คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1: การพบพานแห่งโชคชะตา
ในเมืองที่ห่างจากสถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทนชั่วเวลาสามชั่วโมงม้า นายหญิงกับอสูรรับใช้กำลังหาซื้อดาบอยู่ในร้านขายอาวุธ
เจ้าของร้านฟันหนูยื่นเรเปียร์(ดาบปลายแหลม)เล่มหนึ่งให้เด็กสาวดู พอดีกับประตูร้านเปิดออก เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา
รูปร่างเขาค่อนข้างผอมบาง แต่ไม่ถึงกับอมโรค ผมสีบรอนซ์เทายาวเคลียที่ขากรรไกร ดวงตาสีเขียวสดใสและใบหน้าขาวดูอ่อนเยาว์ สายคาดป้องกันหัวใจทำด้วยหนังคาดจากไหล่ขวามาที่เอวซ้าย สวมเสื้อคลุมแขนกุดมีฮู้ดสีขาวทับเสื้อแขนสั้นสีน้ำตาล คาดเข็มขัดกระเป๋าสีน้ำตาลทำด้วยหนัง ตัวกระเป๋าเองอยู่ที่ตำแหน่งหลังเอว ดาบสั้นพร้อมฝักผูกอยู่กับเข็มขัดที่เอวซ้าย ใต้เข็มขัดที่ว่านี้คือผ้าสีแดงที่พันรอบเอวอีกชั้นหนึ่ง ที่แขนซ้ายสวมอาร์มการ์ดเหล็กและที่แขนขวาสวมปลอกแขนหนัง ถุงเท้าสีดำยาวขึ้นมาถึงต้นขาและรองเท้าบูทหนังสีน้ำตาลสองข้าง ให้ความรู้สึกว่าเป็นนักเดินทางอายุน้อย
“ยินดีต้อนรับครับ คุณลูกค้ามีอะไรให้รับใช้เหรอครับ?” เจ้าของร้านทักทายลูกค้าด้วยประโยคเบสิค ขณะที่อีกสองคนมัวแต่สนใจดาบในมือจึงไม่ได้สังเกตเห็นเขาเข้ามา
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาวางดาบสั้นที่สภาพทรุดโทรมเล่มหนึ่งลงที่เคาน์เตอร์ตรงหน้าเจ้าของร้าน
“ขอดาบที่คล้ายๆ เล่มนี้หนึ่งเล่ม”
ในเวลาเดียวกันนั้นสองคนที่อยู่ก่อนก็กำลังสนทนากัน
“ดาบเล่มนี้ฉันว่ามันเล็กกว่าที่นายใช้ครั้งที่แล้วนะ” เด็กสาวผมสีชมพูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพออกพอใจหลังจากพิจารณาดูดาบเรียวในมือ เธอยื่นมันคืนให้เจ้าของร้าน
“ขอดาบที่ใหญ่และหนากว่านี้หน่อยสิ”
“ขอเสียมารยาทนะครับ แต่สำหรับท่านนี้ดาบเล่มเท่านี้น่าจะเหมาะแล้วนะครับ” เจ้าของร้านออกความเห็น เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเห็นด้วย ชายคนนี้มีความรู้สมเป็นเจ้าของร้านขายอาวุธ
“บอกว่าขอที่ใหญ่และหนากว่านี้ไง” เด็กสาวย้ำด้วยเสียงที่ดังขึ้น เจ้าของร้านเข้าไปด้านหลังร้านตามคำสั่ง
“นี่เธอคิดจะซื้อดาบให้ฉันเหรอเนี่ย?” เด็กหนุ่มผมดำผู้สวมชุดผิดชาวบ้านชาวเมืองเอ่ยด้วยความทึ่ง
“ถ้าถูกคีร์เก้หมายตาล่ะก็อันตรายแน่ ความปลอดภัยส่วนตัวก็ปกป้องเอาเองละกัน” เด็กสาวผมสีชมพูตอบอย่างอารมณ์ไม่จอย
“มาแปลกนะเนี่ย ปกติขี้เหนียวจะตาย” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไร้ความละเอียดอ่อน
“ใครขี้เหนียวกันยะ! คิดว่าค่ายารักษาแผลของนายมันถูกนักรึไง?!” เด็กสาวดุ เธอยิ่งไม่ใช่คนอารมณ์เย็นอยู่แล้วด้วย
“ขอโทษด้วยครับ...” ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่เด็กหนุ่มเถียงไม่ได้
นักเดินทางหนุ่มฟังทั้งสองเถียงกันอย่างกึ่งใส่ใจด้วยรอยยิ้มพลางคิดในใจว่า ‘หนุ่มสาวนี่นะ’ ...อ๊ะ...เมื่อกี้เขานึกเหมือนเป็นคนแก่เลย...
