คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2: ภารกิจของผู้มาจากต่างโลก
(ภาพตัวละคร Arc 1 : ฟูเก้ต์แห่งดินสลาย / Credit: baka-tsuki.org)
เช้าวันต่อมา...
สถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทนตกอยู่ในความสับสน เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้ภายในเกิดความโกลาหลราวกับผึ้งแตกรัง ทำไมน่ะหรือ? ก็เป็นเพราะคทาแห่งการทำลายล้างถูกขโมยไปโดยหัวขโมยชื่อดังน่ะสิ
‘ขอคทาแห่งการทำลายล้างไปล่ะ - ฟูเก้ต์แห่งดินสลาย’ เจอประโยคนี้สลักอยู่บนกำแพง เป็นใครก็ต้องขนคอตั้งชัน
คณะอาจารย์ในโรงเรียนต่างมารวมตัวกันยังที่เกิดเหตุเพื่อรับฟังข่าวร้าย แต่ละคนล้วนเป็นจอมเวทผู้มากความสามารถ ทว่าทำได้เพียงพร่ำคำสบถเหมือนป้าขี้บ่นเท่านั้น
“หัวขโมยที่ทำชนชั้นสูงหัวปั่นไปทั่วอาณาจักรเองเหรอเนี่ย!? เจ้านั่นกล้ามากที่บุกโรงเรียนของเรา!” หนึ่งในอาจารย์ที่เพิ่งจะรู้เรื่องไม่นานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“แล้วยามไปอยู่ไหนหมด?!”
“ถึงอยู่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก! พวกนั้นก็แค่สามัญชน! ถ้าไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์ ไปขวางทางมีแต่จะตายเปล่า! พูดถึงผู้ใช้เวทมนตร์ เมื่อคืนนี้เป็นกะของใคร? ชนชั้นสูงคนไหนที่ต้องเข้าเวรเมื่อคืนนี้?”
คณะอาจารย์มองกันเองด้วยสายตาตำหนิ ไม่มีใครยอมออกตัว ผู้อำนวยการเห็นความไม่ไว้ใจเริ่มเกิดขึ้นในหมู่อาจารย์จึงยกมือขึ้นให้เงียบเสียง
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ การจะผลักความรับผิดชอบไปให้คนคนเดียวไม่สมควรจะเป็นการกระทำของบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิอย่างอาจารย์ของโรงเรียน”
“แต่ท่านผู้อำนวยการออสมัน...!”
“ถ้าคิดแต่จะหาความผิดกับผู้อื่นแทนที่จะแก้ปัญหา แล้วจะเรียกว่าเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่นโดยเฉพาะนักเรียนได้ยังงั้นรึ?”
คณะอาจารย์เงียบไป ผู้อำนวยการเป็นชายชราผมและหนวดเครายาวสีขาวในชุดคลุมยาวสีเทา ให้ความรู้สึกของผู้อาวุโสที่น่าเคารพ คำพูดนี้แทงใจดำของผู้ที่ได้ยินทุกคน
“แต่เดิมข้อบกพร่องมันก็มีอยู่แล้ว ความรับผิดชอบนี้เป็นของทุกคน รวมทั้งฉัน ทำไมเราคิดกันว่าจะไม่มีขโมยขโจรที่ไหนกล้าบุกเข้ามาในโรงเรียน? เพราะจำนวนของผู้ใช้เวทมนตร์ที่เรามีอยู่ในโรงเรียนเหรอ? การคิดแบบนั้นถือเป็นความผิดตั้งแต่แรกแล้ว”
ทุกคนเงียบ ผู้อำนวยการปรายตาไปทางตัวหนังสือที่เป็นความอับอายของโรงเรียนบนผนัง
“ทางราชสำนักไว้ใจให้โรงเรียนของเราเก็บรักษาสมบัติชิ้นสำคัญเอาไว้ การที่คทาแห่งการทำลายล้างถูกฟูเก้ต์ขโมยไปได้ถือเป็นความบกพร่องของพวกเรา เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องกู้ชื่อเสียงของที่นี่คืนมา” พูดจนเห็นว่าพอแล้ว ผู้อำนวยการหันไปทางอาจารย์ผู้สวมแว่นกลมและศีรษะล้านไปเกือบถึงท้ายทอย
“มิสเตอร์โคลแบร์ ให้พวกเขาเข้ามาได้” มิสเตอร์โคลแบร์พยักหน้า ก่อนจะเดินไปที่ประตูซึ่งกั้นระหว่างห้องกับทางเดินด้านนอก และเปิดมันออก ให้คนเจ็ดคนเดินเข้ามา
จากเจ็ดคน มีเพียงห้าคนที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นร้อน อีกสองคนเป็นยามที่มีหน้าที่ควบคุมตัวเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาซึ่งแต่งตัวเหมือนนักเดินทาง มิสเตอร์โคลแบร์เริ่มแนะนำทั้งห้าแก่ที่ประชุม
“มิสเซิร์บสต์ มิสทาบาสะ มิสวาลลิแยร์กับอสูรรับใช้ ไซโตะ ฮิรากะ แล้วก็...”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาผู้สวมเสื้อคลุมมีฮู้ดสีขาวและผ้าสีแดงพันที่เอว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกสวมตรวนไม้ที่ข้อมือ
“...เจ้าเป็นใคร?” ผู้อำนวยการถามคนแปลกหน้าเพียงคนเดียวของสถานที่แห่งนี้
“ผมเป็นนักเดินทาง ชื่อว่า [ซาวิเยร์] ครับ” ชายผู้บอกให้เรียกตัวเองว่าซาวิเยร์ตอบด้วยอาการสงบสำรวม
“นักเดินทางมาทำอะไรอยู่ในห้องเก็บสมบัติของโรงเรียนเวทมนตร์” ออสมันถามต่อ
“ผมมีสิ่งที่ตามหาอยู่ และก็ได้ข่าวมาว่าอาจจะพบได้ที่ห้องนี้” ซาวิเยร์ตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง
“ของสิ่งนั้นคืออะไร?”
“ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ ต้องได้มองดูใกล้ๆ จึงจะทราบ แต่...” ดวงตาสีเขียวมรกตมองไปรอบห้อง
“ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ถูกขโมยไป”
“ไร้สาระ! คิดว่าคำโกหกพรรค์นี้จะหลอกพวกเราได้รึยังไง?!” อาจารย์ชายคนหนึ่งสวนออกมา
“ใจเย็นไว้ก่อน เรายังมีพยานอีกสามคน” ผู้อำนวยการหันไปทางนักเรียนหญิงผู้เกี่ยวข้องกับอสูรรับใช้อีกหนึ่ง
ทั้งสามคนถูกถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด แต่เด็กสาวผมสีชมพูที่ชื่อหลุยส์กับเด็กสาวผมสีแดงที่ชื่อคีร์เก้เห็นเพียงแค่ตอนที่หัวขโมยบินออกจากรอยแตกที่กำแพงหนีไปเท่านั้น คนที่เห็นเหตุการณ์มากที่สุดไม่นับเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่เชื่อถือไม่ได้ก็มีแต่เด็กสาวสวมแว่นผู้ขี่มังกรสีน้ำเงินขึ้นไปถึงที่เกิดเหตุ
“ได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากข้างใน พอมองเข้าไป ก็เห็นเขากับฟูเก้ต์เผชิญหน้ากัน” เด็กสาวผมสั้นสีฟ้าที่ชื่อทาบาสะตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แม้แต่น้ำเสียงเองก็ราบเรียบ ผู้อำนวยการหันมาถามเด็กหนุ่มผู้ถูกจองจำ
“เจ้าได้ประมือกับฟูเก้ต์ด้วยงั้นรึ?”
