SMT Devil Survivor : A meeting that can brought back a life
แฟนฟิคชั่นของเกมในซี่รี่ส์ Shin Megami Tensei ภาค Devil Survivor เป็นคู่ของตัวละครที่คนเขียนชื่นชอบเป็นการส่วนตัว โผล่อยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ จะมีใครรู้จักมั้ยน้อ~? (ยาวหน่อย ขออภัย)
ผู้เข้าชมรวม
811
ผู้เข้าชมเดือนนี้
10
ผู้เข้าชมรวม
Shin Megami Tensei Megami Tensei SMT Devil Survivor Shin Megami Tensei Devil Survivor MC Kuzuryu Amane ความรัก
หลังจากเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งใหญ่ที่ผู้คนถูกขังอยู่ในเขตโตเกียวเมืองหลวง
เหตุการณ์ปิดล้อมเมืองเป็นเวลา 7 วันที่ได้ชื่อว่า Tokyo Lockdown ซึ่งผู้คนที่อยู่ภายในบอกเล่าถึงการปรากฏตัวของเหล่าปีศาจที่ไม่ควรจะมีตัวตนอยู่ในโลก
เหล่าปีศาจถูกขับไล่ออกไปโดยกลุ่มคนผู้ได้รับพลังในการควบคุมปีศาจในครอบครอง
เมื่อโศกนาฏกรรมสิ้นสุดลงพร้อมกับความชั่วร้ายของเหล่าปีศาจ ทั้งหมดก็ได้กลับไปดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างที่เคยเป็น แต่มิตรภาพที่เกิดขึ้นก็ยังเชื่อมต่อทุกๆ คนด้วยสายสัมพันธ์ที่ไม่มีอะไรจะมาทดแทนได้
ทุกคนเว้นแต่เพียงเด็กสาวคนทรงแห่งลัทธิโชมงไค ผู้สูญเสียบิดาไปในสงครามอันดุเดือดระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ชีวิตของเธอดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด
หนึ่งปีผ่านไป นับแต่วันที่เธอหายไปจากชีวิตของพวกเขา
ชะตากรรมได้นำเด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกให้มาพบกับเธออีกครั้ง เพื่อเป็นการตอบแทนที่เธอได้ช่วยโลกใบนี้เอาไว้ครั้งหนึ่ง ในคราวนี้เธอเองจะถูกช่วยให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ทรมานได้หรือไม่...
คุซุริว อามาเนะ
อายุ : 17 ปี (หลังจากเกมจบ 1 ปี)
เพศ : หญิง
ประวัติ : คนทรงหญิงแห่งลัทธิโชมงไค ได้ร่วมต่อสู้ในศึกครั้งสุดท้ายกับ King's Gate บาเบล สูญเสียบิดาไปในระหว่างที่ติดอยู่ข้างใน Tokyo Lockdown หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเธออีก
อากิคาเซะ เซกะ [ตัวเอกของเกมที่สามารถตั้งชื่อได้เอง]
อายุ : 18 ปี (หลังจากเกมจบ 1 ปี)
เพศ : ชาย
ประวัติ : King of Bel ผู้ชนะในศึกชิงตำแหน่งราชาปีศาจ แต่เลือกที่จะขับไล่ปีศาจออกไปจากโลกมนุษย์ จากนั้นก็กลับไปใช้ชีวิตนักเรียนม.ปลายธรรมดาๆ อย่างเดิม บางครั้งเขาก็จะนึกถึงเด็กสาวคนทรงที่หายตัวไป ว่าชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรนับแต่วันที่ได้เจอเธอครั้งสุดท้าย
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
กริ๊ง~
เสียงกระดิ่งดังยาวก่อนจะสงบลง การเรียนการสอนในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว
คุซุริว อามาเนะเก็บกระเป๋าลุกขึ้นจากโต๊ะเช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่นๆ ที่เตรียมตัวจะกลับบ้าน
เธอมองไปรอบๆ เห็นคนอื่นๆ ออกจากห้องไปเป็นกลุ่มบ้าง เป็นคู่บ้าง บางส่วนที่ออกไปคนเดียว แต่ละคนก็อาจจะกลับบ้านไปกับเพื่อน หรือว่าไปทำกิจกรรมชมรม
อามาเนะไม่มีทั้งเพื่อนและชมรม เพราะความที่เธอเป็นคนไม่ค่อยพูดและไม่ได้มีความสนใจร่วมกับเด็กวัยเดียวกันก็ทำให้เธอเข้าสังคมด้วยยาก
“นี่ ฉันได้ยินว่านักเรียนที่จะแลกเปลี่ยนกับโรงเรียนเราจะมาจากโตเกียวพรุ่งนี้แล้วนะ”
เสียงพูดคุยของกลุ่มเด็กผู้หญิงแว่วมาเข้าหูของอามาเนะ
“รู้สึกจะเป็นปีสามสินะ เป็นผู้ชายด้วย จะหน้าตาเป็นยังไงน้า~”
เสียงหัวเราะคิกคักระหว่างเพื่อนนักเรียนหญิงดังขึ้นรอบตัวอามาเนะแทบทุกวัน แต่เธอกลับรู้สึกว่าเป็นเสียงที่ห่างไกลซะเหลือเกิน ไม่ว่าเมี่อไรเธอก็ไม่เคยมีความสนใจในเรื่องที่เด็กผู้หญิงพูดคุยกันเลย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อหนึ่งปีก่อน
เธอถูกผู้เป็นพ่อทั้งสอนให้เป็นคนที่ไร้ความรู้สึกและให้ฝึกพลังวิญญาณ ทั้งหมดเพื่อให้เธอเป็นคนทรงแห่งลัทธิโชมงไค แต่ตอนนี้เธอไม่เหลือทั้งโชมงไค ไม่เหลือทั้งพ่อและคนรู้จัก
ดวงของเธอยังไม่ร้ายจนถึงที่สุด พี่สาวของพ่อเธอยอมรับอุปการะเลี้ยงดูเธอจนกว่าจะเรียนจบ แต่ก็แค่ตามกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้ให้ความรักความเอ็นดู เธอจึงได้มาเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่ห่างไกลตัวเมือง ห่างไกลจากบ้านผู้ปกครองจนจำเป็นต้องเช่าห้องอยู่ ด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องการให้อยู่และไม่ต้องการจะอยู่
อามาเนะออกจากโรงเรียนเข้าสู่เขตนอกเมือง ดูได้จากถนนที่เทคอนกรีตสิ้นสุดลง เธอเดินผ่านถนนดินซึ่งขนาบข้างด้วยทุ่งนาป่าเขาสมกับเป็นชนบทที่ห่างไกล ถนนสายนี้เป็นสายเดียวที่จะนำเธอไปสู่ที่พักของเธอได้
หอพักที่เธออาศัยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียน เป็นหอพักเก่าๆ ราคาถูกที่มีคนพักเพียงสองสามห้อง และมีห้องน้ำที่ต้องแบ่งกันใช้
แต่บรรยากาศที่เงียบสงบปราศจากเสียงรบกวน โดยเฉพาะตอนกลางคืน ก็เป็นสิ่งที่เธอชอบ
“กลับมาแล้วเหรอ คุซุริวคุง” ชายสูงวัยศีรษะล้านละสายตาจากไม้กวาดในมือและเงยหน้าขึ้นเอ่ยทักทายอามาเนะตามประสาเจ้าของหอกับผู้เช่า
“ค่ะ” เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ปราศจากความรู้สึก ก่อนจะเดินขึ้นบันไดชั้นสองไปที่ห้องของเธอ
ประตูห้องปิดลง อามาเนะเดินตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือทำด้วยไม้ตั้งอยู่ติดหน้าต่าง เป็นสถานที่ที่เธอใช้ทำการบ้านและงานต่างๆ ทุกครั้งที่เธอกลับมาจากโรงเรียน
แต่วันนี้เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะหยิบมันขึ้นมาทำแม้แต่น้อย
‘เหนื่อยเหลือเกิน...’ เธอรำพึงในขณะที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
บางครั้งอามาเนะก็จะรู้สึกว่างเปล่าเหมือนอย่างตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่เปลือกนอกอันไม่แยแสต่อโลกของเธอทลายลง เผยตัวตนภายในที่เปราะบาง
‘เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกันนะ…’
บางครั้งที่อามาเนะตั้งคำถามกับเหตุผลในการมีชีวิตของตัวเอง แม้เธอจะสามารถสลัดความคิดนี้และดำเนินชีวิตต่อไปได้ทุกครั้ง แต่เธอก็ค่อยๆ ถูกกัดกินไปทีละน้อย
เขาบอกว่าในเวลาแบบนี้เพื่อนพ้องคือสิ่งจำเป็น สิ่งที่จะช่วยให้เรารอดพ้นจากความทุกข์โศกได้ แต่อามาเนะไม่มี เธอต้องเผชิญหน้ากับชีวิตอันโหดร้ายเพียงลำพัง
ภาพในอดีตหวนคืนมา ชีวิตในฐานะคนทรงแห่งโชมงไค การพบพานกับเทวทูตเรมิเอล บททดสอบของพระเจ้า และ...
