาและองค์ชาย
แต่คนที่ตายไปแล้ว ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรับรู้ได้
“อึก!” เอ็กซ์กุมท้อง จุดที่ถูกสายฟ้าสีชมพูเจ็บแปลบ หนังหน้าท้องไหม้ติดกับเสื้อแขนสั้นที่เขาสวมไว้ด้านใน
‘รู้สึก...ปวดหัวตัวร้อนยังไงชอบกล...’
เป็นแผลร้ายแรงที่ถูกปล่อยทิ้งไว้สองวัน เชื้อโรคต้องเข้าไปแล้วอย่างแน่นอน ถ้าไม่รีบรักษามีสิทธิ์ถึงตาย
สายตาเหลือบไปเห็นแหวนสีเงินประดับอัญมณีสีม่วงที่นิ้วนางข้างขวาขององค์ชายเวลส์
‘เหมือนกับแหวนหมั้น’ เอ็กซ์นึกอย่างประชดประชันในโชคชะตา
เขาถอดแหวนออกจากนิ้วที่แข็งเกร็ง เก็บมันลงในกระเป๋าด้านในเสื้อนอกสีขาว
เอ็กซ์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง รู้สึกถึงความร้อนจากแสงแดด เขายังไม่ตาย ถึงจะมีแผลฉกรรจ์ ถึงจะขาดอาหารและน้ำถึงสองวันจนร่างกายทรุดโทรม แต่เขายังไม่ตาย
“องค์ชายเวลส์ พระองค์จะทรงอยู่ในความทรงจำของกระหม่อม และในความทรงจำขององค์หญิงอังริเอตต้าตลอดไป...” เอ็กซ์หลับตาอธิษฐานแด่ดวงวิญญาณขององค์ชายเวลส์
เสียงฝีเท้า คนสองคนใกล้เข้ามา
“...แล้วจดหมายอยู่ไหนล่ะ?”
“...ก็อยู่—!”
เสียงนั้นขาดห้วง คงจะเห็นเขาเข้าแล้ว เอ็กซ์หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับสองเสียงนั้น
“เจ้า...” ขุนนางหนุ่มวาลด์หรี่ตาลงพูดเสียงต่ำ
“คนที่อยู่กับพวกกันดาล์ฟร์” หญิงสาวผมยาวสีเขียวในชุดคลุมสีเทา ฟูเก้ต์แห่งดินสลาย
เอ็กซ์ก้มลงหยิบดาบสั้นของเขาที่วางอยู่ใกล้ๆ นั้นขึ้นมาจากพื้น สายตาไม่ละไปจากสองผู้ใช้เวทมนตร์ของเรกองกิสตา ภาพแกว่งเล็กน้อยเพราะอาการมึนหัว
ฟูเก้ต์ก้าวมาข้างหน้า แต่ซากอาคารที่เหยียบลงไปเกิดทรุดตัว หัวขโมยสาวร่ายคาถา<ลอยตัว>ได้ทัน แต่ซากอาคารที่ทรุดตัวนั้นหล่นลงไปในหลุมใต้เท้าเธอ
“หลุมนี่มันอะไร?” ฟูเก้ต์เอ่ยอย่างฉงนสนเท่ห์
วาลด์มองหลุมที่ทั้งลึกและกว้าง แล้วก็นึกถึงเด็กหนุ่มผมทองอีกคนที่ร่วมเดินทางมาจากทริสเทน แต่ลงป้ายที่ลา โรแชลล์ อสูรรับใช้ของเด็กนั่นคือตุ่นยักษ์ เขาปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“สองคนนั้นหนีไปได้...”