“เพียงแค่ครู่เดียว พอที่จะรู้ว่าฝีมือของฟูเก้ต์เป็นดังข่าวลือครับ” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาตอบตามจริง
“นอกจากนั้นล่ะ?” ออสมันถามถึงข้อมูลที่อาจจะเป็นประโยชน์
“เสียงของฟูเก้ต์ ทั้งรูปร่างที่ดูบอบบาง ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงสาวครับ”
“ผู้หญิงงั้นเหรอ...ข้อมูลเพียงเท่านี้ยังไม่พอจะออกไปตามหา...ว่าไปแล้ว มิสลองก์วิลล่ะ?” ผู้อำนวยการถามหาเลขาฯสาวของตัวเอง คณะอาจารย์มองกันเองก่อนจะพากันส่ายหน้า
“ไม่เห็นเธอตั้งแต่เช้าแล้วครับ”
“ในเวลาอย่างนี้ ไปอยู่ที่ไหนกันนะคะเนี่ย?”
เหมือนวางคิวไว้ล่วงหน้า ประตูเปิดออกพร้อมกับที่หญิงสาวสวมแว่นตาเดินเข้ามา ผมสีเขียวของเธอมัดขึ้นไว้บนศีรษะเป็นทรงหางม้า สวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินซึ่งเป็นเครื่องแบบของอาจารย์ทุกคน
“ดิฉันได้ไปทำการสืบสวนมาอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะมาที่นี่ ทำให้มาสาย ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
“ดีมาก มิสลองก์วิล แล้ว...พบอะไรบ้างรึเปล่า?” ผู้อำนวยการถามอย่างมีความหวัง
“ตามคำบอกเล่าของสามัญชนที่อาศัยอยู่แถบนี้ พบเห็นบุคคลปริศนาสวมผ้าคลุมฮู้ดสีดำเข้าไปในบ้านร้างกลางป่าใกล้ๆ นี้ค่ะ”
“ผ้าคลุมฮู้ดสีดำ? เหมือนกับฟูเก้ต์เลย!” เด็กสาวผมสีชมพู—หลุยส์โพล่งออกมา ผู้อำนวยการรีบถามเลขาฯสาวต่อทันที
“จากที่นี่ไปเป็นระยะทางแค่ไหน?”
“ด้วยเท้าก็สักครึ่งวัน ถ้าเป็นม้าก็สี่ชั่วโมงค่ะ”
“เราต้องรีบแจ้งไปยังทางปราสาท ขอกำลังเสริมจากทางกองทัพ!” อาจารย์ศีรษะเกลี้ยงเกลา—มิสเตอร์โคลแบร์เสนอเสียงดัง แต่ถูกผู้อำนวยการดุด้วยเสียงที่ดังพอๆ กัน
“ไม่ได้! กว่าสารจะไปถึง รอการอนุมัติ แล้วก็ต้องให้ทางกองทัพส่งคนมาอีก ฟูเก้ต์คงจะหนีไปไกลแล้ว! อีกอย่าง เรื่องเกิดขึ้นภายในโรงเรียนของเรา ถ้าเราจัดการกันเองไม่ได้ ยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นชนชั้นสูงได้อีกเหรอ!?”
มิสลองก์วิลยิ้ม ราวกับว่าเธอรอคำตอบนี้จากท่านผ.อ.อยู่แล้ว
“เราจะจัดคนตามไปนำคทาแห่งการทำลายล้างกลับมา ผู้ที่ต้องการจะอาสา ขอให้ชูคทาขึ้น”
ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับ คณะอาจารย์ได้แต่ส่งสายตาเกี่ยงกัน ผู้อำนวยการเห็นก็ส่ายหน้า
“อะไรกัน? ช่างน่าอับอายจริงๆ ไม่มีใครอยากจะเป็นผู้กล้าที่จับตัวฟูเก้ต์แห่งดินสลายบ้างเลยรึ?”
ใครคนหนึ่งค่อยๆ ยกมือขึ้น ทว่าสิ่งที่อยู่กับมือทั้งสองข้างของเขาไม่ใช่คทา แต่เป็นเครื่องจองจำ เสียงหายใจเฮือกของใครหลายคนดังขึ้นพร้อมกันจนได้ยินไปทั่วห้อง
“ไม่ได้เหรอครับ?” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาถามด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแสดงออกถึงความเสียดาย ราวกับจะสื่อว่า ‘ก็ไม่เห็นจะมีใครอาสา อย่างน้อยก็น่าจะให้ผมไป’
ท่ามกลางความตกตะลึง มืออีกข้างหนึ่งค่อยๆ ยกขึ้น ครั้งนี้ถือคทาเอาไว้ด้วย
“มิสวาลลิแยร์!” มิสเตอร์โคลแบร์ร้องตกใจ “เธอเป็นนักเรียนนะ! เรื่องอันตรายแบบนี้ต้องให้เป็นหน้าที่ของอาจารย์ถึงจะถูก!”
“แต่นอกจากสามัญชนผู้นี้แล้วก็ไม่เห็นจะมีใครอาสาเลยนี่คะ...” หลุยส์พึมพำเสียงเบา แต่ดังพอจะกระทบใจดำของคณะอาจารย์ในห้อง
ซาวิเยร์เหลือบมองเด็กสาวผมสีชมพู เขามองเห็นริมฝีปากที่เม้มแน่นของเธอสั่นไหว แสดงถึงความกลัว แต่เธอเอาชนะมันด้วยความกล้า เขายิ้มด้วยความชื่นชม
คทาอีกหนึ่งด้ามถูกชูขึ้น คราวนี้เป็นของเด็กสาวผมสีแดง
“มิสเซิร์บสต์!” มิสเตอร์โคลแบร์ตกใจเป็นครั้งที่สอง เท่านั้นไม่พอ คทาที่สามก็เป็นของนักเรียนอีกเช่นกัน กลายเป็นว่าเด็กสาวเพียงสามคนในห้องขันอาสากันครบ
“ทาบาสะ! ฉันแค่ไม่อยากแพ้วาลลิแยร์ เธอไม่ต้องมาก็ได้นี่!”
“ฉันเป็นห่วงพวกเธอ แล้วก็...” เด็กสาวสวมแว่นปรายตาไปทางเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่ยืนอยู่กับเครื่องจองจำที่ข้อมือ แต่ไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น ทิ้งเพื่อนของเธอกับผู้อ่านไว้ในความสับสน
“งั้นก็เป็นพวกเธอสามคนสินะ” ผู้อำนวยการออสมันสรุป
“แต่ท่านผู้อำนวยการคะ! พวกเธอเป็นแค่นักเรียนนะคะ!” อาจารย์หญิงคนหนึ่งท้วงด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ถ้าเช่นนั้นมิสชูวรูสจะอาสาไปแทนทั้งสามคนรึไม่ล่ะ?”
“เอ่อ...ดิฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย...น่ะค่ะ...ก็...”
