ทุกอย่างเริ่มต้นจากเพียงแค่จุดเล็กๆ ในตอนแรกมีเพียงแค่คนเดียวที่รู้ถึงเจตนาของคุโรโกะ ก็คือตัวคุโรโกะเอง จริงอยู่ที่เขาประกาศความตั้งใจที่จะโค่นรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ด้วยกันกับคางามิโดยไม่ปิดบัง แต่สิ่งที่เขาปิดบังคือเหตุผลของความตั้งใจนั้น
โมจิดะ อดีตกัปตันทีมบาสเกตบอลโรงเรียนมัธยมต้นเมย์โค เหยื่อรายสุดท้ายของรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ เป็นคนแรกที่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้
เขาเลิกเล่นบาสเกตบอลไปหลังจากการแข่งกับเทย์โค ตอนนั้นเขาตั้งใจว่าไม่อยากได้ยินคำคำนั้นอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับบาสเกตบอลทำให้เขาเจ็บปวด ทำให้นึกถึงความพยายามอันแสนสาหัสของทีมเขา และความอัปยศเมื่อเห็นทั้งหมดไร้ค่า
แล้วเพื่อนของโองิวาระก็มา
โมจิดะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงยังมีกะใจจะตอบคำถามของของคุโรโกะได้ หมอนั่นเป็นหนึ่งในรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ที่น่ารังเกียจ ควรจะต้องเป็นศัตรู แต่ดวงตาที่เศร้าสร้อยคู่นั้นทำให้เขาเห็นเพียงแค่คนหลงทาง
ช่วยให้เด็กหนุ่มคนนั้นได้ค้นพบความหวังอย่างน้อยก็ทำให้โมจิดะรู้สึกภูมิใจในตัวเองได้บ้าง ช่วยพิสูจน์ได้ว่าเขายังไม่แหลกสลายเสียทีเดียว ในครั้งนั้นเขาได้ช่วยเป่าไฟที่เกือบจะมอดดับให้กลับมาลุกโชติช่วงได้ยิ่งกว่าใครจะคาดคิด โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
โมจิดะไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่คุโรโกะทำจนกระทั่งชัยชนะของเซย์รินต่อชูโทคุ เขาไม่ได้ตั้งใจจะดูการแข่ง แต่ในร้านอาหารที่นั่งอยู่กับเพื่อนนั้นเขาบังเอิญชำเลืองไปที่โทรทัศน์ วินาทีที่ดวงตาเขาเห็นคุโรโกะเผชิญหน้ากับมิโดริมะนั้นเขาก็รู้ตัวแล้วว่าหมดหวังที่จะละสายตาได้
และก็ช่างเป็นการแข่งที่ดุเดือด ทั้งสองทีมรุกรับกันไม่หยุด ชวนให้หัวใจหยุดเต้นไปหลายจังหวะ ลูกพาสมายากับหน้าใหม่ที่เพิ่งจบจากมัธยมต้นแต่ดังค์ได้อย่างกับผู้เล่นมหา’ลัย และยังคุโรโกะที่ยืนอยู่ในสนาม ที่ข้อมือสวมสายรัดที่เคยเป็นของโองิวาระ ที่โมจิดะเป็นคนให้เองกับมือ
โมจิดะไม่รู้จะใช้คำใดอธิบายความรู้สึกที่เห็นทีมของคุโรโกะเป็นฝ่ายชนะ หรือที่ถูกต้องกว่าคือเห็นคุโรโกะชนะมิโดริมะซึ่งเป็นมือยิงของรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมาแสนนาน แรงสั่นไหวที่ลั่นไปทั่วประสาททั้งร่างเหมือนกับทุกครั้งที่ทีมของเขายืนอยู่บนสนามอย่างผู้ชนะ
“โมจิดะคุงชอบบาสเกตบอลเหรอ?” เพื่อนใหม่ของเขาที่อยู่ด้วยที่ร้านอาหารเมื่อกี้จนจบการแข่งชื่อทานากะเป็นคนถาม
“อืม” ในช่วงเวลานั้นคำตอบของเขาเป็นความจริง โมจิดะสำนึกได้ว่าเขาชอบบาสเกตบอล เขารู้สึกอยากจะเล่นอีกครั้ง เป็นครั้งแรกหลังจากที่ลืมมันไปนาน
“ฉันเองก็เหมือนกัน” ทานากะสารภาพ “ฉันเล่นตอนอยู่ม.ต้น แต่...”
แววตาของทานากะเป็นสิ่งที่โมจิดะคุ้นเคย เขาเห็นแววตานี้บนใบหน้าของเพื่อนร่วมทีมเขาทุกคน และทุกครั้งที่มองในกระจก
“นายได้แข่งกับรุ่นแห่งปาฏิหาริย์สินะ”
ทานากะประหลาดใจ “นายรู้ได้ยังไง?”
โมจิดะยิ้มอย่างขมขื่น “ทีมของฉันก็โดนเจ้าพวกนั้นขยี้มาเหมือนกัน ในรอบชิงปีที่แล้ว”
“เอ๋?” ทานากะมองเขาตาโต “อ๋อ! ฉันก็ได้ดู นั่นทีมนายเองเหรอ?”
“ฉันเป็นกัปตัน”
สมเพช สายตาที่ทานากะส่งมาให้เขา “ที่เจ้าพวกนั้นทำกับพวกนายไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ผิด มันปีศาจชัดๆ พวกเราล่ะโชคดีที่ได้เห็นมือยิงของรุ่นแห่งปาฏิหาริย์โดนทีมหน้าใหม่ซัดซะหมอบ ยังมีเจ๋งกว่านี้อีก อยากรู้มั้ย?”
“หือ?”
“ทีมเมื่อกี้นี้โค่นไคโจในนัดซ้อมมาแล้วด้วย เป็นโรงเรียนที่รุ่นแห่งปาฏิหาริย์ไปอยู่คนนึงเหมือนกัน”
“ว่าไงนะ?” โมจิดะช็อก “จริงเหรอ?”