สักพักหนึ่งเจ้าของร้านก็กลับออกมาพร้อมกับดาบสองเล่มตามคำสั่งของลูกค้าทั้งสอง
ขณะที่หนุ่มสาวทั้งสองกำลังชื่นชมกับดาบทองเล่มโต นักเดินทางหนุ่มก็พิจารณาดูดาบราคาสองร้อยห้าสิบเหรียญของตัวเอง
‘คุณภาพใช้ได้ พอๆ กับของเดิมเรางั้นก็น่าจะอยู่ได้สองปีเท่ากัน...นั่นคือ ถ้าไม่ใช้ตะบี้ตะบันน่ะนะ’ ถ้าซีโร่มาเห็นเขาตอนนี้คงตกใจน่าดูที่เขามีความรู้เรื่องดาบมากกว่าตัวเอง...ก็ทางโน้นใช้ดาบโลหะกันซะเมื่อไรล่ะเนอะ
“...ฟันเหล็กทีนี่ขาดสองท่อนเลยนะครับ เหมือนตัดเต้าหู้” เสียงอธิบายสรรพคุณดาบของลูกค้าอีกคนนอกจากเขาดึงความสนใจของเขาไปที่ดาบสีทองเล่มใหญ่
“แล้วเท่าไหร่ล่ะ?” เด็กสาวถามราคา
“ถ้าเป็นเงินใหม่*ก็สามพันเหรียญ” เจ้าของร้านชูสามนิ้ว
“แพงขนาดซื้อบ้านพักตากอากาศแถมสวนหย่อมได้เลยนะเนี่ย!” เด็กสาวตกใจจนออกอาการผงะ
‘อาวุธบางทีก็แพงขนาดนั้นจริงๆ นั่นแหละ’ เขาเป็นนักเดินทาง ก็เคยเห็นกรณีคล้ายกันมาก่อน
(*น่าจะหมายถึงเงินที่ผลิตขึ้นใหม่ สมัยก่อนทางตะวันตก(หรือแม้แต่ไทยเอง)เงินแต่ละรุ่นมีค่าไม่เท่ากัน เงินเก่าที่กำลังจะเลิกใช้ เงินรุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้น อาจมีค่ามากกว่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิมก็ได้)
“ดาบสุดยอดลิมิเต็ดอิดิชั่นแบบนี้จะโก่งราคากันเท่าปราสาทหรูหราก็ยังได้เลยนะครับ” เจ้าของร้านไม่สะทกสะท้าน
“ฉันมีมาแค่ร้อยเหรียญเท่านั้นเองนะ” เด็กสาวบอกจำนวนเงินที่ตัวเองพกมา ซึ่งต่างกับราคาราวฟ้ากับเหว ชัดเจนว่าไม่มีความรู้เรื่องอาวุธ รวมทั้งเรื่องราคา
“งั้นมัดจำเอาด้ามดาบไปก่อนมั้ยล่ะครับ” เจ้าของร้านพูดเป็นเชิงเหน็บแนม ไม่ได้คาดคิดว่าลูกค้าอีกคนยังไม่ได้ออกไปจากร้าน
“ขอฉันดูดาบนั่นหน่อยได้มั้ย?”
มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ขอดาบทองเล่มใหญ่
เด็กหนุ่มผมดำยื่นดาบให้ นักเดินทางหนุ่มแกว่งดูด้วยมือข้างเดียวราวกับมันไม่มีน้ำหนัก เรียกความตกใจจากทั้งสามคนได้ไม่น้อย
“อืม...ดาบนี่...ทำจากเหล็กผสมไพไรต์สินะ ไพไรต์เป็นแร่ที่มีลักษณะภายนอกใกล้เคียงทองคำ แต่เพราะเป็นโลหะผสมที่มีเหล็กเป็นฐานจึงมีมูลค่าน้อยกว่าหลายเท่า บางครั้งก็นำมาใช้ตกแต่งวัตถุให้สวยงาม” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงพิจารณาราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเรียกความตกใจจากทั้งสามคนมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเจ้าของร้าน...หน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้มใส่สารเร่งเนื้อขาว
“ก—ก็ไม่เคยบอกซะหน่อยนี่ว่าทำมาจากทองคำน่ะ” เจ้าของร้านทำท่าบอกว่าตัวเองไม่ผิด ซึ่งก็จริง เพราะถ้าเอาทองไปฟาดกับเหล็ก อะไรจะหัก ทุกคนคงรู้
แต่เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายังพูดไม่จบ
“ดาบนี่น่ะโครงสร้างค่อนข้างเปราะ ถ้าเป็นของที่ทนทานจริง น้ำหนักต่อขนาดจะมากกว่านี้ คงจะเป็นดาบที่ตีขึ้นอย่างหยาบๆ แล้วก็...ขอโทษเถอะนะ จะเป็นจอมเวทชูเป้หรืออะไรฉันก็ไม่รู้ แต่ถ้าขายของแบบนี้ให้ลูกค้าที่อยากได้อาวุธใช้งานจริง แถมยังเป็นในราคาบ้านแถมสวนหย่อมล่ะก็ นอกจากโกงก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาส่งสายตาตำหนิให้เจ้าของร้าน ก่อนจะวางดาบเปราะแต่ราคาสามพันเหรียญลงกับเคาน์เตอร์
“นี่เจ้าของร้าน ไหนบอกว่าฟันเหล็กขาดสองท่อนไงล่ะ” เด็กสาวหันไปคาดคั้น เจ้าของร้านพูดไม่ออก เด็กหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวมีฮู้ดจึงตอบแทน
“ขาดเป็นสองท่อนแน่ แต่ที่ขาด คือดาบ” นักเดินทางหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มขบขัน
“ด—ดาบราคาร้อยเหรียญเท่าที่คุณลูกค้าต้องการก็มีนะครับ” เจ้าของร้านรีบเปลี่ยนเรื่อง แสดงให้เห็นว่ามีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเหตุการณ์แบบนี้
เด็กหนุ่มผมดำถือดาบเล่มใหม่ในท่าเดิม แต่สีหน้าบอกอารมณ์คนละเรื่อง
