ลำดับตอนที่ #18
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : วองโกเล่เยือนศูนย์เซเดฟ! คนว่างๆ ก็ไปดูเบสบอลกันเน้อ~!!
ประกาศจากน.ส.น.
ทุกครั้งจะประกาศตรงหัวตอน แต่คราวนี้เอาไว้ท้ายตอนนะครับ
เกี่ยวกับการดำเนินเรื่องและการอัพเดท
ทุกครั้งจะประกาศตรงหัวตอน แต่คราวนี้เอาไว้ท้ายตอนนะครับ
เกี่ยวกับการดำเนินเรื่องและการอัพเดท
(หมายเหตุ* ตอนนี้เป็นตอนในสต็อกที่แต่งไว้ก่อนแล้ว ไม่เกี่ยวกับคอมเม้นท์ผู้อ่านแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าคนเขียนไม่สนใจคนอ่าน คนเขียนจะเริ่มแต่งดีๆ ฟังเสียงบ่นว่าของคนอ่านมากขึ้นคือตอนถัดไป ซึ่งจะลงในวันเดียวกันนี้)
--
ภายในภัตตาคารอาหารอิตาเลี่ยนหรูที่ชื่อว่า “La ricetta segreta”(R:พึ่ง 'ฉันเกิ้ล' ครับ) ชายหน้าเหี้ยมเดินผ่านโต๊ะอาหารนับร้อยตรงไปทางห้องครัวโดยมีเด็กหนุ่มสองคนกับทารกชุดเด็กแบเบาะในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มผมฟูอีกหนึ่งตามมาติดๆ เป็นภาพที่ดูค่อนข้างปกติ
ทั้งสี่เข้าไปด้านในห้องครัวซึ่งมีพ่อครัวชุดขาวหมวกสูงอยู่นับสิบ ประตูด้านหลังปิดสนิทปั๊บชายหน้าเหี้ยมก็ถามขึ้นเป็นภาษาอิตาเลี่ยน
“@เชฟดิเมทเทอร์โซ่อยู่ไหน?@”
คำตอบที่ได้ช่างผิดคาดยิ่งนัก ทำเอาชายหน้าเหี้ยมตั้งตัวไม่ติด
“@เชฟลาออกไปแล้วครับ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง@” พ่อครัวหนุ่มคนหนึ่งตอบด้วยท่าทางหวาดๆ
“@งั้นก็ช่วยไม่ได้ พาไปที่ห้องของหัวหน้าพ่อครัวหน่อย@”
“@คือ...คนที่ไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าพ่อครัวจะเข้าไปไม่ได้ครับ@” พ่อครัวหนุ่มพูดด้วยความหวาดผวาว่าจะถูกชายหน้าเหี้ยมเจื๋อนทิ้งที่ขัดใจ
“@ไม่เป็นไร คนพวกนี้เข้าไปได้@” ชายวัยกลางคนในชุดพ่อครัวที่อยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาแตะไหล่พ่อครัวหนุ่ม ก่อนจะอาสานำทางให้เอง
“@ครับ ตามผมมาทางนี้เลยครับ@”
เด็กหนุ่มทั้งสองเดินตามพ่อครัวหนุ่มไปอย่างตื่นเต้น เป็นเพราะสายตาคนในชุดขาวนับสิบที่จับจ้องมาที่พวกเขาเป็นตาเดียวกันนั่นเอง
เมื่อมาถึง ‘ห้องหัวหน้าพ่อครัว’ ผู้นำทางก็ปล่อยให้ทั้งสี่เข้าไปกันเอง
สึนะกวาดตามองไปรอบห้อง ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จนกระทั่งชายหน้าเหี้ยมตรงเข้าไปที่ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยสูตรทำอาหาร และขยับหนังสือที่สันเขียนเอาไว้ด้วยตัวหนังสือขลิบทองเป็นภาษาอิตาลีว่า ‘รหัสต่างมิติ’ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ไม่ได้เกี่ยวกับอาหาร มือหยาบดึงหนังสือนั้นออกมา ก่อนจะเปิดมันออก กดสวิทซ์สีเหลืองซึ่งสอดไส้อยู่ภายในหนังสือด้วยวิธีเดียวกับการซ่อนอาวุธของนักศึกษามหาลัยดัง
โต๊ะทำงานซึ่งทำด้วยไม้มาฮ็อกกานีชั้นดีสีน้ำตาลสวยงามแยกออกเป็นสองส่วนซ้ายขวา พื้นเปิดเป็นช่องมองเห็นบันไดลงไปด้านล่าง
ชายหน้าเหี้ยมไม่รอช้าเดินนำลงไปก่อนทันที และเมื่อทั้งหมดลงไปด้านล่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหน้าเหี้ยมก็กดสวิทซ์สีเหลืองที่อยู่บนผนังใกล้ๆ ก่อนที่ช่องลับนั้นจะปิดลง
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำคนหนึ่งเดินมาทางทั้งสี่คน ก่อนจะถามขึ้น
“@รหัสว่าไง?@”
ชายหน้าเหี้ยมตอบทันทีด้วยเสียงดังปนรำคาญ
“@มีซะที่ไหนล่ะฟะ!@”
“@ผ่านไปได้@”
แล้วชายหนุ่มก็ยกพูดใส่ไมค์ขนาดจิ๋วที่หน้าอกให้ผู้ที่อยู่ปลายสัญญาณเปิดประตูให้ ไม่นาน ประตูขนาดปกติสีขาวที่ปิดอย่างมิดชิดก็เลื่อนเปิดออก ปล่อยให้คนผ่านเข้าออกได้โดยสะดวก
“@ฉันมาส่งแค่นี้นะ@” ชายหน้าเหี้ยมพูดกับทั้งสาม ทารกซึ่งบัดนี้กลับมาอยู่ในชุดสูทสีดำดังเดิมจึงตอบกลับไป
“@อืม ไปได้แล้วล่ะ@”
และการผจญภัยในฐานทัพผู้ดุแลนอกแก๊งค์ก็เริ่มต้นขึ้น...คงไม่มั้ง?