เอ็กซ์ได้ยินก็เลิกคิ้ว เขาหมดสติอยู่ตลอดจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ได้รู้ว่าคนอื่นๆ ปลอดภัยเขาก็โล่งใจ แล้วหันมาเพ่งสมาธิกับสถานการณ์ตรงหน้า
‘เจ้าพวกนี้มีแผนการจะโจมตีทริสเทน’ เอ็กซ์คิดแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากไปกว่านี้ เขาจะจัดการกับทั้งสอง และ—ถ้าเป็นไปได้—จับตัวไปให้ทางราชสำนักที่ทริสเทน
อย่างไรเสียเขาก็มีธุระกับขุนนางผู้ทรยศทริสเทนเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว
“มาเธอร์เอลฟ์ ไซเบอร์วิชั่น”
ภาพที่เขาเห็นกลายเป็นสีดำที่มีเส้นขอบสีขาวเป็นโครงร่าง เขาพินิจดูวาลด์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
‘!? ไม่มีอะไรเลย?’ ไม่มีดวงแสงแบบที่เขาเคยตรวจพบในร็อคเก็ตลันเชอร์
เขาคลายไซเบอร์วิชั่น ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“วาลด์ สายฟ้าสีชมพูนั่น ไปได้มาจากไหน?” เขาถาม ด้วยสายตาที่แผ่แรงกดดันโดยไม่เก็บกัก
วาลด์และฟูเก้ต์มองดวงตาสีเขียวมรกตแล้วก็รู้สึกถึงแรงกดดัน เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเป็นเม็ด ความที่เป็นถึงอัศวินเวท เขาไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะถอยง่ายๆ แต่สัญชาตญาณภายในก็บอกเขาว่าอย่าประมาท โดยเฉพาะกับคนที่รู้ถึงคำถามนั้น
“พลังที่ทำให้ใช้เวทมนตร์ได้โดยไม่ต้องมีคทาหรือคำร่าย พลังแห่งปาฏิหาริย์นี้ข้าได้รับมาจากใต้เท้าผู้ได้รับพรจากองค์ศาสดาบริมิร์”
ฟูเก้ต์หันขวับ ใช้เวทมนตร์โดยไม่ต้องท่องคาถา แท้ที่จริงก็คือแอบท่องโดยขยับปากน้อยที่สุด ถ้าเชี่ยวชาญมากๆ ก็ทำได้ แต่การใช้เวทมนตร์โดยปราศจากคทา พวกที่ทำแบบนั้นได้มีแต่พวกเอลฟ์ แต่วาลด์เป็นมนุษย์ เธอไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน
เอ็กซ์หรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำว่า ‘พรจากองค์ศาสดา’ แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไร ชายอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงที่เริงร่า
“ไวส์เคานต์! วาลด์! ท่านพบจดหมายหรือยัง? นั่นน่ะ...อะไรนะ...อ้อ จดหมายรักที่อังริเอตต้าส่งให้องค์ชายเวลส์ ดวงแก้วล้ำค่าที่จะช่วยหยุดยั้งสัมพันธไมตรีระหว่างทริสเทนกับเยอร์มาเนีย หาพบหรือยัง?”
ชายที่เดินเข้ามามีอายุราวสามสิบกว่าๆ สวมหมวกกลมไร้ปีกและเสื้อคลุมยาวสีเขียว รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเรียบง่ายนี้ทำให้การมองเพียงครั้งแรกลงความเห็นว่าเขาเป็นผู้ถือเพศนักบวช ทว่าส่วนที่คล้ายคนของกองทัพก็มี อย่างเช่นจมูกที่งองุ้มและดวงตาสีฟ้าที่ดูชาญฉลาด เส้นผมสีทองที่โผล่ออกมาจากใต้หมวกโค้งออกด้านนอก
(Credit: baka-tsuki.org)
วาลด์คุกเข่าลงแล้วก้มหน้า
“ขอประทานอภัยอย่างสูงขอรับใต้เท้า จดหมายหนีไปทางหลุมนี้ เป็นความผิดพลาดของข้าเอง ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก โปรดลงโทษข้าตามเห็นสมควรด้วย”
ชายผู้ถูกเรียกว่า<ใต้เท้า>เดินเข้ามาหาวาลด์ แล้วแตะไหล่เขาเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าแสดงถึงการให้อภัย