“ดาบสนิมเขรอะเนี่ยนะ แน่ใจนะว่าไม่ได้เอาเศษเหล็กมาเลหลัง?” เด็กสาวผมสีชมพูหันไปเขม่นเจ้าของร้าน
“แค่เก่าไปนิดเดียว สนิมนิดหน่อย ใช้ไปก็ชินมือเองล่ะครับ” เจ้าของร้านพูดแม้จะถูกสายตาต่อว่าจากเด็กสาวผมสีชมพูก็ตาม (‘ยังมีหน้ามาพูดดีอีก’ สายตายังเงี้ย)
“นี่ เจ้าว่าไง” เด็กสาวคว้าดาบจากมือของเด็กหนุ่มผมดำและส่งให้นักเดินทางผ้าพันเอวสีแดง
“อืม...ตีมาค่อนข้างดีทีเดียว นับว่าแข็งแรงทนทานไม่ใช่ย่อยถ้าเทียบกับราคาแล้ว สนิมก็ยังไม่ได้กินลึกด้วย” พูดจบก็ส่งดาบคืนให้เจ้าของ เด็กสาวเอ่ยขอบคุณเรียบๆ หนึ่งทีก่อนจะหันไปทางเจ้าของร้าน
“งั้นเอาเล่มนี้แหละ” เด็กสาวตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย
เด็กหนุ่มผมดำทำท่าตกใจ เพราะคนที่ต้องใช้มันคือเขา ทว่าก็คัดค้านอะไรไม่ได้เพราะผู้ถือเงินทำการซื้อขายเสร็จสิ้นและเดินออกประตูไปนู่นแล้ว
เด็กหนุ่มผมดำเก็บดาบกลับเข้าฝักแล้วหันมาตบไหล่ของนักเดินทางหนุ่ม
“ขอบใจนะ” แล้วก็เดินตามเด็กสาวผมสีชมพูออกไป
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนถูกสะกด ก่อนจะพรวดพราดตามหนุ่มสาวสองคนออกไปจนเจ้าของร้านตะโกนไล่หลังมาว่าประตูจะพัง
เขาเพิ่งจะตั้งใจฟังเสียงพูดของเด็กหนุ่มผมดำเต็มที่ก็เมื่อกี้เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันรู้สึก แต่ภาษาที่เด็กหนุ่มคนนั้นพูด... มันไม่ใช่ภาษาฝรั่งเศสอย่างที่คนที่นี่ใช้กัน
‘ภาษาญี่ปุ่น...ไม่เคยได้ยินใครพูดภาษานั้นที่นี่มาก่อน...’ ยิ่งกว่านั้น เด็กสาวที่อยู่ด้วยก็พูดภาษาฝรั่งเศส แต่ทั้งคู่กลับพูดคุยเป็นปกติเหมือนพูดภาษาเดียวกัน เขาสงสัยว่าสาเหตุอาจจะเกี่ยวข้องกับ...
“มาเธอร์เอลฟ์ จับสัมผัสอะไรได้บ้างรึเปล่า?”
(...ทางที่พวกเขาไป...สัมผัสได้ถึงเผ่าพันธุ์ของฉัน...ไกลออกไป...) เสียงตอบภายในหัวของเขา
‘ไม่ได้อยู่กับตัวเหรอ? ยังไงก็ตามไปดูก่อนละกัน’
...
บนหอคอยที่สร้างด้วยหินบล็อก แสงไฟจากหน้าต่างหลายบานทำให้หอคอยดูสว่างแม้เป็นเวลากลางคืน เสียงพูดคุยลอดออกมาจากห้องห้องหนึ่งบนชั้นสอง
“อินเทลลิเจนซ์ซอร์ดงั้นเหรอ? รสนิยมแปลกนะ วาลลิแยร์”
“ใครจะไปรู้ล่ะยะ ตอนซื้อก็นึกว่าเป็นแค่ดาบเก่าๆ สนิมเขรอะธรรมดานี่นา”
เด็กสาวผมสีชมพูกับเด็กสาวผมสีแดงเขม่นกันด้วยสายตาและคำพูด ประเด็นเริ่มขึ้นเมื่อเด็กสาวผมแดงนำดาบทองเล่มใหญ่เล่มเดียวกับในร้านขายอาวุธมาให้เด็กหนุ่มผมดำเป็น<ของขวัญ> สร้างความไม่พอใจให้กับเด็กสาวผมสีชมพูที่อ้างว่าเด็กหนุ่มเป็น<อสูรรับใช้>ของเธอ และอีกฝ่ายกระทำการโดยไม่ขออนุญาตเธอที่เป็น<เจ้านาย> จากเรื่องดาบเริ่มเลยไปถึงเรื่องส่วนตัว เช่นการที่เด็กสาวผมแดงเอาหุ่นที่<เติบโตสมบูรณ์>ของตัวเองไปเยาะเย้ยหุ่น<เด็กน้อย>ของเด็กสาวผมสีชมพูซึ่งถูกเรียกว่า<วาลลิแยร์>
เรื่องพาดพิงไปถึงเด็กหนุ่มผมดำที่นั่งมองดาบสองเล่มสลับไปมาด้วยความลังเล <สงคราม>ทำท่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และอาจถึงเลือดถึงเนื้อถ้าเด็กสาวสวมแว่นผมสีฟ้าไม่ปลดคทาจากมือของทั้งสองซะก่อน
ร่างหนึ่งลอบมองความโกลาหลจากนอกหน้าต่าง ซ่อนตัวในความมืดที่เงียบสงัด เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาโหนตัวมือเกาะขอบหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ
สองคนที่เขาเจอ ผู้หญิงเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ชื่อว่า [หลุยส์] ส่วนผู้ชายเป็นอสูรรับใช้ชื่อว่า [ไซโตะ] เด็กหนุ่มผมดำดูเหมือนจะสามารถคุยกับคนในโลกนี้รู้เรื่องทั้งที่กำลังพูดกันคนละภาษา เขามาทันจับเรื่องราวได้เพียงเท่านี้เพราะถึงแม้เขาจะวิ่งโดยไม่หยุด เขาก็ยังช้ากว่าม้าที่วิ่งไม่เต็มฝีเท้าอยู่เกือบเท่าตัว เขาใช้เวลาหกชั่วโมงจึงมาถึงสถานที่แห่งนี้และพบว่าเป็นโรงเรียนเวทมนตร์
“แต่ว่าดาบที่มีความรู้สึกนึกคิดและพูดคุยได้เหรอ...สัมผัสอะไรได้บ้างรึเปล่า?”