สึนะกวาดตามองดูรอบๆ ก็พบว่าเป็นเหมือนภายในโรงพยาบาลทั่วๆ ไป ลบด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ สีขาวล้อมรอบแปดทิศยี่สิบหกทางและมีประตูเป็นระยะๆ
วองโกเล่หนุ่มมีเวลาชื่นชมทัศนียภาพได้ไม่นาน หญิงสาวผมบลอนด์ในทรงม้วนเป็นมวยขึ้นด้านหลังก็เข้ามาทักทั้งสามคน
“เชิญทางนี้เลยค่ะ ท่านหัวหน้ารออยู่” เธอพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เด็กหนุ่มผมฟูจึงหลุดพ้นจากอาการ ‘มืดแปดด้าน’ ซักที
เจ้าหน้าที่เซเดฟซึ่งมีชื่อจริงๆ ว่า [โอเลกาโน่] พาทั้งสามไปที่ประตูไม้บานใหญ่ ก่อนจะเปิดมันออก
ภาพที่เห็นไม่ได้ใกล้เคียงกับที่สึนะคาดเอาไว้ซักนิด
ชายหญิงในชุดสูทเกือบสิบคนนั่งอยู่กับเก้าอี้รอบโต๊ะอาหารยาวซึ่งมีอาหารเพียงจานเดียวเหลือๆ แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ทุกคนไม่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะก็เกาะพนักเก้าอี้พร้อมทั้งหายใจรวยริน
“พ่อ!!” สึนะรุดเข้าไปหาผู้นำองค์กรที่แนบหน้าอยู่กับผ้าปูโต๊ะสีขาว สีหน้าบ่งว่าใกล้จะสิ้นใจเต็มที
“สสึนะ... พ่อ...กินยาพิษเข้าไป...” อิเอมิทสึเค้นเสียงพูดอย่างยากลำบาก
เด็กหนุ่มผมขาวกวาดตาดูรอบๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ในขณะที่ทารกชุดดำหรี่ตาลง แววตาระแวงเต็มที่
“วางยาพิษในศูนย์บัญชาการเซเดฟ ใครกันนะถึงจะทำได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่...” รีบอร์นนึกไปถึงเด็กหนุ่มผู้เพิ่งจะหมายปองชีวิตของวองโกเล่รุ่นที่สิบ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” โอเลกาโน่ขัด “ที่จริงแล้ว...”
“เอ้า เอ้า! สำออยกันเข้าไป!!” เสียงตะโกนดังขึ้น ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว เจ้าของเสียงของทารกหญิงผมสีน้ำเงินเข้มในชุดกุ๊กไร้หมวก
“รัล!?” สึนะไม่เคยงงอะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
“นนั่นแหละ...คนที่วางยาพวกเรา...” อิเอมิทสึละล่ำละลักบอกด้วยอาการที่เริ่มจะคล้ายคนโดนพอยซั่นคุกกิ้งเข้าไปทุกที
“พูดให้มันดีๆ หน่อยนะ! ฉันวางยาพวกนายที่ไหนกัน อาหารมันก็รสชาติเหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ!” รัลแหว
ทารกชุดดำเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจกึ่งบันเทิงใจเมื่อจับใจความได้
“รัลน่ะเหรอเข้าครัวทำอาหาร? ผิดคาดสุดๆ เลยแฮะ”
“หุบปากเถอะน่ารีบอร์น ปากบอกผิดคาดแต่ยิ้มหน้าระรื่นเชียวนะ มีอะไรน่าขำรึไง?” รัลเท้าสะเอวขมวดคิ้วพูดกับเพื่อนอัลโกบาเลโน่ด้วยความหงุดหงิด
“อิเอมิทสึ หัวรัลไปโดนอะไรมางั้นเหรอ ถึงทำให้พวกนายตกอยู่ในสภาพน่าอนาถยังงี้?” รีบอร์นเปลี่ยนเป้าหมายไปถามชายวัยกลางคนที่นั่งงอตัวอยู่แทน
“พวกเราก็แค่...บ่นเสียดายอาหารของเจ้าหนูนั่นจากอนาคต...จู่ๆ รัลก็เกิดโมโหขึ้นมา...”