“กล่าวอะไรเช่นนั้น ไวส์เคานต์? ท่านทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม! สังหารแม่ทัพผู้กล้าหาญของศัตรูได้! อ้าว นั่นมกุฎราชกุมารเวลส์ที่รักของเรามิใช่รึ? เขาเกลียดชังข้าอย่างไม่ปิดบัง... แต่เห็นเขาเช่นนี้แล้วทำให้ข้ารู้สึกผูกพันอย่างประหลาด จริงด้วยสิ เมื่อตายไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ถือเป็นญาติมิตร”
แก้มของวาลด์กระตุก เขารับรู้ถึงน้ำเสียงประชดประชันในตอนท้าย แต่รักษาอาการและรายงานขออภัยอีกครั้ง
“ทว่าภารกิจชิงจดหมายที่แสนสำคัญกับใต้เท้าจบลงด้วยความล้มเหลว ข้าขอประทานอภัยที่ไม่สามารถทำได้ดังที่ใต้เท้าหวัง”
“อย่าได้เป็นกังวลไป ไวส์เคานต์ เทียบกับการขัดขวางสัมพันธไมตรีแล้ว การสังหารเวลส์สำคัญกว่าหลายขุมนัก ความฝันนั้นเป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ บรรลุอย่างช้าๆ ทีละขั้นทีละตอน”
จากนั้นชายในชุดคลุมสีเขียวก็หันไปทางฟูเก้ต์
“แต่ว่าช่วยแนะนำสตรีผู้งดงามนางนี้ที เป็นนักบวชพูดกับสตรีไม่ค่อยสะดวก”
ฟูเก้ต์และเอ็กซ์มองชายในเสื้อคลุมยาว เห็นวาลด์โค้งคำนับอย่างนอบน้อม แต่ทั้งคู่คิดเหมือนกัน คือไม่ชอบชายหน้าพระคนนี้เลย บรรยากาศชั่วร้ายน่ารังเกียจเล็ดลอดออกมาจากใต้เสื้อคลุมคละคลุ้ง
วาลด์ตั้งตัวขึ้นตรงแล้วผายมือไปทางฟูเก้ต์
“ใต้เท้า นี่คือฟูเก้ต์แห่งดินสลายที่ชนชั้นสูงทริสเทนล้วนหวั่นเกรง”
“โอ้! ข้าได้ยินมาบ้าง! เป็นเกียรติทีได้พบ มิสแซ็กซ์โกธา”
ฟูเก้ต์ยิ้ม เอ็กซ์มองหัวขโมยสาวพลางนึกถึงบทสนทนาบนรถม้าตอนที่เธอยังแสดงเป็นมิสลองก์วิลล์
‘ชื่อสมัยเป็นชนชั้นสูงเหรอ?’
“วาลด์บอกท่านหรือเจ้าคะ?”
“ใช่แล้ว เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชนชั้นสูงอัลเบี้ยน วงศ์ตระกูล ตราประจำตระกูล ทรัพย์สิน... บิชอปอายุมากอย่างฉันจะให้จำทุกอย่างมันก็ลำบาก” ชายผู้ถูกเรียกว่า<ใต้เท้า>หันมาทางเอ็กซ์
“แล้วชายผู้นี้คือ...?”
“ชายผู้เรียกตัวเองว่าเป็น<นักเดินทาง> แต่แสดงฝีมือที่หาได้ในอัศวินชั้นสูง ซ้ำยังสามารถใช้เวทมนตร์ธาตุลมได้...เป็นอย่างน้อย” วาลด์ตอบ สายตามองนักเดินทางหนุ่มอย่างพิจารณา
“โอ ไวส์เคานต์กล่าวชื่นชมถึงเพียงนี้หมายความว่าคงต้องประเมินไว้สูงพอดู อ๊ะ! เกือบลืม ข้าเองก็ต้องแนะนำตัวตามมารยาท” <ใต้เท้า>ตั้งตัวตรง ทาบมือลงบนอกซ้าย
“ผู้นำทัพคนแรกของเรกองกิสตา [โอลิเวอร์ ครอมเวล] ยินดีรับใช้ เดิมทีข้าเป็นเพียงบิชอปธรรมดาสามัญ แต่คณะบารอนออกเสียงลงความเห็นแต่งตั้งข้าให้เป็นผู้นำทัพ ข้าจึงต้องพยายามสุดความสามารถ แม้ข้าจะอยู่ในเพศของนักบวช แต่ก็เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องชี้ทางให้กับพวกเราทุกคน ใช้พลังและความเชื่อเพื่อความดีอันยิ่งใหญ่”
“ใต้เท้าทรงมิใช่ผู้นำทัพอิสระอีกต่อไปแล้วนะขอรับ ใต้เท้าเป็น—“
“จักรพรรดิของอัลเบี้ยน ไวส์เคานต์ ข้าเข้าใจ”
ครอมเวลหัวเราะ แต่แววตาไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่าน นักเดินทาง ท่านมีนามว่าอะไร?”