“จริงสิ ฉันได้ดูเทป ญาติของฉันเป็นผู้จัดการให้ทีมม.ปลายของโรงเรียนตัวเองก็เลยไปสังเกตการณ์อยู่นั่น ยัยนั่นส่งเทปมาให้ฉัน บอกว่าเผื่อฉันจะสบายใจขึ้น”
โมจิดะยื้อแขนของทานากะไว้ให้หยุดเดิน “ขอดูหน่อย”
หลังจากดูเทปนั้นโมจิดะจึงได้มั่นใจ คุโรโกะสวมสายรัดข้อมือของโองิวาระในการแข่งกับไคโจด้วย หลักฐานเพียงแค่นั้นก็มากพอแล้วสำหรับเขา มันแทบจะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคุโรโกะตัดสินใจแบกรับหน้าที่โค่นรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ด้วยตัวเอง แต่โมจิดะรู้สึกว่าตัวเองต้องเชื่อว่ามันเป็นความจริง เขาจึงบอกทานากะทุกอย่างเกี่ยวกับคุโรโกะ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นรุ่นแห่งปาฏิหาริย์คนเดียวที่ไม่เคยเหยียบย่ำจิตใจของคู่แข่ง
ทานากะเป็นคนที่เรื่องเหมือนกับนิยายแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งร่วมตื่นเต้นไปกับโมจิดะ
“รู้ใช่มั้ยว่าต่อไปเจอกับทีมไหน? โทโอไง! รุ่นแห่งปาฏิหาริย์ที่จะโดนโค่นคนต่อไปที่อินเตอร์ไฮคืออาโอมิเนะ ไดกิ ไปดูให้เห็นกับตาตัวเองดีกว่า!”
...
ความผิดหวังของทั้งคู่เมื่อเห็นผลของการแข่งนั้นเกินกว่าจะบรรยายด้วยคำพูด โมจิดะอาจจะล้มเลิกความหวังและกลับไปเกลียดบาสเกตบอลอีกครั้งถ้าหากไม่ใช่เพราะคำพูดจากสหายที่ไม่คาดคิด
“พวกนายทำหน้ายังกะหมาที่เลี้ยงไว้โดนรถทับเลยนะ” เด็กหนุ่มผมดำในเสื้อคลุมชูโทคุผู้มีดวงตาคมกริบเอ่ยกับพวกเขา
“อย่าเศร้าไปเลยน่า เซย์รินล้มก็จริง แต่ยังไม่ตาย”
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มแปลกหน้าดูมีนัย เหมือนกับรู้อะไรมากกว่านั้น
“หมอนั่นก็ยังไม่ตายเหมือนกัน”
“ใครไม่ตาย?” ทานากะถาม
“ก็ต้องคุโรโกะสิ พวกนายถ่อมาถึงที่นี่เพื่อมาดูหมอนั่นไม่ใช่รึไง?”
โมจิดะกับทานากะมองหน้ากันก่อนจะหันกลับไปถามเด็กหนุ่มแปลกหน้า
“ก็ใช่ แต่นายรู้ได้ไง?”
“เห? นั่นสินะ จะบอกว่าฉันแอบเชียร์หมอนั่นอยู่อย่างลับๆ ก็ได้” เด็กหนุ่มตอบ “ไม่ได้หมายความว่าตอนแข่งกันฉันจะออมมือให้ นั่นสินะ คงต้องบอกว่าฉันกับหมอนั่นเป็นศัตรูกันเฉพาะบนสนามเท่านั้นล่ะมั้ง? นอกจากนั้นแล้วฉันก็อยู่ข้างหมอนั่น พวกนายคงไม่ได้คิดว่ามีแต่ตัวเองที่มีความแค้นกับรุ่นแห่งปาฏิหาริย์หรอกนะ?”
โมจิดะกับทานากะมองประหลาดใจ
“ฉันชื่อทาคาโอะ ฉันก็โดนแบบเดียวกับพวกนายมาตอนม.ต้น เจ้าพวกนั้นไม่แม้แต่จะชายตามองพวกฉัน เล่นกับพวกเราเหมือนแมวเล่นกับหนู ไม่เห็นพวกเรามีค่าพอจะเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ” ทาคาโอะเล่า “แต่พวกนายก็น่าจะเข้าใจเหมือนกัน กัปตันโมจิดะของเมย์โค แล้วก็เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ดทานากะของอิวาโทบิ อย่ามองฉันอย่างนั้น ฉันไม่ได้สะกดรอยตามพวกนายหรอก แค่บังเอิญจำหน้าพวกนายได้เท่านั้น ฉันตาดีน่ะ”
“ไม่ธรรมดาเลยนะที่นายจำหน้าคนที่ไม่เคยคุยด้วย—“
“พูดอะไรของพวกนาย? เคยคุยดิ! จับมือแล้วบอก ‘ขอบคุณ’ กันด้วย! เสียใจนะเนี่ย!” แต่ทาคาโอะพูดไปพลางก็ยิ้มไปพลาง อีกฝ่ายจึงรู้ว่าเขาแค่ล้อเล่น
“ไงก็ ฉันไปก่อนนะ ไม่งั้นพวกรุ่นพี่จะทิ้งฉันไว้ ฉันแค่มาบอกให้พวกนายเลิกทำหน้าหมาเหงาได้แล้ว ถ้าคุโรโกะจะยอมแพ้ก็คงทำตั้งแต่หลังจบม.ต้นแล้ว วินเทอร์คัพคราวนี้หมอนั่นต้องมาอีกแน่ ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมไปเชียร์ด้วยล่ะ อ๊ะ! ถ้าพวกนายจะมาเชียร์หมอนั่นอยู่โตเกียวอีกล่ะก็โทรหาฉันนะ ถ้าฉันไม่ได้อยู่บนสนามฝั่งตรงข้ามกับหมอนั่นล่ะก็ฉันจะมาร่วมด้วย”
แล้วทั้งสองฝ่ายก็แลกเบอร์กับสหายร่วมอุดมการณ์