“บ่นอยากกินฝีมือเจ้าบ้านั่นอยู่ได้! เจ้านั่นทำหรือฉันทำก็เหมือนกันล่ะน่า!!” รัลตะโกนเสียงดังเหมือนจัดคิวไว้
“เห็นมั้ย...” อิเอมิทสึเอ่ยด้วยสีหน้าพะอืดพะอมจนลูกชายเห็นแววได้มรดกรำไร แต่ทารกชุดดำกลับยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
“เหมือนเหรอรัล? สภาพคนในองค์กรเป็นยังงี้แล้วก็เชื่อยากหน่อยน่ะนะ :j”
“หุบยิ้มกวนโมโหนั่นไปเลยนะรีบอร์น! ก่อนที่ฉันจะไปคว้าปืนลงจากห้องมายิงหัวนาย!!” รัลเดือดได้ที่
‘นี่เรา...จะอยู่ที่ไหนก็หาความสงบไม่ได้เลยรึไง = =;’ สึนะรำพึงด้วยความห่อเหี่ยวใจ
--
ป๊อก! เฮ~!!
เสียงบอลกระทบไม้ตามด้วยเสียงผู้คนส่งเสียงเฮกันดังลั่นสนั่นสนามกีฬาประจำจังหวัดแห่งนี้
บนสนามหญ้าที่มีเส้นสีขาวขีดเป็นรูป ¼ ซีกวงกลม คนนับสิบในชุดกีฬาวิ่งกันยั้วเยี้ยเพื่อไล่ตามบอลลูกเล็กๆ ลูกเดียวอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนกันมันเป็นศัตรูของท่านพ่อ(?) ในขณะที่คนในชุดกีฬาคนละชุดก็วิ่งไต่เส้นขาวสุดฝีเท้าเหมือนมีเสื้อดำไล่กวดมาด้านหลัง
ใช่แล้ว ที่นี่คือสนามกีฬาเบสบอลประจำจังหวัด และทีมที่กำลังแข่งอยู่ก็คือทีมโรงเรียนมัธยมต้นซูโปสุ กับทีมโรงเรียนมัธยมต้นนามิโมริ และผู้ที่กำลังวิ่งรวดเดียวอยู่นี้ก็คือ
“ไปเลย ยามาโมโตะ!!” นักกีฬาทีมนามิโมริร้องเชียร์เพื่อนที่กำลังใส่เกียร์สูงสุด
ห่างไปไม่ไกล บนที่นั่งคนดูที่ไม่แออัดมาก เด็กสาวผมม่วงนั่งหน้านิ่งดูเกมดำเนินไปอย่างเงียบๆ
--แฟลชแบ็ค--
“...อะไรของเธอ โคลม โดคุโร่ ยิ้มอย่างกับสติไม่ดี” เด็กหนุ่มผมดำกลับมาถึงบ้าน เปิดประตูเข้าไปก็พบเด็กสาวผมม่วงในชุดนักเรียนยืนยิ้มแป้นอยู่ก่อนแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอคะ คุณเมฆา ^ ^” แต่เธอก็ไม่ละความตั้งใจ ในเมื่อวันนี้เธอมีกำลังใจเต็มเปี่ยมแล้ว
ประธานฯหนุ่มไม่สนใจคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เขาถอดรองเท้าเก็บเข้าที่ก่อนจะก้าวขึ้นบนพื้นไม้ผ่านหน้าเด็กสาวผมม่วงไปอย่างไม่สนใจไยดี
“ดเดี๋ยวก่อนค่ะ คุณเมฆา!” โคลมพูดติดเพราะเริ่มไม่แน่ใจว่าการยิ้มต้อนรับชายผู้นี้เป็นความคิดที่ถูกต้อง
“มีอะไรก็รีบพูดมา” เมฆาหนุ่มหันกลับไปบอกด้วยความหงุดหงิด เขาอยากจะไปอาบน้ำเต็มทีแล้ว
“พรุ่งนี้ทีมเบสบอลของโรงเรียนแข่งรอบชิงชนะเลิศ ฉันขอไปดูได้มั้ยคะ?”
