คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : TotW - I: ความทรงจำแห่งประเทศสีขาว
“ไปเร็ว! มันอยู่ทางนี้!”
เสียงฝีเท้า แสงจากคบเพลิง ท่ามกลางความมืด คนกลุ่มหนึ่งวิ่งซอกแซกไปตามป่าริมหน้าผา หลบหนีทหารที่ตามมาด้านหลัง
เด็กหนุ่มผมสั้นสีทองอยู่ในกลุ่มที่ถูกไล่ตาม เขาคือมกุฎราชกุมารแห่งอัลเบี้ยน องค์ชายรัชทายาทเวลส์ ห้อมล้อมเขาคืออัศวินอารักขาที่ติดตามมาตั้งแต่หลบหนีออกจากเมืองหลวง [ลอนดิเนียม]
เมื่อบ่ายวันนี้ กองทัพเรกองกิสตาบุกเข้ายึดครองพระราชวังที่ลอนดิเนียม เชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารจำนวนมากถูกสังหาร หน่วยราชองครักษ์พาองค์ชายเวลส์ฝ่าวงล้อมศัตรูหลบหนีออกมาได้ ทว่าก็ถูกศัตรูตามมาพบในระหว่างพยายามตั้งแคมป์พักผ่อน
กลุ่มคนจำนวนน้อยย่อมเคลื่อนไหวในป่าได้รวดเร็วกว่า หากหนีไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะพ้นสายตาผู้ล่า ด้วยความคิดเช่นนั้นที่ทำให้กลุ่มขององค์ชายเวลส์วิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการหลบหนีมาทั้งวัน
“ผู้นำของศัตรูคือใคร?” เวลส์ถามองครักษ์
“มาร์ควิส ออฟ ดอร์เซ็ทพะยะค่ะ”
“...จอห์น ออฟ ดอร์เซ็ท*”
เวลส์จำชื่อนั้นได้ แม้จะไม่ใช่ขุนนางในราชสำนัก แม้จะไม่เคยได้พบกันเป็นการส่วนตัว แต่ชื่อเสียงของชนชั้นสูงคนนี้ก็เลื่องลือ ว่าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ลมระดับไทรแองเกิ้ลที่เก่งกาจ และเป็นเจ้าของ [ไม้เท้าแห่งเนอร์วิ]
(*หมายเหตุ: ไม่ต้องไปค้นครับ ตัวละครนี้เป็นของคนเขียนเอง แต่ชื่อเอามาจากคนที่มีจริงนะครับ)
เสียงลมแรงกรรโชกจากด้านหลัง ผู้นำกองทหารของศัตรูใช้เวทมนตร์บทใหญ่<ทอร์นาโด>
อัศวินอารักขาสองนายหันกลับไปร่ายคาถาต้าน สายลมที่รุนแรงสองสายบิดเกลียวและสลายไป ต้นไม้ที่จุดปะทะถูกถอนรากถอนโคน ดินถูกพัดกระจายเป็นบ่อกว้างเส้นผ่าศูนย์กลางร่วมห้า
มาร์ควิส ออฟ ดอร์เซ็ทก้าวออกมา แสงสลัวจากดวงจันทร์ช่วยให้เห็นว่าเขาเป็นชายวัยสามสิบต้นๆ ผมสั้นหยักศกสีเทา สวมชุดหรูหราและผ้าคลุมสีดำ หนวดเส้นเล็กๆ โค้งงามเท่ากันตามแบบสุภาพบุรุษ เขาถอดหมวกทรงสูงและโค้งคำนับตามมารยาทต่อราชวงศ์
“มกุฎราชกุมารเวลส์ที่เคารพ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับพระองค์ กระหม่อม [จอห์น บิวฟอร์ท ออฟ ดอร์เซ็ท] พะยะค่ะ”
มาร์ควิสจอห์นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเหลืองขุ่นลุกวาวอย่างน่ากลัว
“เป็นที่น่าเสียดาย แต่กระหม่อมคงต้องขอชีวิตของพระองค์เสียที่นี่”
มาร์ควิสจอห์นชูไม้เท้าขึ้น ด้ามมันทำด้วยไม้สีดำสนิท ส่วนหัวทำด้วยเงิน สลักเป็นลวดลายและมีส่วนที่ยื่นออกมาเป็นปีกค้างคาวสีเงินหนึ่งคู่ ฝังยอดด้วยคริสตัลสีม่วงหม่น
คริสตัลบนหัวไม้เท้าเปล่งแสงน่าขนลุก
อัศวินอารักขาอาศัยจังหวะพาองค์ชายหนี ทว่าพวกเขาไม่สามารถก้าวออกไปข้างหน้าได้ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยไอสีดำทำให้มันหยุดนิ่ง ไม่ใช่อาการชาเพราะพวกเขายังสามารถเกร็งแรงได้ เพียงแต่ออกแรงเท่าไรก็ไม่ขยับ ราวกับถูกสิ่งที่ทรงพลังมากๆ รัดตรึงไว้
องค์ชายเวลส์ต้องยืนนิ่ง ทำไม่ได้แม้แต่หายใจ เพราะกล้ามเนื้อปอดถูกแรงกดดันมหาศาลทำให้ไม่สามารถขยับขยายพองตัวได้
‘นี่เองเหรอ...พลังของไม้เท้าแห่งเนอร์วิที่ร่ำลือ...!’