จากวันนั้นเรื่องก็มีแต่บานปลายใหญ่โตขึ้น คนบอกต่อกัน ส่วนมากจะเป็นโมจิดะกับทานากะบอกต่ออดีตเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนใหม่อีกหลายคนที่โรงเรียนปัจจุบันผู้ซึ่งต่างก็ลิ้มรสความพ่ายแพ้จากรุ่นแห่งปาฏิหาริย์มาด้วยกัน ทั้งคู่เล่าเรื่องของคุโรโกะ ผู้เล่นมายาคนที่หก ผู้ปฏิเสธเส้นทางที่เหยียบย่ำผู้อื่นของเพื่อนร่วมทีม สวมสายรัดข้อมือของเพื่อนที่พลัดพรากกันเพื่อแก้แค้นให้กับทุกทีมที่เป็นเหยื่อของรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ เรื่องเล่ากระจายออกไป บอกต่อกันจากเพื่อนสู่เพื่อน ทีมสู่ทีม โมจิดะรู้ว่าตัวเองได้ทำให้คุโรโกะกลายเป็นวีรบุรุษของผู้คนไปแล้ว
การคาดเดาของทาคาโอะกลายเป็นความจริงเมื่อเซย์รินผงาดขึ้นที่วินเทอร์คัพด้วยชัยชนะสองครั้งในรอบคัดเลือก ในตอนนั้นจำนวนแฟนทีมเซย์รินตั้งแต่ที่หลุดจากอินเตอร์ไฮจนมาถึงบัดนี้ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสี่เท่า และแม้ในเวลานั้นจะไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งโมจิดะ แต่จำนวนคนที่ได้ฟังเรื่องราวของคุโรโกะนับได้มากกว่าหกร้อยคนแล้ว
เมื่อข่าวออกมาว่าวินเทอร์คัพครั้งนี้จะเป็นสงครามเต็มรูประหว่างสมาชิกรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ ความตื่นเต้นก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น ตอนนั้นทานากะก็เริ่มเปิดเว็บไซต์
โมจิดะคัดค้านในทีแรกที่รู้เรื่อง เรื่องของคุโรโกะอาจจะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้วเมื่อมันกระจายไปถึงขนาดนั้น แต่การจะเอาไปประกาศเป็นสาธารณะขนาดนั้นโดยไม่ได้ขออนุญาตก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี
“ฉันว่าถึงหมอนั่นรู้ขึ้นมาก็คงไม่ว่าอะไรหรอก” ทานากะตอบความเห็นของโมจิดะ
“แต่ที่โพสต์ไปให้เห็นกันทั่งญี่ปุ่นนั่นคือเรื่องที่หมอนั่นอาจจะยกไว้เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ทีสุดในชีวิตของตัวเองเลยนะ”
“ฉันเป็นคนโพสต์ ฉันจะรับผิดชอบเอง ถ้าเจ้าตัวขอมาฉันก็จะเอาลง แต่ฉันคิดว่าควรจะให้หลายๆ คนได้รู้ว่าใครกำลังสู้เพื่อล้างแค้นให้พวกเราทุกคน” ทานากะว่า “อีกอย่าง... ฉันว่าหมอนั่นไม่ได้แค่จะล้างแค้นให้พวกเราหรอก ถ้าหมอนั่นเลือกได้ระหว่างล้างแค้นกับเยียวยา หมอนั่นคงเลือกอย่างหลังอยู่แล้ว เอ้า ดูสิ”
โมจิดะมองตามที่ทานากะชี้ คอมเม้นท์ที่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์โพสต์
BBALLPHOENIX: “ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามีคนอย่างนี้อยู่ข้างเดียวกับฉัน ฉันเลิกเล่นบาสฯไปตั้งแต่ที่โดนรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ทำให้ขายหน้า แต่ตอนนี้ชักอยากจะเล่นขึ้นมาซะแล้ว!”
SEIRINFAN: “อ่านเรื่องในนี้ทำฉันเกือบร้องไห้ ฉันไม่รู้จะบอกกับนายยังไง แต่ฉันเชียร์นายอยู่นะคุโรโกะ! ขอบคุณที่สู้เพื่อพวกฉัน!”
CHIBIFORWARD: “ขอบคุณที่โพสต์เรื่องนี้ลง ทีมของฉันก็ถูกรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ยำไม่เหลือชิ้นดีมาเหมือนกัน ฉันเลิกเล่นทั้งที่ฉันรักบาสฯยิ่งกว่าอะไร แต่พออ่านเรื่องนี้แล้วฉันกับทีมเก่าก็มารวมกันเล่นสตรีทบอลโดยไม่ได้นัดหมาย ตอนนี้พวกเราจำได้แล้วว่าเรารักบาสฯมากขนาดไหน ชนะให้ได้นะคุโรโกะ! เราทุกคนเชียร์นาย!”
มีคอมเม้นท์แบบเดียวกันนี้อีกเป็นกุรุส อ่านไปแล้วทำให้โมจิดะรู้สึกรื้นที่ขอบตา
“นั่นสินะ นายพูดถูก” โมจิดะเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “แต่ว่านะ...ไอคอนรุ่นแห่งปาฏิหาริย์จิ๋วที่แพ้ไปแล้ว... ที่นายเอาขึ้นไว้ในสภาพคอขาดนั่นมันไม่เกินไปหน่อยเรอะ?”
...
คนแล้วคนเล่า รุ่นแห่งปาฏิหาริย์ถูกโค่นลง ส่วนมากโดยทีมของคุโรโกะ เอซอาโอมิเนะร่วงไปคนแรก ตามมาด้วยมุราซากิบาระ ยักษ์ใหญ่ที่สนุกกับการทำลายจิตวิญญาณของคู่แข่ง มิโดริมะที่แพ้คุโรโกะไปในอินเตอร์ไฮคราวนี้ถูกล้มโดยอดีตกัปตันของตัวเอง จากนั้นคิเสะที่เคยพ่ายแพ้ต่อคุโรโกะก็ล้มไปอีกคนหลังจากที่แสดงความสามารถอันน่าทึ่ง และที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็คืออาคาชิ อดีตกัปตันของรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ จะพบกับคุโรโกะในรอบชิง
...