กลุ่มคนที่ร่วมกันก้าวผ่านบททดสอบของมนุษยชาติไปพร้อมกับเธอ เมื่อมาคิดดูดีๆ แล้ว นั่นอาจเป็นบุคคลที่ใกล้เคียงคำว่า ‘เพื่อน’ มากที่สุดสำหรับเธอ
เด็กหนุ่มผู้มีผมสั้นสีน้ำเงินเข้มกับแววตาที่เฉียบคมและเยือกเย็น ผู้ชนะใน ‘สงครามแห่งเบล’ และได้อำนาจเหนือปีศาจทั้งมวลมาครองครอง แต่เลือกที่จะขับไล่ปีศาจทั้งหมดออกไป
‘ทำไม... ในเวลาอย่างนี้ เราถึงได้...’
ก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไร ประตูห้องเธอก็เปิดออก อามาเนะหันกลับไปพบเจ้าของหอยืนอยู่ที่หน้าห้อง
“คุซุริวคุง ฉันลืมบอกเธอไป เย็นนี้ห้องข้างๆ เธอจะมีคนย้ายเข้ามา ถ้าเธออยากจะทำความรู้จักก็ซักห้าโมงนะ”
“...เข้าใจแล้วค่ะ...” อามาเนะพยายามทำสีหน้าและน้ำเสียงให้ปกติที่สุดขณะตอบแบบส่งๆ ไป
เจ้าของหอปิดประตูกลับลงอย่างเก่า และหน้ากากไร้ความรู้สึกที่เธอฝืนสร้างขึ้นก็ทลายลงอีกครั้ง
การออกไปทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ อาจจะเป็นหนทางแก้ความทุกข์ของเธอก็เป็นได้ แต่เธอในตอนนี้เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรได้ทั้งนั้น
อีกวันหนึ่งผ่านไป สำหรับอามาเนะ มันช่างเป็นคืนที่เปล่าเปลี่ยว—ทุกคืนเป็นคืนที่เปล่าเปลี่ยว มีบางครั้งที่เธอสงสัยว่าอะไรจะจบสิ้นลงก่อนกัน ความเปล่าเปลี่ยวนี้หรือชีวิตของเธอ
--
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังคงเป็นเหมือนเช้าวันก่อนๆ อามาเนะตื่นแทบจะพร้อมกับดวงอาทิตย์ กิจวัตรแรกที่เธอทำทุกเช้าคือนั่งสมาธิรวมจิตใจและพลังวิญญาณ ถึงมันจะไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว แต่ทำแบบนี้ช่วยให้ใจของเธอสงบลง และสามารถทนกับชีวิตที่แสนทรหดของเธอในวันนั้นไปได้
หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เธอก็จะเข้าห้องเล็กๆ ด้านในสุดที่มีเครื่องครัวครบครันเพื่อเตรียมอาหารเช้าและข้าวกล่องมื้อกลางวันให้ตัวเอง แม้จะไม่มีความรู้ด้านนี้เลยในทีแรก แต่หนึ่งปีที่ผ่านมาก็ทำให้เธอเรียนรู้การอยู่ตัวคนเดียว เป็นข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของชีวิตเธอในปัจจุบัน
มือเช้าและมื้ออื่นๆ ของเธอเป็นไปอย่างเงียบเหงาเสมอ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากสมัยที่เธอยังเป็นคนทรงมากนัก
หลังจากที่กิจวัตรยามเช้าเสร็จสิ้น อามาเนะก็แต่งตัวหยิบกระเป๋าไปโรงเรียน ยามเช้าในชนบทให้ความสดชื่นแบบที่หาไม่ได้ในเมือง คนที่ตื่นสายไม่มีทางได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนี้
การเดินทางไปโรงเรียนเป็นไปอย่างราบเรียบและเงียบสงบท่ามกลางเสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้และหมู่มวลนกร้อง
เธอเดินอยู่บนถนนสายเดี่ยวอย่างเดียวดาย เพราะเป็นเวลาที่คนอื่นๆ ไม่ยังอยู่บนที่นอนก็ออกไปทำงานตั้งแต่ก่อนตะวันแย้ม
โรงเรียนที่เธอเธออยู่เป็นโรงเรียนขนาดกลางที่มีเฉพาะชั้นมัธยมปลาย อาคารเรียนไม่สูงระฟ้าเหมือนในเมืองใหญ่ แต่บรรยากาศร่มรื่นอันเกิดจากการถูกล้อมรอบด้วยป่าเขาทำให้อามาเนะอยู่ได้อย่างสบายหูสบายตา
เมื่อเธอก้าวเข้ามาในโรงเรียน เธอก็จะพบกับลานกว้างที่แทบจะว่างเปล่า มีนักเรียนที่อยู่ก่อนเธอเพียงไม่กี่คนราวกับเป็นแดนร้าง บางครั้งอามาเนะก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นลานกว้างที่มีคนเดินกันขวักไขว่หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง
แต่ความประหลาดใจในวันนี้ของเธออยู่ที่สายตาของคนในโรงเรียนซึ่งจับจ้องไปที่จุดๆ เดียว
ที่หน้าอาคารเรียนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ เขาหันมองไปรอบๆ ตัวอย่างไม่รีบร้อนราวกับกำลังสำรวจทัศนียภาพรอบตัว สาเหตุที่เขาเป็นจุดเด่นคือเครื่องแบบที่เขาใส่ ถึงจะสวมเชิ้ตแขนสั้นสีขาวเช่นเดียวกับของโรงเรียนเธอ แต่กางเกงขายาวของโรงเรียนเธอเป็นสีเขียวหม่น ของเขาเป็นสีกากี
อามาเนะรู้สึกว่าว่ามีอะไรบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่มที่เธอคุ้นเคย เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้สัมผัสตั้งแต่มาที่เมืองนี้
ร่างของเขาที่ไม่สูงมากนัก บุคลิกการยืนที่ไม่ได้ผึ่งผายแต่ดูมั่นคง เส้นผมสีน้ำเงินเข้มยาวแตะปลายคาง และใบหน้าละอ่อนผิวขาวนวลราวกับเด็กสาว
“อากิคาเซะ เซกะ!?” อามาเนะโพล่งชื่อที่ผ่านเข้ามาในหัวโดยไม่ทันได้คิด
“คุซุริว อามาเนะ?” อีกฝ่ายก็เอ่ยชื่อของเธอออกมาเช่นกัน แม้จะไม่แสดงออกมากนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาประหลาดใจไม่น้อย
ภาพของเด็กหนุ่มที่เธอคุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้าส่งความรู้สึกโล่งใจแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของอามาเนะ เธอไม่เคยรู้สึกยินดีที่ได้พบกับใครซักคนมากถึงขนาดนี้มาก่อน
“ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอเธอที่นี่” เด็กหนุ่มยังคงบุคลิกใจเย็นไว้เช่นเดียวกับเมื่อหนึ่งปีก่อน
“เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนนี้สินะ” อามาเนะอยู่ที่นี่มาหนึ่งปีไม่เคยได้พบเขาแม้แต่ครั้งเดียว และความแตกต่างของเครื่องแบบก็บอกชัดอยู่แล้ว
“ฉันเป็นตัวแทนของโรงเรียนที่มาแลกเปลี่ยนกับนักเรียนของที่นี่หนึ่งคน” เด็กหนุ่มยังคงใช้วิธีตอบตรงหน้าตายไม่มีเปลี่ยน
“เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นสินะ” อามาเนะลงความเห็นตามนั้น และอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบ
หลังจากทักทายกันเป็นที่เรียบร้อย อามาเนะก็อาสาพาเซกะดูรอบๆ โรงเรียนท่ามกลางสายตาที่หลากหลายของนักเรียนคนอื่นๆ
เด็กหนุ่มอายุมากกว่าหนึ่งปี ดังนั้นเขาจึงอยู่ชั้นปีสาม(ม.๖)ในขณะที่เด็กสาวอยู่ปีสอง(ม.๕) เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนทั้งคู่จึงได้แยกกัน ต่างคนต่างเข้าเรียนในภาคเช้าของตัวเอง
--
ทุกๆ ครั้งที่เป็นเวลาพักกลางวัน อามาเนะจะหยิบเอาข้าวกล่องที่เตรียมเอาไว้ออกมา ช่วงเวลานี้ที่เหล่านักเรียนจะได้ทำความรู้จักกัน ในวันแรกๆ ก็มีนักเรียนหลายคนพยายามจะเข้ามาทำความรู้จักกับเธอ
แต่ธรรมชาติของเธอที่เป็นคนเงียบ บวกกับกำแพงล่องหนที่เธอสร้างขึ้นปิดกั้นตัวเอง ทำให้คนเหล่านั้นค่อยๆ หายไป เป็นสาเหตุให้เธอต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมห้องอย่างโดดเดี่ยว เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า
...แต่ไม่ใช่วันนี้...