“ไม่ว่าองค์ชายเวลส์จะพยายามสักเท่าใดก็มิอาจหลุดจากมนตร์สะกดของกระหม่อมได้หรอก ต้องสังหารเชื้อพระวงศ์ด้วยมือของตัวเอง กระหม่อมรู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก ทว่าการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จเป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงพึงกระทำ โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วย” มาร์ควิสจอห์นโค้งคำนับ รอยยิ้มอำมหิตผิดกับคำพูดลิบลับ
ตั้งตัวขึ้นตรง มาร์ควิสจอห์นชี้ไม้เท้าค้างคาวไปข้างหน้า
“ทอร์นาโด”
ลมหมุนลูกเล็กยิงจากคริสตัลปลายไม้เท้าตรงเข้าฉีกร่างอัศวินอารักขาออกเป็นชิ้นๆ
“ทอร์นาโด”
ลมหมุนอีกลูกคร่าชีวิตอัศวินผู้โชคร้ายอีกคน ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์ชายและหน่วยราชองครักษ์ ทว่าแม้แต่กล้ามเนื้อใบหน้าของพวกเขาก็ถูกสะกดไม่ให้แสดงความกลัวออกมา
ทอร์นาโดลูกแล้วลูกเล่าฉีกร่างทหารทีละคนทีละคน รอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของมาร์ควิสจอห์นกว้างขึ้นทุกๆ ครั้งที่เลือดเนื้อและกระดูกกระจัดกระจายไปกับแรงลม แม้แต่ทหารติดตามของมาร์ควิสวัยสามสิบเองยังขนลุก นายเหนือหัวของพวกเขาวิกลจริตไปแล้วแน่นอน
“ทีนี้ก็ถึงตามกุฎราชกุมารที่รักแล้ว”
ไม้เท้าค้างคาวเปล่งแสง สายลมก่อตัว
แต่ก่อนที่คาถาจะร่ายเสร็จ ดินข้างหน้าผาจุดที่องค์ชายเวลส์ยืนอยู่เกิดทรุดตัว
และองค์ชายซึ่งร่างกายขยับไม่ได้ก็ลื่นไถลตกจากหน้าผาไปโดยทำไม่มีแม้แต่เสียงร้อง
มาร์ควิสจอห์นเดินไปที่หน้าผา ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักดังมา มองลงไปเห็นแต่เพียงความมืด
“คงจะสูงไม่ต่ำกว่าสามสิบเมล แต่อาจจะรอดก็ได้” เพราะตกหน้าผา องค์ชายเวลส์จึงหลุดจากมนตร์สะกดของเขา
“ตามไป!”
มาร์ควิสนำทหารลงหน้าผาตามไป
...
.....
กลางป่าใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางความมืด เส้นผมสีบรอนซ์เทาสะท้อนแสงจันทร์ เงาทอดลงบนหน้าผา ขยับผ่านพื้นที่ขรุขระ ข้ามก้อนหินและรากไม้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด แต่เป็นในลักษณะไม่รีบร้อน ดวงตาสีเขียวมรกตสอดส่ายไปมา
“อีกไกลแค่ไหน?”
(...กำลังเคลื่อนไหวอยู่...ทางตะวันออกเฉียงเหนือ 16.72 องศา...ระยะทาง แนวราบ
“ตอนนี้ฉันวัดระยะทางไม่ได้ละเอียดแบบนั้นแล้วนา~”
เด็กหนุ่มในเสื้อคลุมแขนกุดสีขาวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะบุกป่าฝ่าดงต่อไป จากข้อมูลที่ได้ เป้าหมายอยู่สูงกว่ามาก เขาจึงเดินเลียบหน้าผาไปเพื่อหาทางขึ้น
หลังจากเดินมาได้สักพักเขาก็หยุดเพื่อตรวจสอบตำแหน่งอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร เสียงคำรามของสายลมก็ดังขึ้น สูงขึ้นไปบนหน้าผา
‘หรือว่าจะเป็นนั่น?’
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ต้องปีนหน้าผาแล้ว จัดแจงนำเล็บเหล็กสำหรับปีนหน้าผาที่เหน็บอยู่เอวซ้ายข้างฝักดาบออกมาสวมมือทั้งสองข้าง
เงยหน้ามองผาที่สูงร่วมสี่สิบเมตร เขากระโดดสุดตัว สูงจากพื้นดินเกือบสิบเมล ความสูงที่มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางทำได้ กรงเล็บที่มือสองข้างจิกเข้าไปในดิน จากนั้นก็เริ่มปีนอย่างแข็งขัน
มาได้ครึ่งทาง เสียงคำรามของลมดังเป็นระยะมาตลอด เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนนั้น
‘เวทมนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยิงถี่ขนาดนั้นยังกับยิงอยู่ฝ่ายเดียวเลย?’