โมจิดะทึ่งกับจำนวนใบหน้าที่คุ้นเคยที่เดินเข้ามาในสเตเดียม ส่วนใหญ่เขาไม่รู้ชื่อแต่จำได้ตั้งแต่สมัยม.ต้น ยิ่งง่ายขึ้นเมื่อทั้งหมดพร้อมใจกันสวมเสื้อคลุมทีมเก่ามากันสำหรับคนที่ไซส์ยังสวมได้ ใครสักคนโพสต์เรียกรวมพลในเว็บไซต์นั้น ป่าวประกาศถึงคนที่เคยตกเป็นเหยื่อของรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ให้มารวมตัวกันในเครื่องแบบทีมเก่ากับเพื่อนทีมเก่า
“ให้คุณคุโรโกะได้เห็นว่าเขาสู้เพื่อคนมากมายขนาดไหน! ให้กัปตันจอมโฉดนั่นได้เห็นว่าถึงพวกเราจะโดนทีมหมอนั่นขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี คุณคุโรโกะก็มอบกำลังให้พวกเรายืนขึ้นได้อีกครั้ง!”
ว่าตามนั้น
“เราทำให้คนอื่นงงใหญ่แล้ว” อดีตเพื่อนร่วมทีมของโมจิดะที่ชื่อริวซากิพูด “พวกเราแต่ละคนใส่เสื้อคลุมทีมเดิมมารวมกัน คนดูเขาจะสงสัยว่าไอ้ทีมเยอะแยะพวกนี้มาจากไหน แล้วทำไมเสื้อแต่ละคนถึงได้คับนัก ว่าแต่ นายยังไม่ได้ข่าวหมอนั่นใช่มั้ย?”
“นายหมายถึง...”
“อา หมอนั่นล่ะ”
“ยังเลย” โมจิดะเอ่ยอย่างเสียดาย “ฉันติดต่อหมอนั่นไม่ได้”
เขากับทานากะแยกกันก่อนการแข่ง ทีมเก่าของทานากะนั่งสูงขึ้นไปบนอัฒจันทร์ แต่โมจิดะจองที่ใกล้ข้างสนามให้เมย์โคได้ เขาไม่แปลกใจที่เพื่อนร่วมทีมเก่าเมื่อปีที่แล้วของเขาทุกคนยกเว้นหนึ่งโผล่หน้ามา แม้แต่คนที่ยังเรียนมัธยมต้นอยู่ รวมถึงผู้เล่นชั้นสองและชั้นสาม ทุกคนมา...ยกเว้นโองิวาระ แต่ก็ช่วยไม่ได้
“รู้สึกแจ่มเป้งมาก” ริวซากิพูด “ได้มาพร้อมหน้ากันทุกคนอีก แต่ว่านา~ ฉันอยากให้พวกเราเป็นคนที่ลงสนามเองมากกว่าแฮะ ฉันล่ะอยากเล่นเต็มแก่แล้ว! กลับไปเมื่อไหร่เข้าชมรมบาสฯทันที!”
แล้วการแข่งก็เริ่มขึ้น ทุกคนเงียบเสียงลง มีทั้งราชาไร้มงกุฎสามคน ผู้เล่นมายาอีกคน แล้วก็กัปตันของรุ่นแห่งปาฏิหาริย์ ดูอย่างไรราคุซันก็ไร้เทียมทาน เซย์รินแทบจะไม่มีหวัง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ คนที่ดูอยู่บนอัฒจันทร์ก็เหมือนกัน ครั้งนี้พวกเขาไม่ยอมถอดใจเด็ดขาด
ไม่มีวันปล่อยให้เป็นแบบนั้นอีก โมจิดะสาบานกับตัวเองแล้วเปล่งเสียงตะโกนออกไป
“ลุยเลย คุโรโกะ!!~ เซย์ริน ไฟท์!”
เซย์รินสู้ด้วยทุกอย่างที่มี จนเหงื่อท่วมไปถึงกระดูก ทีละเล็กละน้อย พวกเขาค่อยๆ กระเสือกกระสนเข้าไปใกล้จักรพรรดิทีละก้าวพร้อมกับแต้มห่างที่หดลง
ทุกครั้งที่ล้มก็จะลุกขึ้นมา จิตวิญญาณไม่เคยหวั่นไหว เป็นการแข่งที่ควรค่าแก่การนำไปทำเป็นภาพยนตร์ เป็นการแข่งที่จะล่ำลือกันไปอีกนานหลายทศวรรษ แต่ตอนจบที่มาถึงไม่มีใครคาดคิดไว้ แม้ว่ามันจะเหมาะสมอย่างไร้ที่ติ
ในช่วงไม่กี่วินาทีก่อนหมดเวลาควอเตอร์สุดท้าย เวลาเดียวกับที่แต้มนำของราคุซันเหลือเพียงแต้มเดียว คุโรโกะได้ลูก แล้วหลุดไปได้ ตรงเข้าไปที่แป้นตั้งท่าจะชู้ต ตอนนั้นเองที่เขาถูกชนเข้าจากด้านหลังจนล้มกลิ้ง กรรมการเป่านกหวีด
“ชาร์จจิ้ง! เซย์รินได้ลูก! ฟรีโทรว์สองลูก เบอร์ 11!”
นาฬิกาเหลือสองวินาที
“ฉันมาทันรึเปล่า? ทันแฮะ! ยังไม่หมดเวลา!” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นข้างโมจิดะ
“จองที่นั่งไว้ให้ฉันอยู่ใช่มั้ย?”
“ชิเงะ?” หลายเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน
โองิวาระ ชิเงฮิโระงอตัวมือค้ำเข่า ยิ้มแทรกมากับเสียงหอบ
“ไม่ได้เจอกันนานนะพวกนาย”
“นานจริงๆ นั่นล่ะ” โมจิดะตอบ “แล้วมาได้ยังไง?”