(...ไม่มี...สัมผัส...มาจากที่อื่น...) เสียงตอบเขาจากภายใน
‘ที่อื่นเหรอ...’ เขากวาดตาดูรอบๆ เสียงที่อยู่ภายในนำทางเขาไปที่หอคอยที่สูงที่สุดใจกลางโรงเรียน
...
.....
ในราชอาณาจักรทริสเทน มีผู้ใช้เวทมนตร์ที่ยึดอาชีพเป็นหัวขโมยคนหนึ่ง ถูกเรียกด้วยฉายา [ดินสลาย] ชื่อที่ทำให้ชนชั้นสูงทั่วทุกสารทิศต้องหน้าซีดเมื่อได้ยิน [ดินสลาย ฟูเก้ต์]
ครั้งที่ฟูเก้ต์ปรากฏตัวขึ้นทางเหนือ มงกุฎประดับอัญมณีเลอค่าหายวับไปจากคฤหาสน์ที่เก็บมันไว้ ทิ้งชนชั้นสูงผู้เป็นเจ้าของไว้กับความโศกเศร้าเสียดาย
เมื่อได้ยินว่าพระราชาเคยประทานไม้เท้าด้ามหนึ่งให้เป็นสมบัติประจำตระกูลของขุนนางแดนใต้ครอบครัวหนึ่ง ฟูเก้ต์ก็ทลายกำแพงอันแน่นหนาและฉกเอามันไปราวกับเป็นงานของเด็ก
ทางตะวันออก แหวนประดับมุกชั้นเลิศหลายวงฝีมือคณะช่างจากประเทศสีขาวของขุนนางผู้โชคร้ายเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความทรงจำ
ทิศตะวันตก ไวน์ที่บ่มรักษามาแรมปีจนล้ำค่าด้วยกาลเวลาซึ่งไม่มีทรัพย์สินใดจะซื้อได้ถูกกวาดไปจนเรียบพร้อมกับเสียงหัวเราะ
ไม่มีสถานที่แห่งใดรอดพ้นเงื้อมมือของหัวขโมยผู้เก่งกาจในวิชาเวทและการแปรธาตุคนนี้ไปได้
ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบเข้าไปขโมยอย่างเงียบเชียบ หรือแม้แต่บุกทะลวงเข้าไปหยิบเอาซึ่งๆ หน้า ฟูเก้ต์ล้วนทำด้วยความสมบูรณ์แบบ ธนาคารแห่งชาติถูกปล้นเอาทรัพย์สินมีค่าตอนกลางวันแสกๆ ทิ้งไว้แต่ฝุ่นดินให้ทหารของราชอาณาจักรดูพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
การโจรกรรมครั้งใดเป็นของฝีมือฟูเก้ต์สามารถรู้ได้จากวิธีการที่ใช้ ตั้งแต่วิชาแปรธาตุที่เปลี่ยนกำแพงอันมั่นคงให้กลายเป็นฝุ่นดินและผ่านเข้าไปทางช่องว่างที่เปิดขึ้น หลายครั้งที่เจ้าทรัพย์พยายามจะ<เสริมความทนทาน>ของเครื่องป้องกันด้วยวิธีต่างๆ เพื่อต่อต้านวิชาแปรธาตุนี้ แต่ความพยายามนั้นไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเวทมนตร์อันทรงพลังของฟูเก้ต์ ทุกสิ่งที่ขวางทาง ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเปล่าๆ หรือจะเสริมพลังด้วยเวทมนตร์ ล้วนถูกทิ้งไว้ในสภาพของเศษดิน
หรือถ้าจะเอากำลังเข้าว่า โกเลม—ตุ๊กตาที่ควบคุมด้วยพลังเวท—สร้างขึ้นจากหินและดินสูงสามสิบเมล(ประมาณสามสิบเมตร)จะเป็นกำปั้นยักษ์ทลายทุกแนวป้องกันราวกับบดขยี้แมลงตัวกระจ้อย ให้หัวขโมยเดินทอดน่องเข้าไปฉวยของมีค่าใส่กระเป๋าโดยไม่อายสายตาใคร
ไม่มีใครเคยได้เห็นฟูเก้ต์ในระยะประชิด ไม่ทราบแม้แต่เพศของหัวขโมยผู้นี้ ที่รู้ก็เพียงแค่ว่าฟูเก้ต์เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ธาตุดินระดับไทรแองเกิ้ลเป็นอย่างน้อย มีนิสัยชอบทิ้งข้อความเยาะเย้ยใว้ให้เจ้าทุกข์ในทำนองว่า ‘ขอสมบัติไปล่ะ - ดินสลาย ฟูเก้ต์’ หลังเสร็จงานทุกครั้งไม่มีตกหล่น และรสนิยมที่เลือกเฉพาะของล้ำค่าที่มีชื่อเสียงหรือมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์และเป็นที่รู้จักกันทั่ว
...