ประตูด้านหลังห้องเปิดออก เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องในทันทีที่ปรากฏตัว
“นั่นเด็กแลกเปลี่ยนจากโตเกียวใช่รึเปล่า?” “ใช่ รู้สึกจะเป็นรุ่นพี่ปีสามนะ” “คนแบบนั้นมาทำอะไรที่ห้องเรากันนะ?”
หลายเสียงหลากความคิดเห็น ข้อสันนิษฐานมีร้อยแปด และอาจจะบานปลายไปมากกว่านี้ถ้าหากเขาคนนั้นไม่เดินตรงไปที่มุมห้อง นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง และหันหน้าเข้าหาผู้ที่เป็นเหมือน ‘มนุษย์ล่องหน’ ของห้อง
ข้อสันนิษฐานพันเก้าหายวับไป เหลือเป็นข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว
‘สองคนนั่นต้องมีอะไรในกอไผ่แหง’
อามาเนะได้แต่มองการกระทำของเซกะด้วยความงุนงง เธอเงียบรอฟังธุระที่เด็กหนุ่มอาจจะมีกับเธอ แต่เขากลับหยิบเอาข้าวกล่องของตัวเองจากกระเป๋าขึ้นมากินหน้าตาเฉย เธอรู้สึกว่าหน้าที่ถามตกมาเป็นของเธออย่างช่วยไม่ได้
“คุณมีธุระอะไรกับฉันรึเปล่า?”
เซกะเงยหน้าขึ้นจากอาหารเที่ยงมองเธอ ก่อนจะเอ่ยอย่างใจเย็น
“เธอก็กินด้วยสิ”
อามาเนะรอฟังคำถามแต่กลับได้ประโยคคำสั่งทำเอาเธองงไปพักหนึ่ง
“เธอก็มีไม่ใช่เหรอ มื้อกลางวันน่ะ” เซกะย้ำอีกครั้ง
อามาเนะเข้าใจในที่สุดว่าเด็กหนุ่มหมายถึงข้าวกล่อง เธอจึงหยิบมันขึ้นมาแกะกินบ้าง และต้องเก็บความสงสัยไปก่อน
ทันทีที่ทั้งสองคนเริ่มลงมือกับอาหารของตัวเองที่อยู่ตรงหน้า ข้อสรุปคนทั้งห้องก็เปลี่ยนไปเป็นใจเดียวกันอีกครั้ง
‘จะมีอะไรในกอไผ่รึไม่ก็ช่างมันเถอะ สองคนนี้กิ๊กกันแหง’
มื้ออาหารที่ไร้เสียงพูดคุยของทั้งสองจบลงในเวลาไม่นาน แต่ก็เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินก็ยังเอาแต่มองเธอโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียง
“...คุณคิดจะจ้องฉันไปจนถึงเมื่อไร?”
“...ก็จนกว่าเธอจะถาม ฉันแค่สังเกตดูเธอตอนนี้ และเท่าที่ฉันเห็น เธอไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อหนึ่งปีก่อนเลย” ในที่สุดเซกะก็เอ่ยปาก
“คนส่วนใหญ่คงจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปในเวลาเพียงหนึ่งปีไม่ได้หรอก” อามาเนะท้วง
“ไม่ ฉันหมายถึงเธอยังตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน”
อามาเนะหายใจเฮือก คำพูดจี้ใจดำของเด็กหนุ่มทำเอาเธอนิ่งไป เมื่อเขาเห็นว่าเธอไม่ตอบจึงเปลี่ยนเรื่อง
“ปกติพักกลางวันทำอะไร?”
คำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยถูกยิงใส่อามาเนะที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้เธอชะงักไปครู่หนึ่งกับพฤติกรรมของเด็กหนุ่ม จะว่าแปลกประหลาดก็ไม่เชิง เพราะเท่าที่เธอรู้ เขาก็เป็นคนคิดอะไรไม่บอกคนอื่นอยู่แล้ว เธอจึงได้แต่ตอบไปตามความจริง
ตลอดพักกลางวัน ทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากัน ต่างคนต่างทำงานที่ได้รับมอบหมาย(ซึ่งน่าจะมีไว้ทำที่บ้าน)
อามาเนะคอยเหลือบมองเด็กหนุ่มตลอดเวลาเผื่อว่าจะมีเค้าลางอะไรให้เธอเข้าใจจุดประสงค์ของเขาได้ แต่สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่หน้าสมุดเท่านั้น มีเพียงบางครั้งที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองเธอ แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอมองเขาก่อน สรุปว่าเธอต้องทนมืดแปดด้านต่อไป
‘ชายผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่นะ?’
กริ๊ง~!!
“ฉันไปล่ะ”
ด้วยความเร็วเหนือเสียง เซกะลุกขึ้นเก็บกระเป๋ากลับห้องของตัวเองโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างแม้แต่น้อย อามาเนะมองประตูที่ปิดลงด้วยความงุนงง
‘ไม่เข้าใจจริงๆ...’
หลังเลิกเรียนในเย็นวันนั้น อามาเนะยังคงเก็บกระเป๋ากลับบ้านอย่างเดียวดายเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกสายตาจำนวนมากจ้องมอง ทั้งที่ปกติตัวตนของเธอจะโปร่งใสจนบางครั้งยังถูกเดินชนแท้ๆ และยิ่งกว่านั้น ที่หน้าประตูโรงเรียน ใครคนหนึ่งกำลังรอเธออยู่
“ดูเหมือนจะไม่มีกิจกรรมชมรมจริงๆ สินะ”
แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับบ้านด้วยกัน ครั้งแรกที่อามาเนะไม่ต้องเดินบนถนนสายเดี่ยวอย่างเดียวดาย เธอรู้สึกอบอุ่นแบบแปลกๆ แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดี ปัญหามีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น...