“หือ? ก็มันมีเว็บไซต์ที่บอกเรื่อง...ทุกเรื่อง” โองิวาระพูดไปพลางก็หอบไปพลาง “ฉันเพิ่งรู้เมื่อเช้า แต่ยังไงก็ต้องมา นี่กัปตัน ยังไงก็ขอบใจนะ”
“เรื่องอะไร?”
“ก็รู้อยู่ไม่ใช่เหรอ?” โองิวาระพูดพลางนั่งลงข้างโมจิดะ “หมอนั่นก็ใส่อยู่ตอนนี้ เข้ากับหมอนั่นมากเลยด้วย”
โมจิดะตบหลังเพื่อนเก่า “ดีใจที่ได้เห็นหน้านายอีก ชิเงะ ถึงหน้าที่ว่าจะมีเศษขนมปังติดเต็มเลยก็เถอะ”
“ฮะ? อีกแล้วเหรอ?”
ตอนที่คุโรโกะเข้าไปยืนกลางเขตโทษทุกสายตาก็กลับไปจับจ้องที่เขา
“เกิดอะไรขึ้น? อ๊ะ! คะแนน แล้วคุโรโกะ...” โองิวาระต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเล็กน้อย
“หมอนั่นได้ฟรีโทรว์สองลูก เหลือเวลาสองวินาที ถ้าลงหมดเซย์รินก็ชนะ”
โองิวาระหน้าซีด “แต่คุโรโกะ...ชู้ตไม่ได้”
“ตอนนี้ชู้ตได้แล้ว” ริวซากิแทรก “นายพลาดไปหลายอย่าง”
“เห? ก็ดีน่ะสิ”
เสียแต่ว่าสภาพของคุโรโกะไม่ค่อยจะดี พวกเขาอยู่ใกล้พอจะมองเห็น คุโรโกะเหงื่อท่วมตัว ชุดเปียกก็แนบไปกับลำตัวทำให้ดูผอมแห้งกว่าปกติ แล้วตัวก็สั่นหน่อยๆ ไม่จากความหนาวก็ความเหนื่อย ผิวซีดอย่างผิดปกติ ตรงกันข้ามกับแก้มที่เปล่งแดง เด็กหนุ่มร่างเล็กใช้กำลังทั้งหมดไปกับการแข่งครั้งนี้ และเห็นได้ชัดว่าในสองวินาทีสุดท้ายนี้เขาแทบจะไม่เหลือแล้ว
“เอาเหอะ ต่อให้พลาดทั้งสองลูกก็ยังมีเวลาพอจะรีบาวด์ ถ้าเซย์รินทำแต้มได้ก็ชนะ” โองิวาระพูด “และถึงลงแค่ลูกเดียว ก็ยังมีโอกาสต่อเวลาได้”
“เซย์รินถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าต่อเวลาออกไปอีกล่ะก็...”
“เซย์รินไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ ถ้าต่อเวลาขึ้นมาจริง ใครชนะก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
คุโรโกะตั้งท่า ทั่วทั้งสนามเงียบกริบ ทุกคนมองลูกอย่างลืมหายใจ
“ไม่ลง!” แฟนทีมราคุซันคนหนึ่งตะโกนพร้อมกับที่คุโรโกะปล่อยมือจากลูก
โมจิดะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงตะโกนในจังหวะเลวร้ายนั้นส่งผลต่อคุโรโกะ หรือว่าเขาเหนื่อยจนเสียงรบกวนหรือไม่ก็ไม่เกี่ยว แต่ลูกบอลหล่นลงก่อนถึงห่วง
ลางร้ายเริ่มแย้มให้พวกเขาเห็น เซย์รินพลาดโอกาสได้ชัยแบบง่ายๆ ไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ต่อเวลา หรือไม่เหลือแม้แต่นั่น
อาการสั่นของคุโรโกะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าตอนที่เขารับบอลที่ส่งกลับมาให้ชู้ตครั้งที่สอง เขาเกือบทำลูกหลุดมือ เซียนจ่ายลูกเกือบทำลูกหลุดมือ
“หมอนั่นไม่เหลืออะไรแล้ว” แฟนทีมราคุซันใกล้ๆ พูดขึ้น “จบแค่นี้ล่ะ”
“เซย์รินต้องยกธงขาวแล้ว” เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ เสริม
โมจิดะกำหมัดแน่นพลางสอดส่ายหาต้นเสียงเพื่อจะบอกให้หุบปาก ตอนนั้นเองที่โองิวาระลุกพรวดขึ้นยืนบนที่นั่ง
“คุโรโกะ!!”
ทั้งสนามเงียบรอฟรีโทรว์ที่สองของคุโรโกะ เสียงของโองิวาระไม่มีคู่แข่งเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่ได้ยินเสียงของเขา แน่นอนว่าคุโรโกะก็เช่นกัน เด็กหนุ่มเกือบทำบอลหล่น สะดุดขาตัวเองพยายามมองหาเพื่อนเก่า
“คุโรโกะ! นายต้องทำได้! ฉันมองเห็นดวงตาของนาย! มันลุกโชติช่วงด้วยแสงสว่าง!”
“ยอมเถอะน่า!” มีคนตะโกนสวนขึ้นมา แต่ถูกกลบด้วยเสียงต่อมา
“ฉันเชื่อมั่นในตัวนายนะ! คุโรโกจจิ!”
มีอีกคนหนึ่งลุกขึ้น โมจิดะเห็นสีทองแว้บๆ และรู้ว่าเสียงตะโกนมาจากจุดที่ทีมไคโจนั่งอยู่ แต่ว่าจะใช่คิเสะหนึ่งในรุ่นแห่งปาฏิหาริย์จริงๆ น่ะหรือ? เขาบอกไม่ได้เพราะตอนนี้ทั้งทีมไคโจลุกขึ้นยืนกันหมดทุกคน
“เอาเลย เท็ทสึ!”