.....
แสงจากพระจันทร์สองดวงส่องลงมาที่กำแพงด้านนอกหอคอยใจกลางโรงเรียนเวทมนตร์ทริสเทนชั้นห้า ที่ซึ่งภายในเป็นห้องเก็บของมีค่าของโรงเรียน เงาดำทอดยาวลงบนกำแพงหิน ร่างหนึ่งยืนตัวตรงเท้าแนบกับกำแพงราวกับแรงดึงดูดของโลกเปลี่ยนทิศ
ผมสีเขียวที่ยาวออกมาจากใต้ฮู้ดสีดำของฟูเก้ต์ขยับไหวตามแรงลม เพียงวางเท้ากับกำแพงหัวขโมยก็สามารถประเมินความหนาและพลังเวทที่สถิตอยู่ในกำแพงได้ ฟูเก้ต์ได้แต่รำพึงด้วยความชื่นชม
‘หอคอยหลักของโรงเรียนทริสเทนแข็งแรงสมกับรูปลักษณ์ภายนอก เวทมนตร์เสริมความแข็งแกร่งนี้แม้แต่เราก็ทำลายไม่ได้...เหลือแต่การจู่โจมทางกายภาพงั้นเหรอ? จะทำลายกำแพงหนาขนาดนี้โดยไม่ดึงดูดความสนใจไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว’
“แย่จริง...มาถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ” หัวขโมยเอ่ยอย่างขัดใจ “ฉันไม่ยอมวางมือจากคทาแห่งการทำลายล้างเด็ดขาด” ฟูเก้ต์กอดอกและเริ่มใช้ความคิด
ในตอนนั้นเอง เสียงอะไรบางอย่างกระทบกำแพงหินดังขึ้นจากด้านล่างหอคอย ฟูเก้ต์ก้มมองก็พบว่าร่างหนึ่งกำลังใช้กรงเล็บเหล็กสำหรับปีนหน้าผาปีนขึ้นมาด้วยความคล่องแคล่ว
“ฟู่~ สูงเหมือนกันนะเนี่ย” เสียงถอนหายใจของเด็กหนุ่มดังขึ้นเมื่อปีนมาถึงชั้นห้าของหอคอย
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาสังเกตเห็นร่างในผ้าคลุมฮู้ดสีดำและมองตอบกลับ ทั้งคู่จ้องมองกันในความเงียบโดยไม่มีฝ่ายใดส่งเสียง จนกระทั่งเด็กหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“...ผมไม่ใช่คนน่าสงสัยอะไรหรอกนะครับ แค่...บังเอิญผ่านมา ^ ^;” เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ ฟูเก้ต์มองด้วยความสับสน
‘อะไรกัน? เจ้านี่ก็แอบเข้ามาเหมือนกันเหรอ?’