“ทั้งสามคนเห็นตัวฟูเก้ต์ แล้วยิ่งกว่านั้น มิสทาบาสะ แม้จะอายุยังน้อย ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น<ชูวาลิเยร์>แล้ว ถูกต้องรึไม่?” ผู้อำนวยการหันไปทางเด็กสาวสวมแว่นซึ่งยืนนิ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่หน้าของคนอื่นๆ สีเปลี่ยนไปต่างๆ กัน
“จริงเหรอทาบาสะ?!” คีร์เก้ถามเอากับเพื่อนของเธอ
ชูวาลิเยร์นั้น ถึงแม้ในจำนวนบรรดาศักดิ์ทั้งหมดที่ราชวงศ์สามารถมอบให้กับบุคคลได้ถือเป็นยศที่ต่ำที่สุด ต่ำกว่า<บารอน>และ<มาร์ควิส>แต่การจะได้สองบรรดาศักดิ์นี้แค่ครอบครองผืนดินจำนวนมากก็เพียงพอแล้ว ขณะที่เงื่อนไขของชูวาลิเยร์นั้นคือการประกอบคุณงามความดีแก่อาณาจักร เป็นตำแหน่งที่จะได้ด้วยผลงานเท่านั้น
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นประเด็นของเด็กสาวผู้ได้รับตำแหน่งอัศวินตั้งแต่อายุยังน้อย ซาวิเยร์มองดูทาบาสะที่ยังคงรักษาใบหน้าที่นิ่งเฉยเอาไว้ได้แม้ท่ามกลางสายตาจำนวนมาก
‘เป็นอัศวินตั้งแต่อายุเท่านี้ คงมีพรสวรรค์พอตัว แต่ว่า...เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ?’ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาหรอก เขาแค่สงสัย
ทาบาสะมองตอบกลับ ทั้งคู่สบตากัน ซาวิเยร์รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดีดผึงขึ้นในหัว แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร
เพื่อไม่ให้มีการเสียน้ำใจ ผู้อำนวยการกล่าวถึงนักเรียนหญิงที่แสดงความกล้าอีกสองคนบ้าง คีร์เก้—บุตรีแห่งตระกูลวีรบุรุษสงครามเซิร์บสต์—ผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ไฟยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่หลุยส์ บุตรีแห่งตระกูลวาลลิแยร์ทำหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อใบหน้าของผู้อำนวยการแสดงชัดว่ากำลังพยายามเค้นหาสิ่งที่สามารถจะยกย่องเกี่ยวกับตัวเธออย่างสุดความสามารถ การที่มองออกว่าผู้อำนวยการหาไม่ได้นั่นล่ะที่รบกวนใจเธอจนต้องแสดงออกทางสีหน้า
“แล้วก็...” สายตาของออสมันเลื่อนไปที่เด็กหนุ่มผมดำซึ่งยืนอยู่ด้านหลังสามผู้กล้า “อสูรรับใช้ของมิสวาลลิแยร์ ถึงแม้จะเป็นสามัญชน แต่ก็สามารถเอาชนะบุตรของนายพลกรามองต์ในการประลองได้อย่างใสสะอาด” ผู้อำนวยการยังเก็บบางอย่างเอาไว้ในใจ แต่ซาวิเยร์ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“เอาล่ะ จะขอถามเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ามีใครคิดว่าตัวเองสามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ดีกว่าทั้งสามคน ขอให้ก้าวออกมา”
...เงียบกริบ...
“ถ้าเช่นนั้น ทางโรงเรียนจะเฝ้ารอข่าวดีจากพวกเธอ” ผู้อำนวยการพูดกับทั้งสี่คน จากนั้นจึงหันไปทางเลขาฯสาว
“มิสลองก์วิล คุณไปกับพวกเธอด้วยจะได้รึเปล่า?”
“ดิฉันยินดีอยู่แล้วค่ะ ท่านผู้อำนวยการโอลด์ ออสมัน” มิสลองก์วิลตอบตกลงอย่างเต็มใจ
“เอ่อ...” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นดึงความสนใจจากผู้คนทั่วทั้งห้อง เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาชูมือทั้งสองที่ติดเครื่องจองจำขึ้นข้างศีรษะ
“แล้วผมล่ะครับ?”
...เงียบกริบ...
...
มิสลองก์วิลเป็นผู้ดูแลและผู้นำทาง ทั้งหกคนผ่านประตูโรงเรียนออกไปในรถม้า...จริงๆ ก็แค่เกวียนเสริมด้วยไม้สองแผ่นเป็นที่นั่งแล้วใช้ม้าสองตัวลากเท่านั้นล่ะ หลังคาก็ไม่มี ซึ่งก็ถือเป็นข้อดี มองเห็นรอบข้างได้สะดวก และถ้าถูกจู่โจมก็กระโดดออกลงได้ง่าย
มิสลองก์วิลทำหน้าที่กุมบังเหียน นักเรียนหญิงสามคน อสูรรับใช้หนึ่งตัว(?) กับนักโทษ(?)อีกหนึ่งที่ปลดเครื่องจองจำออกแล้วนั่งอยู่ด้านหลัง เห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร คีร์เก้ตัดสินใจชวนคุย
“มิสลองก์วิล คุณเคยเล่าให้พวกเราฟังว่าคุณเสียสถานะของชนชั้นสูงไปแล้ว เรื่องมันเป็นมายังไง เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิคะ~” เธอเลียบเคียงถามอาจารย์หญิงที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับ
“เสียมารยาทน่ะ เซิร์บสต์” หลุยส์พูดเสียงตำหนิ
“ถ้างั้นเธอบอกฉันได้มั้ยล่ะ วาลลิแยร์” คีร์เก้เอ่ยเสียงขุ่น
“มันก็มีหลายสาเหตุนะครับ” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาพูดขึ้น เรียกความสนใจจากทุกคน
“ส่วนมากจะเป็นเพราะเรื่องขัดผลประโยชน์กับขุนนางคนอื่นหรือไม่ก็กระทำสิ่งที่ไม่สมควร ทำให้ถูกนำเรื่องเข้าสภาและปลดจากบรรดาศักดิ์ที่มีอยู่ มีบ้างที่สมัครใจทิ้งยศศักดิ์ไปเอง แต่ก็เป็นส่วนน้อย พวกเขาเหล่านั้นมักจะใช้ความสามารถด้านเวทมนตร์ที่ไม่ได้เสียไปกับบรรดาศักดิ์ในการเลี้ยงชีพ เป็นทหารรับจ้าง โชคดีหน่อยก็ได้เป็นนักวิจัย การได้รับตำแหน่งที่มีหน้ามีตาถึงในสถาบันสำคัญอย่างโรงเรียนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีมากเลยล่ะครับ”
“รู้เยอะจังเลยนะ” คีร์เก้เอ่ยด้วยความทึ่ง
“ผมได้พบกับคนเหล่านั้นในระหว่างเดินทางน่ะครับ”
“จะว่าไป ท่าทางเจ้ายังอายุน้อยอยู่เลย ออกเดินทางตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?” มิสลองก์วิลรู้สึกสนใจขึ้นมา
“ผมเริ่มเดินทางตอนอายุสิบสี่ นี่ก็เก้าปีได้แล้วล่ะครับ”
“อายุยี่สิบสามแล้วเหรอเนี่ย!?” เด็กหนุ่มผมดำ—ไซโตะร้องด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพราะเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายังดูอายุน้อยอยู่เลย
“ไม่ใช่ครับ ผมอายุสิบเก้าปี ยังไม่แก่ขนาดนั้นหรอกครับ” ซาวิเยร์พูดติดตลก ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาทำร้ายเลขาฯสาว(อายุยี่สิบสาม)โดยไม่ได้ตั้งใจ
“คิดเลขไม่เป็นรึไง?” หลุยส์ขมวดคิ้ว
“ยังมีเวลามาว่าใครเขาอีกนะ วาลลิแยร์” คีร์เก้จู่ๆ ก็พูดขึ้น
“มีปัญหาอะไร เซิร์บสต์” หลุยส์ตอบโต้เสียงขุ่น
“พอเจอฟูเก้ต์แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ? หลบหลังพุ่มไม้ให้ไซโตะสู้รึไง?” เธอพูดเป็นเชิงดูถูก