“อย่ายอมแพ้นะ เท็ทสึคุง!”
“คุโรโกะ!”
“คุโรจิน!”
“ลุยเลยเซย์ริน!”
“นายต้องทำได้!”
“คุโรโกะ!!”
เสียงตะโกนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โมจิดะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งอดีตทีมเมย์โค ไคโจยืนขึ้นทุกคนเป็นที่น่าตกใจ เช่นเดียวกับชูโทคุ โยเซ็น โทโอ รวมถึงโรงเรียนมัธยมปลายอื่นๆ โมจิดะจำสีเสื้อของเซย์โฮ โจเซย์ และอื่นๆ อีกมากมาย และไม่ต้องสงสัยอดีตทีมมัธยมต้นทั้งหมดก็พากันโก่งคอตะโกนสุดเสียง
“คุโรโกะ! คุโรโกะ! คุโรโกะ!”
เด็กหนุ่มร่างเล็กหมุนรอบตัวด้วยความตื่นตระหนก เด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดและถูกมองข้ามมาตลอดตอนนี้ได้รับเสียงเชียร์จากคนนับพัน โมจิดะพอจะเข้าใจว่าต้องรู้สึกกดดันมากแค่ไหน แต่เขาก็มองเห็นผลของเสียงเชียร์บนร่างกายของคุโรโกะเช่นกัน ราวกับเด็กหนุ่มซึมซับเอาพลังจากเสียงของคนดูเข้าไป อาการสั่นหยุดลง เขามองมาทางโองิวาระเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตั้งท่า เสียงเชียร์ไม่หยุดและไม่เบาลงแม้แต่น้อย หากมีใครที่คิดจะตะโกนทำลายกำลังใจเหมือนครั้งก่อนก็ไม่มีหวังจะทำได้ คุโรโกะชู้ตลูกสุดท้ายไปพร้อมกับเสียงเชียร์นับพันเบื้องหลัง
ไม่มีใครได้ยินเสียงตาข่ายตอนที่ลูกบอลลงห่วง เสียงโห่ร้องดีใจดังกลบทุกสิ่งทุกอย่าง
ราคุซันทุ่มกำลังในวินาทีสุดท้ายหวังจะได้คะแนนสุดท้ายเพื่อปิดประตูชัย แต่เซย์รินไม่ปล่อยให้ราคุซันทำได้ แล้วเสียงสัญญาณก็ดังขึ้น
คนดูยังตะโกนค้างจากคะแนนตีเสมอของคุโรโกะ ทั้งสองทีมแยกกันกลับไปยังม้านั่งฝั่งของตัวเองก่อนต่อเวลา แต่คุโรโกะไม่ตามไปทันที เขาหันมาทางโองิวาระซึ่งลงจากเก้าอี้แต่ยังยืนอยู่เช่นเดียวกับแฟนทีมเซย์รินคนอื่นๆ
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นโมจิดะรู้สึกเหมือนกับทั้งสเตเดียมมีเพียงเพื่อนสมัยเด็กสองคน สำหรับทั้งคู่ต้องเป็นเป็นอย่างนั้นแน่นอน ดวงตาสองคู่ประสานกัน เพียงแค่วินาทีเดียวแต่เหมือนนานกว่านั้นมาก
แล้วคุโรโกะก็ชูหมัดขึ้น สัญญาณนั้นคงส่งให้โองิวาระคนเดียว แต่ก็ทำให้คนดูทั้งสนามลุกขึ้นยืน
โมจิดะยกแขนพาดไหล่โองิวาระ เช่นเดียวกับที่เซย์รินเบอร์ 10 ทำกับคุโรโกะ
“เพื่อนสมัยเด็กนายสุดยอดไปเลยว่ะ ชิเงะ”
“กัปตัน แค่คำว่า ‘สุดยอด’ ไม่พอหรอก ไม่มีดีกว่านี้แล้วเหรอ?”
“เฮ้ย!”
...
เซย์รินคว้าชัยมาได้ในศึกต่อเวลาที่กดประสาทจนลืมหายใจ อย่างที่โมจิดะคาดไว้ ตั้งขนาดนั้นแล้วจะไม่ชนะได้อย่างไร? เสียงเชียร์ดังลั่นเสียจนไม่มีใครได้ยินเสียงประกาศชื่อทีมที่ชนะ แต่ไม่มีใครสนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอก
ที่สนามด้านล่าง ผู้เล่นแต่ละคนต่างทรุดลงไปตรงนั้น ไม่เหลือแรงจะยืนต่อแม้สักวินาที แม้แต่กำลังหลักอย่างเซย์รินเบอร์ 10 ก็เหนื่อยจนตั้งเอามือค้ำเข่า ราชาไร้มงกุฎของราคุซันเองก็ไม่ต่างกัน แม้แต่กัปตัน โมจิดะตาโตเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังมองกัปตันผู้เลือดเย็นของรุ่นแห่งปาฏิหาริย์...คุกเข่า...และร้องไห้
ตาเขาเลื่อนไปที่สีน้ำฟ้าอ่อนอยู่ระดับเดียวกับอาคาชิ คุโรโกะไม่เหลือแรงจะยืน เขาทรุดลงไม่ห่างจากอาคาชิ และตอนนี้ก็กำลังกระเสือกกระสนเข้าไปหาอดีตกัปตัน ผู้ซึ่งครั้งนึงก็อาจจะเคยเป็นเพื่อนกัน
“ให้ตายเถอะคุโรโกะ” โองิวาระพูดขึ้นข้างๆ โมจิดะ “นายนี่มันสุดยอดจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ”
ทั้งคู่มองคุโรโกะไปถึงอาคาชิ และดึงเพื่อนเก่าเข้ามาสวมกอด อาคาชิสะดุ้งแล้วมองคุโรโกะด้วยดวงตาสีแดงสองข้าง โมจิดะไม่แน่ใจว่าแค่เขาเห็นคนเดียว เป็นแค่มุมของแสง หรือว่าเพราะอะไร เพราะเขาจำได้ว่าอาคาชิตาสองข้างสีไม่เหมือนกัน อาคาชิตัวสั่นมองคุโรโกะ ก่อนจะทรุดลงกับไหล่ของเพื่อน คุโรโกะกอดเพื่อนของตัวเองโดยไม่ปริปาก
โมจิดะรู้ว่าความเข้มแข็งมีได้หลายแบบ และก็ค่อนข้างจะมั่นใจอีกว่าคุโรโกะเป็นศูนย์รวมของความเข้มแข็งทุกแบบที่มี จะไม่เป็นได้อย่างไร เมื่อมองกลับไปยังสิ่งที่เขาผ่านมาได้จนถึงจุดนี้ รวมกับเหตุผลที่เขาทำ ...แล้วยังแสดงมิตรภาพต่อศัตรูที่เขาตั้งใจที่จะโค่นมาตลอด ถ้ายังไม่ใช่ความเข้มแข็งอีก โมจิดะก็ไม่รู้ว่าอะไรแล้ว
...