“...ซาวิเยร์...” เอ็กซ์ตอบโดยไม่ลงหางเสียงกับ<จักรพรรดิ>
“ถ้าเช่นนั้น มิสเตอร์ซาวิเยร์ ท่านไม่สนใจจะมาเข้าร่วมเรกองกิสตาของเราหรือ?”
เอ็กซ์หรี่ตาลงขณะที่จักรพรรดิองค์ใหม่ของอัลเบี้ยนสาธยายต่อไป
“เป้าหมายของเรกองกิสตาคือ<ความเป็นเอกภาพ> ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของฮาลเคกิเนีย! ความกลมเกลียวที่เข้มแข็งดั่งเหล็กกล้า! เหล่าชนชั้นสูงผู้ถูกเลือกให้กอบกู้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาจากเผ่าพันธุ์เอลฟ์ที่น่าหวาดหวั่น ภารกิจที่องค์ศาสดาบริมิร์มอบให้เรา! <ความเป็นเอกภาพ>คือเป้าหมายสูงสุด มิสเตอร์ซาวิเยร์ ท่านไม่มาเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยกันหรือ?”
“...พูดจบแล้วใช่รึเปล่า?”
“...มิสเตอร์ซาวิเยร์?”
“ฉันมีคำถามจะถามบ้าง <ใต้เท้า>ที่ให้สายฟ้าสีชมพู—<พลังแห่งปาฏิหาริย์>กับไวส์เคานต์คือแกใช่มั้ย?”
จักรพรรดิครอมเวลเบิกตาขึ้น แต่เพียงเล็กน้อย
“มิสเตอร์ซาวิเยร์รู้เรื่อง<พลังแห่งปาฏิหาริย์>แล้วหรือ? ถ้าหากท่านมาเข้าร่วมกับเราล่ะก็ ข้าขอสัญญาว่าจะมอบ <พลังแห่งปาฏิหาริย์>ให้กับท่านเช่นเดียวกัน” ครอมเวลยิ้มอย่างเป็นมิตร
“<พลังแห่งปาฏิหาริย์>ที่ว่า ส่งมาให้ฉัน ทั้งหมด” เอ็กซ์ส่งแรงกดดันออกไปเช่นเดียวกับที่ทำกับวาลด์และฟูเก้ต์เมื่อครู่ แต่ครอมเวลเพียงแค่หัวเราะหึหึ
“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ <พลังแห่งปาฏิหาริย์>นั้นองค์ศาสดาบริมิร์ประทานให้แก่ข้า เป็นสิ่งที่อยู่กับตัวข้า จะให้ส่งต่อให้ท่านนั้นเป็นไปไม่ได้” ครอมเวลเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“อย่าทำไขสือ ฉันรู้ตัวจริงของ<พลังแห่งปาฏิหาริย์>ของแก ถ้าไม่ยอมส่งมาดีๆ ฉันก็จำเป็นจะต้องใช้กำลังบังคับ”
เอ็กซ์ตั้งดาบสั้นขึ้น เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นบนใบดาบ วาลด์และฟูเก้ต์มองเขาอย่างอัศจรรย์ใจ
“ดาบนั่น ดูยังไงก็แค่ดาบธรรมดา ไม่มีคุณสมบัติของคทาแม้แต่น้อย”
“ใช้เวทมนตร์ธาตุไฟโดยไม่ต้องร่ายคาถา...<พลังแห่งปาฏิหาริย์>?”
ครอมเวลไม่ยิ้มแล้ว จักรพรรดิสลัดคราบของนักบุญพร้อมทั้งออกคำสั่งเสียงดัง
“ไวส์เคานต์! กำจัดคนผู้นี้เดี๋ยวนี้!”
วาลด์ได้รับคำสั่งก็ตกใจ แต่ก็น้อมรับคำสั่งแต่โดยดี
“เดล วิล โซล ลา วินเด้”
เอ็กซ์จำได้ว่าเป็นคำร่ายของ<วินด์เบรค>ก็กระโดดหนี ทว่าขาของเขาไม่ขยับ เป็นเพราะเศษหินใต้เท้าเขาก่อตัวขึ้นเป็นมือจับข้อเท้าของเขาเอาไว้
ซ้ำร้าย ดวงตาของวาลด์ยังเปลี่ยนเป็นสีเขียว และยังเสียงเตือนของมาเธอร์เอลฟ์
(...สัมผัสได้...เผ่าพันธุ์ของฉัน..)