เขามองเห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าผา หมิ่นเหม่จะตกแหล่มิตกแหล่ เขาอดคิดไม่ได้ว่าสาเหตุที่ต้องยืนอยู่ที่อันตรายแบบนั้นคืออะไร
ก่อนที่จะได้คำตอบ ร่างนั้นก็ลื่นไถลตกลงมา
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาตัดสินใจกระโดดออกไปรับร่างนั้นกลางอากาศ
‘ข้างล่างเป็นต้นไม้ น่าจะรับน้ำหนักไหว...!’
ร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง แบกร่างที่ตกลงมาไว้ด้วยสองแขน เท้าของเขาเหยียบลงที่กิ่งไม้ ขาของเขาต้องรับแรงกระแทกที่หนักหน่วง กิ่งไม้ทานไม่ไหวหักลง เท้าทั้งสองข้างลงเหยียบพื้นอย่างปลอดภัย
เด็กหนุ่มวางร่างที่เขาอุ้มลงกับพื้น แล้วตัวเองก็นั่งลงพิงต้นไม้ ขาสองข้างปวดระบม
‘ขาเป็นเลือดเนื้อก็ไม่สะดวกยังงี้ล่ะนะ’
เมื่อทำใจให้สงบจากเหตุการณ์ระทึกขวัญได้แล้ว เด็กหนุ่มผ้าพันเอวแดงก็มองผู้ที่เขาช่วยเอาไว้
เป็นชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบ ผมสั้นสีทองยุ่งเหยิงเพราะลมตอนที่ตกลงมา ร่างสูงมีกล้ามเนื้อพอประมาณ ใบหน้าหล่อเหลา สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินของกองทัพประดับยศนายพล เขาเคยเห็นภาพวาดของคนคนนี้
‘มกุฎราชกุมารเวลส์?...หรือว่าพระราชวังถูกกบฏยึดไปแล้วเหรอ?’
...
.....
แสงจันทร์สะท้อนผิวทะเลสาบเป็นประกายระยิบระยับ
เขาเดินอยู่อยู่ริมน้ำ เด็กสาวร่างบางสวมเดรสยาวสีขาวเดินเคียงข้าง
เธอหันมายิ้มให้เขา ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม เปี่ยมด้วยความรัก จากเธอ ให้เขา
“ท่านเวลส์”
“อังริเอตต้า”
เวลส์ลืมตาขึ้น แสงแดดแยงตา เขาได้ยินเสียงนกร้อง
“นี่เรา...?”
“อรุณสวัสดิ์พะยะค่ะ”
เสียงพูดดังขึ้น เวลส์ดีดตัวขึ้นนั่ง หันขวับไปทางต้นเสียง
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทานั่งอยู่บนก้อนหิน ตรงหน้าเป็นกองไฟเล็กๆ เนื้อเสียบไม้ปักอยู่ข้างๆ
“เจ้าคือ...?” เวลส์ถามอย่างระแวง มือเอื้อมไปที่คทา แต่คลำได้เพียงเอวซ้าย
“กระหม่อมเป็นเพียงนักเดินทางธรรมดาๆ คนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมาพบพระองค์บรรทมอยู่บนพื้นดิน ดูท่าทางจะไม่สบายพระวรกาย จึงจัดแจงที่นอนที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้พะยะค่ะ”
เวลส์เพิ่งจะสังเกตว่าที่ที่เขานอนนั้นปูด้วยใบไม้ ทำให้เรียบได้ระดับและไม่ถูกหินทิ่มหลัง
เด็กหนุ่มปริศนาหยิบคทาด้ามหนึ่งขึ้นมา เวลส์จำได้ทันทีว่าเป็นของตัวเอง
“คทาของพระองค์อยู่นี่พะยะค่ะ ขอประทานอภัยที่แตะต้องข้าวของของพระองค์โดยไม่ได้รับพระอนุญาต แต่กระหม่อมเกรงว่าพระองค์จะทรงใช้มันก่อนที่กระหม่อมจะทันได้อธิบายอะไร” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายิ้มเป็นเชิงขอโทษ และคืนไม้เท้าให้
เวลส์รับไม้เท้าคืนมาก็มองสลับกับเด็กหนุ่มปริศนาอย่างพิจารณา แล้วจึงเหน็บคืนที่เอวดังเดิม
“...ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย”
“แนะนำตัวช้าไป ขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ” เด็กหนุ่มคุกเข่าลง ถูกต้องตามมารยาทในราชสำนักจนไม่น่าเชื่อว่ามาจากนักเดินทางธรรมดาๆ
“กระหม่อมมีนามว่า [ซาวิเยร์] พะยะค่ะ”
“ชื่อนั่น เจ้าเป็นชาวทริสเทนหรือว่ากาเลียงั้นรึ?”