โมจิดะมีเกียรติได้เป็นสักขีพยานในการพบกันของเพื่อนสมัยเด็กทั้งสอง เขานึกว่าจะต้องรอจนกว่านักข่าวที่มะรุมมะตุ้มทีมที่ได้แชมป์จะไปกันจนหมดเสียก่อนจึงได้เข้าไปหาคุโรโกะได้
แต่กลายเป็นว่าคุโรโกะมาหาพวกเขาเอง พวกเขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำจนกระทั่งคุโรโกะโผล่มาดักหน้าแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง
“เฮ้ย—! อ๊ะ คุโรโกะ!” โองิวาระพูดเสียงดัง “มาอยู่นี่ได้ไง มีนักข่าวจะสัมภาษณ์นายเยอะแยะเลยไม่ใช่เหรอ?”
“มีด้วยเหรอครับ?” คุโรโกะดูไม่เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นตอนที่ผมเดินผ่านก็น่าจะเรียก”
“โชว์ไปตั้งขนาดนั้นยังไม่เห็นนายอีกเหรอเนี่ย ไม่เข้าใจจริงๆ เล้ย” โองิวาระพูดก่อนจะหันไปมองที่ข้อมือของเพื่อน
“สายรัดเข้ากับนายดีนะ”
คุโรโกะชำเลืองมองโมจิดะ แล้วกลับมาที่โองิวาระ
“ที่จริงแล้ว ข้างนึงเป็นของโองิวาระคุง”
โองิวาระยิ้ม “ฉันรู้แล้วล่ะ”
“อยากได้คืนรึเปล่า?”
“เก็บไว้เถอะ เข้ากับนายมากกว่าฉันอีก”
“ขอบคุณ...แล้วก็...ผมขอโทษ...เรื่องเมื่อตอนนั้น” ดวงตาของคุโรโกะเริ่มสั่นไหว “ผมบาดเจ็บทำให้รักษาสัญญาไว้ไม่ได้ แล้วทีมของผมก็ยัง—”
โองิวาระวางมือบนไหล่ของคุโรโกะ บอกให้หยุดพูดแค่นั้น “ทุกอย่างที่นายทำไปยิ่งกว่าแทนคำขอโทษได้แล้วล่ะ”
ไหล่ของคุโรโกะสั่น “โองิวาระคุง”
“อดีตเมย์โคทั้งหลาย!” โมจิดะหันไปพูดด้วยเสียงของกัปตัน “ให้ความเป็นส่วนตัวกับสองคนนี้หน่อย เราเก็บข้าวของแล้วไป...ไป...”
“บนเว็บไซต์ [คุโรโกะ โนะ บาสเก็ต] มีคนเสนอว่าให้ไปรวมกันที่สวนสาธารณะใกล้ๆ นี่ จะจัดแข่งทัวร์นาเม้นต์สตรีทบอลกัน” ริวซากิพูดพลางดูมือถือ “ใครจะอยู่ทีมเดียวกับฉันมั่ง?”
ทีมเมย์โคเกิดความโกลาหล แต่ละคนพยายามจัดกันเป็นทีม บ้างติดต่อหาเพื่อนใหม่และเก่าที่มาดูด้วย ถามว่าจะเล่นไหม มีทีมหรือยัง โมจิดะต้อนให้ออกไปจากเพื่อนสมัยเด็กสองคน แต่ตัวเองรั้งท้ายอยู่ครู่หนึ่ง เป็นอภิสิทธิ์ในฐานะกัปตัน
“ชิเงะ ถ้านายเสร็จธุระแล้วตามมาได้จะดีมาก พวกเราทุกคนคิดถึงนาย ให้ซื้ออะไรจากมาจิบะเผื่อไปให้มั้ย?”
“เอาสิ” โองิวาระตอบ “แล้วจัดให้ฉันอยู่ในทีมพวกนายซักทีมนะ ฉันอยากเล่นใจจะขาดแล้ว!”
โมจิดะหัวเราะแล้วตบไหล่เพื่อน “รีบตามมาล่ะ แล้วก็คุโรโกะ...นายก็น่าจะมาด้วย นายควรจะได้เห็นทุกๆ คนที่นายเป็นกำลังใจให้กลับมาเล่นได้อีกครั้ง”
คุโรโกะกระพริบตาปริบๆ “ผมไม่เข้าใจ มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“อา จริงด้วย นายไม่รู้เรื่องเว็บไซต์นั่นสินะ”
“ครับ ไม่รู้เลย เว็บไซต์อะไรเหรอครับ?”
“นายเอาให้ดูได้มั้ย ชิเงะ” โมจิดะถาม
โองิวาระชูนิ้วโป้ง “ไว้ใจได้เลย!”