‘แย่แล้ว...!’
“วินด์เบรค!”
สายลมอันรุนแรงอัดกระแทกเข้ากับร่างของเอ็กซ์ พลังของมันต่างจากที่เขาโดนครั้งก่อนลิบลับ แรงของมันทำลายมือหินที่จับข้อเท้าและส่งร่างของเขาลอยละลิ่วขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงเกือบสามสิบเมล
วาลด์สะบัดคทาอีกครั้ง พายุหมุนยิงไปที่ร่างของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาบนฟ้า ส่งลอยออกไปเหมือนก้อนหินที่ถูกขว้าง ข้ามซากปราการนิวคาสเซิ่ล ลอยพ้นขอบทวีปหายไปในเมฆหมอกสีขาว
ครอมเวลปรบมืออย่างชื่นชม
“เยี่ยมยอดจริงๆ ไวส์เคานต์! แบบนี้มันเหมือนกับอัศวินเวทที่โด่งดังในทริสเทนเมื่อหลายสิบปีก่อน...ชื่ออะไรนะ...ใช่แล้ว เหมือนกับ [พายุยักษ์] เลย!”
“เป็นเพราะพลังที่ใต้เท้ามอบให้ข้าขอรับ” วาลด์คุกเข่าลง ดวงตาของเขากลับเป็นสีฟ้าดังเดิม ฟูเก้ต์ยืนมองเหมือนเห็นผี
‘พลังรุนแรงอะไรอย่างนี้ ไม่เคยเห็นผู้ใช้เวทมนตร์ระดับสแควร์มีพลังมากขนาดนี้มาก่อน’
ฟูเก้ต์ถามครอมเวลอย่างกริ่งเกรง
“ใต้เท้า <พลังแห่งปาฏิหาริย์>ที่องค์ศาสดาบริมิร์ประทานให้แก่ใต้เท้านั้น...เป็นพลังแบบไหนหรือเจ้าคะ?”
“มิสแซ็กซ์โกธาคงรู้จักสี่มหาธาตุแห่งเวทมนตร์ดี”
ฟูเก้ต์พยักหน้า แม้แต่เด็กยังรู้ ไฟ ลม น้ำ และธาตุที่เป็นเวทมนตร์ของเธอ ดิน
“นอกเหนือจากมหาธาตุทั้งสี่แล้ว ยังมีอีกธาตุหนึ่ง เวทมนตร์ที่องค์ศาสดาใช้ ธาตุที่ศูนย์ ในความเป็นจริงแล้ว มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง”
“ธาตุที่ศูนย์...<ความว่างเปล่า>?”
ฟูเก้ต์หน้าซีด ธาตุที่สูญหาย เวทมนตร์แห่งความไร้ตัวตน มืดมิดดังตำนานกล่าว เลือนหายไปจากโลก ชายคนนี้รู้อะไรเกี่ยวกับธาตุที่ศูนย์งั้นหรือ?
“นี่คือพลังที่องค์ศาสดาบริมิร์มอบให้แก่ข้า เป็นเหตุผลที่คณะบารอนมอบตำแหน่งผู้นำทัพให้กับข้า”
ครอมเวลหันไปทางร่างของเวลส์
“วาลด์ ข้าอยากให้มกุฎราชกุมารเวลส์เป็นสหายและพันธมิตร น่าเสียดายที่ยามมีชีวิตเขาเลือกจะเป็นอริของข้า ทว่าบัดนี้ ยามไร้ชีวิต เขาจักเป็นมิตรที่ยิ่งใหญ่ ข้าพูดผิดหรือไม่?”