“ใครหลบ!? เดี๋ยวฉันจะใช้เวทมนตร์ของฉันจัดการกับฟูเก้ต์อย่างสวยงามให้ดู!” หลุยส์อารมณ์ขึ้น
“เวทมนตร์ของศูนย์สนิทอย่างเธอน่ะเหรอ? ฉันจะรอดูก็แล้วกัน~” คีร์เก้ทำยักไหล่ ท่าทางที่หลุยส์เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นเธออย่างร้ายแรง
‘ศูนย์สนิทเหรอ?’ ซาวิเยร์รู้สึกว่าเป็นฉายาทางเวทมนตร์ที่แปลกดี ไม่แสดงถึงความเป็นธาตุทั้งสี่เลย แต่ดูจากโครงสร้างของบทสนทนาแล้ว น่าจะเป็นฉายาที่ตั้งล้อเลียนกันมากกว่าจะเป็น<ชื่อที่สอง>
“นี่ ดาร์ลิ้ง~ ฉันมีอะไรจะให้ด้วยล่ะ~” เด็กสาวผมแดงหันไปคลอเคลียเด็กหนุ่มผมดำ ก่อนจะดึงดาบสีทองเล่มใหญ่ออกมาวางที่ตักของเขา
“อ๊ะ ดาบเล่มนั้น” ซาวิเยร์จำได้ทันที มันเป็นดาบที่เขาตอกเจ้าของร้านซะจนหน้าหงายไปนั่นเอง
“หืม? จริงสิ เจ้าคือคนเมื่อตอนนั้นเองสินะ?” หลุยส์ทำท่านึกออก
‘เพิ่งจะจำได้เหรอครับ?’ ซาวิเยร์รู้สึกทึ่งกับความจำของเด็กสาว และไม่ใช่ในทางที่ดี
“ดาบเล่มนี้มันทำไมเหรอ?” คีร์เก้ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่เมื่อได้รับคำอธิบายจากซาวิเยร์แบบเดียวกับที่เขาอธิบายให้สองคนก่อน เธอก็ทำหน้ามุ่ย
“ของคุณภาพต่ำงั้นเหรอ แล้วดาบสนิมเขรอะนั่นมันดีกว่าซักแค่ไหนเชียว”
ทั้งหกเริ่มเข้าสู่เขตป่า ต้นไม้สูงบังแสงอาทิตย์ทำให้พื้นที่บริเวณนี้อยู่ใต้ร่มเงา มิสลองก์วิลหยุดม้าและบอกให้ทั้งหมดลงจากรถ จากนี้ไปจำเป็นจะต้องเดินเท้าเข้าไป หลังจากผูกม้าติดกับต้นไม้แล้ว มิสลองก์วิลก็นำทั้งหมดเข้าไปในป่า
คีร์เก้เกาะแขนไซโตะหนึบ ทำให้ได้สายตากินเลือดกินเนื้อจากหลุยส์ไป แต่เด็กสาวผมแดงก็ทำเป็นไม่สนใจ มิสลองก์วิลเดินนำหน้า ส่วนเด็กสาวผมฟ้ากับเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเดินอยู่หลังสุด
ตลอดทาง สายตาที่อยู่หลังแว่นมองมาที่เขาเป็นระยะ ทำให้ซาวิเยร์รู้สึกสับสน
“มีอะไรรึเปล่าครับ?” เขาตัดสินใจถาม
“...เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า?”
เป็นคำถามที่เขาไม่คาดว่าจะได้รับ แต่ซาวิเยร์ก็ตอบไปตามที่รู้
“คิดว่าไม่นะครับ แต่ผมอาจจะลืมไปก็ได้ เพราะผมก็เดินทางไปหลายที่ซะด้วย” สรุปก็คือ ‘ไม่รู้สิ’ นั่นเอง
ทั้งหมดมาถึงพื้นที่เปิดโล่งกลางป่า ขนาดมันพอๆ กับลานเวสทรี่ที่โรงเรียน และตรงกลางเป็นบ้านไม้ผุๆ มีปล่องไฟก่อด้วยหินที่ทรุดโทรมไม่แพ้กัน ห้องเก็บของสภาพไม่ต่างกันตั้งอยู่ข้างๆ
“ที่นี่ล่ะ” มิสลองก์วิลยืนยันที่หมาย
ทั้งหมดเริ่มวางแผนและเขียนตำแหน่งของแต่ละคนลงบนพื้นด้วยแท่งไม้ โดยหลักแล้วก็คือการจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว และต้องมีใครคนหนึ่งเป็นคนอาสาเข้าไปสอดส่องดูภายใน และถ้าหากเห็นฟูเก้ต์ ก็ให้ล่อออกมาข้างนอก จากนั้นคนที่ซ่อนอยู่ก็จะระดมโจมตีด้วยเวทมนตร์โดยไม่เปิดช่องให้ศัตรูเรียกโกเลมดินที่เลื่องชื่อออกมาได้
“งั้นใครจะเป็นคนรับหน้าที่เสี่ยงตาย?” ไซโตะถาม
“คนที่ปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่สุด” ทาบาสะตอบ ทุกสายตามองไปที่คนถามซึ่งชี้ตัวเองด้วยสีหน้างงๆ
ขณะที่เด็กสาวสามคนกับอาจารย์ซ่อนตัวตามตำแหน่งที่วางไว้ เด็กหนุ่มผมดำก็เดินตรงไปยังบ้านที่ตั้งอยู่กลางที่โล่ง ไม่ลืมพกดาบสีทองที่ได้รับมาจากคีร์เก้ไปด้วย เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาตามหลังเขามาติดๆ
“นายไม่ต้องมาด้วยก็ได้นะ” ไซโตะพูดโดยไม่หันหลังกลับไปเพราะต้องระวังข้างหน้า
“ฉันใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ถึงหลบอยู่ข้างหลังไปก็ไม่มีประโยชน์” เป็นเหตุผลของซาวิเยร์
เข้าประชิดตัวบ้านได้ ไซโตะมองเข้าไปในหน้าต่าง ภายในเป็นห้องเดียวทั้งหลัง มีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้ฝุ่นเขรอะอย่างละตัว บนโต๊ะมีขวดไวน์ และที่มุมห้องเป็นไม้ฟืน และที่สำคัญที่สุด ไม่มีใครอยู่ในบ้าน และไม่มีซอกมุมให้ซ่อนด้วย
เขายกสองแขนขึ้นไขว้เป็นกากบาทส่งสัญญาณให้คนที่ซ่อนอยู่ตามมา
“ข้างในไม่มีใคร”
ทาบาสะเดินไปที่หน้าประตู มือขวาแกว่งไม้เท้าไปมาสองสามครั้ง เธอไม่ใช้คทาสั้นๆ เหมือนนักเรียนคนอื่น แต่ใช้ไม้เท้าที่ส่วนหัวม้วนเป็นวงกลมความยาวประมาณหนึ่งเมตรครึ่ง
“ไม่มีกับดัก”
เธอเปิดประตูและเดินเข้าไป คีร์เก้กับไซโตะตามหลังไปติดๆ หลุยส์อาสายืนดูลาดเลาอยู่ด้านนอก มิสลองก์วิลกับซาวิเยร์แยกกันออกไปดูรอบๆ
ผ่านไปยังไม่ถึงห้านาที เสียงกรีดร้องของหลุยส์ดังขึ้น ดินก่อตัวขึ้นเป็นหุ่นสูงสามสิบเมล(ประมาณสามสิบเมตร) โกเลมพังหลังคาบ้านด้วยกำปั้นอันใหญ่ยักษ์ ทั้งสี่คนหนีจากบ้านที่กำลังถล่มออกมายังที่กว้าง
คนแรกที่รักษาสติและโจมตีกลับไปได้ก่อนคือทาบาสะ พายุหมุนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองเมล(ประมาณสองเมตร)พุ่งเข้าชนลำตัวของโกเลมดิน ตามมาด้วยลูกไฟจากคทาของคีร์เก้ โดนทั้งพายุทั้งเปลวไฟ ทว่าไร้ความเสียหาย โกเลมดินของผู้ใช้เวทมนตร์ระดับไทรแองเกิ้ลได้ชื่อว่าทนทานดั่งขุนเขา
ซาวิเยร์มองดูจากในป่า เห็นทั้งสี่ถอยหนีโกเลม เขาคิดที่จะออกไปช่วย แต่ที่นี่มีทรัพยากรมากพอจะฟื้นฟูโกเลมอีกกี่ครั้งก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง การฟื้นฟูจะใช้พลังเวทเพียงส่วนน้อย ทำให้สามารถทำได้หลายครั้งก่อนจะหมดแรง
‘ฟูเก้ต์ต้องอยู่แถวนี้แน่ ต้องคอยเฝ้าดูเราอยู่ห่างๆ แต่ว่าจากที่ไหน...หรือว่า...!?’ ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ก่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในหัวของเขา ซาวิเยร์ออกวิ่งสุดฝีเท้าไต่ขอบที่ว่างโดยไม่เข้าไปด้านใน สอดส่องสายตามองหาเงาคนไปตามทางพร้อมกับคอยดูสถานการณ์ภายในไปด้วย
ขณะเดียวกัน สี่คนกำลังต่อสู้กับโกเลม หลุยส์ดื้อไม่ยอมถอย แม้ว่าไซโตะจะพูดเท่าไรเธอก็ไม่ฟัง จนกระทั่งเสียงตบดังก้องขึ้นทั่วป่า ใบหน้าของเด็กสาวหันไปด้านข้างพร้อมกับรอยแดงที่แก้ม ได้ยินมาถึงซาวิเยร์แม้ว่าเสียงฝีเท้าโกเลมควรจะดังกลบจนหมด
“เกียรติของชนชั้นสูงบ้าบออะไรฉันไม่สน! ถ้าเธอตายไปมันก็ไม่เหลืออะไรทั้งนั้นแหละ!”