“ทำไมถึงแอบเข้ามาในโรงเรียนกลางดึกกลางดื่น ถ้าเหตุผลไม่เข้าท่าล่ะก็ข้าอาจจะต้องจับตัวเจ้าส่งให้ทางโรงเรียนสอบสวน” ฟูเก้ต์บลัฟ ไม่มีทางที่หัวขโมยจะโผล่หน้าไปให้คนในโรงเรียนเห็น แต่ถ้าเด็กหนุ่มคนนี้เล็งสมบัติชิ้นเดียวกันล่ะก็ หัวขโมยไม่ยอมง่ายๆ แน่
นักเดินทางหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้แก้ตัวอะไร เสียงระเบิดก็ดังขึ้นจากอีกด้านของหอคอย
ฟูเก้ต์เปลี่ยนความสนใจไปที่เสียงระเบิด เดินอ้อมหอคอยไปทางจุดที่เกิดการระเบิดอย่างระมัดระวัง
“หลุยส์ศูนย์สนิท! แทนที่จะตัดเชือกดันทำลายกำแพงซะนี่! มีพรสวรรค์จริงๆ เลย!!” บนพื้นดิน เด็กสาวผมแดงกุมท้องหัวเราะเสียงดังกับผลงานการร่ายเวทมนตร์ของเด็กสาวผมสีชมพูที่พลาดเป้าไปคนละองศา
ทั้งคู่เดิมพันกันด้วยเกมตัดสินว่าเด็กหนุ่มผมดำ(ไซโตะ)จะรับดาบของใคร กฎก็คือใครตัดเชือกที่มัดเด็กหนุ่มห้อยลงจากหอคอยและปล่อยเขาลงสู่พื้นได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ และนายหญิงของเขาเอง—หลุยส์—ก็เพิ่งจะบึ้มกำแพงห่างไปเป็นวา เศษหินตกเกลื่อนพื้นด้านล่าง ทิ้งกำแพงไว้เป็นรูโหว่
‘ระเบิด? ไม่เคยเห็นเวทมนตร์แบบนั้นมาก่อน...เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง ได้โอกาสแล้วก็ต้องรีบทำงานให้เสร็จ’
หัวขโมยอาศัยรูที่กำแพงเป็นทางเข้าห้องเก็บสมบัติ มีข้าวของหลายชิ้นวางเรียงรายกัน ปกป้องด้วยประตูที่ล็อกอย่างแน่นหนาหนึ่งบาน(ทำให้เธอต้องหาทางเข้าทางอื่น) เป้าหมายของฟูเก้ต์มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น [คทาแห่งการทำลายล้าง]
คทาและไม้เท้าจำนวนไม่น้อยที่เก็บอยู่ในห้องนี้ ทว่ามีเพียงหนึ่งที่วางห่างจากพวก มันทำมาจากโลหะยาวหนึ่งเมล(ประมาณหนึ่งเมตร) รูปร่างประหลาดต่างจากคทาที่เคยเห็น แต่ป้ายที่สลักเอาไว้ว่า 'คทาแห่งการทำลายล้าง ห้ามแตะต้อง' นั้นไม่โกหกแน่
ฟูเก้ต์หยิบมันขึ้นมา และต้องไม่ลืมธรรมเนียมปฏิบัติ หัวขโมยจรดนิ้วชี้ลงบนกำแพงข้างๆ ที่วางคทา แต่ละครั้งที่นิ้วลากไปบนกำแพง หินถูกหลอมละลายเป็นรอยตื้นๆ สลักเป็นตัวหนังสือ ข้อความที่ทิ้งเอาไว้ทุกครั้งหลังเสร็จงาน ‘ขอคทาแห่งการทำลายล้างไปล่ะ - ดินสลาย ฟูเก้ต์’
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว หัวขโมยก็เตรียมตัวจะหลบหนีไปทางที่เข้ามา แต่ร่างหนึ่งยืนขวางทางออก เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่เธอพบด้านนอกหอคอย
“ยังงี้นี่เอง นายคือหัวขโมยที่เขาลือกันสินะ วางของคืนที่เดิมซะ แล้วฉันจะยอมปล่อยไป” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้จะมองเห็นรางๆ แต่สีหน้าของเขาก็บอกแบบเดียวกันว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่ฟูเก้ต์ซะอย่าง มีหรือจะยอมเพียงเพราะคำขู่ของเด็กหนุ่มโนเนมเพียงคนเดียว
“ทำเป็นพูดดี ตัวเองก็เป็นขโมยเหมือนกันไม่ใช่รึไง ไม่อย่างนั้นคงไม่ปีนหอคอยกลางดึกกลางดื่นยังงี้หรอก” ฟูเก้ต์พูดกลับในเชิงกล่าวหา แต่เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ยังคงยืนกรานคำเดิมให้หัวขโมยวางของคืนแต่โดยดี
ฟูเก้ต์เดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เสแสร้งเป็นคนดี ทำตัวเป็นพวกขุนนางไปได้ ถอยไป ข้าจะไม่พูดอีกเป็นครั้งที่สอง”
แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงยืนกรานคำเดิม ฟูเก้ต์ไม่มีทางเลือกนอกจากบังคับฝ่าออกไปด้วยกำลัง หัวขโมยทาบมือลงกับพื้น เกิดหอกหินสองเล่มพุ่งขึ้นจากพื้นสองฝั่งขนาบข้างจุดที่เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายืนอยู่ทั้งซ้ายขวา
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาไม่แสดงอาการตกใจแม้สักเล็กน้อย เขาพุ่งตัวออกจากจุดที่เป็นเป้าหมายของหอกหิน และตรงเข้าหาตัวผู้สร้างโดยตรงราวกับชำนาญในการต่อสู้ประเภทนี้
เขาต้องหยุดเมื่อถูกขวางด้วยกำแพงหินที่ผุดขึ้นมาจากพื้น กำแพงหินสลายตัวเป็นเศษดิน ซึ่งต่อมารวมกันเป็นแท่งแหลมจำนวนมากกลางอากาศ และพุ่งเข้าจู่โจมเด็กหนุ่มในระยะกระชั้นชิด
เสียงของคมดาบตวัดผ่านอากาศดังขึ้นติดกันสองครั้ง แท่งแหลมจำนวนหนึ่งแตกเป็นเศษหิน เหลือเป็นช่องว่างพอให้เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาผู้ถือดาบสั้นในมือขวาหลบรอดจากที่เหลือไปได้
‘เจ้านี่ฝีมือไม่เบา’ ฟูเก้ต์นึกในใจ ‘แต่ว่าเราจะมามัวเสียเวลาอยู่แบบนี้ไม่ได้...’