วาลด์ส่ายหน้า
“เขามิควรต่อต้านใต้เท้าเลยขอรับ”
ครอมเวลหัวเราะด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้น มิสแซ็กซ์โกธา ข้าจะแสดงพลังของธาตุแห่ง<ความว่างเปล่า>ให้ท่านได้ชม”
ฟูเก้ต์กลั้นหายใจสังเกตครอมเวลทุกการเคลื่อนไหว
ครอมเวลหยิบคทาที่เหน็บอยู่ที่เอวขึ้นมา
เสียงต่ำเอ่ยคำร่ายอย่างแผ่วเบา เป็นคาถาที่ฟูเก้ต์ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เมื่อการบริกรรมคาถาสิ้นสุดลง ครอมเวลลดคทาลงชี้ที่ร่างของเวลส์
ทันใดนั้น เวลส์ที่ไร้ชีวิตก็ลืมตาขึ้น ความหนาวเหน็บแล่นลงไปถึงกระดูกสันหลังของฟูเก้ต์
เวลส์ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ใบหน้าที่ซีดเผือดมีเลือดฝาดขึ้น ราวกับดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวดูดซึมสายน้ำเข้าไป ร่างของเวลส์ค่อยฟื้นคืนชีวิตขึ้นทีละน้อย
“อรุณสวัสดิ์ มกุฎราชกุมาร”
ครอมเวลพึมพำ
เวลส์ที่ฟื้นคืนชีพส่งยิ้มตอบครอมเวล
“ไม่ได้พบกันนานนะ ท่านอาร์คบิชอป”
“มิได้ ข้าเป็นจักรพรรดิแล้ว มกุฎราชกุมารที่รัก”
“เช่นนั้นหรือ? ข้าขอประทานอภัย ใต้เท้า”
เวลส์คุกเข่า วางตัวอย่างบริวาร
“เวลส์ ข้าจะแต่งตั้งให้ท่านเป็นองครักษ์ส่วนตัวของข้า”
“ด้วยความยินดียิ่ง”
“ถ้าเช่นนั้น ขอให้เราเป็นสหายที่ดีต่อกัน”
ครอมเวลออกเดิน เวลส์ผู้ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะนอนอย่างไร้ชีวิตจนถึงเมื่อครู่เดินตามไป ครอมเวลหันกลับมาราวกับนึกอะไรออก
“วาลด์ อย่าได้เป็นห่วงไป แม้การเชื่อมสัมพันธไมตรีจะสำเร็จก็ไม่มีประโยชน์ ทริสเทนไม่มีทางรอด แผนการจะดำเนินไปตามที่วางไว้”
วาลด์โค้งคำนับ
“การทูตนั้นมีอยู่สองแบบ คือ<ไม้แส้>และ<ขนมปัง> ตอนนี้ให้ขนมปังอุ่นๆ กับทริสเทนและเยอร์มาเนียไปก่อน”
“ขอรับ”
“ทริสเทนเป็นดินแดนที่จำเป็นต้องได้มา ราชวงศ์ที่นั่นถือครอง<หนังสือสวดมนต์ขององค์ศาสดา> ข้าจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้นในการทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
หลังจากกล่าวจบแล้ว ครอมเวลก็จากไป
...
.....
ร่างของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาห้อมล้อมด้วยสายลมและปุยเมฆ รอบตัวเขาเป็นฟ้ากว้าง ราวกับลอยอยู่ในอากาศที่ไร้สิ่งกีดขวาง แต่เขารู้ดีว่าความจริงแล้วมันห่างไกลจาก<ลอย>มาก
อัลเบี้ยนอยู่สูงจากน้ำทะเลหลายกิโลเมตร ถ้าเขาตกลงไปกระแทกกับผิวน้ำจากความสูงเท่านี้ ต่อให้เป็นร่างกายแบบเขาก็ไม่พ้นต้องแหลกเป็นชิ้นๆ
‘เราจะมาตาย...อย่างนี้ไม่ได้...!’
ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าหนังด้านหลัง หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา
เอ็กซ์เพ่งสมาธิ รวบรวมพลังทั้งหมดไปที่วัตถุนั้น
แสงสีม่วงเปล่งออกมาอย่างแรงกล้า สายลมหมุนวนเข้าห้อมล้อมมือขวาที่กำวัตถุชิ้นนั้นเอาไว้
--
PBW:”บ๊ะ เป็นตอนที่ถูกใจมาก”
S:”ตรงที่มันบิดเบือนจากในนิยายน่ะนะ?”
PBW:”ใช่ ตรงที่นายไม่ได้แหวนไปด้วยนั่นล่ะ จากนี้ไปอีกซักพักจะมีส่วนหนึ่งที่ต่างจากนิยาย ตามติดชีวิตเอ็กซ์”
S:”ชีวิตหมอนั่นจะไม่เหลือให้ตามแล้ว เพราะดิ่งมหาสมุทรหลายพันเมตร”
PBW:”ต้องรอดอยู่แล้วสิฟะ”
S:”ยังรอดได้อีก?!”