“กระหม่อมลืมตาดูโลกใบนี้ครั้งแรกที่ทริสทาเนียพะยะค่ะ”
นักเดินทางหนุ่มตอบตามความจริง(ครึ่งหนึ่ง) เวลส์พยักหน้า
สายลมยามเช้าพัดมาเบาๆ กลิ่นหอมโชยมาต้องจมูกของเวลส์ มองไปเห็นว่าเป็นกลิ่นของเนื้อสัตว์ที่เสียบไม้ปักอยู่ข้างกองไฟ เขาเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา
“ถ้าไม่ทรงรังเกียจ กระหม่อมขอเชิญพระองค์เสวยพระกระยาหารเช้าเถิดพะยะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงสามัญชน ไม่อาจจัดหาอาหารเลิศหรูดังในวังได้ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง และมื้อเช้าก็เป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวันด้วยพะยะค่ะ”
เวลส์ยิ้ม ความนอบน้อมของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกอยากจะเป็นมิตรด้วย
“ข้าได้รับการฝึกมาอย่างทหาร ข้าไม่เลือกอาหารหรอก”
...
ในระหว่างการร่วมมื้ออาหารกลางดินของสองผู้ต่างชนชั้น นักเดินทางหนุ่มก็สนทนากับองค์ชาย
“องค์ชายเวลส์ พระองค์...ทรงหลบหนีมาหรือพะยะค่ะ?”
เวลส์ก้มหน้าลง
“...ถูกต้องแล้ว เรกองกิสตาบุกลอนดิเนียม ทะลวงประตูเข้ามาถึงพระราชวังได้สำเร็จ กองทัพของเราแตกพ่าย ผู้ที่มีสายเลือดราชวงศ์ล้วนถูกสังหารจนสิ้น ทหารอารักขาพาข้าหนีออกมาได้ แต่ชะตากรรมของท่านพ่อ—ราชาเจมส์ที่หนึ่งนั้นเป็นอย่างไรข้าก็ไม่รู้”
เวลส์เงยหน้าขึ้น เห็นนักเดินทางหนุ่มฟังอย่างใจจดใจจ่อ เขาก็หัวเราะ
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ ความขัดแย้งทางการเมืองไม่เกี่ยวอะไรกับนักเดินทางที่ร่อนเร่ไปมาระหว่างอาณาจักรอยู่แล้วใช่รึเปล่า”
“...คงจะเป็นอย่างที่พระองค์ตรัส”
เวลส์ทิ้งไม้ที่ผึ่งไฟจนเป็นสีดำแล้วลุกขึ้นยืน
“ข้าต้องไปแล้ว นิวคาสเซิ่ลเป็นที่มั่นสุดท้ายของราชวงศ์ทิวดอร์ ผู้ที่รอดชีวิตคงจะไปรวมตัวกันที่นั่น”
“ถ้าเช่นนั้น โปรดให้กระหม่อม—“
“ไม่ได้หรอก ข้าจะให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างเจ้ามาเสี่ยงชีวิตด้วยได้อย่างไร ขอบคุณสำหรับอาหารและที่นอน ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว ถ้าหากมีโอกาสได้พบกันอีก ข้าจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม งามเท่าที่องค์ชายไร้บัลลังก์อย่างข้าจะให้ได้น่ะนะ”
เวลส์หัวเราะ ก่อนจะบอกลาและเดินจากไป
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาใช้กิ่งไม้เขี่ยใบไม้แห้งที่เป็นเชื้อเพลิงให้กระจายออก แล้วเอาหินทับเพื่อดับไฟที่หลงเหลือ สายตามองตามหลังองค์ชายอย่างพิจารณา
...