ฟูเก้ต์ตัดสินใจใช้มนตร์บทที่ใหญ่ขึ้น แต่ก่อนที่จะทันได้เริ่มร่ายคาถา เสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นด้านนอกหอคอย มังกรสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้นที่ปากช่องทางออก เด็กสาวผมสีฟ้าสวมแว่นมองเข้ามาด้านในด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาตกใจหันหลังกลับไปมอง ฟูเก้ต์เองก็ตกใจ แต่เห็นก่อนก็รักษาสติได้ก่อน หัวขโมยอาศัยจังหวะนี้วิ่งผ่านเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาตรงไปที่ทางออกพร้อมทั้งร่ายคาถายิงหอกหินใส่เด็กสาวกับมังกร
มังกรสีน้ำเงินถอยหลบได้ทัน แต่ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้หัวขโมยกระโดดออกมาจากหอคอยพร้อมกับสมบัติที่กอดไว้ในสองมือ
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาวิ่งไปที่ขอบกำแพงและมองลงไปด้านล่าง เห็นร่างในฮู้ดดำบินข้ามรั้วออกไปทางทุ่งหญ้าด้านหน้าโรงเรียน
เขาเตรียมจะตามลงไป แต่ต้องหยุดเมื่อไม้เท้าชี้มาที่หน้าเขา เด็กสาวสวมแว่นบนหลังมังกรมองมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย แท่งน้ำแข็งแหลมรออยู่กลางอากาศ เตรียมจะเสียบเขาได้ทันทีถ้าหากเขาคิดหลบหนีหรือต่อสู้
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาถูกบังคับให้ต้องอยู่นิ่งๆ จนกระทั่งประตูห้องเก็บสมบัติเปิดออก คนจำนวนมากกรูกันเข้ามา แต่ละคนมีคทาอยู่ในมือ ล้อมเขาเอาไว้ด้วยท่าทีเป็นศัตรู
‘แบบนี้...ท่าจะแย่...’
--
แนะนำตัวละคร
???
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
เพศ : ชาย
อายุ : 19 ปี
ส่วนสูง :
น้ำหนัก :
ชอบ : หนังสือ, สิ่งแปลกตา, ปริศนาลึกลับ
เกลียด : สงคราม, การสูญเสีย, การกดขี่ข่มเหง
ข้อมูล : ตัวตนของเขายังเป็นปริศนานอกจากเป็นเพียงนักเดินทางที่เร่ร่อนไปทั่วฮาลเคกิเนีย ท่องเที่ยวพบปะผู้คนเหมือนนักเดินทางทั่วๆ ไป ด้วยเหตุนี้ แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็มีความรู้รอบโลกพอสมควร
มีนิสัยค่อนข้างสุภาพ ใจเย็น เป็นมิตร ไม่ชอบการต่อสู้นัก แต่ถ้ามีเหตุผลที่สมควรก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างไม่เกรงกลัว ชอบที่จะเดินทางไปเรื่อยๆ สบายอารมณ์
อาวุธประจำตัวคือดาบสั้นคมด้านเดียว ความยาวรวมด้ามประมาณ 40 เซนติเมตร กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่พกไว้ตามตัวและในช่องกระเป๋าหลังเอว เช่น อุปกรณ์ปฐมพยาบาล ของจำเป็นต่างๆ
(*รูปเหมาะๆ หาย้ากยาก ต้องตาสีเขียวและมีผ้าสีแดง ได้แค่พันที่เอวก็พอถูไถ แล้วยังสไตล์ภาพต้องคล้ายกับภาพในไลท์โนเวลอีก Credit : Craneanime.com)
(**ว่าไปแล้ว คนเขียนเพิ่งจะรู้เร็วๆ นี้ว่ารูปโหมดพลเรือนของเอ็กซ์ในฟิค [เรปลิลอยด์ของยัย 0 สนิท] แล้วคือ [ไคโตะ] จาก [โวคาลอยด์] ซอฟต์แวร์สังเคราะห์เสียงร้องเพลง...แล้วดันได้รูปที่(ในความคิดคนเขียน)เท่ที่สุด(เท่าที่หาได้ในกูเกิ้ล)มาแบบบังเอิ๊ญบังเอิญด้วยนะ แต่รูปใหม่นี้ก็เท่ไม่แพ้กัน)
(ขวาไปซ้าย)
ฮิรากะ ไซโตะ
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
เพศ : ชาย
อายุ : 17 ปี
ส่วนสูง :
น้ำหนัก : ไม่ทราบ
ชอบ : เทริยากิเบอร์เกอร์, ท่องอินเทอร์เน็ต, หนังสือการ์ตูน
เกลียด : คนที่จะทำร้ายหลุยส์, อาจารย์พละที่โรงเรียน
ข้อมูล : พระเอกตัวจริงของซีรี่ส์ [อสูรรับใช้ของยัยศูนย์สนิท] ฟิคนี้ก็มีบทตามในไลท์โนเวล/อนิเมะ(น่าจะ) อาศัยอยู่ในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ขณะรับโน้ตบุ๊กที่ซ่อมเสร็จแล้วจากย่านอากิฮาบาระและกำลังจะกลับบ้าน ช่องว่างของมิติสีเขียวประกฎขึ้นตรงหน้า ด้วยความสงสัย เขาเข้าไปแตะ และถูกดูดเข้าไป รู้สึกตัวอีกทีบนพื้นหญ้าหน้าเด็กสาวผมยาวสีชมพูที่กำลังทำหน้าบอกบุญไม่รับ
เป็นอสูรรับใช้ของ [หลุยส์] ผู้เป็นนางเอกตัวจริงของซีรี่ส์ อักขระที่หลังมือซ้ายของเขาเป็นอักษรรูนที่มีพลังประหลาด และเมื่อเปล่งแสงก็ทำให้เขากลายเป็นยอดนักรบผู้เชี่ยวชาญอาวุธที่ถืออยู่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
หลุยส์ ฟรังซัวส์ เลอ บลังค์ เดอ ลา วาลลิแยร์
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
เพศ : หญิง
อายุ : 16 ปี
ส่วนสูง :
น้ำหนัก : ความลับของผู้หญิง!