DX:”เอ้าๆ ได้เวลาตอบคำถาม สัญญาไว้ตอนที่แล้วไม่ใช่เรอะ”
PBW:”เอาล่ะ จะตอบเป็นข้อๆ เหมือนเดิมนะครับคุณ yinejin (แต่อย่าถามบ่อยมากนะครับ เดี๋ยวมันจะรบกวนคนอ่านคนอื่นเขา)”
1. เรปลิลอยด์มี DNA ด้วย?: ครับ เรปลิลอยด์มี DNA แน่นอนว่าไม่เหมือน DNA ของสิ่งมีชีวิต แต่ก็ทำหน้าที่คล้ายๆ กัน คือเก็บ<ข้อมูล>เอาไว้ การที่เรปลิลอยด์ไม่สามารถสืบเผ่าพันธุ์ได้เหมือนสิ่งมีชีวิตทำให้ไม่มีการถ่ายทอดต่อไป แต่ก็มีอยู่จริงๆ เป็นลักษณะในทุกๆ ด้านของเรปลิลอยด์ตัวนั้นไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับทางระบบ(แน่นอนว่า ไม่เหมือนเมคานิลอยด์ ระบบของเรปลิลอยด์ไม่ได้ออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันทั้งหมด) หรือเกี่ยวกับทาง<ประสบการณ์>ที่เรปลิลอยด์ตัวนั้นได้เผชิญมาก็ทำให้ DNA นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ(เพราะสามารถตัดสินใจเองได้โดยไม่มีเครื่องผูกมัด ระบบจึงสามารถพัฒนาต่อไปได้)
ทว่า นอกจากส่วน ‘เรปลิลอยด์มี DNA’ ที่เหลือก็เป็นเพียงความเข้าใจของคนเขียนเท่านั้นนะครับ อาจลองเอาไปขบคิดพิจารณาเป็นความเข้าใจของตัวเองได้ ไม่ต้องยึดติดในคำอธิบายครึ่งๆ กลางๆ ของคนเขียนหรอกครับ
2. บทของซีโร่กับแอ็กเซล: บอกตามตรงนะครับ คนเขียนยังตัดสินใจไม่ได้เลย พอดีเห็นหลายฟิค(fanfiction.net อีกแล้ว)ที่ให้ซีโร่เป็นตัวเอก(เป็นที่นิยมจังเนอะ)ก็ไม่มีบทของเอ็กซ์(และยิ่งแอ็กเซลยิ่งไม่ต้องพูดถึง)เพื่อให้ความเด่นของซีโร่ไม่ถูกทอนลง คนเขียนก็ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจยังไงดี
(2.5 ซีโร่ หรือ เอ็กซ์?:
ตอบสั้นๆ ก็<เอ็กซ์>
ตอบยาวๆ ก็ ผมชื่นชอบเอ็กซ์เป็นการส่วนตัวมากกว่าซีโร่ แต่ถึงจะอ่านคอมเมนต์ของใครบางคน(ไม่ว่าไทยหรือเทศ)ว่า ‘ซีโร่สมเป็นตัวเอกมากกว่าเอ็กซ์’ หรือว่า ‘ซีโร่ยังดูเด่นกว่าเอ็กซ์อีก’ หรือแม้แต่ ‘เอาเอ็กซ์ออกไปเถอะ แล้วให้ซีโร่เป็นตัวเอกแทน’(ซึ่งก็เป็นจริงแล้วใน Rockman Zero) คอมเมนต์เหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอยากตอบโต้กลับไปยังซีโร่แต่อย่างใด เพราะผมเองก็เคารพและชื่นชมซีโร่ไม่น้อยไปเอ็กซ์ เพียงแต่ถ้าต้องเทียบกันจริงๆ ผมจะลำเอียงไปทางเอ็กซ์มากกว่า ง่ายๆ ว่าผมจะเข้าข้างเอ็กซ์ทุกครั้งนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าซีโร่จะกลายเป็นพระเอกไป หรือว่าจะได้บทเด่นกว่าเอ็กซ์ หรือจะอะไรก็ช่าง ผมแค่ชอบและเคารพเอ็กซ์ แค่นั้น