เวลส์เช็ดเหงื่อด้วยแขนเสื้อ เขาเดินมานานพอสมควร ดูจากตะวันขึ้นตรงศีรษะเป็นเวลาเที่ยงวัน เขารู้ทิศทางของนิวคาสเซิ่ลจากการดูตำแหน่งดวงอาทิตย์เมื่อตอนเช้า ถ้าคาดการณ์ถูก เขาจะไปถึงที่หมายตอนพลบค่ำ
‘อดมื้อเที่ยงคงไม่เป็นไร ดีที่เราได้มื้อเช้าจนอิ่ม’
เขานึกถึงนักเดินทางเมื่อตอนเช้า <ซาวิเยร์> ผมสีบรอนซ์เทาและวัยใกล้เคียงเขา เขาจะจำชื่อและใบหน้านั้นไว้
แม้สายตาที่มองราชวงศ์ทิวดอร์จะเปลี่ยนไปเป็นมุ่งร้าย แต่ได้รู้ว่ายังมีคนที่จิตใจดีงามเช่นนั้นอยู่ ทำให้เขาไม่รู้สึกเป็นห่วงอาณาจักรเท่ากับที่กังวลก่อนหน้า อย่างน้อยถ้าผู้คนยังมีศีลธรรมอยู่ในใจ แม้เขาต้องพ่ายแพ้และสิ้นชีวิต อัลเบี้ยนอาจยังไม่สิ้นความหวังก็เป็นได้
“เจอตัวแล้ว องค์ชายผู้ทนทายาด”
เสียงระรื่นดังมาจากด้านหลัง เวลส์หันหลังกลับไปอย่างช้าๆ ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นใคร
จอห์น บิวฟอร์ท ออฟ ดอร์เซท ชายผู้ดูจะไม่เหลือศีลธรรมอยู่ในใจ พร้อมด้วยกองทหารประจำกาย
“ตกหน้าผาสูงกว่าสามสิบเมลแต่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ หนำซ้ำยังดำเนินสะดวกไร้อาการบาดเจ็บ ท่าทางราชวงศ์จะได้รับการคุ้มครองจากองค์ศาสดาจริงๆ” มาร์ควิสจอห์นหัวเราะน่าขนลุก
“แต่กระหม่อมสัญญากับ<ใต้เท้า>ไว้ว่าจะทรงนำร่างไร้วิญญาณของมกุฎราชกุมารเวลส์กลับไป ฉะนั้นโปรดประทานพระอนุญาตให้กระหม่อมได้นำวิญญาณของพระองค์ออกจากร่างด้วยเถิดพะยะค่ะ” ดวงตาของมาร์ควิสจอห์นลุกวาวอย่างน่ากลัว
เวลส์รีบชักคทาออกมา แต่ยังไม่ทันจะได้ร่ายคาถา ไม้เท้าค้างคาวก็เปล่งแสง ทำให้ร่างกายของเขาแข็งเหมือนหิน
มาร์ควิสจอห์นยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วจึงชี้ไม้เท้าไปที่องค์ชาย สายลมก่อตัวที่ปลายคริสตัล
“กระหม่อมขอทูลลา มกุฎราชกุมารเวลส์”
<ทอร์นาโด> เวทมนตร์ลมกลืนร่างขององค์ชายเวลส์ ใบไม้ถูกพัดปลิวว่อน ต้นไม้โอนเอียงตามกระแสลมที่รุนแรง
“เท่านี้ตำแหน่งดยุค ออฟ ดอร์เซ็ทก็เป็นของเรา”
สายลมสงบลง แต่ไม่พบร่างขององค์ชายเวลส์แม้แต่เงา
“อะไรกัน?!”
มาร์ควิสที่เกือบจะได้เป็นดยุคหันรีหันขวางมองหาร่างไร้วิญญาณขององค์ชาย และในที่สุดก็พบอยู่บนต้นไม้เหนือจุดที่ทอร์นาโดพัดผ่าน เพียงแต่ว่าวิญญาณยังอยู่ดี แถมยังมีเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาพ่วงมาด้วยอีกคน
“เจ้าเป็นใคร?”
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาพาองค์ชายเวลส์กระโดดลงจากต้นไม้สูงสองเมลกว่าอย่างสบายๆ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับมาร์ควิสและกองทหาร
“นักเดินทางที่บังเอิญผ่านมา”
เวลส์มองเด็กหนุ่มที่ช่วยเขาถึงสองครั้งอย่างตกตะลึง
‘เมื่อกี้นี้...ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที...’ ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขา และพาเขากระโจนขึ้นต้นไม้ก่อนที่พายุหมุนจะมาถึง
“ไม่ใช่สิ ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าไม่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง!”
“กระหม่อมตั้งใจปฏิบัติเช่นนั้น เพียงแต่กระหม่อมเองก็มีธุระกับชายผู้นั้นเช่นกัน”
ซาวิเยร์จ้องมองมาร์ควิสจอห์น ขุนนางหนุ่มหายตกใจก็ยิ้ม
“จะเป็นใครก็ช่าง ต่อหน้า<ไม้เท้าแห่งเนอร์วิ>ของข้า ก็ไม่ต่างจากทารก”
ไม้เท้าค้างคาวเปล่งแสง ไอดำเข้าปกคลุมร่างของเวลส์และซาวิเยร์ ทำให้แข็งไปทุกส่วน
“ความรู้สึกนี้...ไม่ผิดแน่...” นักเดินทางหนุ่มพูดเสียงอึดอัด แต่เพียงแค่มีเสียงก็ทำให้มาร์ควิสจอห์นหน้าเปลี่ยนสี
“นี่แก...ยังพูดได้อีกเหรอ?”
“พลังของคุณยังไม่มากพอ...จะผนึกการเคลื่อนไหวของผมได้อย่างสมบูรณ์... แต่จะให้ขยับทั้งอย่างนี้ก็ลำบาก...”