ชอบ : พายคุกเบอรี่, ถักนิตติ้ง(ฝีมือไม่ได้เรื่อง)
เกลียด : พวกบ้ากาม, คีร์เก้, กบ
ข้อมูล : ใครดูซีรี่ส์นี้คงจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเธอเป็นนางเอกดั้งเดิมของซีรี่ส์หลัก ฉะนั้น เธอออกทุกตอน
ก็...เป็นนางเอก(ของซีรี่ส์หลัก)...ลูกสาวของตระกูลขุนนางในราชอาณาจักรทริสเทน ในสถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทนเธอเป็นที่รู้จักในชื่อ [หลุยส์ศูนย์สนิท] ที่มาคือตัวเลขอัตราความสำเร็จในการร่ายเวทมนตร์ทุกครั้งของเธอที่ต่างลงเอยด้วยการระเบิด แม้จะถูกนักเรียนคนอื่นๆ ล้อเลียนในเรื่องนี้อย่างหนัก แต่เธอก็ยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อลบคำสบประมาทให้ได้
เธอเป็นชนชั้นสูง แน่นอนว่ามีบุคลิกที่ชนชั้นสูงส่วนใหญ่มีร่วมกันคือความหยิ่งทะนงใน 'ความสูงศักดิ์' ของตัวเอง แถมยังปากไม่ตรงกับใจ แต่เธอเป็นหนึ่งในน้อยคนที่มีความรับผิดชอบในความเป็นชนชั้นสูงมากอย่างน่าชื่นชม เธอเป็นคนหัวรั้นแบบสุดๆ และก็ช่างตื๊อแบบสุดๆ เช่นเดียวกัน
เป็นนายของ [ฮิรากะ ไซโตะ] ผู้เป็นพระเอกดั้งเดิม และมีบทในฐานะตัวละครหลักเช่นกัน(แหงล่ะ โลกในอนิเมะหมุนรอบแม่คุณนี่นา)
*หมายเหตุ: คงสงสัยว่าทำไมถึงเป็น<วาลลิแยร์>แทนที่จะเป็น<วาลิเอล> นั่นก็เป็นเพราะว่า<วาลลิแยร์>เป็นคำอ่านที่ถูกต้องตามหลักภาษาฝรั่งเศส ส่วน<วาลิเอล>นั้นพี่ไทยแปลของพี่ไทยเอง
ต้องยอมรับว่าคาตาคานะมันอ่านยากพอควร คนเขียนเองก็เข้าใจว่า<วาลิเอล>มาได้ยังไง แต่ถ้าเอาจริงๆ มันก็ต้องอ่านว่า<วาลลิแยร์>ตามชื่อของชนชั้นสูงตัวจริงในประวัติศาสตร์ คือ [หลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์] (ไปหาดูตาม wikipedia) คนเขียนตั้งใจจะให้ฟิคนี้จริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้
--
DX:”จากปฐมบท จู่ๆ ก็ข้ามมาดื้อๆ ไม่บอกไม่กล่าว ต่อให้เป็นไอน์สไตน์ยังงง”
PBW:”ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะมีอธิบายให้แน่นอน เพราะฟิคนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนปัจจุบันที่กำลังดำเนินเรื่อง กับส่วนอดีต เริ่มตั้งแต่เอ็กซ์มาถึงโลกเวทมนตร์และก่อนวันเวลาใน ตอนที่ 1 จะลงสลับกันไป เป็นความคิดแผลงๆ ของคนเขียนเอง”
Saito:”จะยังไงก็ช่างเถอะ! มีบทแล้วเรา!”
PBW:”เออๆ ดีใจด้วยละกัน”
DX:”ว่าแต่นี่ดำเนินเรื่องตามไลท์โนเวลนี่หว่า? เจอฟูเก้ต์ทันทีเลย”
PBW:”เยส เหตุการณ์ทางไลท์โนเวลก็ดำเนินไป แต่เราจะโฟกัสที่พระเอกผู้ไม่มีแม้แต่ชื่อปรากฏในตอนนี้ของเรา ภายภาคหน้าจะเป็นเรื่องราวฝั่งทางเขา(ซึ่งคนเขียนมั่วขึ้นมาและ)ไม่ได้ตามติดคู่หลุยส์กับไซโตะไปตลอด ไม่งั้นจะเป็นฟิคเพื่ออะไรกัน!”
DX:”พูดถึงงานที่แล้วของตัวเองเหรอ?”
(Edit)
ความคิดเห็น