ซาวิเยร์มองดูทั้งสองคนแล้วก็ยิ้มน้อยๆ หนุ่มสาวจะเข้าใจกันก็ในเวลาเช่นนี้เอง
‘แต่ว่าคุยโต้ตอบกันคนละภาษาเนี่ยมันทำให้เสียความดราม่าไปเยอะนะ ^ ^;’ อย่างน้อยก็เขาคนนึงล่ะที่ได้ยินเป็นสองภาษา แต่ต่างฝ่ายต่างดูเหมือนจะได้ยินเป็นภาษาของตัวเอง เรื่องนี้ค่อยถามทีหลัง ตอนนี้เขาต้องตามหาฟูเก้ต์ก่อน
เด็กสาวสามคนขึ้นหลังมังกรสีน้ำเงินที่เด็กสาวสวมแว่นเรียกมาและบินขึ้นไปบนฟ้า แต่เด็กหนุ่มผมดำตัดสินใจสู้จากบนพื้น เขาจับดาบสีทองเล่มนั้นด้วยสองมือ
ไซโตะมีท่าทีเก้ๆ กังๆ เหมือนเกิดเรื่องที่ผิดจากการคำนวณขึ้น แต่เมื่อโกเลมย่างสามขุมเข้ามาก็มีแต่ต้องสู้
ดาบสีทองเป็นไปตามที่ซาวิเยร์คิดไว้ มันหักเป็นสองท่อนทันทีที่สัมผัสกับเท้าที่ก่อขึ้นจากหินและดิน
‘ต้องรีบแล้ว’ ซาวิเยร์เพ่งมองรอบข้างมากขึ้นและเร่งฝีเท้ามากขึ้น แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาคน
ตอนนั้นเองที่เด็กสาวผมสีชมพูกระโดดลงจากหลังมังกร และค่อยๆ ลงสู่พื้นอย่างช้าๆ ด้วยผลของเวทมนตร์<ลอยตัว>จากเด็กสาวสวมแว่นบนหลังมังกร สิ่งที่อยู่ในมือของเธอคือคทาแห่งการทำลายล้างและคือสิ่งที่ทำให้ซาวิเยร์แทบตาถลน
“น—นั่นมัน...!” เขาถึงกับเก็บคำพูดไว้ไม่อยู่ สิ่งที่เขาเห็นมันขัดแย้งกับหลักเหตุและผลไปมากซะจนเหนือจินตนาการ
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไซโตะหยิบมันมาจากหลุยส์ อักขระที่หลังมือซ้ายของเขาส่องแสง จากนั้นเขาก็ยกคทาแห่งการทำลายล้างขึ้นพาดบ่าและบอกให้เด็กสาวถอยไป
แสงและควันพ่นออกทางด้านหลังของคทาแห่งการทำลายล้าง วัตถุชิ้นหนึ่งถูกยิงออกจากปากที่โล่งเป็นช่องว่างไม่สมเป็นคทา และพุ่งเข้าชนโกเลมดินที่อยู่ในระยะไม่ถึงยี่สิบเมล(ประมาณยี่สิบเมตร) เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ไซโตะเอาตัวเข้ากันหลุยส์เอาไว้จากเศษหินที่ปลิวไปทั่วทุกทิศทาง
ซาวิเยร์มองภาพอันน่าทึ่งด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาหยุดวิ่งไปนานแล้ว และลืมเรื่องตามหาฟูเก้ต์ไปเสียสนิท
’ของจริง...ร็อคเก็ตลันเชอร์...’ รุ่นที่โลกเขาเคยใช้เมื่อหลายศตวรรษก่อน ทำไมถึงมาอยู่ในที่นี่ได้ วิทยาการของที่นี่ไม่มีทางสร้างของแบบนี้ขึ้นมาได้แน่
หลังจากที่ควันจางลง ร่างของโกเลมเดินเหลือแต่ส่วนล่าง มันก้าวอีกเป็นก้าวสุดท้ายก่อนที่จะถล่มลงมาเป็นกองดินที่ไร้พิษสง
มังกรสีน้ำเงินร่อนกลับลงสู่พื้น ทั้งสี่วิ่งเข้าหากัน เป็นบรรยากาศแห่งความยินดี คีร์เก้เกาะแขนไซโตะ ทำให้มีเรื่องกับหลุยส์ ขณะที่ทาบาสะยืนมองอย่างเงียบๆ ซาวิเยร์เห็นทั้งหมดจากในป่า
มิสลองก์วิลเดินออกมาจากป่า เข้าไปหานักเรียนของเธอทั้งสี่คน ซาวิเยร์มองตามเลขาฯสาวด้วยดวงตาที่หรี่ลง
แล้วความคาดหมายของเขาก็เป็นจริง อาจารย์หญิงแย่งคทาแห่งการทำลายล้าง(ร็อคเก็ตลันเชอร์)ไปจากเด็กหนุ่มผมดำและใช้มันขู่พวกเขา
“ฉันนี่ล่ะคือฟูเก้ต์แห่งดินสลาย ขอบคุณที่ช่วยสาธิตวิธีใช้เจ้านี่ให้นะ” มิสลองก์วิลปล่อยผมสีเขียวลง ทั้งสีและความยาวตรงกับฟูเก้ต์ทุกประการ สองมือจับร็อคเก็ตลันเชอร์เล็งไปที่เด็กสี่คน
“เอาล่ะ ได้เวลาบอกลากันซะที” เด็กสาวทั้งสามหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง แต่เด็กหนุ่มไม่แสดงแม้แต่ความกลัว
“เสียใจด้วยนะ เจ้านั่นน่ะมันใช้ไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจ สร้างความประหลาดใจให้ฟูเก้ต์ แต่ซาวิเยร์ที่ยืนฟังจากหลังซากบ้านเข้าใจความหมาย
‘เอ็ม 72 ร็อคเก็ตลันเชอร์บรรจุกระสุนได้ทีละนัด แน่นอนว่าข้างในกระบอกนั้นต้องไม่มีเหลืออยู่แล้ว แต่ว่า...’ ชีวิตของทั้งสี่คนอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย มีแต่เขาคนเดียวที่รู้ว่ามีสิ่งที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่
“มาเธอร์เอลฟ์...ไซเบอร์วิชั่น...” เขาพึมพำกับตัวเอง—กับเสียงที่อยู่ภายในตัวเอง ซึ่งการตอบสนองก็มาในทันที
ภาพที่ตาของเขามองเห็นเปลี่ยนไป ทุกอย่างกลายเป็นสีดำที่มีเส้นขอบสีขาวเป็นโครงร่าง เขาเพ่งสายตาไปที่วัตถุอันตรายในมือหัวขโมย
‘นึกแล้วเชียว...!’ เขามองเห็น ภายในสีดำและเส้นขาว ดวงแสงสีแดงส่องสว่าง
ฟูเก้ต์คิดว่าคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นแค่การบลัฟ เธอกดไกที่อยู่ด้านบนของตัวปืน
ไซโตะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องไม่มีกระสุนออกมา ทว่ามีเปลวเพลิงอันร้อนระอุพวยพุ่งออกมาจากปากกระบอกแทน เขาตกใจจนพูดไม่ออก แถมยังเป็นระยะที่ไม่มีทางหลบทัน
ร่างหนึ่งกระโจนเข้าขวางระหว่างทั้งสี่กับเปลวเพลิง โล่หินก่อตัวขึ้น ใหญ่พอจะบังคนห้าคนจากเปลวไฟได้
ฟูเก้ต์ตกใจกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดทำให้เธอปล่อยมือจากไก เปลวเพลิงหยุดลง เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาอาศัยช่องว่างนั้นสลายโล่ ถีบตัวพุ่งเข้าหาหัวขโมยที่ไม่ทันตั้งตัว กระแทกอาวุธอันตรายหลุดไปจากมือของหญิงสาว
“หนอย!” ฟูเก้ต์ชักคทาออกมา แต่เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเร็วกว่าก้าวหนึ่ง เขาใช้สันมือฟาดที่ท้ายทอยจนเธอหมดสติกลางอากาศและล้มลงกับพื้น
ซาวิเยร์ปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา ก่อนจะหันไปทางสี่คนที่ยังตกใจไม่หาย
“เกือบไปแล้วนะครับ” เขายิ้มบางๆ บอกว่าปลอดภัยแล้ว
“เจ้า...เมื่อกี้นี้เวทมนตร์เหรอ?” หลุยส์ถามอย่างงงๆ เธอไม่นึกว่าเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาจะใช้เวทมนตร์ธาตุดินได้
“เปล่าหรอกครับ ให้อธิบายคงจะยาก อย่าสนใจเลยครับ” ซาวิเยร์เดินไปที่คทาแห่งการทำลายล้าง
“ส่วนนี่ก็คือสิ่งที่ผมออกเดินทางตามหา”
“คทาแห่งการทำลายล้างเหรอ?” คีร์เก้ถาม
“เปล่าหรอกครับ แต่เป็นสิ่งที่อยู่<ข้างใน>”
แน่นอนว่าไม่มีใครเข้าใจ และเขาก็กำลังจะแสดงให้ดูเดี๋ยวนี้
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายื่นมือขวาไปเหนือร็อคเก็ตลันเชอร์ที่วางอยู่บนพื้น หน้าผากของเขาปรากฏผลึกที่เปล่งแสงสีแดงขึ้น หลุยส์และคนอื่นๆ มองอย่างประหลาดใจ
ดวงแสงสีแดงผุดขึ้นมาจากคทาแห่งการทำลายล้าง ปรากฏเป็นร่างโปร่งแสงที่ใหญ่โต
(...เอ็กซ์...)
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายิ้ม ในโลกนี้ คนที่เรียกเขาด้วยชื่อนี้มีเพียงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขาเท่านั้น
‘แล้วก็อีกคนนึง...’ เอ็กซ์ส่ายหัว เขาต้องทำหน้าที่ของตัวเองเสียก่อน
“เนามันเดอร์...กลับที่ของเราเถอะ...”
(...เอ็กซ์...ขอบคุณ...)
เกิดช่องว่างขึ้นในอากาศ เป็นช่องว่างสีเขียวขนาดเท่าศีรษะคน ร่างโปร่งแสงหายไป ดวงแสงสีแดงลอยเข้าไปข้างใน แล้วช่องว่างก็ปิดลง
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาปล่อยแขนลงข้างตัว แสงที่หน้าผากหายไป แต่ทั้งสี่คนยังหุบปากไม่ลง
“ม—เมื่อกี้มันอะไรน่ะ?!” ไซโตะโพล่งออกมาเป็นคนแรก
“ฉันก็อยากจะถามนายเหมือนกัน ไซโตะ ว่าทำไมนายถึงพูดภาษาญี่ปุ่น แล้วยังสื่อสารกับคนที่โลกนี้เข้าใจอีก” ซาวิเยร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มผมดำเบิกตากว้างขึ้นไปอีก
...
ตกเย็นพอดีที่ทั้งหกกลับไปที่โรงเรียนพร้อมกับของที่ชิงคืนมาได้สำเร็จ ทว่าคนหนึ่งต้องตรงไปที่ห้องขังใต้ดิน เตรียมถูกส่งต่อไปยังเรือนจำ
ผู้อำนวยการออสมันลูบศีรษะของนักเรียนสามคน
“ฉันได้เสนอให้ทางราชสำนักประทานบรรดาศักดิ์ชูวาลิเยร์ให้กับพวกเธอทุกคน และสำหรับมิสทาบาสะที่เป็นอยู่แล้ว ก็จะได้รับเหรียญตราเอลฟ์เป็นรางวัล”
ทั้งสามมีสีหน้าเบิกบานขึ้นมาทันตา แต่เมื่อหลุยส์ถามถึงอสูรรับใช้ของเธอ ผู้อำนวยการก็ส่ายหน้า บอกว่าถึงตัวเขาเองจะไม่อยากแบ่งแยก แต่ทางราชสำนักไม่มีทางสนใจสามัญชน ทำให้เด็กสาวดูสลดลงไป
“ไม่เป็นไร ผมไม่ต้องการรางวัล” ไซโตะพูดอย่างมั่นใจ
อนึ่ง สำหรับคนที่อยากรู้ รางวัลของซาวิเยร์คือการลบล้างความผิดที่แอบเข้าไปในห้องเก็บสมบัตินั่นเอง ให้เจ๊ากันไป
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น งานเต้นรำของฟริกก์คืนนี้ ขอให้สนุกนะ ตัวเอกของงานในวันนี้คงไม่พ้นพวกเธอสามคน เอ้า รีบไปแต่งตัวเข้า เย็นแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน”
นักเรียนทั้งสามค้อมตัวลา คีร์เก้ออกไปจากห้องอย่างร่าเริงโดยมีทาบาสะเดินหน้านิ่งตามหลังไป ไซโตะบอกให้หลุยส์กลับห้องไปก่อน เด็กสาวทำตามแม้จะลังเล ตามด้วยซาวิเยร์เดินออกจากห้องไปเป็นคนสุดท้าย
ภายในห้องเหลือเพียงผู้อำนวยการออสมันและไซโตะ
“เธอมีเรื่องอยากจะถามฉันอย่างนั้นล่ะสินะ” ผู้อำนวยการเดาได้
“คทาแห่งการทำลายล้าง มันเป็นของที่มีอยู่ในโลกของผม...”