ซาวิเยร์หงายมือซ้ายขึ้น แสงสีขาวดวงเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
เวลส์และมาร์ควิสจอห์นมองอย่างประหลาดใจ
ดวงแสงนั้นหดเล็กหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นอากาศก็ระเบิดออกเกิดเป็นช่องว่างสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือของนักเดินทางหนุ่ม
ซาวิเยร์มองช่องว่างมิติบนฝ่ามือของตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้มาร์ควิสที่กำลังตกตะลึง
“คุณได้พลังที่เยี่ยมยอด...ไปจริงๆ... แต่ว่าน่าเสียดาย...”
ดวงแสงสีส้มดวงเล็กๆ ลอยออกมาจากช่องว่างมิติ ราวกับมีชีวิต มันพุ่งเข้าไปในอกของนักเดินทางหนุ่ม ร่างกายเปล่งแสงจางๆ เขาจรดนิ้วกลางและนิ้วหัวแม่มือซ้ายเข้าหากัน
“เพียงแค่ดีดนิ้ว...”
เป๊าะ!
เกิดแสงแวบ แล้วไอสีดำที่ปกคลุมร่างของนักเดินทางและองค์ชายสลายไป
“มันก็หมดฤทธิ์”
เวลส์สูดลมเข้าเต็มปอด
“ขยับ...ได้แล้ว...?”
มาร์ควิสช็อกอ้าปากค้าง หลายวินาทีกว่าจะคุมสติได้
“แกทำอะไร?!”
มาร์ควิสจอห์นใช้คทาแห่งเนอร์วิอีกครั้ง ไอสีดำเข้าปกคลุมร่างของทั้งสอง แต่แล้วก็เกิดแสงแวบ ไอสีดำสลายไปอีก ไม่มีผลอะไรกับนักเดินทางหนุ่มและองค์ชายแม้แต่น้อย
“นี่มันบ้าอะไรกัน?!?!”
มาร์ควิสวัยสามสิบที่ยิ้มมาตลอดหมดสิ้นซึ่งความเยือกเย็น แน่นอน ถ้าหากไม้ตายที่ทำให้ตัวเองไร้เทียมทานมาตลอดเกิดใช้การไม่ได้ขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่ว่าใครก็ต้องตื่นตระหนกกันทั้งนั้น
นักเดินทางหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วหันกลับไปหาเวลส์
“ที่เหลือคงต้องเป็นหน้าที่ของพระองค์แล้วพะยะค่ะ <คนที่ไม่เกี่ยวข้อง>อย่างกระหม่อมทำได้เพียงเท่านี้” ซาวิเยร์โค้งคำนับเวลส์อย่างงามหนึ่งครั้ง แล้วส่งยิ้มให้
“เจ้า...”
เวลส์หันไปทางมาร์ควิสจอห์น มือซ้ายกำคทาแน่น
‘เราเป็นคนตัดสินใจเอง ว่านี่เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ เมื่อโอกาสมาอยู่ต่อหน้าแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็มีเพียงหนึ่งเดียว...คือคว้ามันไว้และเดินไปข้างหน้า!’
“จอห์น บิวฟอร์ท ออฟ ดอร์เซ็ท! เรามาตัดสินกันอย่างมีเกียรติ ให้สมกับเป็นชนชั้นสูง!”
มาร์ควิสจอห์นมองเวลส์ด้วยสายตาเคียดแค้น
“ชนชั้นสูงงั้นเหรอ?! มีเกียรติ?! พูดมาแต่ล่ะอย่างน่าขย้อนทั้งนั้น!”
กองทหารที่มาร์ควิสหนุ่มนำมาด้วยเริ่มถอยห่าง รู้ว่านายเหนือหัวเสียสติโดยสมบูรณ์
“ไอ้เด็กที่ชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแกจะมีปัญญาทำอะไร?!”
มาร์ควิสใส่โทสะทั้งหมดลงไปใน<ทอร์นาโด> ยิงใส่องค์ชายเวลส์ที่พอดีร่ายคาถาเสร็จ
“เกียรติ! ศักดิ์ศรี?! ขยะทั้งนั้น! สุดท้ายแล้วคนที่จะมีชีวิตรอดคือคนที่ยอมทำทุกอย่างตะหาก!”
“เกียรติและศักดิ์ศรีอาจนำพาความหายนะมาสู่เรา ทว่า...”
เวลส์ชี้คทาไปข้างหน้า เขาเองก็ใส่ความรู้สึกทั้งหมดลงไปเช่นเดียวกัน ในมนตร์<ทอร์นาโด>บทเดียวกัน แต่ความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความโกรธ
“มันก็คือหนทางที่ข้าเชื่อมั่น!”