“ทำไมล่ะ?” ประธานฯหนุ่มถามด้วยความสงสัย เท่าที่เขาจำได้ เด็กสาวผมม่วงไม่น่าจะให้ความสนใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล
“...คุณยามาโมโตะชวนค่ะ...” โคลมตอบอย่างลังเลใจ เพราะถ้าหากเธอกำลังทำให้เขาโมโหล่ะก็ เจ้าของชื่อนี้ก็จะโดนหางเลขไปด้วย ...แต่เธอไม่รู้หรอกว่าเธอทำให้เขาหงุดหงิดด้วยคำหนึ่งในประโยคของเธอ
ประธานฯหนุ่มจ้องเธอด้วยแววตาที่เย็นชาเหมือนกับทุกครั้งจนเธอเผลอกลืนน้ำลาย ไม่ให้เธอไปยังไม่แย่เท่ากับ ‘ขย้ำ’ เธอตรงนี้
“...ถ้าอยากไปก็ไปสิ โรงเรียนหยุดให้เด็กนามิฯไปเชียร์อยู่แล้ว” คำตอบนี้ทำให้เด็กสาวรู้สึกโล่งอกในหลายๆ เรื่อง
“แต่ว่ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง” ดูเหมือนเมฆาหนุ่มจะชอบขัดความสุขคนอื่นซะเหลือเกิน
“...ค่ะ” เธอนึกเอาไว้แล้วว่ามันต้องไม่ง่ายยังงั้น
“ต่อไปนี้อย่าเรียกฉันด้วยชื่อไม่เข้าท่านั่นอีก อยากจะเรียกแบบที่เจ้าพวกสัตว์กินพืชเรียกหรือแบบไหนก็แล้วแต่เธอ แต่ถ้าเรียกฉันด้วยชื่อไม่เข้าท่าล่ะก็ เธอโดนขย้ำแน่” ประธานฯหนุ่มออกคำสั่งแกมขู่
โคลมคิดหนัก คนอื่นๆ เช่นบอส เรียกคุณเมฆาว่า ‘คุณฮิบาริ’ เธอก็น่าจะเรียกตาม แต่ฮิบาริ เคียวยะคนนี้เป็นคนที่มีบุญคุณกับเธอมาก ทั้งช่วยให้เธอได้เข้าเรียนในโรงเรียน(โดยมีผลประโยชน์ตามข้อตกลงกับทารกชุดดำ) ทั้งช่วยเธอจากกลุ่มอันธพาลครั้งนึง(เพราะโมโหจากภาพลวงตาของเธอจึงหาที่ระบาย) ทั้งให้ที่อยู่อาศัยใหม่ดีกว่ารังหนูที่เธอเคยอยู่(ด้วยการบังคับพร้อมกับมีเหตุผลแอบแฝง)
(R:แหม เหมือนฮิบารินี่ไม่เคยทำอะไรดีๆ โดยไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวเลยเนาะ)
เธอจึงค้นหาคำที่จะเรียกด้วยความเคารพอย่างสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และคำที่เธอคิดขึ้นมาได้ก็คือ...
“ ‘ท่านเคียวยะ’ “ (DX(ออกเสียงแทนผู้อ่าน):อะไรฟะ!?! (อะไรฟะ...อะไรฟะ...(เอคโค่))
--จบแฟลชแบ็ค--
...เธอจึงได้มานั่งตรงนี้ ด้วยคำอนุญาตของประธานคณะกรรมการรักษาระเบียบแห่งโรงเรียนม.ต้นนามิโมริ ...พร้อมกับหน้าที่ที่ต้องทำ
เมื่อเธอพบเห็นเหตุไม่สงบด้านใน ให้เธอใช้โทรศัพท์เครื่องเดิม(ซึ่งเรียนรู้วิธีการใช้มาเรียบร้อย)แจ้งไปที่เขาซึ่งตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ด้านนอก (ใช่แล้ว ธุระที่เขาออกมาทำเมื่อวานก็คือเรื่องนี้นั่นเอง)
โคลมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ถึงเธอจะเข้าใจวิธีการเล่นของกีฬาเบสบอล แต่เธอก็ไม่ได้คลั่งไคล้อะไรเป็นพิเศษ ที่เธอมาก็เพราะยามาโมโตะ ทาเคชิชวนเท่านั้น
เสียงเฮดังขึ้นอีกครั้งเมื่อนักเบสบอลหนุ่มในสนามวิ่งไปถึงโฮมเบส ทำให้ทีมนามิโมรินำขึ้นมาเป็น 3 ต่อ 2 รัน และนี่ก็อินนิ่งที่เจ็ดแล้ว เกมคงจะจบในไม่ช้า
--
ผู้คนต่างพากันทยอยออกจากสนามในขณะที่บางส่วนอยู่เพื่อแสดงความยินดีกับทีมที่ชนะ ซึ่งก็คือทีมนามิโมรินั่นเอง ด้วยคะแนน 3 ต่อ 2 รัน ซึ่งพระเอกของงานนี้ก็คือยามาโมโตะ ทาเคชิที่วิ่งให้ทีมขึ้นนำและยังคอนโทรลลูกขว้างจนเกมจบได้
โคลมจำได้ว่าตามที่อาจารย์เคียวโกะเคยว่าเอาไว้ ในเวลาอย่างนี้ที่เธอควรจะลงไปแสดงความยินดี
ยามาโมโตะซึ่งกำลังยิ้มแป้นพลางถูกแฟนคลับเด็กผู้หญิงนับสิบรุมทึ้งสังเกตเห็นเด็กสาวผมม่วงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเดินเข้ามาหาจึงร้องทักไปก่อน
“โคลม! มาดูด้วยเหรอ ^ ^!”