“คุณตามฉันมาทำไม?” คือคำถามที่เธออยากจะถามเด็กหนุ่มมากที่สุดในเวลานี้ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาเองก็มีบ้านให้กลับ(หรืออาจจะเป็นที่พักชั่วคราว)
“ที่พักฉันก็ทางนี้ แล้วก็อยากจะไปดูบ้านของเธอหน่อย” เซกะตอบเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย
เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่มีคนสนใจชีวิตส่วนตัวของเธอ ความรู้สึกอบอุ่นแบบแปลกๆ นั่นยิ่งเพิ่มพูนขึ้นแต่เธอก็ไม่แสดงออกมา เพราะเธอถูกสอนมาว่าการเก็บความรู้สึกส่วนตัวแล้วตอบออกไปอย่างใจเย็นนั้นดีที่สุด
“ฉันไม่ได้อยู่บ้าน แต่อยู่หอพัก”
“ทำไมล่ะ?” เซกะถามต่อ เป็นคำถามที่อามาเนะไม่เต็มใจตอบอย่างยิ่ง เธอไม่อยากจะคิดถึงมันด้วยซ้ำ
“บ้านของฉัน...อยู่ไกล...” เธอไม่ได้โกหก เพียงแต่เหตุผลจริงๆ มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตามที่เรารู้กัน
“เหรอ” เด็กหนุ่มดูไม่ได้เชื่อเอาเลย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ อามาเนะจึงโล่งใจได้
“หอพักนั่นใช่มั้ย?” เซกะชี้หอพักหลังเล็กๆ หลังแรกที่ปรากฏแก่สายตาของทั้งคู่ เป็นหอพักที่ตั้งอยู่ติดกับบ้านเล็กๆ หนึ่งหลังกลางชุมชนเล็กๆ ที่มีธรรมชาติรายรอบ มันคือหอพักของอามาเนะถูกต้องแล้ว
อามาเนะเดินไปที่หน้าทางเข้าหอก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับเด็กหนุ่มที่ตามหลังมา
“ห้องของฉันอยู่บนชั้นสองริมสุดฝั่งทางโน้น” เธอชี้นิ้วประกอบคำพูด
“ยังงี้นี่เอง...” เซกะเดินเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อดูให้ชัดๆ
“แต่ฉันคงให้คุณเข้าไปไม่ได้” อามาเนะเอ่ยดักไว้ก่อน เผื่อว่าเด็กหนุ่มจะเกิดเจ้ากี้เจ้าการเข้าไปดูสภาพภายในห้องของเธอขึ้นมา
“ไม่จำเป็นหรอก ห้องของเธอก็คงเหมือนกับห้องของฉัน” เซกะตอบทันควัน ซึ่งอามาเนะไม่เข้าใจความหมายของมันจนกระทั่งผู้ดูแลสูงวัยเรียกทั้งสองจากลานที่กำลังกวาด
“คุซุริวคุง กลับมาแล้วเหรอ?”
“ค่ะ” อามาเนะยังคงตอบรับได้คำเดียวเช่นเคย ผู้ดูแลพยักหน้าแล้วก็หันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
“รู้จักกันแล้วสินะ อากิคาเซะคุง”
อามาเนะหันขวับไปทางเซกะแทบจะในทันที
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ ไม่ต่างจากเพื่อนของตัวเอง
“เอ๋? คุณ...?” อามาเนะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เซกะเห็นท่าทีของเธอก็รู้ว่าเธอยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ฉันย้ายเข้ามาพักห้องข้างๆ เธอเย็นเมื่อวาน”
อามาเนะนึกขึ้นได้ว่าผู้ดูแลบอกเธอเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เธอหมกตัวอยู่ในห้องจึงไม่ได้เจอกัน
“คุซิริวคุงยังไม่รู้หรอกเหรอ? ถ้างั้นก็แสดงว่าทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อน ดีจริงๆ นะที่พวกเธอได้มาเจอกันแบบนี้” ผู้ดูแลยิ้มแสดงความยินดีซึ่งเด็กหนุ่มก็ยิ้มบางๆ รับ ขณะที่เด็กสาวยังตกใจไม่หาย
--
นับตั้งแต่วันนั้น กิจวัตรในแต่ละวันของเธอก็เปลี่ยนไป จากที่เคยตื่นขึ้นมานั่งประสานจิตแล้วจึงทำอาหารเช้าเอง ก็กลายเป็นว่าเธอได้ไปนั่งรอรับประทานมื้อเช้าฝีมือเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงิน แม้ในทีแรกเธอจะยังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการที่มีคนทำอาหารให้ แต่เพียงแค่สองสามวันเธอก็ชิน สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะอาหารฝีมือเซกะอร่อยกว่าของเธอเอง จากที่เคยเดินคนเดียวตลอดทางจนถึงโรงเรียนก็กลับมีร่างสูงของเด็กหนุ่มเดินอยู่ข้างๆ เธอ
ช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน จากที่เคยนั่งเฉยๆ ก็เปลี่ยนเป็นพูดคุยถามไถ่เรื่องต่างๆ นานาที่สารพัดจะนึกขึ้นมาได้ และจากที่ตอนแรกคุยกันแค่สองคน เธอก็ถูกดึงเข้าหากลุ่มคนที่เด็กหนุ่มได้ทำความรู้จักเอาไว้ที่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นเดียวกับเธอก็ตามแต่
พักกลางวันที่เคยมีไว้เพียงเพื่อทำงานก็กลับมีเพื่อนร่วมชั้นที่เริ่มเข้ามาคุยกับเธอ และเธอที่เริ่มจะรู้จักการคุยโต้ตอบกับคนอื่นๆ บ้าง เพื่อนรุ่นเดียวกันถึงกับเรียกเธอว่า ‘คุณ’ บอกว่าเธอดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนอื่นๆ
หลังเลิกเรียนก็จะเดินกลับหอพักด้วยกัน ใช้เวลาช่วงเย็นทำการบ้านหรือกิจกรรมยามว่างอื่นๆ ที่ล้วนแต่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับอามาเนะ
เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าเวลาเพียงสองสัปดาห์จะทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปจากวิถีเดิมที่เป็นมาตลอดหนึ่งปีได้ และผู้ที่เป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอากิคาเซะ เซกะ นักเรียนแลกเปลี่ยนจากโรงเรียนในโตเกียวที่แทบไม่รู้จักเมืองแห่งนี้เลยในทีแรก
‘อากิคาเซะ เซกะ ยังเป็นคนที่มหัศจรรย์ไม่เปลี่ยนเลย’ อามาเนะรำพึงในใจขณะทำความสะอาดห้องพร้อมกับเพื่อนเวรประจำวันเดียวกัน แต่ก่อนที่เธอจะได้คิดไปไกลกว่านั้น เสียงเรียกชื่อเธอก็ดังมาจากประตูหน้าห้อง
“คุซุริว อามาเนะ!”
อามาเนะหันไปมองก็พบว่าเป็นกลุ่มนักเรียนหญิงรุ่นพี่ปีสามยืนอยู่ สายตาสามคู่จ้องมองมาที่เธออย่างแข็งกร้าว
“มากับเราเดี๋ยวนึงซิ” หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
อามาเนะรู้ในทันที่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอเหตุการณ์แบบนี้ เธอพอจะเดาได้ว่าเป็นประเด็นเรื่องของผู้ชายอีกตามเคย ทั้งที่เธอก็แทบไม่ได้ยุ่งกับใคร(เธอผิดเหรอที่เกิดมาดูดี) แต่ก็ยอมตามเข้าไปถึงห้องน้ำหญิงสุดทางเดิน
รุ่นพี่คนหนึ่งผลักเธอติดผนังห้องน้ำและใช้มือดันกำแพงล็อกตัวเธอเอาไว้ ก่อนจะบังคับถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เธอมีความสัมพันธ์อะไรกับอากิคาเซะคุง บอกมา”
อามาเนะชะงักกับคำถาม โดยเฉพาะส่วนที่เป็นชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้น เธออยากจะตอบออกไปตามตรง ถ้าไม่ติดที่ว่าแม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้คำตอบของคำถามนั้นเลย
“อากิคาเซะคุงน่ะทั้งหัวดี กีฬาก็เก่ง แล้วยังหน้าตาดีอีก เด็กจืดๆ อย่างเธอน่ะไม่คู่ควรกับอากิคาเซะคุงหรอก!” รุ่นพี่อีกคนเอ่ยกรรโชกเสียงอย่างยิ้มเยาะ
ขณะที่อามาเนะเริ่มคิดอยู่ในใจว่าเด็กสาวกลุ่มนี้จะเอาอะไรนักหนากับคนที่อีกแค่สองสัปดาห์ก็จะย้ายกลับไป รุ่นพี่ที่ล็อกตัวเธอเอาไว้ก็ออกคำสั่งสรุปอย่างเด็ดขาด
“เลิกยุ่งกับอากิคาเซะคุงซะ”
คำประกาศนั้นเหมือนค้อนทุบอามาเนะอย่างแรง เธอรู้สึกตัวชานิดๆ อย่างไม่มีสาเหตุ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวเธอตอนนั้นคือคำตอบสำหรับคำสั่งที่บังคับเข็ญใจนั้น
“ขอปฏิเสธ”
ผู้เป็นรุ่นพี่ดูจะตกใจไม่น้อยที่ถูกตอกกลับอย่างเด็ดขาดไม่แพ้กัน แม้แต่ตัวอามาเนะเองยังประหลาดใจกับคำตอบของตัวเอง แต่เธอรู้สึกว่าควรจะต้องปกป้องสิทธิ์ที่จะได้อยู่ใกล้กับเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเอาไว้ ทั้งที่เธอไม่เคยรู้สึกผูกพันกับใครหรืออะไรนอกจากเรมิเอลและพ่อของเธอ
สีหน้าบึ้งตึงของกลุ่มเด็กสาวตรงหน้าอามาเนะเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวพร้อมกับเสียงที่แผดออกมาดังก้อง
“นังนี่!”