เวลส์ตะโกนด้วยความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม
<ทอร์นาโด>สองบทปะทะกัน ไม่มีฉากต้านทานเร้าใจแบบในหนัง ทอร์นาโดลูกหนึ่งกลืนอีกลูกหนึ่งในเสี้ยววินาทีสัมผัส
“อ๊ากกกกกก!!~”
มาร์ควิสหนุ่มร้องโหยหวนขณะที่เขารู้สึกว่าเนื้อของตัวเองฉีกขาดเป็นบาดแผลนับไม่ถ้วน ก่อนที่ร่างของเขาจะลอยขึ้นจากพื้น กระแทกเข้ากับต้นไม้เต็มแรง ร่างกายที่เลือดอาบทรุดลงกับพื้น แล้วฟุบลงแน่นิ่งไป
กองทหารพากันขวัญหนีดีฝ่อทิ้งอาวุธกระจัดกระจายกันไปเหมือนผึ้งแตกรัง
เหลือเพียงองค์ชายที่ขาสั่นเพราะหมดแรง กับนักเดินทางหนุ่มที่ยืนยิ้มอย่างภูมิใจ
“อึก...!” เวลส์ล้มทั้งยืน ซาวิเยร์เข้ามาประคองทางด้านหลัง
“สมแล้วที่เป็นองค์ชาย ถ้าเป็นการดวลอย่างยุติธรรมล่ะก็ชนะขาด”
เวลส์เพียงแต่ยิ้ม ขณะที่ซาวิเยร์วางเขาพิงที่ต้นไม้
“เอาล่ะ ทีนี้ก็เป็นธุระของกระหม่อมบ้าง”
นักเดินทางหนุ่มเดินไปที่ไม้เท้าค้างคาว มันหล่นลงที่พื้นตอนที่เจ้าของถูกซัดปลิวไปไกลหลายเมล
นักเดินทางหนุ่มื่นมือออกไปเหนือไม้เท้า หน้าผากปรากฏผลึกสีแดงที่เปล่งแสง
ดวงแสงสีม่วงลอยขึ้นมาจากคทา ปรากฏเป็นร่างโปร่งแสง
“เนโครแบท เหนื่อยรึเปล่า?”
(...ฮึ่ม...จะพาฉันไปไหนก็ตามใจเถอะ...)
เกิดช่องว่างขึ้นในอากาศ เป็นช่องว่างสีเขียวขนาดเท่าศีรษะคน
ร่างโปร่งแสงหายไป ดวงแสงสีม่วงลอยเข้าไปในช่องว่างนั้น แล้วมันก็ปิดลง
“ทีนี้ก็ถึงเวลาไปส่งพระองค์แล้วพะยะค่ะ”
นักเดินทางหนุ่มเดินกลับไปหาองค์ชายที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ เขาอ้าปากจะเรียก แต่ก็หยุดกลางคัน แล้วคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ตาของเวลส์ปิดสนิท อกกระเพื่อมขึ้นและลงอย่างสม่ำเสมอ คทาตกจากมือซ้ายที่คลายหลวม
“ขอแสดงความยินดีด้วยพะยะค่ะ พระองค์เอาชนะศัตรูได้ด้วยพลังของพระองค์เอง”
นักเดินทางหนุ่มคุกเข่าลง แบกองค์ชายขึ้นหลัง แล้วออกเดิน
...
“องค์ชายเวลส์! องค์ชายพะยะค่ะ!”
เวลส์รู้สึกว่าร่างถูกเขย่า เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเป็นทหารฝ่ายราชวงศ์สองนาย
“นี่ข้า...?”
เวลส์มองไปรอบๆ ตะวันโพล้เพล้ เขานั่งอยู่ หลังพิงกำแพงที่ก่อด้วยหิน ทัศนียภาพก็ดูคุ้นตา ที่นี่คือ...
“นิวคาสเซิ่ล?”
“องค์ชายทรงดูอ่อนเพลียมากเลยพะยะค่ะ! ทรงรีบเข้าไปข้างในก่อนเถอะพะยะค่ะ!”
ทหารประคองเวลส์สองข้าง แล้วพาเดินเข้าประตูใหญ่
เวลส์เหลียวหลังกลับไปมอง ไกลออกไป เขามองเห็นเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายืนส่งยิ้มให้
‘...ซาวิเยร์...หวังว่าเราจะได้พบกันอีก...’
ประตูหน้าป้อมปราการปิดลง ร่างของเวลส์หายไปจากสายตาของเอ็กซ์
‘เวลส์ ทิวดอร์ มกุฎราชกุมารแห่งอัลเบี้ยน เป็นคนที่ดีคนหนึ่งทีเดียว’
เป็นความประทับใจที่เขามีต่อองค์ชาย
‘แต่ว่าที่ละเมอ ‘อังริเอตต้า’ ตอนตื่นนั่นมันยังไงกันนะ?’