สายตานับสิบคู่หันไปจับจ้องที่เธอเป็นตาเดียว เด็กสาวผมยาวระต้นคอสีม่วงเข้มสวมที่คาดหัวลูกไม้สีขาวในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเหลืองอ่อนทับเสื้อซับในสีขาวสนิทและกระโปรงสั้นสีดำ ความน่ารักอยู่ในระดับที่เหล่าเด็กสาวตัวประกอบรอบข้างจัดว่าอันตราย ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเวลาเข้าใกล้ยามาโมโตะคุงสุดที่รัก
“เฮ้ย! เด็กยามาโมโตะมันรึเปล่าฟะ!” “ยามาโมโตะพรากผู้เยาว์ว่ะ ฮิ้ว~!” เหล่าเพื่อนฝูงของสปอร์ตแมนต่างก็แซวกันสนุกสนานเฮฮา ตรงกันข้ามกับเหล่าแฟนคลับที่จ้องอย่างอาฆาตพยาบาทเหมือนจะให้เด็กสาวสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่เศษเซลล์
โคลมเดินตรงไปหาดาวเบสบอลโรงเรียนกลางวงล้อมแฟนคลับซึ่งหลีกทางให้เธอด้วยความไม่แน่ใจ
“คุณยามาโมโตะ ดีใจด้วยนะคะที่ชนะ” เธอพูดตัวเกร็ง เป็นเพราะไม่ชินกับเรื่องแบบนี้ และการที่โดนสายตาริษยานับสิบคู่จับจ้องจากแปดทิศก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเลย
“อืม! ขอบคุณนะที่มาดู ^ ^!” ผิดกับเด็กหนุ่มผมดำที่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหนก็ผ่อนคลายได้ตลอดเวลา
ในขณะที่โคลมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี ฮิบาริ เคียวยะก็เข้ามาภายในสนามแข่งพร้อมทั้งตรงดิ่งเข้ามาที่ฝูงชนคนสุมหัว
แฟนคลับยามาโมโตะไม่แหวกทางออก แต่สลายตัวกันจนหมดสิ้น เหลืออยู่ตรงนั้นเพียงสปอร์ตแมนกับเด็กสาวอดีตหัวสัปปะรดเท่านั้น
“ได้เวลากลับแล้ว” ฮิบาริพูดกับเด็กสาวในปกครองเหมือนกับสปอร์ตแมนไม่อยู่ตรงนั้น
“รุ่นพี่ ขอบคุณนะที่อนุญาตให้โคลมมาดูผมแข่ง ^ ^!” แต่เขาก็หาทางทำให้สนใจจนได้
เมฆาหนุ่มมองพิรุณด้วยแววตาข่มขวัญอย่างที่ใช้เตือนไม่ให้คนทำผิดกฎโรงเรียน
“ยามาโมโตะ ทาเคชิ ถึงนายกับทีมสัตว์กินพืชของนายจะสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน แต่ตอนนี้โคลม โดคุโร่เป็นคนของฉัน ถ้านายล้ำเส้นล่ะก็ถูกขย้ำแน่” ฮิบาริขู่เด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเหมือนพี่ชายหวงน้องสาวแบบสุดๆ
“o_o?”
“ไปได้แล้ว” ฮิบาริเรียกเด็กสาวผมม่วงให้เดินตาม ทิ้งสปอร์ตแมนผู้สับสนเอาไว้เบื้องหลัง
--
ทั้งสองเดินทางกลับสู่เมืองนามิโมริซึ่งอยู่นอกตัวจังหวัด และพาหนะสุดเก๋ก็คือมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
และอยากจะขอประกาศให้โลกได้รับรู้เลยว่า ฮิบาริ เคียวยะ หัวหน้ากรรมการรักษาระเบียบจอมเฮี้ยบแห่งโรงเรียนม.ต้นนามิโมริไม่ใส่หมวกกันน็อกกกกกก~!!