เพียะ!
แรงฝ่ามือส่งอามาเนะล้มลงไปนั่งกับพื้น รอยแดงปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีกซ้ายของเธอ
“ปากดีนักนะ! ลองดูซิว่าถ้าเจอแบบนี้แล้วยังจะกล้าอยู่อีกมั้ย!”
รุ่นพี่ผู้ลงฝ่ามือก้มลงจับชายเสื้อเธอในขณะที่พรรคพวกด้านหลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดถ่ายรูป
แคว่ก!
เสื้อนักเรียนที่เธอมีอยู่ไม่กี่ตัวถูกกระชากจนขาดวิ่น เผยชั้นในสีขาวไร้ลวดลายและผิวกายที่ขาวผ่องของเธอ
เสียงกดชัตเตอร์ถ่ายรูปดังติดต่อกันทุกวินาทีขณะที่เสื้อส่วนที่เหลือของอามาเนะถูกดึงกระชากอย่างไร้ความปราณี
อามาเนะพยามยื้ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ปกป้องส่วนสำคัญบนลำตัวของเธอเอาไว้ รู้ว่าถ้ามันหลุดออกไปหายนะบังเกิดแก่เธอแน่นอน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่สนใจ คงจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำทุกอย่างตามใจ แต่ตอนนี้เธออุตส่าห์ได้มีเพื่อนกับเขาทั้งที... เธอไม่อยากถูกตีตัวออกห่างอีกแล้ว!
“ยอมซะเถอะน่า!” ผู้ประทุษร้ายแผดเสียงดังก้องอย่างสะใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”
ทุกอย่างสงบลงทันทีที่เสียงร้องห้ามดังขึ้นจากด้านหลังของของรุ่นพี่ทั้งสาม
“ถ้าทำอะไรคุณคุซุริวมากกว่านี้ล่ะก็ พวกเราไม่ให้อภัยแน่!”
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของอามาเนะก็คือเพื่อนๆ ที่ร่วมเวรทำความสะอาดในวันนี้ของเธอยืนออกกันอยู่ที่หน้าห้องน้ำพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด...ซะเป็นส่วนใหญ่
“ว้าว! ผิวคุณคุซุริวขาวจัง!”
“พวกผู้ชายห้ามมองนะ!”
รุ่นพี่ทั้งสามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับรุ่นน้องเกือบสิบคนก็เริ่มเสียขวัญ
“ไม่เกี่ยวกับพวกเธอซะหน่อย อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องน่า!”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง คุณคุซุริวเป็นเพื่อนของพวกเรานะ!”
คำเพียงคำเดียวนี้ที่เกินความคาดหมายของอามาเนะ ความรู้สึกยินดีเอ่อล้นขึ้นในใจเธอ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนพูดประโยคนั้นกับเธอ
‘นี่สินะ สิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ...’
“แต่นี่มันเรื่องของพวกฉัน! เด็กน่ะอยู่ส่วนเด็กไปเลย!” รุ่นพี่เถียงกลับประโยคก่อนหน้าด้วยเสียงอันดัง ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะได้รับประโยคต่อมาสวนกลับ
“เด็กแล้วไง! ถึงเป็นรุ่นพี่ก็อย่าคิดว่าจะทำอะไรได้ตามใจชอบนะ ยัยสามป้าหน้าเหี่ยว”
ผู้เป็นรุ่นพี่ถูกเรียกด้วยคำแสลงใจก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“ว่าไงนะ!! เด็กสมัยนี้มันปากดีกันจริงๆ!!”
สถานการณ์เริ่มจะบานปลาย ทั้งสองฝ่ายเกือบจะได้ลงไม้ลงมือกันจริงๆ แต่เมื่อ ‘ราชา’ เดินเข้ามา ทุกอย่างก็สงบลง
อากิคาเซะ เซกะอาจไม่ใช่ราชาจริงๆ แต่เมื่อเขาต้องการก็สามารถแผ่บรรยากาศที่สยบทุกสิ่งได้อย่างสมบูรณ์
เซกะเดินผ่านฝูงชน ตรงไปที่เด็กสาวบนพื้นที่ท่อนบนแทบจะเปลือยเปล่า สีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“เสร็จเวรแล้วสินะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว”
เขาไม่พูดเปล่า ดึงเธอให้ลุกขึ้น และจูงมือเธอผ่านฝูงชนออกไปด้านนอกโดยไม่สนใจสายตาประชาชีรอบข้าง แต่ก็ยังใส่ใจสภาพที่ส่อแววกระตุ้นเรท [น18] ของเด็กสาวอยู่
“ออกไปทั้งอย่างนี้คงไม่ดีแน่ ถ้างั้น...”
เขาถอดเสื้อนอกสีกากีของตัวเองออกและคลุมให้เด็กสาว เพื่อปกป้องร่างกายท่อนบนที่แทบจะเปล่าเปลือยของเธอจากสายลมที่หนาวเย็นและสายตาที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งราคะของชายหนุ่มรอบข้าง
อามาเนะทำอะไรไม่ถูก ในสถานการณ์แบบนี้เธอได้แต่เดินตามเขาต้อยๆ ไปเก็บกระเป๋าและผ่านสายตานับร้อยที่มองมาด้วยความสงสัยออกจากโรงเรียนเพื่อกลับหอพัก
“ถ้าถูกทำร้ายก็ตอบโต้กลับไปบ้างสิ แค่เมกิโดลาองซักครั้งก็ไม่ต้องทนอีกตลอดชีวิตแล้ว” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินอยู่บนถนนสายยาวที่ร้างผู้คน (*Megidolaon เป็นเวทย์โจมตีที่รุนแรงที่สุดในเกม อามาเนะเป็นหนึ่งในไม่กี่ NPC ที่ใช้ได้)
อามาเนะหันขวับไปมองเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจ
“นั่นน่ะ...มุขเหรอ?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ เธอไม่คิดว่าบุคลิกอย่างเขาจะทำอะไรแบบนี้ได้
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่เหมาะใช่มั้ยล่ะ” เซกะตอบหน้าตาย เขาก็แค่ลองพูดดูเท่านั้น
อามาเนะยิ้มพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ อากิคาเซะ เซกะเป็นชายที่เธอคาดเดาไม่ถูกเลยจริงๆ
เขาชำเลืองมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอโดยไม่พูดอะไร จากนั้นอามาเนะก็รู้สึกว่ามือขวาของตัวเองถูกรวบเข้ากับมืออีกข้างที่เนียนคล้ายของผู้หญิง
“มือเย็นแบบนี้ระวังไม่สบายนะ รีบเดินอีกหน่อยก็แล้วกัน” เขายังคงสีหน้าที่เรียบเฉยเอาไว้ดังเช่นทุกเวลา จนสุดที่เธอจะคาดเดาอารมณ์ของเขาในขณะนี้ได้
แต่ที่เธอเข้าใจแน่ๆ มีอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือเธอในตอนนี้รู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอมเป็นที่สุด
--
ในสัปดาห์สุดท้ายที่โรงเรียนนี้ของเซกะ เพื่อนๆ ที่เขาได้ทำความรู้จักไว้ได้ตัดสินใจเลี้ยงส่งให้ที่ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่เคยมาด้วยกัน
“เอ้า ชนแก้วหน่อย! ให้เพื่อนที่กำลังจะจากกัน!”
“ให้เพื่อนที่กำลังจะจากกัน!”