การสนทนาโต้ตอบระหว่างไซโตะกับออสมัน ไซโตะถูกหลุยส์อัญเชิญมาจากอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกซึ่งวิทยาการก้าวหน้าและไม่มีเวทมนตร์ ส่วนคทาแห่งการทำลายล้างนั้นเป็นของผู้ที่ช่วยชีวิตออสมันเอาไว้เมื่อสามสิบปีก่อนตอนที่เขาเจอเข้ากับมังกรสองหัวกลางป่า ชายคนนั้นบาดเจ็บหนักและตายในเวลาต่อมา คทาแห่งการทำลายล้างที่มีอยู่สองอัน อันที่ใช้ฆ่ามังกรถูกฝังไปพร้อมกับร่างของเขา อีกอันหนึ่งถูกมอบให้กับราชสำนักและกลายเป็นสมบัติชิ้นสำคัญไป
อักขระที่หลังมือซ้ายของเขา มันคือ<อักษรรูน> และไม่ใช่แค่อักษรรูนธรรมดาๆ แต่เป็นอักษรรูนของ [กันดาล์ฟร์] อสูรรับใช้ในตำนานที่สามารถใช้อาวุธทุกชนิดได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย อธิบายได้ว่าทำไมเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงเข้ากองทัพอย่างเขาถึงรู้วิธีใช้ร็อคเก็ตลันเชอร์
ผู้อำนวยการสัญญาว่าถ้าได้เรื่องเกี่ยวกับปริศนาการถูกส่งข้ามมิติของเขาแล้วจะบอกทันที
ไซโตะปิดประตูลง เอนหลังพิงผนังข้างๆ และถอนหายใจ
“เฮ้อ~ นึกว่าจะได้เรื่องแล้วเชียว~”
“ร่าเริงไว้เถอะ เดี๋ยวก็หาทางได้เอง” เสียงพูดจากด้านข้างทำให้ไซโตะสะดุ้งโหยง
“นาย...ฟังอยู่ด้วยเหรอ?” เขานึกไม่ถึงว่าจะมีคนยืนฟังอยู่ด้านนอก แต่คนที่ฟังได้ยินต้องหูดีไม่ใช่น้อย
“ฉันไม่บอกใครหรอก ว่าแต่ยังมีใครรู้อีกบ้างล่ะ?”
“นอกจากหลุยส์ก็ไม่มีใครแล้ว” ไซโตะตอบ ยังไม่ไว้ใจเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา
“ความลับของนายปลอดภัยอยู่กับฉันแน่นอน แล้วก็หวังว่าความลับของฉันจะปลอดภัยอยู่กับนายเช่นกัน” ซาวิเยร์ยิ้มบางๆ
“ความลับ...จริงสิ ฉันมีคำถามจะถามนายเยอะแยะเลย...”
...
“นายก็มาจากโลกอื่นเหมือนกับฉันงั้นเหรอ?!”
“ถูกต้อง” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาพยักหน้า
“ชื่อจริงๆ ของฉันคือ [เอ็กซ์] แต่ฉันใช้ชื่อปลอมว่า [ซาวิเยร์] เพื่อให้กลมกลืนกับทุกคนที่นี่”
ไซโตะพยักหน้า แต่ชื่อไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่เขาอยากรู้คือการเดินทางข้ามมิติของคนที่อยู่ตรงหน้า
“แล้วนายรู้วิธีกลับโลกเดิมรึเปล่า?!” เด็กหนุ่มผมดำถามอย่างมีความหวัง อีกฝ่ายพยักหน้า แต่คำตอบทำให้เขาหุบยิ้ม
“รู้สิ ฉันกลับไปได้ด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดาย ฉันเปิดได้แต่ทางกลับโลกของฉัน ขอโทษด้วย”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก แต่ว่า...แน่ใจเหรอว่าโลกของเราไม่ใช่โลกใบเดียวกัน? นายพูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยนี่นา?”
“โลกที่ฉันอยู่มีสองมิติ สถานที่ที่เป็นประเทศญี่ปุ่นอยู่คนละมิติกับที่ฉันอยู่” เอ็กซ์ไม่อยากจะบอกตรงๆ ว่ามิติที่เขาอยู่เป็นมิติหลังความตาย
“และถึงเป็นโลกเดียวกันจริง ก็คงคนละช่วงเวลา เอ็ม 72 ร็อคเก็ตลันเชอร์เกิดขึ้นก่อนเวลาในโลกของฉันกว่าสองร้อยปี แต่จากที่ฟัง โลกของนายเพิ่งจะสร้างขึ้นได้ไม่ถึงร้อยปี”
“เอ๋? งั้นหรอกเหรอ?”
ยิ่งไปกว่านั้นคือสภาพของโลกที่เขาจำได้ ราวกับดาวแห่งความตายที่แทบไม่หลงเหลือธรรมชาติ พูดไปมีแต่จะทำให้กลัวเปล่าๆ
“ว่าไปแล้ว นายฟังคำพูดของคนอื่นๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดสินะ”
“ก็ใช่น่ะสิ หมายความว่ายังไง?”
“ก็ฉันได้ยินเป็นภาษาฝรั่งเศสน่ะสิ มีนายพูดญี่ปุ่นแค่คนเดียว แล้วก็ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ ก็ได้ยินที่นายพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วย แปลกจริงๆ”
“ตอนนี้นายก็พูดญี่ปุ่นอยู่กับฉัน...ไม่ใช่รึไง?” ไซโตะถามอย่างไม่มั่นใจ
“ตั้งแต่ฉันมาที่นี่ฉันยังไม่เคยพูดภาษาญี่ปุ่นเลยซักครั้ง และตอนนี้ฉันก็กำลังพูดภาษาฝรั่งเศสอยู่” นักเดินทางหนุ่มตอบอย่างจริงจัง ไซโตะเงียบไป
“และตัวอักษรที่ใช้ที่นี่ก็เป็นหลายๆ ภาษาทางยุโรปด้วย”
“งั้นเองเหรอ... ถึงว่า ตัวหนังสืออ่านไม่ออกซักกะตัว...เรื่องนั้นไว้ก่อน ถ้านายกลับไปได้ ทำไมถึงยังไม่กลับไปล่ะ?” ไซโตะถามเพราะตัวเขาเองอยากกลับใจจะขาด
“ฉันมีภารกิจ...ที่ฉันทำกับคทาแห่งการทำลายล้างเมื่อกี้ ฉันออกเดินทางทั่วทั้งฮาลเคกิเนียเพื่อตามหาสิ่งที่เรียกว่า<ไซเบอร์เอลฟ์> เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นสูง จำนวนไม่น้อยหลุดเข้ามาอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องพาทั้งหมดกลับไป ฉันออกเดินทางตั้งแต่เก้าปีก่อน ถึงตอนนี้ก็คิดว่าพบเกือบหมดแล้ว ถ้าสามารถส่งทั้งหมดกลับคืนโลกเดิมได้เมื่อไหร่ ฉันก็จะกลับเมื่อนั้น”
“ยังงั้นเองเหรอ...ถ้างั้นนายก็จะออกเดินทางไปอีกล่ะสินะ”
“อืม แต่ว่าตอนนี้...”
“ตอนนี้...?”
เสียงท้องร้องดังก้องทางเดิน ไม่ใช่ของใครคนหนึ่ง แต่เป็นของทั้งสองคนพร้อมกัน
“...เหตุผลเดียวกัน”
“ใช่เลย”
...
.....