แต่เขาก็ยังหามาให้เด็กสาวที่ซ้อนท้ายอยู่จนได้...
สองแขนเรียวเล็กโอบเอวเด็กหนุ่มซะแน่นพร้อมทั้งแนบหน้าลงไปกับแผ่นหลังของเขาเพื่อหลบลมอันเกิดจากเด็กหนุ่มบิดคันเร่งเหมือนจะรีบไปต_ยที่ไหน
ถ้ามีภาพให้ดูจะรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่น่าอิ่มเอมใจเวลาหนึ่ง น่าเสียดายที่ประธานกรรมการรักษาระเบียบใจหินไม่เห็นคุณค่ามันซักแอะ ทั้งที่ผู้ชายวัยอย่างพวกเราอยากจะไปอยู่ตรงนั้นใจจะขาด เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันนี้อยากจะไปอยู่แทนที่เด็กสาวผมม่วงคนนั้นใจจะขาด(กว่า)เช่นกัน
เมื่อมาถึงครึ่งทาง ฮิบาริก็แวะเข้าปั๊มข้างทางเพื่อเติมน้ำมันที่ร่อยหรอเต็มที และทันทีที่เด็กปั๊มเห็นมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาเขาก็รู้ในทันทีว่า
‘ได้เวลาตุ๋นคนแล้ว!’
ฮิบาริสั่งเติมพันเยนด้วยท่าทางที่ปกติที่สุด คือไม่มีการเปล่งออร่าข่มขู่ใดๆ ทั้งสิ้น เด็กปั๊มผู้เชี่ยวสมรภูมิจึงดำเนินการตามแผนเดิม ‘สั่งสิบเติมแปดที่เหลือซุกเข้ากระเป๋า’
(R:เป็นวิธีการที่ใช้กันจริงๆ สำหรับพวกที่ไม่ค่อยดูมิเตอร์น้ำมัน กรุณาระวังกันด้วย)
เมื่อเสร็จสิ้นการเติม(ตุ๋น)เสร็จสิ้น เด็กหนุ่มผมดำก็ทำท่าจะขึ้นสตาร์ทเครื่อง แต่เด็กสาวผมม่วงโพล่งขึ้นมาซะก่อน
“เมื่อกี้นี้แปดร้อยเยนไม่ใช่เหรอคะ?”
สายตาสองคู่หันมาทางเธอพร้อมกัน หนึ่งมองด้วยความประหลาดใจ อีกหนึ่งมองด้วยความบรรลัย
“อย่าพูดซี้ซั้วนะยัยนี่! หาว่าฉันโกงเรอะ!?” เด็กปั๊มโวยวายกลบเกลื่อน แต่ถูกสายตาเย็นยะเยือกของเมฆาหนุ่มสะกดไว้
“คิดหลอกฉันเหรอ สัตว์กินพืชที่ไม่ประมาณตัวเองแบบนี้มันน่าขย้ำนัก” ฮิบาริปล่อยไอสังหารที่เก็บกักเอาไว้จนถึงเมื่อกี้ออกมา และก็เป็นตอนนี้เองที่เด็กปั๊มรู้ตัวว่าเลือกเหยื่อผิดอย่างมหันต์
ในระหว่างที่เด็กปั๊มรีบเติมเพิ่มให้ครบจำนวน ประธานฯหนุ่มก็เอ่ยชมเด็กสาวในปกครอง
“รู้จักสังเกตดีนี่ มีประโยชน์กับเขาเหมือนกันนะ” เหมือนเป็นการดูถูก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับการขอบคุณมากที่สุดเท่าที่เขาจะพูดออกมาได้
“คุณเมท่านเคียวยะมีบุญคุณกับฉัน ฉันดีใจที่ทำประโยชน์ให้ได้ค่ะ” เด็กสาวเกือบเรียก ‘ชื่อที่ไม่เข้าท่า’ ของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความที่ยังไม่ชิน
“...ถ้ามันลำบากนักก็เรียกเหมือนเดิมดีกว่า...” ฮิบาริก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าตอนนั้นเขาพูดอะไรออกไป เขาจะสนใจชื่อที่เด็กผู้หญิงคนนี้ใช้เรียกเขาทำไม
“ไม่ค่ะ ฉันเคารพท่านเคียวยะเช่นเดียวกับที่ฉันเคารพท่านมุคุโร่“ โคลมหยุดพูดเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า ‘ท่านเคียวยะ’ ไม่ถูกกับ ‘ท่านมุคุโร่’ อย่างมาก