กลุ่มเด็กอายุไม่เกิน 18 ในชุดลำลองร้องชนแก้วแอลกอฮอล์เสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย(รู้จักเจ้าของร้านเป็นอย่างดี) ทุกคนกะปลดปล่อยกันอย่างเต็มที่เพราะพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์
“เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ อากิคาเซะจะจากพวกเราไปแล้ว ฮื้อๆ T^T~” เด็กหนุ่มปีสามคนนึ่งยกแขนขึ้นปาดน้ำตาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“ตาบ้า! อย่าพูดเหมือนอากิคาเซะคุงกำลังจะลาลับไปสิ!” เด็กสาวปีสามเพียงคนเดียวในกลุ่มแหวใส่เจ้าของคำพูดอัปมงคล
“อากิคาเซะเพื่อน ซักแก้วสิเพื่อน!” นักเรียนชายอีกคนยื่นแก้วที่มีเหล้าเต็มให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเจ้าของงาน ในวันนี้เขาสวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำและกางเกงยีนส์สีแดงชมพูชุดเดียวกับที่เขาใส่เดินไปมาในโตเกียว ขาดก็แต่หูฟังสีขาว
“ถ้าฉันโดนพิษเหล้าอีกคน แล้วจะเหลือใครที่ยังสติมั่นคงอยู่อีก?” เซกะให้เหตุผลที่เขาจะไม่ดื่ม
“อะไรกันเล่า~! อย่าไร้เยื่อใยอย่างนั้นเซ่~ ครั้งเดียวน่า เดี๋ยวนายก็จะไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกนาน~”
เมื่ออีกฝ่ายคะยั้นคะยอมาขนาดนี้ เขาก็รับมาจิบหนึ่งอึกอย่างช่วยไม่ได้
“นั่นล่ะ~! ต้องยังงั้นสิเพื่อน~!”
เขาไม่ใช่คนชอบดื่มหรือว่าคอแข็งอะไร แต่เขาเคยถูกเพื่อนเน็ตโอตาคุบางคนคะยั้นคะยอแบบเดียวกันนี้มาก่อน เขาจึงพอมีภูมิต้านทานบ้าง
ต่างกับเด็กสาวอดีตคนทรงบางคนที่ไม่เคยแตะต้องของมึนเมามาก่อน แต่กำลังจะโดนยัดเยียดแบบเดียวกับเขาโดยเพื่อนสาวรุ่นเดียวกันกับเธอ
อามาเนะถึงจะเกรงใจก็ไม่รับไปดื่มเพราะรู้ว่าตัวเองทนเหล้าไม่ไหวแน่ๆ แต่เมื่อเธอหันไปเห็นว่าแม้แต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มก็ยังถือแก้วเหล้า(ที่โดนยัดเยียดให้)ในมือ เธอจึงตัดสินใจไม่ยอมเป็นแกะดำของกลุ่ม
“น่านล่ะ~ แจ๋วไปเลยคุณคุซุริว~!”
งานเลี้ยงส่งสไตล์เด็กม.ปลายดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่มซึ่งถือว่าดึกพอที่ควรจะกลับบ้านได้แล้วถ้าหากไม่อยากจ๊ะเอ๋กับตำรวจที่ออกมาตรวจตรารอบดึก
แต่ละคนโบกไม้โบกมือบอกลากันทั้งกับเพื่อนในกลุ่มและกับเซกะที่พรุ่งนี้ได้นัดกันไว้ว่าจะไปส่งถึงสถานี ก่อนจะแยกย้ายกันเดินโซเซกลับบ้านของตัวเองไป
เซกะ—เป็นคนเดียวที่ยังครองสติเอาไว้ได้ด้วยการดื่มไม่เกินหนึ่งแก้ว—ต้องรับภาระเด็กสาวผู้อ่อนต่อสนามแอลกอฮอล์เป็นที่สุดแต่ดันซัดเข้าไปขวดกว่าจนแทบไม่มีสติรับรู้รอบตัว
ถ้าสังเกตสถานการณ์ด้วยการมองล้วนๆ เราจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งประคองเด็กสาวในเสื้อคอกลมแขนสั้นส้มอ่อนกับกระโปรงสั้นสีครีมที่ไม่มีแรงแม้แต่จะยืนตัวตรง ดูแล้วคล้ายถูกเด็กหนุ่มข้างๆ มอมยา—แค่เหมือนนะ
ไม่จำเป็นต้องทดสอบก็รู้ว่าอามาเนะไม่สามารถใช้ขาของตัวเองเดินไปได้เกินสามเมตร เขาจึงเรียกแท็กซี่ให้พาเขาและเธอไปส่งที่หน้าหอพัก โดยเด็กสาวใช้ไหล่ของเขาเป็นที่ประคองศีรษะไปตลอดทาง ยังดีที่เธอไม่มีอาการแพ้พิษแอลกอฮอล์ ไม่อย่างนั้นอะไรๆ จะยุ่งยากกว่านี้มาก
เซกะแบกเธอขึ้นหลังไปจนถึงชั้นสอง และเมื่อเขาจะเปิดประตูห้องเข้าไปส่งเธอนั่นเองเขาถึงนึกได้ว่าเขาไม่มีกุญแจเปิดห้องเธอ เขาค้นในตัวและกระเป๋าของเธอจนทั่วก็ยังไม่พบกุญแจอยู่ที่ไหน
ในเมื่อนำเธอเข้าไปส่งในห้องไม่ได้แล้วก็เหลืออยู่แค่สองทาง คือให้เธอนอนที่ห้องเขากับให้เธอนอนหน้าห้อง คิดว่าเขาจะเลือกทางไหน?
ภายในห้องซึ่งมีเพียงโต๊ะหนึ่งตัวกับเตียงเดี่ยวหนึ่งหลังติดขอบหน้าต่าง เขาวางอามาเนะลงบนเตียงก่อนจะพยายามคืนสติให้กับเธอด้วยการสะกิดเบาๆ ที่ใบหน้า
เด็กสาวปรือตาขึ้น แก้มของเธอแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ภาพที่มองเห็นพร่ามัวจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เธอจำได้เพียงแค่ว่าเป็นเสียงของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้ม
“ที่นี่...ที่ไหน?...” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเพลีย
“ห้องของฉันเอง ฉันหากุญแจห้องเธอไม่เจอ คืนนี้ใช้เตียงฉันไปก่อนก็แล้วกัน ฉันจะนอนบนพื้นเอง” เซกะอธิบายสถานการณ์อย่างคร่าวๆ และอามาเนะก็พยักหน้าช้าๆ แสดงออกว่ารับรู้แล้ว
“เธอนอนได้เลย ฉันจะไปอาบน้ำก่อน ส่วนเธอคงต้องเป็นพรุ่งนี้เช้า” เซกะบอกก่อนจะลุกขึ้นและออกจากห้องไปพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็น
คุณคิดว่าเมื่อมีผู้หญิงที่ทั้งหุ่นดีและหน้าตาสะสวยอยู่ในห้องกับตัวเองสองต่อสอง ผู้ชายคนหนึ่งจะคิดอะไรบ้าง?
อากิคาเซะ เซกะไม่ใช่ผู้ชายทั่วๆ ไป แต่เขาก็คิด—แน่นอนอยู่แล้ว แม้กระทั่งคนที่อ่าน(และคนที่พิมพ์)อยู่นี่ก็คิดเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เป็นหญิง สิ่งสำคัญคือคิดแล้วจะทำอย่างไรต่างหาก
เมื่อเขากลับมาถึงห้องในชุดนอนสีฟ้าอ่อนและเปิดประตูเข้าไปก็เจอเข้ากับภาพที่ไม่คาดคิด ภาพที่ทำให้แม้แต่คนเยือกเย็นอย่างเขายังต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจ เด็กสาวผมสีม่วงยาวประบ่าที่นอนหงายไปกับเตียงกำลังพยายามถอดเสื้อของตัวเองออกอย่างยากลำบาก
-- WARNING! 12+ สำหรับสากล และ 15+ สำหรับชาวไทย WARNING! --
“เธอทำอะไร?” เขาตรงเข้าไปถามเด็กสาวถึงข้างเตียง
เด็กสาวหันมามองเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มก่อนจะตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“...ร้อน...”
เซกะพอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นการผสมผสานกันระหว่างอากาศในฤดูร้อนกับฤทธิ์แอลกอฮอล์
ในเมื่อมันไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงอะไรที่เด็กสาวคนหนึ่งจะนอนกึ่งเปลือยกายท่อนบนอยู่บนเตียงคนเดียว เขาจึงประคองเธอลุกขึ้นและถอดเสื้อของเด็กสาวให้แทนเจ้าตัวที่ควบคุมร่างกายได้ไม่เต็มร้อย
นิ้วเรียวบางของเด็กหนุ่มสัมผัสผิวกายที่ขาวเนียนและกำลังเซนซิทีฟส่งความรู้สึกที่คล้ายกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่างของอามาเนะทำให้เธอส่งเสียงครางออกมาเบาๆ แน่นอนว่าถึงหูเซกะ แต่เขาทำเป็นไม่ได้ยิน
เสื้อของเด็กสาวถูกวางเอาไว้บนเตียงที่ปลายเท้าของเธอ ร่างกายท่อนบนของอามาเนะตอนนี้มีบราสีขาวเป็นอาภรณ์ชิ้นเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่
“นอนแบบนี้อาจจะเป็นหวัด ถ้ารู้สึกหนาวล่ะก็ผ้าห่มอยู่ข้างๆ” เซกะบอกพร้อมกับชี้ให้ดูผ้าห่มสีขาวที่พับอย่างเรียบร้อยอยู่บนเตียงข้างๆ ตัวเด็กสาว
เมื่อได้เวลาอันสมควร เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นปิดไฟทำให้ห้องมืดลงฉับพลัน ในขณะที่เขากำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาให้เข้าที่เพื่อจะใช้หนุนหัว เซกะก็รู้สึกถึงแรงกระตุกเบาๆ ที่แขนเสื้อ
เด็กหนุ่มมองจุดที่แขนเสื้อของตัวเองถูกยึดเอาไว้แล้วสลับไปมองใบหน้าของเด็กสาวบนเตียงที่เขามองไม่เห็นเพราะความมืด
เธอกระตุกอีกหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่าเธอต้องการอะไรบางอย่าง ซึ่งเซกะก็พยายามประมวลผลที่น่าจะเป็นไปได้ออกมา
“...เตียงฉันแคบนะ”
แม้จะบอกไปอย่างนั้นแล้วแต่แรงกระตุกก็ยังคงมีต่อไป ครั้งนี้มีเสียงพูดแถมมาด้วย
“...ขึ้นมาสิ...”
เซกะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธหรือไม่สนใจคุซุริว อามาเนะได้แต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เขาคงไม่พยายามช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่หรอก
เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองที่คืนนี้มีอีกหนึ่งร่างเพิ่มขึ้นมา เตียงเดี่ยวย่อมมีสำหรับนอนคนเดียว ถ้าอุตรินอนสองคนย่อมจะต้องแคบเป็นธรรมดา เขาจึงนอนด้านนอกเพื่อกันไม่ให้เด็กสาวกลิ้งหล่นจากเตียง
อามาเนะรับรู้ว่าอีกฝ่ายในตอนนี้นอนอยู่ข้างๆ เธอแล้ว เธอจึงปล่อยมือจากแขนเสื้อของเขา และเปลี่ยนเป็นซุกเข้าไปหาเขาจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของเด็กหนุ่ม ทั้งหมดนี้เธอทำไปโดยไม่รู้สึกตัว คล้ายกับว่าร่างกายของเธอขยับเข้าหาสิ่งที่มันต้องการด้วยตัวเอง
เซกะไม่เคยเจอสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน แม้จะยังใจเย็นอยู่ได้แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอะไร เขาจึงปล่อยให้ร่างกายของเขาตัดสินใจแทนสมอง ถ้าร่างกายบอกให้เขาโอบกอดร่างอันบอบบางเอาไว้กับตัว เขาก็จะทำ
-- No-children Part End (ยังกะมีใครสนใจคำเตือน...) --
แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง
อามาเนะรู้สึกตัวตื่นขึ้น ร่างกายอ่อนเพลียอย่างมาก เป็นผลมาจากที่เมื่อคืนหนักไปหน่อย(หมายถึงดื่มเหล้า) เธอพยายามจะพลิกตัวขึ้นนอนหงาย แต่กลับพบว่าเธอขยับตัวไม่ได้ดั่งใจ สาเหตุเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างวางพาดไหล่เธออยู่
อามาเนะลืมตาขึ้นไม่เห็นอะไรนอกจากสีฟ้าอ่อนเต็มจอตา เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นถึงได้รู้ว่าสีฟ้าอ่อนนั้นคือเสื้อนอนของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่เธอรู้จักเป็นอย่างดีนั่นเอง
‘นี่มันอะไรกัน!?!’
ในทีแรกเธอเองก็ตกใจไม่น้อย แต่แล้วความทรงจำเมื่อคืนวานก็กลับสู่สมอง ทำให้เธอพอจะจำเรื่องราวอย่างคร่าวๆ ได้
เด็กสาวมองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้มีสีหน้าเฉยชาอยู่ตลอดเวลา และได้เห็นว่าแม้ในยามหลับเขาก็ยังคงมีสีหน้าไม่ต่างจากยามตื่น ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวพร้อมกับที่แก้มเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ
อามาเนะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของเด็กหนุ่ม โดยเฉพาะเมื่อเขาจะกำลังจะต้องออกเดินทางในวันนี้ และอีกอย่าง...อยู่แบบนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกดีไม่น้อย เธอคงจะนอนต่อไปทั้งอย่างนั้นถ้าไม่ทันได้สะกิดใจถึงเหตุการณ์เมื่อคืนและก้มลงสำรวจสภาพของตัวเองที่มีแค่บราสีขาวตัวเดียว
ถึงจะเป็นเธอก็ทนสภาพแบบนี้ไม่ได้ อุณหภูมิใบหน้าของเธอยิ่งสูงขึ้นไปอีกในขณะที่พยายามปลุกเด็กหนุ่มด้วยการดันเบาๆ ที่ลำตัวจากด้านในอ้อมแขนที่เธออาศัยหลับนอนตลอดคืน
เซกะรู้สึกตัวและลืมตาขึ้นประสานกับสายตาของอามาเนะ ทำให้ใบหน้าของเด็กสาวแทบจะโอเวอร์ฮีท แดงก่ำไปจนถึงหู
เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างไร้ซึ่งปฏิกิริยาที่แสดงถึงความเขินอายใดๆ
“เมื่อคืนเธอร้อนหรือหนาวกันแน่ ถอดเสื้อออกแต่กลับซุกเข้ามาหาฉัน” เซกะพูดหน้าตาย
อามาเนะอยากจะถามออกไปว่านั่นก็เป็นการปล่อยมุขใช่รึเปล่า แต่เธอตอนนี้อายม้วนจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอีกฝ่าย ได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายที่เกือบจะเปลือยเปล่า
“เธอไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อวาน ไปอาบซะตอนนี้เลย” เขาเอ่ยพร้อมกับชำเลืองมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝา
“เกือบแปดโมงแล้ว รีบไปจะได้รีบกินข้าวเช้า” พูดจบเซกะก็เดินเข้าครัวไป ทิ้งให้เด็กสาวนั่งดึงผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้เหมือนนางเอกละครไทยหลังข่าวที่เพิ่งถูกทำมิดีมิร้ายไป—แค่เหมือนนะ
ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนกับทุกวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มกำลังจะจากไปไกล อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนประเภทที่ไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น
‘หรือนี่อาจเป็นวิธีการบอกให้ฉันรู้ว่าถึงเขาจะไป แต่ทุกอย่างก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง...’
เวลา 9.53น. ที่สถานีรถไฟสายโตเกียว
เด็กสาวผมยาวสีม่วงยาวประบ่ากับเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ข้างกัน ทั้งคู่มองดูรถไฟที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าชานชาลาอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับช่วงเวลาแห่งการลาจากของทั้งคู่ที่เคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ เช่นกัน
เซกะหันไปบอกลากับอามาเนะที่มีสีหน้าเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันไปล่ะนะ” เด็กหนุ่มทำท่าจะเดินขึ้นรถไฟไปอย่างอย่างไม่มีรีรอถ้าเด็กสาวไม่เรียกเขาเอาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวก่อน อากิคาเซะ เซกะ!”
เขาหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองเด็กสาวผมม่วงที่จ้องมองเขาด้วยสายตาเจ็บปวด
“ชีวิตของฉันไม่เคยมีสิ่งใดนอกเหนือจากการทำตามคำสั่งของคุณพ่อและพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า” อามาเนะกล่าวถึงตัวเธอในอดีต ในตอนที่เธอยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่พยายามทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างสุดความสามารถ เพื่อสิ่งที่เธอเชื่อว่าจะนำมาซึ่งสันติสุขของโลก
“คุณพ่อและเรมิเอลเป็นผู้มอบสำนึกในหน้าที่ให้กับฉัน แต่พวกคุณทำให้ฉันได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเพื่อน แม้ในยามที่ฉันคิดว่าตัวเองไม่เหลืออะไร ก็ยังมีคุณคอยช่วยเหลือ”
อามาเนะก้มหัวลงจนกระทั่งเธอและเด็กหนุ่มมองไม่เห็นใบหน้าของกันและกัน
“ขอบคุณมาก...”