เอ็กซ์สงสัย แต่ก็ลงความเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้ติดใจอะไรมาก
แต่ถ้าเป็นองค์หญิงแห่งทริสเทนละเมอว่า ‘เวลส์’ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะบังคับตัวเองให้<ไม่หึง>ได้หรือเปล่า
‘ว่าไปแล้ว ไม่ได้เจอ<อังริเอตต้าของเรา>มาตั้งเก้าปี จะโตแค่ไหนแล้วนะ?’
เขาเกิดรู้สึกอยากเห็นหน้าเด็กผู้หญิงที่ในชีวิตนี้เป็นเพียงคนเดียวที่เขาตกหลุมรักขึ้นมา
‘ได้เวลากลับไปเยี่ยมทริสเทนซะทีแล้วล่ะมั้ง?’
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง เอ็กซ์ออกเดินทางสู่ที่หมายต่อไป
--
PBW:”สวัสดีครับ อาจจะงงๆ ว่าตอนนี้มันคืออะไร? คนเขียนก็ขออธิบายให้เคลียร์ว่านี่มันคือ...”
TotW ย่อมาจาก Tales of the Wanderer จะเป็นตอนที่เล่าถึงการเดินทางในช่วงเก้าปีที่ผ่านมาของเอ็กซ์ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะเป็นตัวคลี่คลายปริศนาหลายๆ อย่าง เช่นว่า ความสามารถที่เอ็กซ์มีตอนนี้มาได้ยังไง? จู่ๆ มีร่างกายเป็นมนุษย์ขึ้นมาตอนไหน?
(แต่ที่สุดจริงๆ แล้วก็เป็นเพราะคนเขียนแค่อยากเขียนเท่านั้นเอง)
แต่ละตอนไม่ได้เรียงลำดับเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็เป็นช่วงหนึ่งอาทิตย์ก่อนเริ่ม Chapter 1 ส่วนตอนต่อไป(ที่เกิดอยากเขียน)อาจจะเป็นเวลาไหนก็ได้ในระหว่างเก้าปีที่เอ็กซ์เดินทาง
สำหรับตอนนี้ ข้อมูลที่แสดงคือ ขั้นตอนการใช้พลังของเอ็กซ์
1.เรียกมาเธอร์เอลฟ์ออกมาที่ฝ่ามือ
2.ใช้พลังของมาเธอร์เอลฟ์เปิดช่องว่างของมิติ เชื่อมต่อกับไซเบอร์สเปซ(ที่โลกใบเก่า)
3.เรียก<ดวงวิญญาณของเครื่องจักร>(ในสภาพไซเบอร์เอลฟ์)ออกมา
4.ดึงพลังของดวงวิญญาณนั้นออกมาใช้(ในตอนนี้คือ [ไชนิ่ง โฮตารุนิคุส](Izzy Glow) ซึ่งเป็นเจ้าของอาวุธที่ชนะทาง [ดาร์ค เนโครแบท](Dark Dizzy) ตามในเกม Rockman X5)
อ้าว? ไม่ใช่ว่าไซเบอร์เอลฟ์ทั่วๆ ไปใช้พลังครั้งเดียวแล้วจะถูกทำลายหรอกเหรอ? เป็นปริศนาที่ต้องรอคำอธิบายต่อไป
(ขอโทษที่ในเรื่องอธิบายไม่เข้าใจ คนเขียนพยายามเต็มที่แล้ว แต่มันก็ยังดูคลุมเครือ)
PBW:”คนเขียนกะว่า TotW จะปล่อยทีละตอนหลังจบ 1 ประเด็นเนื้อเรื่อง(คทาแห่งการทำลายล้างเป็น 1 ประเด็น ภารกิจกู้จดหมายเป็น 1 ประเด็น ฯลฯ) แต่ก็ไม่รู้ว่าจะคงแบบนี้ไว้ได้ถึงแค่ไหน”
DX:”คนอ่านมีคำถามอีกแล้ว”
PBW:”อ๊ะ เพราะตอนนี้เป็น TotW คนเขียนจะไม่ตอบคำถามนะครับ(เพราะอะไรไม่รู้ สงสัยเพราะมันเป็นตอนพิเศษ?) ตอนหน้าจะตอบครับ”
DX:”อ้าว เดี๋ยวๆ มีต่ออีกนี่นา”
PBW:”อ๊ะ จริงด้วย”
--
ปราสาทนิวคาสเซิ่ลเต็มไปด้วยบาดแผลสงคราม แทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อสามสัปดาห์ก่อนมันยังยืนตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่
บนพื้นเรียงรายไปด้วยศพทหาร เงียบกริบอย่างไร้ชีวิต
ใต้ซากปรักหักพังที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโบสถ์ เศษหินที่ตกลงมาซ้อนเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ สร้างช่องว่างขึ้นข้างใต้
ในช่องว่างนั้น ร่างที่เย็นเฉียบของของชายหนุ่มผมสีทองนอนอยู่ และข้างๆ กัน คือเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา แม้จะเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน แต่ยังมีลมหายใจแผ่วๆ ออกมาอยู่เสมอ
ความคิดเห็น