แทนที่จะโวยวาย เมฆาหนุ่มกลับนิ่ง เขาสะกิดใจกับประโยคเมื่อกี้ของเด็กสาว
‘เคารพฉันเท่ากับมุคุโร่?’ เด็กหนุ่มไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่ร่างทรงอย่างผู้หญิงคนนี้เคารพทัดเทียมกับนายของตัวเอง แถมคนคนนั้นยังเป็นเขา...คนที่แสดงออกซะชัดว่าเป็นศัตรูกับนายของเธอ
ในเวลานี้เองที่ฮิบาริเริ่มจะคิดว่าโคลม โดคุโร่ไม่ใช่แค่ตุ๊กตาของนักมายาหัวสัปปะรด แต่เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่มีความคิดและปณิธานของตัวเอง
--
R:”...แต่งแบบเบลอๆ อะไรก็ไม่รู้แฮะตอนท้ายๆ นี่”
DX:”แล้วแบบนี้เจ้าหัวสัปปะรดนั่นก็ตกบัลลังก์ ‘คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของยัยผมม่วง’ แล้วใช่ปะ? สารรูปดูไม่ได้เล้ย~”
M:”พูดไม่ค่อยดีเลยนะครับ คุฟุฟุ~”
R(ไม่สนใจ):”แต่ฮิบาริตีค่าโคลมสูงขึ้นอีกนิดก็ดีแล้วนี่? รึเปล่าหว่า?”
M:”คุณตะหากที่ควรจะต้องให้ความสนใจผมมากกว่านี้ ^ ^+”
R(ไม่สนใจ):”โอ๊ย! ยุงนี่น่ารำคาญจริงจริ๊ง!”
M:”เมินผมไปสนใจยุงแบบนี้มันเกินไปแล้วนะครับ =[ ]=!?”
--
ประกาศจากน.ส.น.
จะขอพูดเป็นเรื่องๆ นะครับ
จะขอพูดเป็นเรื่องๆ นะครับ
-เรื่องแรกคือเรื่องที่เป็นปัญหาของนักเขียนส่วนใหญ่ คือการอัพเดทตอน สาเหตุที่คราวนี้ช้าไปมากนั้น ถ้าให้บอกตามตรงไม่แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ก็เพราะหมดแรงบันดาลใจหรือเรียกให้ได้อารมณ์ก็คือหมดปัญญาแล้วนั่นเอง
แต่ที่เอาตอนเห่ยๆ มาลงนี่ก็เป็นเพราะมันแต่งไว้ก่อนแล้ว ระหว่างที่ขาดการติดต่อนี้ก็เพราะไปตามหาแรงบันดาลใจตามเว็บการ์ตูนต่างๆ (โชคดีที่อ่านภาษาอังกฤษออก) แล้วก็...ไปติดการ์ตูนเรื่องนึงเข้า อ่านตั้งแต่ตอนแรกยันตอนที่หกสิบสอง เลยเสียเวลามาก(สามวันเต็ม)
จนกระทั่งตอนนี้อ่านจบแล้ว และได้ไอเดียของคู่ 1896 มาไม่น้อย แต่น่าเสียดาย ไอเดียการดำเนินเรื่องยังเป็นศูนย์ จึงอาจจะมีการใส่ฉากแบบกระท่อนกระแท่น ไม่สมเหตุสมผล(หรือที่เรียกว่า Out of Character(OOC) แปลเป็นไทยก็คือการ 'คาแร็กเตอร์เพี้ยน') คนเขียนไม่กล้าแม้แต่จะขออภัยแล้ว คงต้องพิสูจน์ด้วยผลงานจริง ไม่ใช่ดีแต่พูด(อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้)
-เรื่องที่สองคือเรื่องบทของทั้งฮิบาริ เคียวยะ และโคลม โดคุโร่(นางิ) ที่ว่าแต่งแบบนี้มัน 'ไม่ใช่' 1896 คนเขียนเองก็รู้สึกตัวเหมือนกัน แต่อย่างว่าไปข้างต้น หมดปัญญา จนต้องพึ่งผลงานคนอื่น(การ์ตูนนะ ไม่ได้ไปก็อปปี้ฟิคใครมา) ส่วนไอ้แผนซูเปอร์สปีดอะไรนั่นก็ไม่ได้โม้ ยังมีอยู่ แต่ยังไม่ถึง(ใกล้แล้วล่ะ)