งานเต้นรำของฟริกก์เป็นไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น แม้แต่ไซโตะที่เป็นสามัญชน/อสูรรับใช้ก็ออกไปมีส่วนร่วมในฐานะผู้จับฟูเก้ต์ หนำซ้ำยังได้เต้นรำกับหลุยส์ที่เป็นเจ้านาย
‘หนุ่มสาวนี่ดีจังนะ’ เข้าใจกันแล้วก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น เอ็กซ์มองดูทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม ภาพอันสดใสนี้ไม่ว่าเมื่อไรก็น่าชื่นใจเสมอ สำหรับหุ่นยนต์อายุกว่าสามร้อยปีอย่างเขา
‘หรืออาจต้องบอกว่า<คนที่เคยเป็นหุ่นยนต์>’ เอ็กซ์หัวเราะในใจ
อีเวนท์หลักของงานก็คือการเต้นรำ แน่นอน ก็ชื่อ<งานเต้นรำของฟริกก์>นี่นะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกคนจึงอยู่ในงานกันหมด เว้นแต่เขาที่ออกมายืนใต้ท้องฟ้าในค่ำคืนที่ดาวสวยจันทร์กระจ่างไร้เมฆบดบัง สายลมยามดึกพัดเอาความเย็นและกลิ่นใบหญ้ามา กลิ่นสลัดในจานที่เขาถือหอมกรุ่ม (ช่างเข้ากันเสียนี่กระไร)
‘ครั้งสุดท้ายที่เราเห็นงานครึกครื้นแบบนี้ เมื่อไหร่กันนะ...’ หมายถึงที่โลกใบเดิม คงต้องสิบหรือยี่สิบปี สมัยที่เขายังอยู่ที่เนโออาร์คาเดีย
‘ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่ชินซะทีนะ’ เอ็กซ์นึกยิ้มๆ เขาไม่ใช่คนชื่นชอบออกสังคมขนาดนั้นอยู่แล้ว
เขามองไปทางซ้าย เด็กสาวสวมแว่นผมสีฟ้ายืนอยู่ที่ระเบียงแบบเดียวกันข้างๆ กับที่เขายืนอยู่ มือถือเนื้อย่างชิ้นโต ใบหน้าปราศจากความรู้สึกเหมือนกับเมื่อตอนกลางวัน ดูเหมือนว่าในที่นี้จะไม่ใช่เขาคนเดียวที่ไม่ใช่คนเฮฮา
เด็กสาวไม่ทันสังเกตเห็นเขา สายตาเธอเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เอ็กซ์ตัดสินใจไม่ทักทายและต่างคนต่างยืนรับลมที่ระเบียงของตัวเอง ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับความทรงจำในอดีต
ดวงตาสีฟ้าของเด็กสาวสั่นไหวขัดกับใบหน้าที่เฉยชา เช่นเดียวกับดวงตาสีเขียวมรกตของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา ทว่าด้วยเหตุผลที่ต่างกัน เด็กหนุ่มนั้นมีรอยยิ้มบางๆ อยู่บนริมฝีปาก ความคิดถึงสะท้อนอยู่ในดวงตา
อดีตที่มีค่า การพบพานที่ทำให้เขาเป็นเขาในวันนี้ มันเริ่มขึ้นตอนที่เขามาถึงโลกใบนี้โดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อเก้าปีก่อน...
--
แนะนำตัวละคร
คีร์เก้ ออกุสต้า เฟรเดอริก้า ฟอน อันฮัลท์ เซิร์บสต์
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
เพศ : หญิง
อายุ : 18 ปี
ส่วนสูง :
น้ำหนัก : ถึงจะชั่งได้ เจ๊แกก็ไม่มีทางเปิดเผยเด็ดขาด
ชอบ : วิหคสวรรค์นึ่ง, ตัวต่อจิ๊กซอว์, จีบหนุ่ม
เกลียด : จีบไม่ติด
ข้อมูล : ผู้ใช้เวทมนตร์ธาตุไฟระดับ<ไทรแองเกิ้ล> ชื่อที่สอง [ความรุ่มร้อน] ลูกสาวของตระกูลคนใหญ่คนโตในกองทัพของราชอาณาจักร [เยอร์มาเนีย] แต่มาเรียนที่สถานศึกษาเวทมนตร์ราชอาณาจักรทริสเทนแห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง จุดเด่นคือ...ไม่ต้องบอกก็รู้เนอะ...
มีนิสัยชอบจีบหนุ่มมากกว่าหนึ่งคนพร้อมกัน และแบ่งนัดเป็นตารางเวลาราวกับทำธุรกิจก็ไม่ปาน หลังจากได้พบกับไซโตะ นิสัยนี้ก็ดูจะเลิกไป แต่ความเชี่ยวชาญยังคงสถิตอยู่ภายใน
อสูรรับใช้คือ ซาลามันเดอร์ [เฟลม]
*หมายเหตุ: ชื่อเปลี่ยนด้วยเหตุผลเดียวกับหลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์
ทาบาสะ ชูวาลิเยร์ ดู นอร์ปาร์แตร์
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
เพศ : หญิง
อายุ : 15 ปี
ส่วนสูง :
น้ำหนัก : ไม่ทราบ(น่าจะเบาหวิว)
ชอบ : สลัดผักฮาชิบามิ, อ่านหนังสือ
เกลียด : ???, ???
ข้อมูล : สาวเงียบประจำเรื่อง ใช้เวทลมและน้ำ ระดับ<ไทรแองเกิ้ล> [วาโยหิมะ] ข้อมูลค่อนข้างน้อย เป็นเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยยี่สิบสี่ชั่วโมง ยากมากที่จะทำให้เธอแสดงสีหน้า ไม่ชอบพูด พูดแต่ละครั้งจะสั้นๆ เฉพาะเท่าที่จำเป็น และเสียงค่อนข้างเบา ใช้ไม้เท้ารูปทรงเบสิคตามอิมเมจพ่อมดแม่มดในวรรณกรรมสมัยศตวรรษที่สิบสองสิบสาม แทนที่คทาสั้นๆ ที่นักเรียนคนอื่นใช้(ซึ่งเหมือนกับในแฮร์รี่ oooเตอร์ซะมากกว่า) ถ้าไม่ได้กำลังอยู่ในสถานการณ์คับขันแล้วจะพบว่าอ่านหนังสือทุกเวลา สถานที่ และโอกาส
อสูรรับใช้คือ มังกรลม [ซิลฟีด]
ออสมัน
ข้อมูล : ผู้อำนวยการของสถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทน ลามกนิดๆ แต่มีพลังเวทสมตำแหน่ง เยือกเย็นและฉลาดรอบรู้ อายุเท่าไรก็ไม่อาจทราบได้
อสูรรับใช้คือ หนู ม็อธซ็อกนีร์
ฌอง โคลแบร์
ข้อมูล : มือขวาของท่านผู้อำนวยการและเป็นอาจารย์ผู้ใจดีของนักเรียน เห็นติ๋มๆ ยังงี้เป็นจอมเวทระดับสแควร์ที่หาไม่ค่อยมี สนใจและนิยมชมชอบในการค้นคว้าหาความรู้ศึกษาเรื่องต่างๆ ไม่จำกัดแค่เวทมนตร์แต่รวมถึงวิทยาการกลไกล้ำยุค เกลียดสงครามและรักสันติสุข เห็นผมบางยังงี้ที่จริงอายุแค่สามสิบปลายๆ ถึงสี่สิบปลายๆ เท่านั้น
ไม่ยักเห็นอสูรรับใช้?
ฟูเก้ต์
ข้อมูล : ผู้ใช้เวทมนตร์ที่ขโมยของจากชนชั้นสูง ใช้เวทมนตร์ธาตุดินระดับไทรแองเกิ้ล แฝงตัวเข้ามาเป็นเลขาฯของผู้อำนวยการในชื่อ [ลองก์วิลล์] เพื่อขโมยคทาแห่งการทำลายล้าง ถูกคณะนักเรียนโรงเรียนทริสเทนจับกุมและส่งตัวให้กับทางการ
นี่ก็ไม่มีอสูรรับใช้? สงสัยสมัยก่อนจะไม่ค่อยแพร่หลาย(เจ๊แกก็ยี่สิบสามแล้วน่ะนะ)
--
DX:”แนะนำตัวละครพวกนี้ลอกจากฟิคเก่ามาทั้งดุ้นเลยนี่หว่า”
PBW:”เอาน่ะ จะให้พิมพ์ใหม่ก็ไม่รู้จะพิมพ์อะไรให้ต่างจากเดิม”
DX:”โล่ดินที่ว่านั่นคือไกอาชิลด์สินะ”
PBW:”แน่น้อน หนึ่งในพลังพิเศษที่เอ็กซ์ได้มาจากเรปลิลอยด์ที่กำจัดไปในอดีต”
ความคิดเห็น