“งั้นฉันไปล่ะ คุโรโกะ เผื่อว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกนาน...ขอบคุณมาก” โมจิดะพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
โมจิดะโค้งตัวคำนับคุโรโกะแล้วรีบตามหลังทีมไปก่อนที่จะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาชำเลืองมองกลับมาอยู่แค่ครั้งเดียว เขาเห็นโองิวาระยกมือถือให้คุโรโกะดู เขาเห็นโลโก้ที่เขาออกแบบให้เว็บไซต์ของทานากะแว้บๆ คุโรโกะมองด้วยนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ แต่ไหล่สั่นอย่างรุนแรง และน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุดเมื่อได้อ่านคอมเม้นท์ของคนที่ได้กำลังใจจากเขา โมจิดะหันหน้าหนีเมื่อโองิวาระดึงคุโรโกะเข้าไปกอดและคุโรโกะเริ่มสะอื้นออกเสียง ไม่ใช่เพราะเสียใจ โมจิดะรู้ว่าเป็นเพราะความยินดี
คิดดูแล้วเรื่องทั้งหมดมันดูเหมือนจะวนกลับมาที่เดิม ตอนนี้คุโรโกะเป็นฝ่ายปล่อยน้ำตาในอ้อมแขนของเพื่อนเก่า ฟังคำปลอบประโลมว่าทั้งคู่ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ว่าทุกอย่างจบลงด้วยดี
โมจิดะวิ่งตามหลังทีมไปด้วยรอยยิ้ม คุโรโกะคู่ควรกับแฮปปี้เอ็นดิ้งนี้แน่นอน
--
PBW:“รู้สึกแปลแล้วออกมาไม่สู้ต้นฉบับยังไงไม่รู้...”
DX:“เฮ้ย~ ของแปลมันก็ต้องยังงี้แหละ เปลี่ยนไปตามฝีมือคนแปล”
PBW:“เฮ้ย... เอาเป็นว่าคนเขียนก็ได้สื่อสิ่งที่ต้องการสื่อไปแล้ว ถ้าคนอ่านดีใจ คนแปลก็ดีใจ และแน่ใจว่าผู้เขียนต้นฉบับเองก็ดีใจเช่นกัน สวัสดี จนกว่าจะพบกันคราวหน้า”
คือคิเซคิแข็งแกร่งเกินไปจนลืมหลายๆ อย่างไป แต่พวกเขาก็มีเหตุผลในแบบของเขา ส่วนคุโรโกะก็เหมือนผู้เล่นทั่วไป ไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่น แต่เพราะรักบาสมากเลยยังไม่อยากแพ้กับมัน จริงๆ คุโรโกะไม่ได้ตั้งใจจะแก้แค้นหรืออะไรในตอนหลัง เขาแค่อยากชนะไปกับเพื่อนๆ ในสิ่งที่รักเท่านั้น แต่ก็กลายเป็นวีรบุรุษ กลายเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายๆ คนโดยไม่รู้ตัว
คิเซคิ คุโรโกะ แม้กระทั่งคนที่เป็นคิเซคิแต่ไม่ได้อยู่ในคิเซคิอย่างคากามิมีเหตุผลของตนเองในเรื่องบาส มองได้หลายมุมและหากเข้าใจอย่างลึกซึ้งก็จะอินกับมันค่ะ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่นำมาแบ่งปันนะคะ
แถมยังอินไปกับเนื้อเรื่องสุดๆเลย
ขอบคุณนะคะ !
มองแต่ตัวเอง สงสารแต่ตัวเอง
ความผิดของคิเซกิคือแข็งแกร่งเกินไปเองสินะ.......แต่ถึงจะแข็งแกร่งเกินไปก็ไม่ได้แปลว่าเจ็บไม่เป็น ร้องไห้ไม่เป็นนะ
คิดว่าการต้องทนเป็นราชา เพราะรู้ว่าถ้าล้มลงมาจะถูกเหยียบย่ำซ้ำทันที มีแต่ศัตรูรอบด้าน(แม้แต่ทาคาโอะยังเอาใจออกห่าง)
พอเอาจริงก็หาว่าเป็นปีศาจ ตัวประหลาด พอไม่เอาจริงก็หาว่าดูถูก เมื่อสู้เต็มที่ตัวเองก็ทิ้งการแข่ง ..... ทำไมคิเซกิต้องมาเล่นบาสเพื่อเอาใจคนพวกนั้นด้วย? คนที่ไม่เคยเข้าใจว่าความรู้สึกที่หามิตรไม่ได้บนคอร์ท ต้องทนเล่นบาสที่เคยสนุกไปวันๆมันโหดร้ายเย็นชาขนาดไหน
แล้วคิดว่าทำเพจแบบนี้ แล้วคิเซกิไปเห็น คุโรโกะจะได้เพื่อนคนเดินที่เคยสนุกกับบาสสมัยอยู่เทย์โควคืนมารึไง?
สุดท้าย......ก็ยัดเยียดบทพระเอกและตัวร้ายทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งๆที่ความจริงแล้ว....สิ่งที่ทำให้คุโรโกะกลับมาเล่นบาสเพื่อเอาชนะรุ่นปาร์ฏิหาริย์ไม่ใช้เพื่อเอาใจพวกนาย หรือโค่นคิเซกิเพื่อโองิวาระคนเดียวเลย
เขาเล่น และต้องการเอาชนะ เพื่อนำเพื่อนที่เคยเล่นบาสอย่างสนุกสนานสมัยเทย์โควคืนมาต่างหาก
นั้นต่างหากคือสิ่งที่คุโรโกะสารภาพมาเมื่อเล่าอดีตให้เซย์รินฟัง และขอโทษคากามิ เพราะเหมือนตัวเองหลอกใช้เซย์รินกลายๆ ซึ่ง.....ทั้งหมดก็ไม่ว่าอะไร.....เพราะเพื่อนต้องช่วยเพื่อน และต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้วต่างหาก
เรื่องราวของเหล่าคนที่พ่ายแพ้และสูญเสียจิตใจที่เคยเชื่อมั่นในสิ่งที่รัก แต่กลับถูกเรียกคคืนจากคนที่เป็นหนึ่งกลุ่มคนที่ทำลายตัวพวกเขา ไม่ว่่าจะอ่านกี่รอบก็อยากที่จะร้องไห้อ่ะ