ถ้าจะเจาะจงประเด็นเรื่องการกระทำที่แสดงถึงความสัมพันธ์ต่อกันนั้น คนเขียนหนักใจกว่าคนอ่านมากนัก(เชื่อเถอะ) โดยเฉพาะเรื่องการทำตัวเป็น 'คู่รักล่อมด' นั้น ยังไงก็จินตนาการไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าฮิบาริ เคียวยะคนนั้นจะจะทำตัวน่ารักกับคนอื่นได้ แค่มีคนมาแตะตัว ประธานฯก็บี้ยับแล้ว จู่ๆ จะให้หวานใส่กัน ถึงคนอ่านรับได้ แต่คนเขียนรับไม่ได้ครับ มันผิดปณิธาน(ตัวหลักเลยที่ทำให้เขียนมาจนถึงตอนนี้ได้)
...แต่ก็ขอแง้มนิดนึงว่า ...ไอ้จูบกันน่ะ ตอนหน้านะ... คนเขียนโดนเสียงบ่น(ของใครบางคน)สั่งสอนทีเดียว ไอเดียกระฉูดเลย ขอบคุณมากครับ พอดีผมเป็นพวกเฉื่อยชา ถ้าไม่โดนกระตุ้นจะไปไม่ถึงไหน แต่ถ้าโดนแล้วก็เลือดเดือดอยู่(เลือดเดือดแบบอะดรีนาลีนฉีดพล่านนะ ไม่ใช่เดือดแบบแบกบาซูก้าไปยิงบ้านใคร)
แต่ที่เอาตอนเห่ยๆ มาลงนี่ก็เป็นเพราะมันแต่งไว้ก่อนแล้ว ระหว่างที่ขาดการติดต่อนี้ก็เพราะไปตามหาแรงบันดาลใจตามเว็บการ์ตูนต่างๆ (โชคดีที่อ่านภาษาอังกฤษออก) แล้วก็...ไปติดการ์ตูนเรื่องนึงเข้า อ่านตั้งแต่ตอนแรกยันตอนที่หกสิบสอง เลยเสียเวลามาก(สามวันเต็ม)
จนกระทั่งตอนนี้อ่านจบแล้ว และได้ไอเดียของคู่ 1896 มาไม่น้อย แต่น่าเสียดาย ไอเดียการดำเนินเรื่องยังเป็นศูนย์ จึงอาจจะมีการใส่ฉากแบบกระท่อนกระแท่น ไม่สมเหตุสมผล(หรือที่เรียกว่า Out of Character(OOC) แปลเป็นไทยก็คือการ 'คาแร็กเตอร์เพี้ยน') คนเขียนไม่กล้าแม้แต่จะขออภัยแล้ว คงต้องพิสูจน์ด้วยผลงานจริง ไม่ใช่ดีแต่พูด(อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้)
-เรื่องที่สองคือเรื่องบทของทั้งฮิบาริ เคียวยะ และโคลม โดคุโร่(นางิ) ที่ว่าแต่งแบบนี้มัน 'ไม่ใช่' 1896 คนเขียนเองก็รู้สึกตัวเหมือนกัน แต่อย่างว่าไปข้างต้น หมดปัญญา จนต้องพึ่งผลงานคนอื่น(การ์ตูนนะ ไม่ได้ไปก็อปปี้ฟิคใครมา) ส่วนไอ้แผนซูเปอร์สปีดอะไรนั่นก็ไม่ได้โม้ ยังมีอยู่ แต่ยังไม่ถึง(ใกล้แล้วล่ะ)
ถ้าจะเจาะจงประเด็นเรื่องการกระทำที่แสดงถึงความสัมพันธ์ต่อกันนั้น คนเขียนหนักใจกว่าคนอ่านมากนัก(เชื่อเถอะ) โดยเฉพาะเรื่องการทำตัวเป็น 'คู่รักล่อมด' นั้น ยังไงก็จินตนาการไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าฮิบาริ เคียวยะคนนั้นจะจะทำตัวน่ารักกับคนอื่นได้ แค่มีคนมาแตะตัว ประธานฯก็บี้ยับแล้ว จู่ๆ จะให้หวานใส่กัน ถึงคนอ่านรับได้ แต่คนเขียนรับไม่ได้ครับ มันผิดปณิธาน(ตัวหลักเลยที่ทำให้เขียนมาจนถึงตอนนี้ได้)
...แต่ก็ขอแง้มนิดนึงว่า ...ไอ้จูบกันน่ะ ตอนหน้านะ... คนเขียนโดนเสียงบ่น(ของใครบางคน)สั่งสอนทีเดียว ไอเดียกระฉูดเลย ขอบคุณมากครับ พอดีผมเป็นพวกเฉื่อยชา ถ้าไม่โดนกระตุ้นจะไปไม่ถึงไหน แต่ถ้าโดนแล้วก็เลือดเดือดอยู่(เลือดเดือดแบบอะดรีนาลีนฉีดพล่านนะ ไม่ใช่เดือดแบบแบกบาซูก้าไปยิงบ้านใคร)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น