(ความจริงแล้ว เอ็กซ์เป็นตัวละครที่ผมทั้งชอบทั้งเคารพเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่ในซีรี่ส์นี้ แต่ในโลกนี้ เอ็กซ์เป็นที่หนึ่งเสมอในใจผม(ฮ่าๆ)) )
3. ชื่อของเลเวียธาน: ใช่ครับ เพราะเกี่ยวข้องกับน้ำ ส่วนสาเหตุที่เอาชื่อในตำนานมาตั้ง ก็เพราะชื่อที่คนรู้จักกันย่อมเห็นความเกี่ยวข้องได้ง่ายกว่าจริงมั้ยครับ? แล้วก็ CAPCOM ไม่ได้เป็นคนตั้งนะครับ Inti Creates เป็นผู้รับผิดชอบซีรี่ส์ Rockman Zero ครับ ไม่ใช่ CAPCOM ดูได้จากสไตล์ของภาพที่ใช้เปลี่ยนไป ความเป็นจริงแล้วในเรื่อง ทุกคนเห็นซีโร่รูปร่างเหมือนในซีรี่ส์ Rockman X เด๊ะๆ ครับ มีแต่เราคนเล่นที่เห็นต่างกัน
ไม่ใช่แค่ Leviathan นะครับ ที่มีชื่อตามตำนานเทพยุโรป
Harpuia ก็มาจาก Harpy อสูรมายาที่มีรูปร่างผสมระหว่างมนุษย์เพศหญิงกับวิหค
Fáfnir(Fefnir) ก็เป็นชื่อของมังกรที่พิทักษ์สมบัติและสิ้นชีวิตลงด้วยมือของวีรบุรุษซิกฟรีดหรือซิเกิร์ดตามตำนานเทพยุโรปเหนือ ในส่วนที่สี่และส่วนสุดท้ายของละครโอเปร่าเรื่อง<เกอเธอร์ดัมเมอร์รุงก์> หึหึ แล้วจะบอกอีกหน่อยว่าสมบัตินั้นมี<อันดวาริน็อธ>หรือ<แหวนแห่งอันดวาริ>รวมอยู่ด้วย(คุ้นๆ กันมั้ย?)
Phantom เป็นชื่อของสิ่งมีชีวิต(รึเปล่า?)มายาชนิดหนึ่งในตำนานเทพยุโรปเหนือ เรียกในภาษาไทยง่ายๆ ว่า<ผี>
ไม่ต้องพูดถึงบอสตัวอื่นๆ ในซีรี่ส์ Rockman Zero เช่น Herculious Anchortus (เฮอร์คิวลีส)
4. <หน้าอก>ของเลเวียธาน(เน้นๆ): เอ่อ จริงๆ เลเวียธานมีหน้าอกนะครับ แต่ขนาดมันไม่มากพอจะเห็นชัดเท่านั้นเอง ต้องไม่ลืมว่าจุดประสงค์คือให้ทำงานสะดวก และงานที่ว่าก็ไม่ใช่เดินแบบ มันก็เลยค่อนข้าง...ไม้กระดาน...ไม่ต่างจากของหลุยส์... แต่ข้อแตกต่างที่แยกเพศจากพี่น้องอีกสามคนอย่างชัดเจน คือ<รองเท้า>ไปสังเกตดูนะครับ
5. ถามไรเตอร์เลยเหรอ?: เคยแต่งครับ ไม่ใช่เคยคิดมั้ย เคยแต่งไปแล้ว แต่ไม่ได้เอาลง เพราะ...เหมือนแรงบันดาลใจมันไม่สู้ความอยากจะแต่งฟิค แต่นี่กำลังจะไปมหา’ลัยแล้ว(ไปพรุ่งนี้) อยู่มหา’ลัยอาจได้แรงบันดาลใจให้แต่งก็ได้ ใครจะรู้ (แต่คนเขียนเป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องคาแร็คเตอร์มากๆ แค่ยืมของเขามายังทำท่าจะหลุดคาแร็คเตอร์อยู่ทุกวินาที ถ้าสร้างเอง...จะเหลือรึ)
PBW:”นี่คงเป็นตอนสุดท้ายที่ผมได้นั่งพิมพ์อยู่ที่บ้านแล้ว พรุ่งนี้ผมก็จะจากบ้านหลังนี้ไปที่มหาวิทยาลัย...ความรู้สึกบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย...”
DX:”...”
ความคิดเห็น