น้ำตาแห่งความยินดีไหลผ่านใบหน้าที่โศกเศร้า ยินดีที่เธอได้พูดคำที่อยากพูด และโศกเศร้าเพราะเธอกำลังจะต้องจากชายเพียงคนเดียวที่ถือได้ว่าเป็นที่รักของเธอนอกจากผู้เป็นบิดา
เธอหลับดวงตาที่ปริ่มน้ำลงด้วยหวังว่าความทุกข์จะบรรเทาลงได้ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายตอนนี้อยู่ห่างกับเธอไม่ถึงสามสิบเซนฯ สองมือเด็กหนุ่มประคองใบหน้าของอามาเนะขึ้นมามองคราบน้ำตาของเธอให้ชัดๆ
“พูดดราม่าขนาดนี้เดี๋ยวใครๆ เขาก็เข้าใจผิดว่านี่เป็นละครน้ำเน่าหรอก” เสียงที่ออกจากปากของเซกะไม่ใช่เสียงที่เรียบเฉยอย่างเคย แต่มีเสียงหัวเราะจากลำคอปนอยู่ด้วย
มือของเด็กหนุ่มปาดน้ำตาออกจากขอบตาของเด็กสาวทำให้เธอมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน และเด็กสาวก็ได้พบกับสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็น รอยยิ้มอันอ่อนโยนประทับอยู่บนริมฝีปากของเด็กหนุ่มผู้เย็นชาอยู่เสมอ ดวงตาสีน้ำเงินที่ไม่เคยสะท้อนความรู้สึกใดๆ บัดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่ส่งผ่านมายังเธอ
“เป็นไง ตอนนี้หน้าฉันเหมาะจะปล่อยมุขกับเขาบ้างรึยัง?”
อามาเนะพูดอะไรไม่ออก ไม่ใช่แค่เพราะเธออึ้ง แต่ยังเป็นเพราะริมฝีปากของเธอถูกทาบทับโดยของเด็กหนุ่มเอง
ผู้คนรอบข้างหันมามองทั้งคู่ บ้างก็กระซิบกระซาบกับเพื่อน บ้างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มสาวแสดงความรักต่อกันจะเป็นภาพที่หาดูได้ยากอะไร โดยเฉพาะในละครโทรทัศน์
ส่วนอามาเนะนั้นไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ในหัวเธอขาวโพลนไปหมด ลืมกระทั่งหายใจ จนเด็กหนุ่มผละออกไป เธอจึงได้โกยอากาศเข้าปอดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“อ๊า~!! อามาเนะจังกับอากิคาเซะ!?!”
เสียงร้องเรียกทำให้ทั้งคู่หันไปด้านข้าง และได้พบว่าเพื่อนๆ ที่พากันมาส่งเด็กหนุ่มนั้นเห็นหมดทุกช็อต
“อากิคาเซ้!~ ฉันอุตส่าห์เล็งอามาเนะจังเอาไว้นะ โธ่เอ๊ย!~” เด็กหนุ่มปีสามโอดครวญ
“เงียบไปเถอะน่า เขาอุตส่าห์กำลังจะเข้าสู่ช่วง ‘แล้วก็อยู่กันอย่างมีความสุข’ อยู่แล้วเชียวนะ!” เด็กสาวปีสามแหวใส่เพื่อนของตัวเองที่ไม่เคยรู้จักกาลเทศะ
“ดีจังเลยนะ คุณคุซุริว ^o^!~” เด็กสาวปีสองแสดงความยินดีกับเพื่อนสาวของเธอ
เมื่อคนเยอะขึ้น สีหน้าของเซกะก็กลับคืนเป็นอย่างเดิมราวกับตั้งระบบอัตโนมัติเอาไว้
“ขอบคุณที่มาส่ง” พร้อมกับน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างที่เคยเป็น
“โอ้ แล้วมาเยี่ยมพวกเรามั่งนะ”
เสียงประกาศดังขึ้นบอกว่ารถไฟจะออกในอีกห้านาที ขอให้ผู้โดยสารขึ้นรถก่อนที่ประตูจะปิด
“ฉันไปล่ะนะ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินก้าวเข้าประตูรถไฟไปก้าวหนึ่งก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับมาทางเด็กสาวผมม่วงที่ยังไม่เลิกทำหน้าเศร้า
“จริงสิ วันอาทิตย์หน้าเธอเตรียมตัวให้พร้อมนะ”
อามาเนะทำหน้างง เด็กหนุ่มพูดถึงอะไร เธอไม่เข้าใจ?
“อาทิตย์หน้าฮารุซาวะ โยชิโนะจะจัดคอนเสิร์ตที่นี่ ถ้าฉันบอกเรื่องเธอไป ยูซุจะต้องลากเธอไปด้วยแน่ๆ เพราะฉะนั้นเตรียมตัวให้ดี อาทิตย์หน้าฉันจะมากับอัทสึโระ แล้วก็ยูซุด้วย”
อามาเนะหยุดนิ่งประมวลผลกับข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับในคราวเดียว เธอยังไม่ทันจะเข้าใจดี เสียงหนึ่งก็โพล่งขึ้นมา
“ว่าไงนะ!!! ฮารุจังจะจัดคอนเสิร์ตที่นี่งั้นเรอะ!?!” เด็กหนุ่มปีสามโพล่งขึ้นเสียงดังจนคนสะดุ้งทั้งชานชาลา ใครจะไปคิดว่าแฟนผู้คลั่งไคล้นักร้องสาวคนนั้นจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“คิดว่าวันนี้พรุ่งนี้ก็คงจะมีประกาศอย่างเป็นทางการมา รอดูทางเน็ตหรือใบปลิวก็แล้วกัน” เซกะอธิบายเพิ่มเติม
อามาเนะมองเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ปนเปกัน แต่ที่แน่ๆ เมื่อเธอได้รู้ว่าเขาจะกลับมาที่นี่อีกแน่ เธอก็อายแทบตัวม้วนที่ทำเรื่องซะใหญ่โต
“งั้นฉันไปล่ะนะ อาทิตย์หน้าเจอกัน” เซกะว่าจบก็ก้าวขึ้นรถไปพร้อมกับทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ธรรมดาอย่างเหลือเชื่อ พอดีกับที่ประตูปิดลง
รถไฟค่อยๆ เคลื่อนออกไปพร้อมกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงิน
แม้จากนี้ไปเขาจะไม่ได้อยู่ห้องข้างๆ เธอ จะไม่ได้ร่วมมื้อเช้ากับเธอ จะไม่ได้เดินไปโรงเรียนด้วยกัน จะไม่ได้อยู่ด้วยกันในช่วงพักกลางวัน และจะไม่ได้บอกราตรีสวัสดิ์อีกแล้วก็ตาม แต่แค่รู้ว่าเขาจะกลับมา รู้ว่าเธอยังสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว
END
R:"เฮ้อ~ จบแล้ว ผลงานที่ใช้เวลาเขียนๆ หยุดๆ อยู่หนึ่งเดือน แต่ก็เขียนจนจบ"
DX:"บอกตามตรง นึกว่าแกแขวนแป้นพิมพ์ไปแล้วซะอีก"
R:"จะไปแขวนให้หนูมันแทะทำไม ยังไงก็ไม่เลิกหรอกเฟ้ย"
R:"เป็นยังไงบ้างครับ One-Shot ครั้งแรกของผม ติเตียนกันมาได้ตามสะดวกเลยนะครับ คิดว่าติยังไงก็ไม่หมด(เพราะเยอะมั่กๆ) แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านนะครับ"
DX:"แล้วก็...คนเขียนมันโง่เรื่องโปรแกรมคอมพ์ ใครรู้วิธีใส่พื้นหลังเป็นสีหรือภาพช่วยบอกไอ้ง่าวนี่ทีก็แล้วกันนะ สีเหลืองๆ ส้มๆ บางทีมันก็ไม่เหมาะกับอารมณ์เขียน"
{เรารักการอ่าน ใยเราต้องเขียนด้วย? มันเกี่ยวกันรึ?}
- by นักเรียนคนหนึ่งที่เซ็งกับการต้องเขียน "รักการเขียน" เต็มทน (แต่ก็ทำ) -
ผลงานอื่นๆ ของ Pea-Brain Writer ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Pea-Brain Writer
ความคิดเห็น